หนังสือมุนีนาถทีปนี7 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    พุทธอุบัติ


    เมื่อสมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนถ้วนสมบูรณ์ ครบกำหนดกาลเวลาตามประเภทแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภทแล้ว บัดนี้ก็ถึงกาลสำคัญที่สุด คือ ถึงวาระที่จะเสด็จมาอุบัติตรัสแก่ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ และจักได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งมาดปรารถนามานานนักหนาเสียที และเมื่อพระบรมโพธิสัตว์ผู้มีวาสนาบารมีแก่สุกรอบแล้ว จักได้มีโอกาสตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านย่อมจุติลงมาอุบัติตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าในมนุษย์โลกเรานี้เท่านั้น

    ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า เพราะเหตุดังฤา พระนิยตโพธิสัตว์เจ้าจึงจำเพาะเจาะจงเสด็จลงอุบัติเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่เฉพาะในมนุษยโลกเรานี้เท่านั้น จะไปอุบัติบังเกิดในโลกดีอื่นๆ เช่น บนสรวงสวรรค์เทวโลกมิได้หรือประการใด?

    คำวิสัชชนาก็จะพึงมีว่า การที่สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์มิได้อุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกนั้น ก็เพราะเหตุว่า เทวโลกมิได้เป็นที่ตั้งแห่งศาสนพรหมจรรย์อันการที่จะบำเพ็ญศาสนพรหมจรรย์ และการบรรพชาอุปสมบทนี้ ย่อมเหมาะสมที่จะมีอยู่แต่ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น จะได้มีในสวรรค์เทวโลกก็หามิได้

    อีกประการหนึ่งนั้น ครั้นว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดเป็นเทวดาแล้ว ถ้าพระองค์จะแสดงพระพุทธนุภาพอันประกอบไปด้วยพระอริยฤทธิ์มีประการต่างๆ มนุษย์ทั้งหลายผู้มักเป็นคนช่างความคิด ก็จะไม่เชื่อฤทธิ์พระพุทธานุภาพ มักให้มีความคิดเห็นไปตามประสาโง่แห่งตนว่า การที่พระองค์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้นั้น ก็เพราะพระพุทธองค์ท่านทรงเป็นเทวดา ซึ่งประกอบไปเทวานุภาพเป็นอันมาก หากจะทรงอ้างว่าเป็นพระพุทธานุภาพ ก็มีเทวานุภาพเจือปนอยู่ นี่หากพระองค์เป็นมนุษย์แล้ว ไหนเลยจะทรงแสดงพระพุทธานุภาพอันเชี่ยวชาญให้สำเร็จกิจอิทธิปาฏิหารย์ดังที่เห็นได้ เมื่อคิดไขว้เขวไปเสียเช่นนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ลดหย่อนความเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพ ตลอดจนไม่สนใจในศาสนธรรมคำสอนอันทรงไว้ซึ่ี่งคุณค่าสูงสุด อนึ่ง หากสมเด็จพระพุทธองค์ทรงเป็นเทวดาแล้วไซร้ ถ้าจะใช้ความเป็นเทวดาสำแดงเทวานุภาพให้ปรากฎ มนุษย์ทั้งหลายก็จักเข้าใจผิดได้อีกเช่นเดียวกัน คือเขาเหล่านั้นจะพากันคิดว่า เทวานุภาพนั้นเจือปนไปด้วยพระพุทธานุภาพ ได้พระพุทธานุภาพอุดหนุนเป็นกำลัง เทวานุภาพจึงเชี่ยวชาญให้สำเร็จอิทธิปาฏิหารย์ทั้งปวงได้ แต่เทวานุภาพสิ่งเดียว ไหนเลยจะได้สำเร็จอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างนี้ได้ เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเข้าใจไขว้เขวไปอย่างนี้แล้ว อารมณ์แห่งมนุษย์นั้นก็จะเป็นสอง จะมิได้เชื่อถือในพระพุทธานุภาพและเทวานุภาพ ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าและไม่ปฏิบัติตาม เมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้ว ปฏิเวธความได้บรรลุธรรมวิเศษ คือมรรคผลนิพพานอันเป็นจุดมุ่งหมายที่พระองค์ทรงตั้งไว้นานนักหนาจักสำเร็จลงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพุทธบารมี จึงไม่เสด็จอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าที่โลกอื่น เช่น พรหมโลกและเทวโลกเป็นต้น อันเป็นโลกคับแคบไม่ควรแก่การที่จะแสดงซึ่งพระพุทธานุภาพ แต่จำเพาะเจาะจงเสด็จลงมาอุบัติตรัสในมนุษยโลก อันเหมาะสมแก่การแสดงพระพุทธานุภาพ ให้ปรากฎได้เต็มที่ เช่นนี้เป็นธรรมประเพณีของพระนิตยโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์สืบมาแต่ปางบรรพ์


    อสุญกัป


    ครั้นเมื่อมนุษยโลกเรานี้ ได้มีโอกาสต้อนรับการเสด็จมาอุบัติขึ้นแห่งองค์สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์ผู้ตรัสเป็นพระเอกองค์พระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าคราวใด คราวนั้นกาลเวลาย่อมถูกเรียกว่า อสุญกัป = กัป์ที่ไม่สูญเปล่า

    กล่าวถึงตอนนี้ บางทีอาจจะมีบางท่านเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจบ้างก็ได้ว่า เรื่องกัปนี้ ก็ว่ามาแล้วนี้ ยังไม่หมดอีกหรือ ยังจะมีอสุญกัปอะไรอีกเล่า? เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงตั้งใจศึกษาอรรถวรรณนา ดังต่อไปนี้

    กาลเวลาที่นับเป็นมหากัปและเป็นอสงไขย ที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นโน้นนะ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมจำได้เป็นอย่างดีแล้วมิใช่หรือว่า เป็นระยะยาวนานเพียงใด ทีนี้ แต่ละมหากัปซึ่งกินเวลายาวนานเหล่านั้น ใช่ว่าจะมีสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ทุกๆ มหากัปไปก็หาไม่ โดยที่แท้บางมหากัปก็มีสมเด็จพระพุทธเจ้ามาตรัส แต่บางมหากัปก็ไม่มีเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่า การที่จะหาวิสิฏฐิบุคคล กล่าวคือบุคคลที่ทรงคุณพิเศษ เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้มีพระกฤษฎาภินิหารอันสำเร็จแล้ว มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้นเป็นไปได้ยากยิ่งนักหนา กล่าวอีกทีก็ว่า ไม่ค่อยจะมีพระนิยตโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อมีสมเด็จพระนิยตโพธิสัตว์เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่สูญจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่คือมรรคผลนิพพาน เพราะว่ามีสมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์มาทรงชี้แจงแสดงออก และมหากัปนั้นก็เลยถูกเรียกว่าอสุญกัปไป เมื่อว่าโดยนัยนี้ จึงอาจจะแบ่งมหากัปเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเป็น ๒ ประเภท คือ
    ก. มหากัปใด ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลกนี้เลยแม้แต่สักพระองค์เดียว มหากัปนั้นมีชื่อเรียกว่า สุญกัป คือเป็นกัปที่สูญจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้น ในกาลที่เป็นสุญกัปนี้ ยังสูญจากวิสิฏฐิบุคคลอื่นๆ อีกด้วย คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี ย่อมไม่ปรากฎมีในสุญกัปนี้เลย นับว่าเป็นกัปที่สูญจากวิสิฏฐิบุคคลจริงๆ
    ข. มหากัปใด มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก มหากัปนั้น มีชื่อเรียกว่า อสุญกัป คือเป็นกัปที่ไม่สูญจากองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ไม่สูญเปล่าจากมรรคผลนิพพาน มิใช่แต่เท่านั้นดัวยว่า ในกาลที่เป็นอสุญกัปนี้ยังมีวิสิฏฐิบุคคลทั้งหลายอื่นปรากฏในโลกอีกด้วย คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดีย่อมปรากฎมีเฉพาะในกาลที่เป็นสุญกัปนี้เท่านั้น
    บรรดาอสุญกัป คือกัปที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัตินี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนสมเด็จพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาตรัสอีก ดังต่อไปนี้
    ๑. สารกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แต่เพียง ๑ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชืื่อว่า สารกัป

    ๒. มัณฑกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๒ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า มัณฑกัป

    ๓. วรกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๓ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า วรกัป

    ๔. สารมัณฑกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๔ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า สารมัณฑกัป

    ๕. ภัทรกัป... อสุญกัปใด มีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้ ๕ พระองค์ อสุญกัปนั้นเรียกชื่อว่า ภัทรกัป

    ตามที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่าอสุญกัปสุดท้าย คือภัทรกัป นี้เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เพราะมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเราถึง ๕ พระองค์ นับเป็นจำนวนมากที่สุด ไม่มีกัปใดที่จักมีองค์พระจอมมุณีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว และบรรดาประชาสัตว์ทั้งหลายซึ่งได้อุบัติเป็นมนุษย์หรือเทวดาในกัปนี้ ย่อมมีโอกาสที่จักได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมิฉะนัน ก็ได้พบศาสนธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นระยะติดต่อกันไปมากมายถึง ๕ พระองค์ ด้วยเหตุนี้ เหล่าสัตว์โลก คือมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหม ผู้มีจิตเป็นกุศลโสภณ ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ ประกอบไปด้วยบุญวาสนาบารมี ย่อมสามารถที่จะกระทำอาสวะกิเลสให้สูญสิ้นไปจากขันธสันดานแห่งตนโดยชุกชุม ในภัทรกัปนี้มากกว่ากัปอื่น เพราะค่าที่เป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เป็นกัปที่หาได้โดยยากยิ่ง นานแสนนานจึงจักปรากฎมีในโลกเรานี้สักครั้งหนึ่ง ท่านจึงขนานนามอสุญกัปสุดท้ายนี้ว่า ภัทรกัป=กัปที่เจริญที่สุด


    พระเจ้า ๕ พระองค์


    บัดนี้ มีความยินดีเป็นยิ่งนัก ที่จักขอแจ้งให้พวกเราชาวพุทธบริษัทจงทราบทั่วกันว่า อสุญกัปที่พวกเราโผล่ขึ้นมาเกิดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลยเวลานี้นั้น มีชื่อเรียกว่า ภัทรกัป ซึี่งเป็นกัปที่เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด และหาได้ยากในโลกเป็นที่สุดดังกล่าวมาแล้ว ไม่มีอสุญกัปใดที่ประเสริฐเลิศล้ำ ยิ่งกว่าอสุญกัปที่เราท่านทั้งหลายกำลังเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์อย่างเวลานี้อีกแล้ว เพราะว่าสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกเรานี้ถึง ๕ พระองค์ คือ
    ๑. สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า

    ๒. สมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า

    ๓. สมเด็จพระกัสสโปพุทธเจ้า

    ๔. สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคตโมพุทธเจ้า คือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์แห่งเราท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนในขณะนี้ นั่นเอง และต่อจากนี้ไป เมื่อศาสนาของพระพุทธองค์ท่าน ที่พวกเราชาวพุทธศาสนิกบริษัทกำลังประพฤติปฏิบัติด้วยศรัทธาเคารพเลื่อมใสกันอยู่ทุกวันนี้ เสื่อมสูญอันตรธานให้หมดสิ้นแล้ว โลกเรานี้ ก็จักว่างจากพระบวรพุทธศาสนาเป็นโลกมืดบอดจากมรรคผลนิพพานไปอีกนานนักหนา แล้ววาระหนึ่ง จึงจักถึงกาลอันตรกัปที่ ๑๓ (ในปัจจุบันทุกวันนี้กำลังอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒) ก็ในอันตรกัปที่ ๑๓ นั้น สมเด็จพระนิยตบรมโพธิสัตว์เจ้าซึี่งมีพระนามว่า สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเทวบุตรโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ ณ เบื้องสวรรค์เทวโลกชั้นดุสิตภูมิ จักเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ ทรงพระนามว่า
    ๕. สมเด็จพระศรีอริเมตไตรยพุทธเจ้า
    สิริรวมเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ที่เสด็จมาอุบัติตรัสในภัทรกัปนี้ ถึ ๕ พระองค์ ด้วยประการฉะนี้

    ทีนี้ หันมาพิจารณาถึงตัวเราท่านนี้บ้าง บรรดาเราท่านทุกผู้ทุกคนผู้กำลังโชคดี เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ในขณะที่เป็นภัทรกัปซึ่งเป็นกัปที่ประเสริฐสุด มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยชุกชุมมากมายในกัปนี้แล้ว ก็จงอย่าได้มีความประมาท จงอย่าทำตนให้แคล้วคลาดจากอมตสมบัติคือมรรคผลนิพพานเสียเลย จงพยายามแสวงหาประโยชน์จากความมีโชคดีในครั้นนี้ให้จงได้ ด้วยการรีบปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เจ้า เพื่อเอามรรคผลนิพพานมาเป็นสมบัติของตนให้จงได้ ถ้าจะถามต่อไปว่าจะปฏิบัติอย่างไรกันเล่า จึงจักเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานอันเป็นการดำิเนินตามรอยบาทพระอริยเจ้าทั้งหลาย?

    เมื่อจะวิสัชชนากันไปอย่างตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมพูดมากให้เสียเวลา ก็ต้องตอบดังนี้ว่า การที่จะนำตนให้ได้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานอันประเสริฐสุดนั้น ต้องกระทำกุศลกรรมขั้นอุกฤษฐ์ คือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งพระอริยมรรค พระอริยผล บังเกิดขึ้นในสันดานแห่งตนนั่นแหละ จึงจะรู้จักมรรคผลนิพพานและได้ลิ้มรสอมตธรรม เมื่อทำได้เช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ที่กล่าวมานี้ ต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่าจุดประเสริฐสุดแห่งการได้พบพระพุทธศาสนาในภัทรกัปนี้ อยู่ตรงนี้ คือตรงที่ได้ลิ้มรสอมตธรรมนี่เอง ทีนี้ ถ้าหากผู้ใดไม่ต้องการอมตะธรรมแล้ว ต่อให้มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดตรงหน้าเขาสักหมื่นแสนพระองค์ก็ดี ก็ไม่มีความหมาย คือไม่มีประโยชน์อะไรเลย


    ทรงเป็นเอก


    ได้พรรณนาไว้แล้วว่า เมื่อถึงโอกาสอันสมควร เพราะวาสนาบารมีครบควรแก่การที่จะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์เจ้า ย่อมเสด็จมาอุบัติตรัสเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศสัจธรรมนำสัตว์ผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ทรงเป็นเอกอัครบรมศาสดาจารย์ผู้ยอดเยี่ยม ไม่มีใครเทียมเสมอสองทรงเป็นเอกในโลกจริงๆ แม้แต่เวลาที่ทรงอุบัติ ก็ทรงอุบัติได้คราวละพระองค์เดียว โดยมีกฎธรรมดาอยู่ว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นนั้น ไม่ว่ากาลไหนๆ ย่อมมาตรัสได้ในโลกเรานี้ คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เสด็จอุบัติพร้อมกันคราวละ ๒-๓ พระองค์เลยเป็นอันขาด ถึงแม้จะมาตรัสในกัปเดิมหลายพระองค์ก็ตาม ถึงกระนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หลัง ต้องทรงรอให้ศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์เก่า หมดสิ้นเสื่อมสูญอันตรธานไปเสียก่อน แล้วจึงจักเสด็จมาตรัสต่อไป

    ในกรณีนี้ หากจะปัญหาว่า เหตุไฉน สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ตรัสในโลกเรานี้พร้อมกันเล่า? เพราะว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น จะตรัสพระสัทธรรมเทศนาใดก็ดี หรือจะทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทใดก็ดี ย่อมเป็นเหมือนๆ กันหมด จะได้ผิดแผกแยกให้ต่างกัน แม้แต่บทเดียวก็หามิได้ ถ้าแม้สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าผู้ทรงคุณใหญ่ จะได้ตรัสขึ้นในโลกพร้อมกันแม้ไม่มากแต่เพียง ๒ พระองค์แล้ว โลกเรานี้ก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปนักหนา ด้วยมีสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ถึง ๒ พระองค์ จะได้ช่วยกันทรงเทศนา โปรดฝูงมนุษย์เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เป็นอันมาก พระพุทธศาสนาก็จักแพร่ไพศาลถึงความรุ่งเรืองภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไปมิใช่เหรือ?

    หากจักสงสัยเช่นนี้ คำวิสัชชนาก็จะมีว่า อันว่าโลกธาตุเรานี้มีปกติจำเพาะจะทรงไว้ ซี่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าว่าสมเด็จพระสัพพัญูเจ้า จักมาตรัสพร้อมกันถึง ๒ พระองค์แล้ว โลกธาตุนี้ก็มิอาจจะทรงไว้ซึ่งพระพุทธคุณอันมากมายก่ายกองไว้ได้ ก็จะถึงความหวั่นไหวสะท้านสะเทือนและถึงความฉิบหายไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ถ้าจักให้กล่าวเป็นอุปมาโวหารก็มีคำที่ท่านพรรณนาไว้ ดังต่อไปนี้

    นาวาเล็กลำเดียว มีปกติจุแต่บุรุษเดียวเท่านั้น จึงจะข้ามแม่น้ำ้แล่นไปได้ ทีนี้ ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึี่งมีรูปร่างกำยำส่ำสันใหญ่โตพอๆ กันกับบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนั้นมาขอโดยสารข้ามฟาก จะขอนั่งลงในนาวานั้นเป็น ๒ คนด้วยกัน อย่างนี้นาวาน้อยลำนนั้นจะบรรทุกคนทั้งสองให้ข้ามไปถึงฝั่งได้อย่างไรกัน เพราะเหตุว่าแต่เพียงบุรุษเจ้าของเรือคนเดียวนั่งลงก็เพียบเต็มที่อยู่แล้ว หากยังมีบุรุษลำ่สันเท่ากันมาโดยสารอีกเล่า แต่พอนั่งลง นาวานั้นย่อมมิอาจจะทรงตัวไว้ได้ ก็จะล่มลงเป็นมั่นคงเที่ยงแท้ในกระแสคงคา อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุนี้ก็เป็นเช่นนั้นคือ มีปกติทรงไว้ได้ซึ่งพระคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ครั้นจะมีสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์หนึ่งเล่า ก็เข้าภึงภาวะที่ไร้ประโยชน์และกลับจะเป็นโทษ ตามอุปมาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนนั้น

    อีกประการหนึี่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้ซึ่งบริโภคอาหารอิ่มท้องเต็มแปร้ตลอดคอหอยสุดที่จักรับประทานได้แล้ว ยังจะขืนให้บริโภคอาหารเข้าไปใหม่ ให้มีปริมาณเท่ากับที่บริโภคเข้าไปแล้วนั้นอีกเล่า อย่างนี้ก็น่าที่บุรุษนั้นจักต้องได้รับทุกขเวทนาให้มีอันเป็นจุกรากอาเจียรต่างๆ ไม่มีความสุขสบายเป็นแน่แท้อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุนี้ทรงไว้ซึี่งพระคุณแห่งสมเด็จพระสรรเพชญบรมโลกนาถแต่เพียงพระองค์เดียวก็เต็มหนักอยู่แล้ว หากจะมีสมเด็จพระจอมมุนีศาสดาจารย์มาตรัสขึ้นพร้อมกันอีกพระองค์หนึี่งเล่า ก็จะปั่นป่วนหวั่นไหวทรุดเซไป มิอาจจะต้านทานพระคุณไว้ได้ เข้าถึงภาวะที่เปล่าประโยชน์และกลับจะเป็นโทษไปเสียด้วยซ้ำ

    อีกประการหนึี่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึี่ง ซึี่งเอาสัมภาระสิ่งของบรรทุกลงในเกวียน ๒ เล่มให้เต็มเสมอเรือนเกวียนแล้ว กลับจะขนสัมภาระอันหนักลงจากเกวียนเล่มหนึี่ง เอาไปบรรทุกลงในเกวียนเล่มเดียวกัน อย่างนี้ เกวียนเล่มนั้นจะทนทานได้อย่างไรกันเล่า เพราะตามปกติก็บรรทุกไว้จนเต็มที่อยู่แล้ว ยังจะเอามาบรรทุกซ้ำเข้าอีกเท่าหนึี่งเล่า เช่นนี้ก็น่าที่จะเกิดเหตุเป็นแม่นมั่น คือว่ากงกำเกวียนนั้นก็จะต้องทำลายฉิบหายลง มิฉะนั้น เพลาเกวียนก็จะหักสะบั้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย อุปมาข้อนี้ฉันใด โลกธาตุแผ่นพสุธาอันกว้่้างใหญ่นี้ก็เป็นเช่นกัน จำเพาะจะทรงไว้ได้ซึี่งพระคุณแห่งสมเด็จพระโลกเชษฐ์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หากมีสมเด็จภควันต์เสด็จมาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองค์แล้วไซร้ ก้มิอาจจะทนทานได้ น่าที่จะวิการไปเป็นเหมือนเกวียนบรรทุกสิ่งของเกินอัตราเป็นแม่นมั่น

    อนึี่ง ที่นับว่าสำคัญในกรณีนี้ ก็คือว่า หากสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า จักเสด็จมาตรัสในโลกนี้พร้อมกันเป็น ๒ พระองค์ แล้วทรงช่วยกันประกาศพระบวรพุทธศาสนา ทรงช่วยกันแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์โลกทั้งหลาย มนุษย์หญิงชายทั้งปวงก็จะแตกต่างออกเป็น ๒ ฝ่าย แล้วต่างก็จะถือเอาแต่วิวาททุ่มเถียงซึ่งกันแลกันไปตามประสาทิฐิแ่ห่งมนุษย์ว่า


    "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา"
    และว่า
    "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกท่าน"​


    เมื่อพุทธบริษัทต่างพากันถือเอาด้วยทิฐิเป็นสองฝ่ายสองพวกไปเสียเช่นนี้ พระโอวาทานุสาสนีอันล้ำค่าก็น่าที่จะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นแม่นมั่น การณ์ดีก็จะมีน้อยกว่าการณ์เสีย เปรียบดุจเสนาบดีใหญ่ยิ่ง ๒ คน ซึ่งเป็นข้าเผ้าสมเด็จพระบรมกษัตริยาธิราชเจ้า ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ต่างพระเนตรพระกรรณให้ปรึกษาราชการ เหล่าบริวารทั้งหลายของเสนาบดีทั้งสองนั้น ย่อมถือกันแบ่งกันเป็น ๒ พวก ด้วยถ้อยคำว่า "เสนาบดีนั้ัน เป็นเจ้านายของพวกท่าน . เสนาบดีนั้นเป็นเจ้านายของพวกเรา" เหล่าบริวารทั้งหลายเกิดมีทิฐิในน้ำใจแบ่งแยกแตกออกเป็น ๒ ฝ่ายไปเสียเช่นนี้ ก็น่าที่จะไม่สามารถยังราชกิจแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สำเร็จลงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อุปมาข้อนี้ฉันใด เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาอุบัติในโลกนี้ทีเดียวพร้อม ๒ พระองค์แล้ว ก็จะเป็นเหตุให้พุทธบริษัทถือทิฐิแบ่งแยกเป็นสองพวกสองเหล่า เช่นอุปมาที่เล่ามานี่ดุจกัน

    อีกประการหนึ่ง ส่ิงที่ว่าใหญ่โตบรรดามีในโลกธาตุนี้ คือ

    มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ย่อมมีเป็นอันเดียว จักได้เป็นสองก็หามิได้

    มหาสมุทรทะเลใหญ่ย่อมมีเป็นอันเดียว จักได้มีเป็นสองก็หามิได้

    สิเนรราชจอมภูผา เป็นพญาแห่งภูเขาทั้งปวง ก็มีแต่หนึี่งซึ่งจะเป็นสองก็หามิได้

    สมเด็จเจ้าผู้เป็นใหญ่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ก็ประเสริฐเป็นหนึ่งอยู่แต่พระองค์เดียว คือ องค์สมเด็จพระอัมรินทราธิราช ซึี่งสถิตเสวยสุขอยู่ในไพชยนต์ปราสาทพิมาน

    พญามาราธิราช ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องสวรรค์ชั้นสูงสุด คือปรนิมิตสวัตตีเทวโลก ก็ประเสริฐเป็นหนึี่งอยู่แต่เพียงพระองค์เดียว จักได้มีผู้ใดเทียมเท่าก็หามิได้
    ท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่วิเศษอยู่ ณ เบื้องพรหมโลกแต่ละภพ ก็มีอำนาจเลิศเป็นใหญ่แต่ลำพังพระองค์เดียว

    เพราะฉะนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐล้ำเลิศในไตรโลก จึงทรงเป็นเอกประเสริฐสุดอยู่แต่เพียงพระองค์เดียว และเมื่อมาตรัสก็ไม่มาตรัสพร้อมกันเป็นสองพระองคืในคราวเดียวกันเลย สภาพการณ์เช่นนี้ เป็นธรรมประเพณีเที่ยงแท้แต่เดิมมา

    พรรณาในพระพุทธาธการ กล่าวเรื่องอันเกียวกับองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว จึงขอยุติลงเพียงแค่นี้ ต่อจากนี้ เพื่อความเข้าใจดี ขอเชิญท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงได้ติดตามประวัติการสร้างพระพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระศรีศากยมุนโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายสืบต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...