หนังสือมุนีนาถทีปนี4 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ธรรมสโมธาน

    นอกจากจะทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเป็นยอดเยี่ยมในการสร้างสมอบรมพระบารมีเป็นเวลานานนักหนา นับเวลาเป็นจำนวนอสงไขย เป็นจำนวนมหากัปดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวงผู้ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นเององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในกาลอนาคตนั้น ย่อมต้องปรารถนาธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง ซึี่งมีชื่อว่า ธรรมสโมธาน เสียก่อน จึงจักได้สำเร็จความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่มีธรรมสโมธานนี้แล้ว ก็ไม่แน่นักว่าจักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า กล่าวอย่างนี้อาจจะทำให้งงงันไปก็ได้ จึงจะขอขยายความต่อไปดังนี้

    ท่านที่จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น เพียงแต่ตั้งใจว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ก็เป็นเวลาหลายอสงไขยแล้วจึงจะมีโอกาสได้ออกโอษฐเปล่งวาจาเป็นคำพูดว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายอสงไขยอีกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวปรารถนามาเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ยังเป็นอนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นักว่าจักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อใด ได้บรรลุถึงโอกาสสำคัญ คือได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึี่งแล้ว มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธองค์เจ้านั่นแหละ จึงจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอนว่า จักได้เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า

    คราวนี้ สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้จะทรงพยากรณ์ใครผู้ใดผู้หนึ่งว่า "จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล" นั่นก่อนที่จะทรงพยากรณ์มิใช่วาจะไม่ทรงเลือกโดยทรงนึกจะพยากรณ์ก็ทรงพยากรณ์ไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่อย่างนั้น โดยที่แท้ พระองค์ผู้ทรงไว้ซึี่งพระสัพพัญญูุตญาณย่อมต้องทรงเลือกดูก่อน ถ้าทรงเห็นว่า ผู้นั้นมีวาสนาบารมีไม่เพียงพอและไม่ประกอบด้วยธรรมสโมธาน พระองค์จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด และผู้นั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นอนิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนอยู่นั่นเอง หากทรงเห็นว่า ผู้นั้นได้สร้างสมบ่มบารมีมาในอดีตชาติ เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณอย่างเพียงพอ และในขณะนั้น ก็เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยธรรมสโมธานแล้ว พระองค์จึงจักทรงพยากรณ์ และเมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า

    เท่าที่กล่าวมานี้ ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นแล้วว่าธรรมสโมธานย่อมเป็นธรรมะสุดสาำคัญ ที่เป็นเหตุให้ได้รับลัทธยาเทศน์คำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า เพื่อให้ได้เป็นนิยตโพธิสัตว์นั่นเอง ฉะนั้น ธรรมสโมธานนี้ จึงเป็นธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายต้องตั้งใจปรารถนาก่อนอะไรอื่นทั้งหมด เมื่อความปรารถนาในธรรมสโมธานนี้สำเร็จแล้ว พระพุทธภูมิ กล่าวคือ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จักสำเร็จได้ในภายหลังอย่างไม่ต้องสงส้ย ก็ธรรมสโมธานนี้ มีอยู่ ๘ ประการ ด้วยกันคือ ๑. มนุสฺสตฺตํ ๒.ลิงฺคสมฺปตฺติ ๓. เหตุ ๔. สตฺถุทสฺสนํ ๕. ปพฺพชฺชา ๖. คุณสมฺปัตฺติ ๗. อธิการโร ๘. ฉนฺทตา ซึี่งมีอรรถาธิบายตามลำดับ ดังต่อไปนี้

    ๑. มนุสฺสตฺตํ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ หวังจักได้สำเร็จเป็นองค์พระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนั้น ในเบื้องต้นจำต้องปรารถนาได้เกิดเป็น มนุษย์เสียก่อน เพราะการที่จะได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้านั้น จะได้ก็แต่เฉพาะในชาติที่เป็นมนุษย์เท่านั้น หากว่าอุบัติเกิดเป็นองค์อินทร์ องค์พรหม หรือเป็นเทพยดา เป็นนาค เป็นครุฑ เป็นอสูร หรือเป็นผู้มีฤทธิ์วิเศษอื่นใด ถึงแม้จะทรงไว้ซึี่งศักดามหานุภาพมากมายสักเพียงใดก็ดี การที่ว่าพระพุทธองค์เจ้าจะทรงพยากรณ์นั้น เป็นอันไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระชินสีห์จะทรงพยากรณ์ก็แต่ท่านที่เป็นมนุษยชาติเท่านั้น นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หนึี่ง

    ๒. ลิงฺคสมฺปตฺติ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้นในขั้นแรกจำต้องปรารถนาความถึงพร้อมด้วยเพศ คือปรารถนาเป็นบุรุษเพศเสียก่อน เพราะการที่จะมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์นั้น จะได้ก็แต่เฉพาะชาติที่เป็นบุรุษเพศเท่านั้น หากว่าเป็นสตรีเพศก็ดี เป็นบัณเฑาะว์ กะเทยก็ดี เป็นอุภโตพยัญชนะก็ดี ผู้ที่มีลิงควิบัติเหล่านี้ การที่ว่าจะได้รับพยากรณ์จากสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าเป็นอันไม่มี เหตุฉะนี้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตมุ่งหมายในพระโพธิญาณ เมื่อบำเพ็ญกุศลมีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ท่านย่อมปรารถนาความเป็นบุรุษก่อนแล้วจึงค่อยปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิต่อภายหลัง นี่เป็นสโมธานประการที่สอง

    ๓. เหตุ... ท่านที่ปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือมีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน หากจะกลับใจไม่ปรารถนาพระสัมโพธิญาณ ต้องการเพียงแค่สาวกโพธิญาณแล้วไซร้ แต่พอตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาที่พระบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงแสดงในขณะนั้นก็จักพลันได้สำเร็จมรรคผลเป็น พระอรหันตสาวก พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ทันที ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นผู้มีเหตุ กล่าวคืออุปนิสัยปัจจัยแห่งอรหันต์แก่กล้ารุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดานแล้ว ต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยเหตุเช่นนี้แล จึงจักได้รับลัทธยาเทศ หากว่าเป็นคนธรรมดาสามัญยังไม่ไพบูลย์ด้วยเหตุกล่าว คือ อรหัตตูปนิสัยนี้่แล้ว สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าท่านก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สาม

    ๔. สตฺถุทสฺสนํ... ท่านที่ปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นมนุษย์ผู้มีโชคดีมหาศาลได้พานพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมีโอกาสได้บำเพ็ญกองการกุศลเป็นต้นว่า ท่านรักษาศีลในสำนักของพระพุทธองค์ท่านแล้ว และได้กระทำปณิธานตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระสรรเพชญสัมพุทธเจ้า จึงจะสำเร็จสมความมุ่งมาดปรารถนา เพราะว่าการได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จักมีขึ้นได้ ก็แต่เฉพาะอาศัยพระพุทธฎีกาที่หลั่งออกมาจากพระโอษฐของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นใดเล่าจักมีปัญญาลึกล้ำให้คำพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้ หากได้พบแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระอรหันตขีณาสพเจ้าก็ดี ได้พบแต่พระมหาเจดีย์สถาน หรือโพธิพฤกษ์อื่นใดก็ดี ถึงแม้จะมีน้ำใจเลื่อมใสประกอบกองการกุศลเป็นหนักหนา แล้วจึงทำความปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ ความปรารถนานั้นจักได้อย่างเที่ยงแท้แน่นอนนั้นยังไม่สำเร็จก่อน เพราะยังไม่ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่สี่

    ๕. ปพฺพชฺชา... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นบรรพชิต คือเป็นนักบวช เป็นสมณะพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา หากว่ามิได้บรรพชิตอุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา ก็ต้องเป็นโยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก ซึ่งเป็นนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา แต่ว่ามีลัทธิเป็นกรรมวาที กิริยาวาที คือถือว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ดำรงเพศเป็นบรรพชิตเช่นนี้แล้ว จึงจะไ้ด้รับลัทธยาเทศจากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าดำรงเพศอยู่ในฆราวาสวิสัย เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็ดี แม้จะมีความปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิ สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธาน ประการที่ห้า

    ๖. คุณสมฺปตฺติ ... ท่านที่ปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิ และจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติวิเศษบริบูรณ์ไปด้วยคุณ คือ อภิญญา และฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญต้องเป็นผู้บรรลุถึงคุณวิเศษเกินคนธรรมดาสามัญอย่างนี้ จึงจักได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้า หากว่าไม่มีคุณวิเศษ คือ อภิญญาและฌานสมาบัติอยู่ในสันดานแม้จะดำรงเพศเป็นบรรพชิตนักบวชอยู่แล้วก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่หก

    ๗. อธิกาโร... ท่านทีปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิและจักมีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้ัองเป็นผู้ได้เคยทำอธิการมาแล้วหมายความว่า ได้เคยบำเพ็ญมหาบริจาค กล่าวคือการเสียสละ ครั้งยิ่งใหญ่ ให้ชีวิตของตนเองเป็นทานในอดีตชาติ ซึ่งเรียกว่า อธิการ มาแล้ว หากท่านปราศจากอธิการ คือไม่เคยเอาชีวิตเข้าออกแลกกับพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยบำเพ็ญทานปรมัตถ์มหาบริจาคมาก่อน ถึงแม้จะทรงเพศประเสริฐล้ำเลิศเพียงใด ก็หาทรงพยากรณ์ไม่ ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่า ผู้นั้นได้เคยกระทำอธิการแต่ปางก่อนจึงจักทรงพยากรณ์ เพราะพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้นจะสำเร็จได้ต้องอาศัยอธิการการกระทำอันยิ่งใหญ่ ขนาดต้องพลีชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกเอา นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่เจ็ด

    ๘. ฉนฺทตา... ท่านที่ปรารถนาซึี่งพระพุทธภูมิและจักได้มีโอกาสได้รับลัทธยาเทศนั้น ต้องเป็นผู้มีน้ำใจประกอบด้วย ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพระพุทธภูมิเป็นกำลัง มิได้ย่อท้อถอยในอุปสรรค ไม่ว่าจะใหญ่เล็กชนิดใดทั้งสิ้น ซึี่งในกรณีนี้ หากจะมีผู้ถามพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมินั้นว่า

    "ดูกรท่าน! การที่่านปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุดนี้ ท่านยังจะมีน้ำใจกล้าแข็งสามารถทนทุกข์ในนรกได้ตลอด ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัปได้ หรือว่าหามิได้"

    เมื่อมีผู้มาสำทับถามเอาด้วยภัยในนรกเห็นปานฉะนี้ ท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ย่ิอมจะไม่มีความย่อท้อ อาจรับปากเอาด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งว่า

    "อาตมานี่แหละ จะสู้อุตส่าห์ทนทุกข์ในนรกอันน่ากลัวนักหนา ไปให้ได้ตลอดเวลาอันยาวนานตามที่ว่ามานั่นเพื่อแลกเอากับพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณด้วยใจสมัครให้จงได้"

    ในกรณีนี้ หากจะมีผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งใคร่จะสอบถามถึงน้ำใจที่รักปรารถนาอย่างแรงกล้าในพระโพธิญาณ กับพระโพธิสัตว์เจ้าอีกต่อไปด้วยอุปมาปัญหาว่า

    "อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินบุกเข้าไปในป่าไม้ไผ่อันแ่น่นหนาไปด้วยเรียวหนามที่คมกล้า เป็นป่าไผ่ใหญ่เต็มไปหมดตลอดทั้งจักรวาลโลกธาตุนี้ ซึ่งมีความกว้างใหญ่ วัดได้ไกลถึงสิบสองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์ ตัวท่านจะสามารถเหยียบย่ำบุกฝ่าขวากหนามไปไกลให้ถึงที่สุดตามกำหนดนี้ เพื่อจะความเอาพระโพธิญาณมาไว้ในเงื้อมมือแห่งตนได้ฤา?"

    และว่า

    "อันตัวท่าน ซึ่งปรารถนาพระพุทธภูมินั้น ท่านยังจะสามารถเดินตลุยด้วยเท้าเปล่า ไปในกองถ่านเพลิงอันมีเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ ซึี่งเต็มไปในห้วงจักรวาลโลกธาตุนี้ได้ฤา?"

    พระโพธิสัตว์เจ้า ผุ้มีน้ำใจประกอบไปด้วยฉันทะ ความใคร่พอใจทั้งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณ ย่อมจะมีใจองอาจกล้าหาญ ยอมรับเอาด้วยความยินดี เต็มใจเป็นนักหนาว่า

    "อาตมาคือว่าตัวเรานี่แหละ จะสู้ก้มหน้าฟันฝ่าอุปสรรคอันตรายทั้งหลาย มิได้อาลัยแก่เลือดเนื้อร่างกายและชีวิตของตน จะสู้อดทนเดินบุกเหยียบย่ำไปให้ถึงที่สุด จะรุดหน้าก้าวไปคว้าเอาพระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณด้วยใจรักให้จงได้"

    ท่านผู้มีน้ำใจกอรปด้วยฉันทะอย่างแรงกล้า มีความรักความปรารถนาในพระโพธิญาณเป็นเบื้องหน้ามิได้หวาดผวากลัยภัยในนรกเป็นอาทิ เห็นปานฉะนี้แล้ว จึงจะปรารถนาซึี่งพระุพุทธภูมิได้สำเร็จสมความปรารถนา หากว่าเป็นผู้มีปกติขลาดหวาดหวั่นไหว มีน้ำใจมิได้กล้าหาญ กลัวทุกข์ กลัวภัยและรักรูป รักกาย รักชีวิต มีจิตสันดานย่อท้ออยู่ การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมจะสำเร็จลงมิได้อย่างแ่น่นอน และสมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงหาพยากรณ์ไม่ นี่เป็นธรรมสโมธานประการที่แปด

    ธรรมสำคัญ ๘ ประการ ตามที่พรรณนามานี้ มีชื่อว่า ธรรมสโมธานที่เป็นเหตุให้ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์ จากสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้พิจารณาดูธรรมตามที่กล่าวมานี้แล้ว เป็นอย่างไรบ้างเล่า เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก หรือว่าได้ง่ายๆ แน่นอนเป็นสิ่งที่ได้โดยไม่ง่ายเลย

    ครั้นองค์สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาัสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูด้วยพระสัพพัญญุตญาณและทรงทราบว่า ผู้ที่ปรารถนาพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น พรั่งพร้อมไปด้วยธรรมสโมธานทั้ง ๘ ประการนี้ มิได้ขาดแต่สักข้อหนึี่งแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงจะทรงชี้พยากรณ์โดยนัยว่า ผู้นั้นจักได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น ... ดังนี้เป็นต้น แล้วก็ทรงมีพระโอวาทอนุสาสน์ให้พยายามสร้างสมบ่มพระบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณต่อไปอีก เมื่อได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสำนักแห่งพระพุทธองค์เจ้าอย่างนี้แล้ว พระโพธิสัตว์เจ้าผู้นั้นก็ได้นามว่า พระนิยตโพธิสัตว์จักอุบัติมาตรัสเป็นสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าในโลกเรานี้พระองค์หนึี่งในอนาคตกาลอย่างเที่ยงแท้แน่นอน

    พระพุทธพากย์

    ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า พระบรมโพธิสัตว์ผู้ได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์นั้น จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างเที่ยงแท้แน่นอน สมจริงตามคำพยากรณ์หรือ?

    ปัญหาเรื่องนี้ เป็นข้อที่ไม่ควรคิดสงสัยให้เสียเวลา เพราะธรรมดาว่าพระพุทธพากย์กถา คือถ้อยคำของสมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมทรงไว้ซึ่งความมหัศจรรย์เป็นสุภาษิต จะได้วิปริตผิดแปลกพจนะกระแส แปรเป็นสองหรือสูญเปล่าไม่เป็นจริงนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรสอรรถคดีสิ่งใด สิ่งนั้นไซร้ย่อมปรากฎมีเป็นจริืงแท้ ย่อมเป็นไปตามกระแสพระพุทธบรรหารไม่ผิดเพี้ยน และเที่ยงตรงนักหนา มีครุวนาดุจสรรพสิ่งทั้งหลายมีไม้ฆ้อนและก้อนดินเป็นอาทิ อันบุคคลขว้างขึ้นไปสุดแรงเกิดบนอากาศ เมื่อมันขึ้นไปสูงจนสุดกำลังที่ขว้างแล้ว ย่อมเที่ยงที่จะตกลงมายังพื้นปฐพี อุปมานี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้เป็นเหมือนเช่นนั้น

    อีกประการหนึ่ง อันว่าฝูงสัตว์โลกทั้งปวงเช่นมนุษย์เรานี้ เมื่อมีกำเนิดเป็นรูปเป็นกายขึ้นมาแล้ว ก็เที่ยงแท้ที่จะถึงแก่มรณกรรม กล่าวคือจำต้องตายทั่วทุกรูปทุกนามเป็นแน่่แท้อุปมานี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

    อีกประการหนึ่ง อันว่าดวงทิพากรเทพมณฑล คือพระอาทิตย์นี้ย่อมเที่ยงแท้ที่จะอุทัยขึ้นเมื่อยามสิ้นราตรี ณ เพลาอรุณรุ่งเช้าเป็นแน่แท้ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระุพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ก็ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

    อีกประการหนึี่ง อันว่าพญามฤคินทร์ำไกรสรสีหราช เมื่อออกจากถ้ำที่สีหาไสยาสน์แล้ว ย่อมเที่ยงแท้ที่จะบันลือสุรสิงหนาทเป็นนิจเสมอ ไปทุกครั้งเป็นแน่แท้ อุปมาข้อนี้ฉันใด พระพุทธพากย์คำพยากรณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ก็ย่อมจะมีสภาวะเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเหมือนเช่นนั้น

    อีกประการหนึี่ง อันว่าชนผู้เป็นพาณิชพ่อค้า เมื่อทราบจะขนสินค้ามาวางร้านเรียงขายนั้น ต้องหาบหิ้วขนแบกซึ่งภาระสินค้าอันหนักของตนเพียบแปร้มาแต่บ้าน กว่าจะถึงร้านในตลาดก็แสนจะเหน็ดเหนื่อยนักหนา พอมาถึงร้านขายของร้านตนแล้ว ก็ย่อมรีบปลงภาระสิ่งของอันหนักนั้น ลงจากบ่าของตนเสียทันทีอย่างนี้เป็นธรรม เพราะถ้าไม่ปลงลงแล้ว จะยืนแบกยืนหาบให้หนักตนเองเหมือนกับเป็นบ้าอย่างนั้น อยู่ชั่วกัปชั่วกัลห์อย่างไรได้เล่า ก็อาการที่ภาระสิ่งของอันหนักซึ่งตั้งอยู่บนบ่านั้น ย่อมเที่ยงที่จะถูกพ่อค้าปลงมาจากบ่าอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัย อุปมาข้อนี้ฉันใด พระพุทธพจน์พิสัยแห่งองค์สมเด็จพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ที่ตรัสพยากรณ์ไว้ ย่อมเป็นสัจจะเป็นธรรมเที่ยงแท้แน่นอน เป็นเหมือนเช่นกัน

    จึงเป็นอันสรุปความได้ว่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้รับลัทธยาเทศกล่าวคือคำพยากรณ์ จากสำนักขององค์สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึี่งในอนาคตกาล สมจริงตามพระพุทธพากย์พยากรณ์อย่างแน่นอน
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...