หยดน้ำบนใบบัว (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ตอนที่ 17 ประสบการณ์จากพระธุดงค์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 22 ตุลาคม 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ตอนที่ 17 ประสบการณ์จากพระธุดงค์


    หลวงตาเล่าเรื่องจากประสบการณ์

    หลังเสร็จสิ้นภัตตาหารเช้า หลวงตาจะแสดงธรรมหลายแบบหลายฉบับ ตามเหตุผลหรือเรื่องที่เข้ามาสัมผัส ผู้ฟังธรรมประจำวันส่วนใหญ่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมหรือมาจากในเมือง การเทศนาของท่านจึงเป็นแบบกันเองระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ลูกหา จึงมีทั้งเรื่องจิตตภาวนาล้วน เรื่องจากประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของท่านเองในช่วงชีวิตต่างๆ กัน หรือเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เป็นคติเตือนใจ

    ชีวิตการออกธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์แต่ละองค์แต่ละท่านนั้น ทำให้ท่านได้มีโอกาสสัมผัสสัมพันธ์กับเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องความอัศจรรย์ของจิต ทั้งเรื่องที่พบเห็นขณะท่องเที่ยวอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร เรื่องสิงสาราสัตว์ชนิดต่างๆ เรื่องคนป่าคนเมืองหลากหลายท้องถิ่น ฯลฯ

    ประสบการณ์หลายต่อหลายเรื่อง จึงเป็นสิ่งที่บรรดาเราๆ ท่านๆ อาจไม่รู้ไม่เห็นมาก่อนเลย เพราะไม่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตผจญภัยหรือโยกย้ายไปมาในถิ่นต่างๆ เหมือนกับท่าน และบ่อยครั้งเมื่อครูบาอาจารย์เหล่านี้ท่านมีโอกาสได้พบปะกัน เรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น จึงถูกถ่ายทอดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน หลวงตาท่านก็ฌคยนำประสบการณ์หลายเรื่องที่ได้รู้ได้เห็นหรือได้ฟังมาเล่าถ่ายทอดแก่ลูกหลาน ซึ่งล้วนเป็นข้อคิดคติเตือนใจเป็นอย่างดี ดังได้คัดมาแสดงบ้างดังนี้

    ท่านอาจารย์มั่น รู้วาระจิตหลวงปู่ฝั้นท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร ศิษย์ท่านอาจารย์มั่นองค์สำคัญองค์หนึ่ง เคยเล่าให้หลวงตาฟังเมื่อหลายสิบปีก่อน ท่านจึงนำมาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ฟัง ดังนี้

    "...ท่านอาจารย์ฝั้นออกจากโคราชนี้ไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ ท่านอาจารย์มั่นอุตส่าห์ออกมาต้อนรับเลยนะ เห็นไหมเก่งไหม ที่วัดเจดีย์หลวง ท่านรู้ภายในข้างในนี้ ท่านอุตส่าห์ออกมาเมื่อท่านอาจารย์ฝั้นไปถึงนั่น

    วันหนึ่งหรือ...ตอนเช้าวันที่สองตอนสายๆ ท่านอาจารย์ฝั้นเห็นท่านอาจารย์มั่นมาหาหน้ากุฏินั้นเลย พอมองเห็นก็คิดอยู่ในใจ

    "โอ๊ย ท่านอาจารย์มั่นนี่" จึงรีบโดดลงจากกุฏิเลย ท่านเดินกึ๊กกั๊ก กึ๊กกั๊กมา

    "โอ้ครูอาจารย์มายังไง ? ยังไง ?"

    "ก็มารับท่านนั่นแหละ"

    นั่นเห็นไหม บอกว่า "มารับท่าน" แล้วก็พาไปเลยเชียว นั่นท่านทราบไว้แล้วเก่งไหม บอกว่า "ก็มารับท่านนั้นแหละ"

    พอไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็พูดถึงเรื่องสถานที่นั่นดีอย่างนั้น ที่นี่ดีอย่างนี้ ทางท่านอาจารย์ฝั้นก็เลยคิดอยากไปอยู่ที่นั่นที่นี่ แต่ในตอนนั้นท่านอาจารย์มั่นไม่เห็นอะไรสมควรยิ่งกว่าอยู่กับท่านในขณะนั้น สมกับเหตุผลที่ท่านมารับเอง

    ตอนกลางคืน ท่านอาจารย์ฝั้นก็คิดถึงเรื่องที่จะไปที่นั่นที่นี่ พอโผล่ออกมา ท่านอาจารย์มั่นว่า

    "ไหนจะไปไหน ?"

    ว่าอย่างนั้นเลยนะ นั่นเห็นไหมล่ะ"จะไปไหนอีก ?"

    เปิดประตูออกมาตอนเช้า ท่านอาจารย์ฝั้นตะคอยรับบริขารท่าน พอเปิดประตูออกมา

    "หา ? จะไปที่ไหน ?" ว่าอย่างนั้นเลยนะ

    "ที่นี่ดีกว่า" ทางอาจารย์ฝั้นนั้นก็ปิดปากเลย เงียบไป แต่ก็ไม่นานละ ก็คิดอีก ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าเองแหละ คิดอีกว่าจะไปที่นั่น ท่านก็เอาอีก...

    พอวันหนึ่ง จิตท่านลงอย่างนั้นแหละ จิตท่านอาจารย์ฝั้นนะ นั่งภาวนานี่ จิตลงอย่างอัศจรรย์เลยสว่างจ้าครอบโลกธาตุ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

    "พอมองไปหาท่านอาจารย์มั่นทีไร เห็นท่านนั่งจ้องดูเราอยู่อย่างนี้"

    ท่านว่าอย่างงั้นนะ มองไปทีไร มองจิตส่งจิตไปทีไร ท่านนั่งจ้องเราอยู่แล้ว หมอบกลับมา พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดประตูเท่านั้นแหละ ประตูกระต๊อบนะ ไม่ใช่กุฏิอะไรใหญ่โตนะ กระต๊อบๆ ทั้งนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่ มีแต่กระต๊อบๆ ทั้งนั้นนะ หรูหราที่ไหน นั่นแหละสถานที่อยู่ของธรรม หรูหราไหมสถานที่อยู่ของธรรมดวงเลิศ ผู้เลิศมักจะอยู่อย่างนั้น และอยู่อย่างนั้น ทีนี้พอเปิดประตูออกมา ท่านอาจารย์ฝั้นก็ไปรอ เปิดประตูออกมานี่ ยืนกึ๊กเลยเชียวนะ

    "เป็นยังไง ? เห็นหรือยังศาสนาทีนี้ ?"

    เอาล่ะนะ แทนที่ท่านอาจารย์มั่นจะให้เข้าไปจับ ไปขนบริขาร (เพื่อเตรียมออกบิณฑบาต) ไม่ให้ไปนะ ท่านไปยืนกันอยู่ที่ประตูเลย ทางนั้นก็คุกเข่าหมอบนั่งอยู่

    "เป็นยังไง ? เห็นหรือยังศาสนาทีนี้? หือ ? หือ ?" ขึ้นเลย

    "ศาสนาอัศจรรย์ที่ไหน ? ศาสนาอยู่ที่ไหน ? มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน ? เห็นหรือยัง ?" ว่าอย่างนั้นนะ ยืนจ้อซัดอยู่ที่นั่นเลย เสียงเปรี้ยง เปรี้ยง

    "เจริญที่ไหน เห็นหรือยังทีนี้ ?"

    คือกลางคืนนั้นจิตสว่างจ้านี่นา ก็ท่านอาจารย์มั่นดูอยู่แล้วนี่ พอออกมาท่านถึงใส่เปรี้ยงเลย

    "เห็นหรือยัง ? ศาสนาเจริญที่ไหน ? หือ ? มรรคผลนิพพานเจริญที่ไหน ? ผมดูท่านทั้งคืนนะ เมื่อคืนนี้ ผมก็ไม่ได้นอน"

    มันก็ยอมรับเลย พอท่านอาจารย์ฝั้นจ่อจิตไป ส่งจิตไปทีไร ท่านจ้องดูอยู่แล้ว มันก็หมอบ ถอย ถอย ดูทีไรจ่ออยู่

    "ผมก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้ ดูท่านนี่แหละ" ว่าอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นถึงว่า ไหน...ศาสนาเจริญที่ไหน จ้อเข้าเลยสิ นั่นเห็นไหม ท่านมาเล่าให้ฟัง ท่านบอกโอ๊ย ขนลุกเลย ไม่ทราบมันเป็นยังไง ทั้งปีติยินดีในจิตอัศจรรย์ ปีติยินดีล้นพ้น และอัศจรรย์ท่านอาจารย์มั่นก็อัศจรรย์ล้นพ้น ท่านว่าอย่างนั้นนะ ชมความอัศจรรย์ทั้งวันทั้งคืนเลย นั่นแหละ ธรรมหาอย่างนั้นแหละ ธรรมอยู่ที่นี่แหละ ชี้เข้ามาที่ใจเท่านั้นรับธรรม ใจเท่านั้นรับมรรคผลนิพพาน สิ่งอื่นใดในโลก ไม่มีอะไรรับได้..."

    พลังจิต...ท่านพ่อลี

    ...ท่านเล่าถึงพลังจิตของท่านอาจารย์ลี แห่งวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ดังนี้

    "...พูดถึงเรื่องจิต...อย่างสมัยปัจจุบันนี้นะ...คือทำไมถึงทราบกันได้ ก็ทราบในวงปฏิบัติด้วยกันนะสิ! พระกรรมฐานประสานกันอยู่ตลอดเวลา พวกเราฆราวาสไม่ค่อยทราบกัน...ภาคปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาองค์ไหนเป็นอย่างไรๆ ท่านจะทราบกันอยู่อย่างลึกลับอยู่ภายในของท่านนะ ในระหว่างพระกรรมฐานด้วยกัน แต่คนภายนอกนั้นไม่ทราบ เพราะท่านไม่พูด...

    เวลาไปไหน พระกรรมฐานเป็นผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ เราจะไม่ทราบเลยเหมือนกับว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านไม่ได้มุ่งพูดอะไรต่ออะไร...นั่นละ ถ้าความเป็นธรรมจริงๆ แล้ว จะไม่มีโลกามินเข้าไปเคลือบไปแฝงเลย...แต่ในวงปฏิบัติดัวยกันแล้ว อย่างไรก็ปิดไม่อยู่ อะไรก็ต้องเปิดสู่กันฟัง เพื่อจะได้แก้ไขกัน มีอะไรๆ ขัดข้องตรงไหน พอองค์นั้นเล่าให้ฟังแล้ว ขัดข้องตรงไหน องค์นี้จะแก้ให้ทันที แก้ให้แล้วเปิดทางโล่ง...นั่น เรื่องของจิตเป็นอย่างนั้น

    หลวงปู่มั่น นานๆ ท่านจะยกองค์นั้นมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้นละ ทีนี้ยกมาคราวใดจะต้องมีจุดสำคัญๆ ที่ท่านจะนำออกมา อย่างท่านอาจารย์ลีนี้ท่านก็ว่า

    "ท่านลีนี้นะ กำลังใจดีมาก"

    ฟังสิกำลัง พลังของใจ นี่จะยกตัวอย่างให้ประกอบกับคำว่าพลังของธรรม ท่านเฟื่อง เป็นคนเล่าให้ฟัง เราไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยละ ท่านอาจารย์ลีนั่งอยู่ ท่านเฟื่ององค์หนึ่ง และเด็กชื่อมนูญคนหนึ่ง อยู่นี่แล้วท่านก็นั่ง ตอนนั้นก็คุยธรรมะกันเล็กๆ น้อยๆ นะ

    "เอ้อ เราจะพานั่งสมาธิ"

    ท่านอาจารย์ลีว่าอย่างนั้น "เอ้า เข้าที่" (นั่งขัดสมาธิ) ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านอาจารย์เฟื่องเล่าให้ฟัง พอว่าอย่างนั้น องค์ท่านอาจารย์ลี ท่านไม่ได้นั่งหลับตานี่ ท่านไม่ได้นั่งเข้าที่ ท่านนั่งธรรมดา

    "เอ้า นูญ ! เข้าที่"

    พอนั่งปุ๊บปั๊บ เด็กเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านคงเคยสอนมา ท่านอาจารย์เฟื่องนั่งอยู่ทางนี้

    "เอ้า เราจะให้ตัวลอยนะ"

    ท่านอาจารย์ลีกล่าว นี่ละ ที่ว่าพลังของจิต"เราจะให้ตัวลอยนะ" พอว่าอย่างนั้น

    "เอ้า ขึ้น...ขึ้น..." แล้วดูมือท่านนะ อาจารย์เฟื่องดู ท่านว่า ท่านทำมือด้วย

    "เอ้าๆ ขึ้น...ขึ้น...ขึ้น..."

    ท่านอาจารย์ทำมืออย่างนี้ ขึ้นจริงๆ เด็กคนนั้นนะ ตัวลอยขึ้นๆ...ตัวสูงขนาดนี้...นี่ละพลังของจิตที่ท่านอาจารย์มั่นว่า

    "พลังของจิตท่านลีนี่ดีมาก, ...ฟังสิ ! พลังของจิตดีมาก นี่ละ พลังเป็นอย่างนี้ แล้วพอเด็กนี้ลงแล้ว ทางท่านอาจารย์เฟื่องก็คิดมั่นใจว่า

    "ยังไงท่านก็จะให้เราขึ้นคราวนี้ เราจะไม่ยอมขึ้น วันนี้ฝืนกัน"

    แล้วก็จริงๆ สักเดี๋ยวท่านอาจารย์ลีก็ว่า "เอ้า เฟื่อง" ท่านเฟื่องปรารภในใจ "ว่าแล้ว" ทางท่านอาจารย์ลีนั้นว่า "เอ้าๆ ขึ้นๆ"

    ท่านอาจารย์เฟื่องว่า

    "มันจะขึ้นจริงๆ หว่า ! สู้ท่านไม่ได้ เราไม่ให้ขึ้นนะสิ แต่มัน...อันนี้มันโยกแล้ว มันแปลกๆ แล้ว" ท่านว่า

    "เราก็สู้ๆ แต่สู้อย่างไรก็..."

    อย่าให้พูดเถอะ (ขำ) ไอ้เรื่องแพ้อย่ามาพูดเลย คือเรื่องแพ้ท่านอาจารย์ลี ท่านเฟื่องว่า

    "อีกนิดหนึ่งนะ...ลงเลยนั่น หัวคะมำ ถ้าสมมติว่าก้นเราไม่ขึ้น หัวเราต้องคะมำ"

    ท่านว่าอย่างนั้น นั่นน่ะ เห็นไหมนั่น ไม่ใช่เล่นนะ พอเสร็จแล้ว แล้วท่านก็ยืนอยู่นะ พอเห็นทางนั้นขยุกขยิกๆ มันจะขึ้นแต่ไม่ขึ้นนี่นะ พอเสร็จแล้วท่านก็หยุด พอหยุดแล้วก็นั่งละ

    "โอ๊ย ดื้อ" (หลวงตาพูดอย่างขบขัน) ท่านอาจารย์ลีพูดอย่างนี้ ท่านไม่พูดมาก "เฮ้ย ดื้อ" (ขำ) ผมยังไม่ลืมอยู่นะ ท่านเฟื่องว่า ท่านอาจารย์ลีมียิ้มอยู่บ้างนิดหนึ่ง

    นี่ละ เรื่องพลังจิต อันนี้ก็จะเป็นไปได้บางราย...เพราะเป็นเรื่องภายนอก ใช้ภายนอกต่างหาก ตามแต่จริตนิสัยของใครที่จะใช้ในทางไหน ไม่ใช่หลักของศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพานจริงๆ อันนั้นเป็นหลักเพื่อจะละจะถอนกิเลส...

    กำลังจิตอันนี้มันเป็นเครื่องใช้ แล้วแต่ใครจะมีนิสัยวาสนาหนักไปทางไหน เช่น เหาะเหินเดินฟ้าดำดินบินบน ที่ท่านแสดงไว้ในอภิญญา 6 หรือวิชชา 3..."

    วิชาขี่เสือ

    "...วิชาขี่เสือนี้เป็นวิชาไสยศาสตร์อันหนึ่ง เขาร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือก็มาจริงๆ อย่างที่พวกเขาขี่เสือ มีนะ นี่ละ ไสยศาสตร์ขี่เสือได้นะ ขี่เสือป่า นี่ขี่เสือได้

    ที่บ้านหนองแวงนี่ก็มีคนหนึ่ง เราเกิดไม่ทัน ผู้เฒ่าตายเสียก่อน เขาเรียก พรานป้อ คนเตี้ยๆ ขี่เสือมาเรื่อยๆ ไปในป่า พอไปเหนื่อยๆ แล้วขี่เสือออกมา เขามีวิชาจับเสือขี่ อันนี้ก็มีคนหนึ่งอยู่ทาง บ้านมาย อำเภอบ้านมาย หรืออำเภอบ้านม่วง มีเสือ...ดงใหญ่ คนนี้ก็ขี่เสือได้ ไปเรียนวิชามาจากฝั่งลาว ไปเรียบกับพวกโซ่พวกข่าเขา เรียนวิชาขี่เสือ

    ว่าไปด้วยกัน 5 คน ครูนำหน้าไป พอไปตั้งทัพลงตรงนี้ปั๊บ แล้วก็นั่งร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือตัวไหนอยู่ใกล้มันก็มา มาก็มานอนอยู่ตามนี้ เสือ เสือโคร่งนะ คนร่ายมนต์ ทีนี้เสือก็มา ลูกศิษย์นี้ต่างพากันกลัวจนตัวสั่นแหละ อาจารย์เป็นคนร่ายเสือมา

    ทีนี้ พอมันมาแล้วก็สั่งคนนั้นไปขี่เสือมานี่ คือมันมานอนอยู่ตามอย่างนี้ ให้ขี่เสือตัวนั้นเข้ามาหาครูนี่ ครูนั่งอยู่นี่ ทดลองในขั้นนี้ก่อนนะ ทดลองเป็นขั้นๆ จนกระทั่งใจกล้าหาญเชื่อวิชาตัวแล้วทีนี้ก็ปล่อย อันนี้ก็สั่งคนนี้ให้ไปขี่เสือ ไม่ยอมไป กลัวเสือกินหัวมัน อาจารย์ไล่ไม่ยอมไป เสือก็นอนดารดาษอยู่ มันดงเสือนี่นะ ตัวไหนอยู่ใกล้ก็มาก่อน ตัวไหนอยู่ไกลก็มา บางทีจนคนจะเลิกแล้วค่อยมาถึงก็มี

    ทีนี้ พอถึงคนที่ห้านี้ตัดสินใจเลยตามก็ตาย ถ้าครูไม่เก่งจริงจะเรียกเสือมาไม่ได้ เอากันตรงนั้นตัดสิน ถ้าครูไม่เก่งจริงแล้วเรียกเสือมาไม่ได้ ครูต้องเก่ง นี่ครูเป็นคนบอกเองให้เราไปขี่เสือมาหาครูนี้จะเป็นอะไรไป

    "เอ้า ตายก็ยอมตาย"

    ไป...ก้าวขาจะไม่ออก มันแข็งไปหมดว่างั้น เอ้าๆ ไปบังคับให้ไป ไปก็ไป ขี่เสือมาหาครู พอขี่ตัวนี้มาแล้ว ไปๆ ขี่เสือมาอีก ขี่ตัวนี้มานอนอยู่นี้ นอนอยู่หน้าคน นี่ละไสยศาสตร์เขาเก่งไหม ก็ขี่ตัวนั้นมา ขี่ตัวนี้มา กล้าหาญละ นี่เป็นครั้งหนึ่งแล้วนะ ทดลองพักแรก พักที่สอง ครูนั่งอยู่ที่นี่ ให้ลูกศิษย์ไปนั่งอยู่โน้น ห่างๆ จากครูไป ให้ลูกศิษย์เป็นคนร่ายมนต์เรียกเสือมา มาหาแล้วก็ขี่เสือมาหาครู เขาทำหลายพักนะเขาทดลอง คือทีแรกเรียกมาหาครูเสียก่อน ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปขี่เสือเข้ามาหาครู ไปขี่เสือตัวนั้นเข้ามา จากนั้นแล้วก็ให้ลูกศิษย์นี่ไปอยู่นอกๆ โน้นไกลๆ แล้วก็ไปร่ายมนต์เรียกเสือมา แล้วขี่เสือมาหาครู ทีนี้พอชำนาญแล้ว ถามลูกศิษย์ว่าแน่ใจแล้ว ไม่กลัวแล้ว ก็ปล่อยละ

    อีตาคนนี้แกขี่เสือ คนบ้านมาย นี่เขาเห็นกันหมดทั้งบ้านปฏิเสธได้ยังไง ทีนี้จึงรู้ว่าเสือสติมันดี รู้กันตามนี้ ว่างั้น แกขี่เสือไปนี้ไปตามด่านในดง คนมาทางโน้น เสือมันดิ้นแล้วทางนี้ คนมาไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่ง พูดกันจอแจมา แต่นายพรานมานั่นซิ นายพรานเขาไม่ได้จอแจนี่ เขามาจ้อเลยหายิงเนื้อล่าเนื้อนายพรานก็รู้ พอนายพรานมาข้างหน้าโน้น ทางนี้ดิ้นแล้วจะออกจากทาง พอเห็นท่าไม่ดีก็ปล่อย ปล่อยก็วิ่งเลยเข้าป่าปั๊บ สักเดี๋ยวนายพรานก็มา

    คือสติมันดีอย่างนั้นนะว่างั้น รู้ได้เร็วมาก ไอ้ที่จะไปเจอกันจริงๆ ไม่ได้เจอง่ายๆ แหละ มันดุกดิกๆ แล้ว พอจวนเท่าไร มันดิ้นจะไป พอปล่อยปั๊บนี้วิ่งเลยเข้าป่า สักเดี๋ยวนายพรานก็มา บางทีเวลานอนกลางคืนเหมือนกับว่าเอาเสือเป็นหมา เจ้าของนอนอยู่กลางคืน พอตื่นขึ้นมานี้เสือมานอนอยู่ด้วยแล้ว มานอนอยู่กับคน มันไม่กลัวคน เพราะเป็นครูเขานี่ครูเสือ นี่ละเรียกไสยศาสตร์...
     
  2. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ...คนนี้ก็ขี่เสือเก่ง คนนี้ก็เหมือนกันขี่เสือ อยู่บ้านแวง บ้านธรรมลี อยู่นี่แหละผาแดง เขาเรียก พรานป้อ คนเตี้ยๆ ขี่เสือมาเรื่อย คนเจอเรื่อย ครูเขามีนะ ถ้าผู้ขี่เสือไปไม่ให้เจอคน ถ้าเจอคน เสือมันจะตะปบเจ้าของ โฮก ทีเดียวตะปบเจ้าของแล้ววิ่งหนีเลย เจ็บ เสือมันตะปบเจ็บ เลยต้องไปลับๆ เงียบๆ

    พอจะมีคนต้องปล่อยเสือไป เสือมันบอกก่อนแหละ เสือสติมันดีมันบอกก่อนเลย ที่จะไปเจอคนธรรมดานี้ไม่เคยมี แม้นายพรานก็ตาม เขาไปอย่างด้อมๆ มองๆ นายพรานเขาไปนี้เขาไปด้อมๆ มองๆ หายิงสัตว์ แม้อย่างนั้นเสือมันก็รู้จนได้ หากมันทำท่าดิ้นไปดิ้นมา แสดงว่านี่มีคนมาแล้วข้างหน้า พอปล่อยนี้มันจะวิ่งเข้าป่าปั๊บสักเดี๋ยวก็เจอคนมา นี่เขาเรียกไสยศาสตร์

    เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลกดินแดน ใครเสาะแสวงหายังไงก็เจออย่างนั้น เพราะของมีอยู่ด้วยกัน พวกผีพวกอะไรๆ จิตวิญญาณอะไรมันเข้าสิง

    วิชานี่มีวิญญาณอยู่ในนั้นในหลักวิชาอย่างพวกที่เขาทำคนก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกนี้ทางเขมรมีมากนะ เขมรมีมากวิชาอย่างนี้ พวกโซ่พวกเข่ามีมาก อยู่ฝั่งลาวไปทางโน้น

    แต่ก่อนเขาใช้วิชาอันนี้ทำคนให้ตายก็ได้ ทำคนให้รักกันเขาเรียกทำเสน่ห์อะไรอย่างนั้นก็ได้ ทำคนให้ตายเลยก็ได้ ทำได้ทุกแบบวิชาพวกนี้ นี่เขาเรียกไสยศาสตร์ ถ้ามีผู้เรียนผู้รักษาอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็มีก็ปรากฏอยู่ ถ้าไม่มีผู้เรียนไม่มีผู้รักษา มีก็เหมือนไม่มีเพราะใครไม่ได้สัมผัสมัน ถ้ามีวิชา วิชานั่นแหละไปเกี่ยวโยงกันกับสิ่งเหล่านี้มาอยู่บเจ้าของ..."

    พระป่าผจญผีสาว

    ท่านเล่าถึงความกล้าหาญของพระป่าองค์หนึ่งให้พระเณรฟัง ดังนี้

    "...เขาถือเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าภาคไหนในเมืองไทยเรานี้ เมื่อคนตายแล้วต้องเกี่ยวกับพระ พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึงพระองค์ที่ว่ากล้าหาญเต็มที่ ขี้ขลาดเต็มตัวจนจะตาย ท่านไปภาวนาอยู่ในถ้ำ อดอาหาร เที่ยวไปนั่งอยู่ตามทางเสือ ทางอะไรนั่นแหละ น่าเสียดายนะ พระองค์นี้ ถ้าหากว่าจิตใจได้เหนี่ยวรั้งครูอาจารย์ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริงๆ ก็จะไม่เสีย นี้สึกไปแล้ว ทราบว่าสึก แต่ผมไม่เห็น ได้ทราบว่าสึก

    แต่ก่อนแกเคยเป็นนักเลง จิตใจ อู๋ย ! เด็ดมาก สมเป็นนักเลง ว่าไป...ไป ว่าอยู่...อยู่ จริงจังมากทีเดียว ตอนแกปฏิบัติตัวเอง แกก็จริงจัง กลัวผีนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เวลาจะแก้ แก้จนกระทั่งกล้าหาญเบอร์หนึ่งเหมือนกันในตัวเอง ไม่มีสะทกสะท้านเลยเรื่องผี ไปที่ไหนอยู่ได้หมด เพราะการแก้ได้ ไม่ใช่มันหายไปเฉยๆ หายด้วยอุบายวิธีแก้ด้วยธรรม มีความรู้แปลกๆ เหมือนกันพระองค์นี้ เวลานั่งภาวนา กลางคืนเขาตายในบ้าน ท่านก็รู้แล้ว

    "เอ้อ ! วันพรุ่งนี้จะมายุ่งเราอีกแล้ว นี่คนตายแล้วในบ้าน"

    นั่นท่านรู้นะ แล้วก็มีจริงๆ แถวนั้นก็ไม่มีพระ สถานที่อยู่ ถ้ำกับป่าช้าห่างกันเท่าไร กี่กิโล ตั้งห้าหกกิโล ลงไป ข้าวก็ไม่ได้กิน แทบล้มแทบตาย เมื่อยล้าก็ต้องได้ไป นี่แหละเรียกว่ามันแยกกันไม่ออก อย่างนี้ คนตายรายใดเป็นรู้ แปลกอยู่นะพระองค์นี้ ท่านบอกนะ มันรู้ และแน่นอนด้วย ถ้าสมมติว่าเป็นแบบโลก ก็ว่าพนันกันได้เลย บ้านนี้เขาตายแล้วคืนนี้เขาจะมานิมนต์เราแล้ว บางทีก็มีเทพ พวกเทพมานะ ท่านก็พูดถึงเรื่องเทพดีเหมือนกัน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ไม่ใช่เป็นรุกขเทวดา รักษาดินว่างั้น อันนี้แกไม่มีเรียนมากนะ มันเป็นขึ้นตามนิสัย

    อย่างนี้แหละจิตเมื่อมีความสงบเข้าไปแล้ว ไอ้เรื่องนิมิตต่างๆ ที่จะมาปรากฏตามจริตนิสัยหรือไม่ปรากฏนั้นก็เป็นตามจริตนิสัยด้วยกัน ไม่ต้องเรียน อันนี้เป็นขึ้นมาเอง เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วนั้นแหละ ต้องเรียนวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นผิดได้ เพราะอันนี้ไม่ใช่ของดีโดยถ่ายเดียว ถ้าหากเราได้รู้วิธีปฏิบัติกันโดยถูกต้องแล้ว ก็เป็นเครื่องมือได้ดี อันนี้พวกนักปฏิบัติรู้แปลกๆ ต่างๆ

    สมัยที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันนี้ก็เคยเล่าสู่กันฟังสนุกสนานดีเหมือนกัน ที่เราเขียนในหนังสือปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นหรืออะไรนั้น มีแต่ความจริงทั้งนั้นนะ เช่น บางอค์อย่างนี้ เขียนเรื่องราวขององค์ไหนออกมา หากแต่เราไม่ระบุเท่านั้นแหละ เอาเรื่องของท่านองค์นั้นๆ ออกมาเลย เป็นความจริงๆ เป็นบางรายก็ไปอยู่ ความรู้รู้เหมือนกัน นี่ก็ค้านกันไม่ได้เอ้า องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น...เอ้า องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น ได้ 3 คืน เผ่นมาแล้ว มาหากัน

    "โอ๊ย อยู่ไม่ได้ ไม่ทราบเป็นยังไง มันผีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ผีกาม มาลาก มันเอาศีรษะห้อยลงเพดานถ้ำนี่ มันหย่อนลงมานี้ ต้องขออภัยนะ มันเอานมมาใส่ตัวเรา เอาหัวหย่อนมานี่...แผ่กุศลธรรมอะไร มันก็ไม่ยอมรับ ว่างั้น เจริญเมตตามันไม่รับ มันจะรับแต่กามกิเลส อยู่นี่ 3 คืนไม่ได้หลับได้นอนเลย มันมาแสดงอยู่อย่างนั้น ก็เลยลงไป ไปหาเพื่อนอีก ก็เล่าเรื่องให้ฟัง"

    "เอ้า ถ้างั้นอยู่ถ้ำนี้ ผมไปเองนะ"

    พระองค์นั้นก็รู้เหมือนกัน มีความรู้ทางนี้เหมือนกัน ไปอยู่นั่นก็เหมือนกัน ได้ 2 คืน เผ่นมาเลย
    "โอ๊ย ! จริงๆ เอ๊ มันเทวดาอะไร ? พวกนี้มันผีอะไร ? ทำไมมันกรรมหนักกรรมหนาเอานักหนานะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว เรื่องกิเลสกับเรื่องกาม กามราคะ ทำอะไรก็ไม่ยอมรับ เรียกว่าพวกนี้พวกหนาแบบบอกบุญไม่รับ"

    ไม่ค้านกันนะ รู้จริงๆ ทำแบบเดียวกันแหละว่างั้น ทีแรกองค์นี้เล่าให้ฟังก่อน

    "เอ้า ผมลองดูหน่อย มันเป็นยังไงว่ะ"

    เป็นที่รู้กัน พอไปเข้าก็ โอ๊ย ยอมรับอย่างนั้นละ ถ้ามันเห็นเหมือนกัน รู้เหมือนกันค้านกันได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาอารมณ์ ปุ๊บปั๊บท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้วนี่ เข้าใจแล้ว เข้าใจวิธีปฏิบัติ

    สัญญาอารมณ์ไปหลอกเจ้าของก็มีเช่น บอกไปอย่างนั้น แล้วไปเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมาก็มี แต่นี้เป็นผู้มีพื้นเพทางนี้อยู่แล้วด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน เคยพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจอะไรต่ออะไรให้กันฟังจนเคยชิน หรือเป็นที่แน่ใจต่อกันและกันแล้ว เหมือนอย่างว่า

    "มีอะไรอยู่นั้นน่ะผมถึงได้มาที่นี่"

    "เอาเถอะ ท่านไปดูซิ"

    "โอ้ ใช่"

    แน่ะ ตาเรามีเราก็มองเห็น "อ๋อ ใช่" แน่ะ เป็นอย่างนั้นจะว่าไง หูเรามีก็ได้ยิน ภายในมันก็เป็นเหมือนกัน..."

    พญานาค

    ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ต่อมาจึงได้มาอยู่ศึกษาอบรมกับหลวงตา ท่านมีนิสัยกล้าหาญ ไม่กลัวอะไรง่ายๆ แต่คราวนี้ท่านไปพบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเข้า ท่านจึงบอกท้าพวกที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงให้ไปลองพิสูจน์ดู หลวงตาเล่าเรื่องนี้ไว้ว่า

    "...แล้วท่านสิงห์ทอง ยังอยากจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ว่าไม่มีผีไม่มีอะไรให้ไปอยู่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นเราก็เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ มันเป็นตีนเขา ข้างบนมีถ้ำอยู่ 2 ถ้ำ มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ทางนั้นถ้ำหนึ่ง แล้วเป็นซอกเขาลงมาน้ำไหลลงมาตรงนี้แล้วมีอีกถ้ำหนึ่ง ครั้นเวลามีพระมาใหม่มาเยี่ยมมาพักอยู่ถ้ำนี้ ผีนั้นก็ลงมาจากโน้นนะ จากภูเขา

    บนหลังเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ไหลอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน หากไม่มากนะ หากไหลอยู่...ทั้งแล้งทั้งฝน เขาเขียนประกาศติดไว้ว่าไม่ให้ผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น ถ้าผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น จะเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เขาห้าม เขาเขียนประกาศติดเอาไว้ ถ้าต้องการก็ให้ตักเอามาดื่มมากินมาอาบ ห้ามไม่ให้ลงไปอาบนั่นละ เป็นความจริงถึงขนาดนั้นละ น้ำเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าผู้หญิงลงไปอาบ น้ำนี้เหม็นคลุ้งไปหมดเลย

    มีพญานาคอยู่ที่นั่น...หลวงตาองค์นั้นท่านอยู่นั้นเป็นประจำ ท่านชินกับสัตว์ตัวนี้พอแล้ว มันลงมาจากภูเขาเหมือนกับเรา ลากต้นตาลทั้งต้น เอาต้นตาลทั้งต้นลากลงมา เสียงซ่าๆ ลงมา มันค่อยลงนะ ซ่าๆ ลงมาซอกเขานี่ หลวงตาองค์นั้นอยู่ทางด้านนั้น ท่านอยู่ถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วถ้ำนี้คนมาพักบ่อยๆ พระน่ะ

    ถ้าใครมาพัก พระมาใหม่ไม่ว่าพระองค์ไหนมาจากไหนก็ตามเถอะ ตัวนี้เขาจะลงมาถามข่าว ทีนี้หลวงตาก็เลยสั่งบอกไว้กลัวว่าพระจะกลัว คือกลัวว่าท่านสิงห์ทองจะกลัว ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ นิสัยกล้าหาญขี้ดื้อ จึงได้หมอบราบกับผีนั้นละซี พูดท้าทายเลยเทียวนะ ใครเก่งว่าผีไม่มีแล้วให้มาตรงนี้ ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน ทีนี้พอมาถึง ผู้เฒ่าก็บอก

    "คุณหลานเอ๊ย พี่น้องจะลงมาเยี่ยมนะตอนค่ำวันนี้ เพราะคุณหลานมาใหม่เป็นพระอาคันตุกะ เป็นแขกมาเยี่ยม แล้วไอ้ตัวอยู่ข้างบนเขามันจะลงมาถามข่าวถามคราว ไม่ต้องกลัวนะ เขาจะลงมาธรรมดา

    แต่เวลาเขาลงมาก็เหมือนลากต้นตาลทั้งต้น ลากลงมาซ่าๆ เวลาเขาขึ้นก็ซ่าๆ ลงไปตีนเขาแล้วหายเงียบนะ พอไปแค่นั้นเงียบ เวลาขึ้นมาก็ซ่าๆ เวลาขึ้นมาไม่ทำก็มี แล้วแต่เขาจะทำ เขาจะทำแบบไหน เขาทำได้"

    พอดีท่านสิงห์ทองมาเหนื่อยๆ เดินทางมาไม่มีรถยนต์ พอมาถึงที่นั่นก็เข้าพัก ผู้เฒ่าก็สั่งเสียไว้เรียบร้อยกลัวผีนั้นละ ทางนี้เข้าใจแล้วก็นอนประมาณ 3 ทุ่ม

    คนจะตายเดินทางทั้งวันเหนื่อยมากเลยนอนเสียก่อน ถึงจะลุกขึ้นเดินจงกรม พอนอนหลับไป เสียงฮ่อๆ อยู่หัวเตียง งูเหมือนงูใหญ่เรานี่ขนาดเท่าตัวเสานี่แหละ เสียงมันฮ่อๆ อยู่บนหัวเรานี่ ทางท่านสิงห์ทองนั้นก็เรียก

    "หลวงพ่อๆ"

    "แม่นหยัง"

    "มันเสียงงูใหญ่มาอยู่นี่แล้ว"

    "มันบ่แม่น เสียงที่บอกนั่นละอย่าไปกลัว"

    "บ่กลัวยังไง มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้" เสียงดังฮ่อๆ น่ะซิ

    "มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลืนผม"

    "ไม่กลืนไม่ต้องกลัว มันเคยอย่างนั้นละ จะเป็นไรไป เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะหลวงพ่อเคยอยู่นั้นมานานแล้วนี่นะ"

    "จะเชื่อได้ยังไง มันจะกินคนนี่"

    เลยเรียกให้พระมาด้วยองค์หนึ่ง นอนอยู่ทางโน้น ถ้ำมันยาวนอนอยู่ทางโน้น เรียกพระองค์นั้นให้จุดไฟใส่โคมมา แขวนมาแล้วเอาไม้ยาวๆ มา จะหิ้วมานี้ไม่ได้เดี๋ยวจะมาเหยียบงู เอาไม้ยาวๆ แล้วเอาโคมไฟห้อยมาถือมายาวๆ คนไปเรื่อยฉายไปเรื่อย พอคนมาถึงเตียง มันก็หายเสียง เงียบเลยเสียงฮ่าๆ ไม่ได้ยินอะไร หายเงียบ คนจึงกลับไป พอกลับไปสักเดี๋บวขึ้น มีเสียงขึ้นอีกแล้ว

     
  3. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    "...มาอีกแล้ว..."

    คนนั้นเลยจุดไฟมาหางูทั้งคืน จุดไฟมาแบบนั้นละ กลัวจะมาโดนงูเข้า เพราะเสียงใหญ่เสียงโตมากนี่นะ พอมาก็ไม่เห็นผีอะไร อยู่ได้คืนเดียวเท่านั้นละท่านสิงห์ทอง

    "ทำไมล่ะ ?"

    "กลัวละซิ ยอมรับว่ากลัว กลัวจริงๆ โห เหมือนมันจะกลืนเราทั้งคนนี่นะ ตัวมันจะขนาดเท่าลำตาล"

    งูตัวนี้ พญานาค พอตื่นขึ้นมาไปลาหลวงตา

    "ว่าอย่างไรล่ะลูก ?"

    "โอ๊ย กลัวงูอยู่ไม่ได้แล้ว"

    "ไปกลัวมันทำไม ? หลวงพ่ออยู่นี้มานานแสนนานรู้เรื่องของมันหมด ไม่มีอะไรแหละ อย่าไปกลัวเลย"

    "โอ๊ย กลัวๆ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว"

    ใครเก่งว่าผีไม่มีให้มา ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน เอาจริงๆ นี่ นั่นละ เสียงมันเป็นอย่างนั้นเวลามันแสดง...พญานาค มาเล่าให้อาจารย์หมออวยฟัง โอ๊ย ตั้งใจฟัง สนใจฟังอยากจะไปด้วยนะ อยากจะไปดูสภาพเป็นยังไง อยากไปดูเป็นกำลัง แต่ไม่มีเวลาพอที่จะไปดูได้ ไปดูถึงที่เลย ไปดูเหตุการณ์จริงๆ เป็นยังไง ไปดูก็เห็นจริงๆ นั่นแล้ว เพราะเป็นอย่างนั้นมาเป็นประจำ ว่าขอแต่แขกคนมาที่นั่น พอตกกลางคืนเขาจะลงมา เขาก็ไม่ทำไมละ ลงมาถามข่าวธรรมดา

    แต่เสียงมัน...ทำได้แปลกๆ นะ แบบงูก็ได้ แบบเสือก็ได้ แบบไหนได้หมด ไม่ใช่มีแบบเดียว ที่มันน่ากลัวคือมันหลายแบบนั่นเอง บางทีเหมือนเสือ เห่อๆ ใกล้ๆ ข้างถ้ำ "เสือมายังไง" ว่าอีกละ"มันไม่ใช่เสืออันนั้นละ" ว่าอันนั้นก็เข้าใจกัน

    อาจารย์หมออวยอยากไปเป็นกำลังโฮ้ ซักท่านสิงห์ทองใหญ่เลยเทียวนะ ท่านสิงห์ทองเล่าให้ฟัง ทีนี้ท่านสิงห์ทองก็เป็นพระกล้าหาญด้วยไม่ใช่เป็นพระออดแอด พระโกโรโกโสนะ ท่านพูดมันน่าฟัง เราเองก็เชื่อ เพราะเราชื่ออยู่ก่อนนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้

    "โห มันน่ากลัวจริงๆ นะ" ท่านว่า

    "ตัวมันขนาดเท่าลำตาลแล้วมันขู่ฟ่อๆ อยู่บนหัวเราใกล้ๆ ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันเหมือนจะกลืนเอาเลย เสียงฮ่อๆ แต่มองหาตัวไม่เห็น ครั้นเวลาจุดไฟมาหาไม่เห็น ไปไหนก็ไม่รู้ พอดับไฟสักเดี๋ยวขึ้นอีกแล้ว"

    เขาเรียกภูทอก เราเคยผ่านไปผ่านมา เราเที่ยวกรรมฐาน แต่ไม่เคยขึ้นพักถ้ำที่ว่า...

    เสือกลัวหลวงปู่ตื้อ

    หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นองค์หนึ่ง มีจิตใจกล้าหาญชาญชัยมาก ท่านมีอายุพรรษามากกว่าหลวงตา ในเรื่องที่ว่าเสือเกรงกลัวท่านนั้น หลวงตาเล่าถึงที่มา ดังนี้

    "...อย่างหลวงปู่ตื้อ ดังที่ผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง คือคาถาของผู้เฒ่าเป็นคาถาที่ทำให้เสือใจอ่อน กลัว ใจไม่มีกำลังจะต่อสู้ คาถามันครอบเอา อำนาจของคาถาครอบเอาไว้ เสือใจอ่อนลงไปเลย ทำอะไรไม่ได้ ท่านมีคาถาขู่เสือ เป็นครูเสือก็ได้ ขู่เสือก็ได้...หากครูแบบหนึ่งเป็นครูแบบพระ ไม่ได้ขี่เสือ

    หลวงปู่ตื้อ บ้านข่า สามผง เราเคยไปพักอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนไปภาวนา เสือชุมมากแถวนั้น หลวงปู่ตื้อท่านมีคาถาเป็นครูเสือ ไปอยู่ไหน เสือมักมานอนเฝ้าอยู่รอบๆ ข้างๆ ที่พักท่าน ท่านไปอยู่แม่ฮ่องสอนไปอยู่ในป่า เสือก็มาอยู่ด้วย เสือโคร่งใหญ่นะ มันมาแอบอยู่ด้วย

    ผู้เฒ่าไม่ได้สนใจกลัวมันแหละ เพราะเป็นครูมัน คนอื่นนั่นซิ พระไปอยู่ด้วย พอดีกลางคืนพระปวดเบาจะออกมาเบา ออกมาเสือมันนอนอยู่ข้างๆ เสือฮ่าๆ ใส่ เสียงร้องจ้าวิ่ง

    "มันไม่มีอะไร มันจะเป็นอะไร มันไม่เป็นไรแหละ" หลวงปู่ตื้อบอก

    "ไม่เป็นไร มันตื่น บางทีมันอาจทักทายเฉยๆ ก็ได้"

    ท่านว่าอย่างนั้น มันโฮกๆ ใส่ท่าน พระก็โดดเข้ากุฏิ กุฏิพังกระมัง พระองค์นั้นมาอยู่ได้คืนเดียว วันหลังเผ่นเลย กลัวเสือ

    "ไม่เป็นไรแหละ อยู่จะเป็นไรไป มันก็อยู่กับคน ดีแล้วนี่" ท่านว่างั้นนะ

    มันอยู่แอบๆ อยู่นี้ ไม่ออกมาหา คนแหละ บางทีก็เห็นตัว บางทีไม่เห็น มันอยู่ในป่า คนอยู่อย่างนี้ แต่ถ้ามีคนแปลกหน้ามามันคำรามนะ ท่านว่า ให้มันทำมันไม่ทำแหละ เพราะมันเป็นหมาของพระว่างั้นเถอะ รักษาเจ้าของ ใครมาแปลกๆ หน้า นี่ไม่ได้ มันขู่คำราม ว่างั้น

    "...อย่าไปขู่เขานะ..."

    พอท่านว่ายังงั้น มันก็เงียบเลย เวลาท่านไปไหนมาไหน เสือมักจะตามไปรักษาท่าน รักษาเงียบๆ นะ มันอยู่ในป่าแหละเสือ ท่านไปพักภาวนานี่ เสือมักจะมาอยู่ข้างๆ ถ้ามีคนแปลกหน้ามา เราถึงจะรู้ว่ามีเสือนะ ถ้าไม่มีคนแปลกหน้ามาก็เหมือนไม่มีเสือ มันไม่แสดงตัว มันอยู่รอบๆ ข้างๆ ถ้ามีคนแปลกหน้ามา พระแปลกหน้ามา มันคำรามใส่ บางทีขู่ คำรามเฮ่อๆ ใส่ พระเลยตกใจร้อง "เสือๆ"

    หลวงปู่ตื้อบอกไปว่า

    "โอ๊ย ไม่เป็นไรแหละ มันรักษาพระ มันอยู่นี้เป็นประจำ ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัวมัน"

    นี่หลวงปู่ตื้อเป็นอย่างนั้นนะ ท่านว่า ข้ามไปเที่ยวตั้ง 5 อำเภอ มันยังตามไปนะ เสือตัวนี้ อันนี้เรายังไม่เล่าให้ฟังถึงเรื่องเจ้าคณะอำเภอเขาจะมาขับไล่ท่าน อันนี้ขบขันดีนะ

    ตอนกลางคืน แต่ก่อนไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุ เจ้าคณะอำเภอเห็นท่านไปอยู่ในป่าจะมาขับไล่ท่าน จุดตะเกียงเจ้าพายุ หิ้วมากลางคืน จะมาขับไล่ท่าน พอมาถึงวัด เสือตัวนั้นออกมาคำรามใหญ่เลย เฮ่อๆ ทางนี้เปิดเลย ตะเกียงเจ้าพายุคงจะตกฟากแม่น้ำโขงไปใหญ่เลย

    ตกลงเสือขับเสียก่อน พระนั้นยังไม่ได้มาขับหลวงปู่ตื้อแหละ ถูกเสือขับเสียก่อนแล้ว เผ่นใหญ่เลย ไปใหญ่เลย แตกทั้งญาติทั้งโยมทั้งพระ แตกไปด้วยกัน ฮือๆ เลย เสือมันคำรามใส่ มันยังไม่ทำอะไรแหละ มันก็เหมือนกับหมามีเจ้าของ ก็คาถาท่านครอบไว้นี่ มันกลัว ใจมันลง มันไม่ถือเป็นข้าศึก ถือเป็นเหมือนเจ้าของ...

    เณรระลึกชาติ

    "...ท่านกล่าวไว้ในมหาวิบาก นรกมีถึง 25 หลุม ตั้งแต่ใหญ่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ นี่นรกเมืองผีมีถึง 25 หลุม แล้วจากนั้นก็มาปลีกย่อย ถ้าไปลงนรกอเวจีแล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ได้พ้นแหละ จมอยู่นั้น ถึงจะปรากฏอนิจจังก็กี่กัปกี่กัลป์ถึงจะเปลี่ยนมา

    กรรมของสัตว์ประเภทนี้ พวกฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงให้สงฆ์แตกจากัน 5 ประการ ท่านเรียกอนันตริยกรรม แปลว่ากรรมนี้หนักมาก แล้วพวกนี้แหละพวกลงไปนั่น นี่มีนิทานสดๆ ร้อนๆ อันหนึ่งที่จะนำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเป็นคนซักด้วยปากของเราเองอันนี้ คือเอากันต่อหน้าเลย ซักเลย

    มีเณรองค์หนึ่ง อยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เณรนี้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติถอยหลังได้ ชาติเจ้าของนั่นเอง แต่ก่อนเขาชื่อว่าบัวเหมือนกับชื่อหลวงตาบัวนี่แหละ เขาอยู่บ้านโคกเลาะ ชื่อเขาพูดถูกหมดนะ เหตุที่จะมีการยืนยันรับรองกันคืออาจารย์ของเขาเอง เราพบกับเณรนี่แล้วก็ไปพบกับอาจารย์ ชื่ออาจารย์ทอง อาจารย์ของพระบัวนี่

    พระบัวนี่เป็นหนุ่มแล้วไปฟังเทศน์แล้วเกิดความเลื่อมใส ท่านอาจารย์ของท่านไปทางเมืองอุบล ไปโน้น แนะนำสั่งสอนประชาชน เขาเกิดความเคารพเลื่อมใส นายบัวนี่ก็มาขอบวชกับท่าน บวชแล้วก็ติดสอยห้อยตามท่านมา มาอยู่บ้านสามผง พอดีมาเป็นไข้ป่าที่สามผงตาย ปีนั้นพระตาย 3 องค์ นี่ท่านอาจารย์ทองท่านเล่าเอง ปีที่ตาย 3 องค์นี่นะ แต่พระบัวนั้นบอกแต่ว่า มาตายที่บ้านสามผงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตายเท่านั้นองค์เท่านี้องค์

    พอตายแล้ว นี่เราสรุปเอาเลย แบกกลดสะพายบาตรดูเขาเผาศพเรา คนทั้งหลายเต็มอยู่มาเผาศพ ก็ยืนดูศพอยู่ สะพายบาตรแบกกลดอยู่ดูเขาเผาศพ เขาไม่สนใจกับเราเลย คนเป็นร้อยๆ เต็มอยู่นั่น เขาไม่สนใจกับเราสักคนเดียวเลย เราก็ไปยืนดูศพของเรา

    พอเสร็จแล้วก็ออกไปทางด้านตะวันออก ศพเรานี่ก็ถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่าน ขนาดนี้แล้วจะหวังเอาอะไรอีก เราไปแล้วไม่ห่วงใยแล้ว แล้วก็ไป พอไปก็ไปถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่ง ศาลานั้นใหญ่มากทีเดียว นี่เป็นเณรนี้เล่าให้ฟังนะ

    เหตุที่จะได้ซักถามเณรนี้เพราะมีพระมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเณรนี้ระลึกชาติได้ แล้วพอดีมางานศพหลวงปู่มั่นเรานี่ เณรนี้ก็จะมา เราก็นัดกับพระไว้ว่าถ้าเณรนั้นมา ให้มาหาเรา พอดีเณรนั้นมาก็ให้มาหาจริงๆ แต่ส่วนมากแกไม่ยอมเล่าเรื่องระลึกชาติได้

    "เล่าทีไรเป็นไข้ทุกที" ว่าอย่างนั้น

    "เข็ด พอเล่าเรื่องชาติหลังย้อนหลังแล้วไข้ทุกทีไม่เคยพลาด"

    "เอ้า คราวนี้ไม่ให้ใช้" เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ

    "เอ้า เล่ามาให้หมดนะ คราวนี้ไม่ให้ไข้ มาเล่ากับเรานี่ไม่ให้ไข้" ก็ไม่ไข้จริงๆ นะ แปลกอยู่นะ มีหนเดียวรายเดียวนี่ไม่ไข้ พอมาก็ซักถามกันถึงเรื่องตายแล้วไปที่ว่านี่ ไปศาลาใหญ่หลังหนึ่ง

    ศาลาหลังนั้นเจ้าหน้าที่พวกยมบาลอะไรเหล่านี้เต็มอยู่นั่น สมุดบัญชีมีเป็น 2 กอง กองใหญ่เบ้อเริ่มเทียว กองหนึ่งเล็กแล้วกองใหญ่นั้นสำหรับบัญชีคนทำชั่ว กองเล็กนี้สำหรับบัญชีคนทำดี พระองค์นั้นก็สะพายบาตรแล้วไปยืน แล้วพวกนักโทษพูดง่ายๆ นักโทษทำกรรมหนักทำกรรมเบา กรรมอะไรก็ตาม เขาแยกไว้เป็นประเภทๆ เต็มศาลา

    ทีนี้เขาเรียกชื่อ พอเรียกชื่อนายนั้นๆ พอเรียกชื่อปั๊บต้องมาถึงปุ๊บเลย อำนาจแห่งกรรมมันบีบบังคับขนาดนั้น จะอืดอาดไม่ได้ พอเรียกชื่อปั๊บจะมาปุ๊บๆ เลย มีกี่คนโทษประเภทนี้ มีหัวหน้า 2 คนเท่านั้นแหละหัวหน้าน่ากลัวมาก คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง พอเรียกชื่อเสร็จแล้วไล่ลง พวกนี้ไปแล้วเรียกพวกนั้นมาอีกเป็นคณะๆ จนกระทั่งหมด นี่พูดสรุปเอาให้พอดีกับเวลา

    พอหมดแล้วก็ยังเหลือแต่ยายคนหนึ่งนั่งอยู่นั่น ยายคนนั้นเป็นคนเหมือนคน วัดเรานี่แหละ เหมือนคนแต่งตัวไปวัดเรานี่ ไปถือศีลถือธรรม มีผ้าเฉวียงบ่านุ่งผ้าซิ่นเรา ธรรมดาไปวัดนี่ แกนั่งอยู่ทางโน่น เขาเรียกคุณแม่นะ สำหรับยายคนนี้เขาเรียกคุณแม่ นอกนั้นเขาเรียกนายนั้นนายนี้ๆ ลงเลยๆ นี่เขาเรียกคุณแม่

    พอพวกสัตว์นรกไปหมดแล้ว เขาเรียนเชิญคุณแม่มาที่นี่ ถ้าคุณแม่อยากไปสวรรค์ให้ลงที่นี่เลย คุณแม่จะไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปได้ให้ลงไปนี้ แล้วรถเขาจะมา รถทิพย์จะมา ลงไปสระน้ำนี้แล้วก็ไปเปลื้องผ้านี้ออก ลงจากสระนี้แล้วก็เดินบุกน้ำไป

    รถจะมาทางฟากสระทางนั้น แล้วก็ขึ้นรถ ประดับตกแต่งใหม่หมด เครื่องประดับประดาตกแต่งเขาจัดเอามาพร้อมรถเลย พอไปแล้วลงน้ำนี่ปั๊บก็ขึ้น เขาก็เชิญเลย จูงขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เหาะบึ่งขึ้น เหมือนสำลี...รถทิพย์ รถทิพย์พูดอะไรพูดไม่ได้ แต่มันประจักษ์กับตาอยู่ว่างั้น

    เป็นสีงามอร่ามตาอะไรนี้เราพูดไม่ถูก...รถทิพย์ แต่ก็ไม่ได้ถามว่ารถทิพย์นี้มาจากชั้นไหนจะไปชั้นไหน เป็นแต่เพียงว่า ผู้หญิงคนนี้จะไปสวรรค์ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยังเหลือแต่พระองค์เดียวยืนอยู่นั่น คือพระบัวที่ตายไปนั่นแล

    เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเขาก็ไม่ได้มาสนใจกับเราแหละ พอเขาส่งยายคนนั้นเสร็จแล้ว เขาก็ทำงานของเขาอยู่บนโต๊ะ

    "แล้วอาตมาเล่าจะให้ไปไหน ? ไม่เห็นเเรียกอาตมา"

    "โห ท่านน่ะถ้าตั้งใจจะไปเกิดเมืองมนุษย์ก็ให้กลับหลัง ย้อนหลังนี้ไป ถ้าจะไปสวรรค์ก็ให้ลงไปนี้ ท่านไปได้ทั้งไปสวรรค์ทั้งไปเมืองมนุษย์ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ก็ให้ลงนี้เหมือนกับยายคนนั้น ลงแล้วรถทิพย์จะมาเอง"

    "อาตมาไม่ไปแหละอาตมาหิวน้ำ จะไปหาฉันน้ำก่อน"

    ลงจากนั้นก็ลงไปๆ จนถึงบ้านน้ำก่ำนี่แหละ บ้านเขาอยู่ริมทุ่งนา เขามาตักน้ำก็ไปขอบิณฑบาตฉันน้ำกับเขา เขาบอกว่าให้ไปบ้านหลังนี้นะ เขาจะตักน้ำแล้วให้ไปที่นั่น ไปรออยู่บ้านหลังนั้น เขาชี้บอกเห็นบ้านชัดๆ อยู่บ้านหลังนั้น บ้านหลังจะเกิดเข้าใจหรือเปล่า พอไปที่นั่นรู้สึกเคลิ้มๆ จะหลับเหนื่อยเพลียมาก เคลิ้มๆ แล้วหลับไปเลย เลยยังไม่ทันได้ฉันน้ำ

    พอตื่นขึ้นมาที่ไหนได้เกิดแล้ว นั่นละที่นี่แกระลึกชาติของแกได้ตลอดนะ ระลึกชาติย้อนหลังๆ ได้ตลอดเลย นี่เวลาเราซักถาม ทีนี้พอดีอาจารย์ทองของเธอมา เราก็กราบเรียนถามเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว โห่ ท่านตกตะลึกนะ ท่านตกใจ

    "ใช่แล้ว นี่พระบัว"

    ท่านก็อธิบายให้ฟังตลอดหมดเลยไปสามผง ไปตายด้วยกัน 3 องค์ อะไรๆ พระองค์นี้ชื่อบัง ไล่ผีเก่งนะพระองค์นี้ แต่ไม่เห็นไล่ผีเจ้าของได้ ท่านพูดเราก็ยังไม่ลืม นี่พูดถึงเรื่องระลึกชาติได้

    คำว่าระลึกชาติได้นี้กับพระพุทธเจ้า ระลึกชาติได้มันต่างกันนะ พวกนี้สลบไสล พวกนี้ตาย การระลึกนั้นระลึกนี้รู้นั้นรู้นี้มันอาจเคลื่อนคลาดเพราะคนกระเสือกระสนกระวนกระวาย ไม่ได้เหมือนพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าที่ระลึกชาติย้อนหลังเช่น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้

    เฉพาะชาติของพระองค์นี้มีกี่ภพกี่ชาติทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ตลอดถึงภพชาติของสัตว์ทั้งหลายรู้ได้หมดด้วยพระญาณหยั่งทราบ ไม่ได้ด้วยการสลบไสลเหมือนอย่างโลกทั้งหลายเขาเป็นกัน คนนั้นตายฟื้นกลับคืนมาแล้วระลึกชาติได้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมาฮือกันเป็นบ้าไป

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระญาณหยั่งทราบ ประกาศธรรมสอนโลกมานี้กี่ปีแล้วไม่เห็นตื่นกันบ้าง มันเป็นบ้าหรือยังไงมนุษย์เรานี่มันอยากว่าอย่างงั้นนะ เราไปตื่นกับเรื่องแบบบ้าอย่างงั้น พวกคนสลบไสลตายฟื้นกลับคืนมาแล้วมาระลึกชาติได้ แล้วตื่นกันฮือฮาๆ

    พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นคนสลบไสลตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ประกาศธรรมสอนไว้ ทำไมถึงไม่ตื่นก็บ้าง ให้ตื่นนะ ไม่ตื่นไม่ได้นะ จมจริงๆ นะ ฟังซิว่านรกเดือดพล่านๆ ไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนมีอย่างนั้นตลอดเวลา พวกสัตว์นรกนี้ก็แน่นอัดๆ เพราะสัตว์ทั้งหลายทำแต่กรรมชั่วนั่นซฺ ทางสวรรค์นี้เบาบาง ทางนรกนี้แน่นหนามั่นคงมากทีเดียวตั้งแต่เรื่องกรรมของสัตว์ๆ นี่ละ ให้จำให้ดีให้สดๆ ร้อนๆ...

    เทวดาคุ้มครอง

    "...เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟังพระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ ไม่เหมือนฆราวาส ไม่เหมือนคนทั้งหลาย พระท่านรู้ก็เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊าธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูดๆ เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า

    พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิน กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่นท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกันเดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยา แสดงอะไรเห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัดๆ ในเวลาเงียบๆ นั้น

    ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็นอยู่ หลับตาก็เห็นลืมตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัดๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า

    "โอ๊ย อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ" เทวดาว่า

    "โจมตียังไง"

    "ก็มองเห็นกันอยู่นี้ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้ยังไง เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่มิใช่เหรอ"

    "โอ๊ย ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น"

    เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พูดกันด้วยภาษาใจ ไม่ได้พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า

    "กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา"

    บางทีก็นำอาหารทิพย์มาหากลางคืน นี่เวลานี้กลางคืนไม่กินก็อ้างไปเสีย แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหารก็พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบากกลัวเป็นกลัวตาย

    "ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์แหละมาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป"

    "ไม่เอา ถ้ากลัวตายไม่ต้องอด" พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น

    กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูงๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้ำเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้างว่าเสือว่าอะไรเทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์ พวกเปรต พวกผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มีฟังเอา แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ...เบา เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินแบบธรรมดา เรานี้ก็ได้ทุกแบบ แบบสำลีมาก็มี แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้ยังไงๆ อิริยาบถใด ควรจะใช้ยังไงใช้ได้ทั้งนั้น

    ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกลๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมา ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่

    "โห แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว"

    ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาให้เขาในหมู่บ้านนู่น

    "เอาอีกแล้วคนตายแล้ว" ตายในบ้านโน้น ท่านรู้แล้วทางนี้

    "คนตายในบ้านอีกแล้ว" บางทีก็รู้ขึ้นภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า

    "คนตายแล้วนะ" อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี บอกอะไรก็จริงทั้งนั้น พอประมาณสัก 10 โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา

    "มาแล้ว"

    "มาอะไรล่ะ ?" คอยฟังคำตอบ

    "มานิมนต์ไปโปรดสัตว์"

    แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาแล้ววันนี้ พอ 9 โมงเช้าหรือ 10 โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว

    "อะไรล่ะโยม ?"

    "โอ๊ย นิมนต์ไปโปรดสัตว์"

    พวกเรามันพวกตาบอดไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดาเหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมดผิดที่ตรงไหน นี่ละเครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกนขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรต พวกผีพวกอะไรๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา...

    ช้างประสานเสียงพระ

    มีเรื่องขบขันเรื่องหนึ่งที่ท่านมักจะได้เล่าอยู่เสมอ แม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายปีแล้วเกี่ยวกับพวกช้างภายในบริเวณวัดป่าดานศรีสำราญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่คำตันท่านพักอยู่ ดังนี้

    "...ขบขันที่ว่าในบริเวณนั้นเป็นหินดาน แล้วก็พวกช้างพากันมาเล่นน้ำอยู่บริเวณหินดานที่มีน้ำเต็มอยู่แถวนั้น ตั้งแต่สมัยคนยังมีน้อยๆ โน้น คนมีอยู่ไม่มากนะ พระท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่น พวกหมู่เพื่อนเดียวกันเล่าให้ฟัง เราเองก็เคยเล่าให้ญาติโยมฟังขบขันจะตายแหละ

    พระธุดงคกรรมฐานท่านไปปักกลดอยู่บริเวณนั้น แถวๆ บริเวณหินดานซึ่งมีน้ำมากก รอบๆ บริเวณหินดานที่พระท่านไปพักนั้น โขลงช้างก็มาเล่นน้ำที่นั่นละซิ เล่นน้ำทีมากันเป็นโขลงๆ เล่นจนกระทั่งคนรำคาญเสียงมันอึกทึก บางคืนจวนสว่างจึงพากันหนีไป ไม่ทราบว่าเขากินอะไรกัน เพราะเล่นน้ำอยู่นั่นเกือบตลอดคืนแต่ละครั้งๆ

    วันหลังมา พระท่านก็นัดแนะกัน ติดต่อชาวบ้านให้เขาเอาปี๊บแตกมาสำหรับเคาะไล่ช้าง และชาวบ้านก็นำปี๊บแตกมาให้จริงๆ ตั้งหลายลูก พอถึงเวลากลางคืนช้างก็พากันมาเล่นน้ำที่บริเวณหินดานนั้น พระพักอยู่ตรงไหนๆ ก็เอาปี๊บแตกๆ ไปไว้ที่ตรงนั้น เวลาโขลงช้างมาเล่นน้ำที่นั่นก็เคาะขึ้นพร้อมกัน เสียงเคาะปี๊บแต่ละองค์ดังเป๊กๆ ขึ้นทุกทิศทุกทางรอบบริเวณนั้น

    โขลงช้างก็ตื่น...วิ่ง ผู้เคาะปี๊บก็มี แต่เคาะท่าเดียว ไม่คิดหน้าอ่านหลังเคาะเป๊กๆ ช้างต่างตัวก็ต่างกลัวและต่างตัวต่างวิ่งหนี ไปทางโน้นก็เป๊กๆ ไปทางนั้นก็เป๊กๆ วิ่งมทางนี้ก็เป๊กๆ ช้างก็ต่างตัวต่างวิ่งไปมา และวิ่งไปชนเอากุฏิพระที่อยู่บนหินดานใส่เข้าเปรี้ยง กุฏิพระที่ตั้งอยู่บนหินดานก็ล้มครืนลง

    พระที่นั่งอยู่ในกุฏินั้นก็ร้องลั่นขึ้นที่นั้น ช้างก็วิ่งไปใหญ่ เอาตัวรอดเพราะมันวิ่งหนีตายนี่ กุฏิก็ไม่ใช่กุฏิฝังดิน เป็นกุฏิตั้งอยู่บนหินดาน ชนปั๊งเข้า กุฏิก็หงายล้มลงไป พระก็ร้อง ช้างก็ร้อง

    ส่วนช้างทั้งร้องทั้งเผ่นหนี แต่พระนั่นร้องอยู่ในกุฏิที่ถูกช้างล้มลงไป ตื่นเช้ามาหัวเราะกันลั่นเลย แถวนี้แที่หลวงพ่อตันอยู่...

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8856
     
  4. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...