หนังสือมุนีนาถทีปนี24 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ พระผู้เป็นเจ้าองค์อรหันต์ท่านพระกาฬพุทธรักขิตเถระ อดีตสัจจกนิครนถ์ครั้งพุทธกาล ท่านขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ซึ่งตั้งอยู่ ณ ใต้ต้นมะพลับในเจติยคีรีวิหารกำลังแสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องพระมหาพุทธคุณกถาพรรณนาถึงพระคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มแสดงตั้งแต่ตอนหัวค่ำปฐมยาม มาจนถึงเวลาสิ้นราตรีปัจฉิมยามใกล้สว่าง จึงกล่าวอวสานกถาว่า อิทมโวจภควา เป็นอาทิ นี่เป็นสังเขปกถาคือแสดงพระพุทธคุณจบลงแต่เพียงโดยย่อเท่านั้น

    "สาธุ...สาธุ" เสียงหนึ่งซึ่งมีอำนาจประหลาด ให้สาธุการขึ้นที่สุดบริษัท ในขณะที่พระผู้เป็นเจ้าแสดงธรรมจบลงเหล่าพุทธบริษัทที่สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา และพระผู้เป็นเจ้าผู้แสดงพระธรรมต่างมองไปยังเจ้าของเสียงที่ให้สาธุการนั้น ก็พลันได้เห็นบุรุษหนึ่งร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ในที่สุดบริษัทไม่ค่อยถนัด เพราะเป็นยามราตรี แต่พระผู้เป็นเจ้าก็จำได้ว่าบุรุษผู้นั้นคือ สมเด็จพระเจ้าสิทธาติสมหาราช กษัตริย์ปิ่นธรณีลงกาธานีจึงมีวาจาถวายพระพรถามว่า
    "ขอถวายพระพร มหาบพิตรผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! พระองค์เสด็จมาเมื่อใด?"
    "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า" สมเด็จพระบรมกษัตริย์ทรงประณมกรตอบ "โยมนี้ สมาทานอุโบสถศีลวันนี้แล้ว เข้าไปนั่งอยู่ในกุฎีที่เร้นแทบภูเขาใกล้ๆ วิหารนี่เอง ได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจึงรีบมาถึงนี่ตั้งแต่ตอนหัวค่ำปฐมยาม ยืนฟังอยู่จนกระทั่งบัดนี้นะ พระคุณเจ้า"
    "ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเสด็จยืนอยู่สิ้นราตรีสามยามฉะนี้ ยากที่ผู้อื่นจะทำได้" พระเถรเจ้ากล่าวชมขึ้นตามความเป็นจริง
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า! อันการที่ยืนฟังพระธรรมเทศนาอยู่ตลอดราตรีสามยามฉะนี้หาสู้เป็นไรไม่ แต่ข้อซึ่งโยมนี้ตั้งใจฟังได้จบจน มิได้ล่งจิตไปในที่อื่นเลย อันนี้ยากที่บุคคลผู้อื่นจะกระทำได้อย่างโยม ก็โยมฟังพระธรรมเทศนาของพระคุณวันนี้ โยมปรีดาภิรมย์ชื่นชมยิ่งนัก มิได้ส่งจิตไปในที่อื่นเลยนะ พระคุณเจ้า... เออ ก็พระธรรมเทศนาแสดงสรรเสริญซึ่งพระคุณของพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเรา ที่พระคุณเจ้าสำแดงนั้นสิ้นเพียงเท่านี้ หรือว่าพระพุทธคุณนั้นยังมีอยู่อีกประการใด?"
    "ขอถวายพระพร พระคุณแห่งสมเด็จพระบรมครูเจ้า ที่อาตมาภาพสำแดงมาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงบัดนี้นั้นน้อยนัก พระพุทธคุณที่อาตมาภาพยังมิได้สำแดงนั้น ยังมีอยู่อีกมากที่จะนับจะประมาณได้ ขอถวายพระพร"
    "มากอีกแ่ค่ไหนเหรอ พระคุณเจ้า" สมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามด้วยความเต็มตื้นศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธคุณ "ขอพระคุณเจ้าจงแสดงให้โยมนี้เข้าใจก่อนเถิด"
    พระเถรเจ้ากาฬพุทธรักขิตองค์อรหันต์ ครั้นได้สดับพระบรมราชโองการตรัสดังนั้น จึงมีเถราวาจาว่า
    "ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! ยังมีบุรุษผู้หนึ่งไปสู่นาข้าวสาลีอันกว้างขวางไพศาลได้พันกรีส บุรุษผู้นั้นเด็ดเอาข้าวสาลีมารวงหนึ่ง ก็เมล็ดข้าวสาลีรวงเดียวที่บุรุษนั้นเด็ดมา ย่อมมีประมาณน้อยนัก เมล็ดข้าวสาลีที่ยังเหลืออยู่ในนาอันกว้างใหญ่นั้น ย่อมมีประมาณมากนักฉันใด พระพุทธคุณที่อาตมภาพสำแดงวันนี้น้อยนัก มีอุปมัยดังข้าวสาลีที่บุรุษเด็ดมาเท่านั้น ก็อันว่าพระุพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้น ยังมีมากมายจะนับจะประมาณมิได้ มีอุปมัยดุจเมล็ดข้าวสาลีที่มีอยู่ในนาทั้งหมด ฉะนั้น

    อีกประการหนึ่ง ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง เอาเข็มจุ่มลงไปในมหานทีแม่น้ำใหญ่ น้ำที่ไหลเข้าไปในช่องเข็มนั้น ย่อมมีประมาณน้อยนักหนา แต่ว่าน้ำที่ไหลไปภายนอกช่องรูเข็มย่อมมากกว่ามากสุดจะนับจะประมาณได้ฉันใด พระคุรแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าที่อาตมภาพสำแดงในราตรีนี้น้อยนัก มีอุปมัยดุจน้ำที่ไหลไปในรูเข็มเท่านั้น ก็อันว่าพระพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้นย่อมมีอยู่มากมายจะนับประมาณมิได้ มีอุปมัยดุจกระแสน้ำที่ไหลไปภายนอกรูเข็ม ฉะนั้น

    อีกประการหนึ่ง ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร! เปรียบเหมือนสกุลชาตินกแอ่นลมตัวน้อย ที่ร่อนเริงสราญอยู่ในนภาลัยประเทศพื้นนภากาศที่นกน้อยนั้นเหยียดปีกเหยียดหาง ย่อมมีประมาณน้อยนักหนา แต่ว่าอากาศที่เปล่าอยู่นั้นย่อมใหญ่กว่าจะันับจะประมาณมิได้ฉันใด พระคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าที่อาตมภาพยกเอามาสำแดงในราตรีนี้น้อยนัก มีอุปมัยดุจประเทศอากาศที่ปักษีชาตินกแอ่นลมตัวน้อยเหยียดซึ่งปีกแลหางออกไปเท่านั้น ก็อันว่าพระพุทธคุณที่อาตมภาพยังมิได้สำแดงนั้น ย่อมมีอยู่มากมายสุดจักนับประมาณ มีอุปมัยดุจประเทศอากาศอันกว้างใหญ่เปล่าอยู่ ฉะนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระบรมไตรโลกนาถที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งมวล ย่อมทรงไว้ซึ่งพระคุณเป็นอนันต์มากมายเป็นมหัศจรรย์ ตามที่อาตมภาพถวายพระพรมาดังนี้แหละมหาบพิตร ขอถวายพระพร"

    สมเด็จพระเจ้าสัทธาติสบรมกษัตริย์ ท้าวเธอได้ทรงเสวนาฟังดังนั้น ก็ทรงมีพระราชหฤทัยภิรมย์เกษมสันต์ปรีดา จึงมีพระวาจาตรัสว่า
    "ข้าแต่พระคุณเจ้า! ขอพระคุณเจ้าจงสอดส่งทิพยญาณหยั่งเห็นด้วยเถิด พระคุณเจ้าขา คือ่ว่า โยมนี้บังเกิดศรัทธายินดียิ่งนักหนาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สมกับศรัทธาในขณะนี้ได้ ก็จะถวายสมบัติในเมืองลงกานี้แก่พระรัตนตรัยทั้งหมด จะเว้นว่างไว้แม้พื้นที่ประมาณเท่าปลายปฏักจรดลงก็หามิได้ โดยจะถวายไว้ในพระศาสนา ในกาลบัดนี้ พระคุณเจ้าขาขอพระคุณเจ้าจงรบรู้ด้วยเถิด"

    ลำดับนั้น พระมหาเถรเจ้าจึงถวายสมบัติคืนแก่พระเจ้าสัทะาติสมหาราชผู้มีจิตศรัทธา แล้วปลอบประโลมว่า
    "ขอถวายพระพร บพิตรพระราชสมภารเจ้าพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ! ขออัญเชิญพระองค์ครองสมบัติสืบไปในนครนี้โดยทศพิธราชธรรมเถิด จะได้เป็นที่พึ่งแก่ฝูงประชาทุกถ้วนหน้า"

    สมเด็จพระมหาษัตริย์ทรงตริตรองอยู่ชั่วครู่แล้ว ก็ทรงรับราชสมบัติคืนด้วยดี ฝ่ายพระกาฬพุทธรักขิตอรหันตเจ้า ตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็บังเกิดปรากฎดุจว่าภานุมาสพระจันทร์อันแต่ดวงในเวหาส เป็นที่กราบไหว้บูชาของเหล่าเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายในลังกาธานีนั้น ด้วยประการฉะนี้

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายเห็นแล้วใช่ไหมเล่า ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ย่อมทรงไว้ซึ่งพระคุณเป็นอนันต์คือมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ดุจคำของพระอรหันต์กาฬพุทธรักขิตเถรเจ้า ท่านกล่าวอุปมาให้สมเด็จพระเจ้าสัทธาติสมหาราช ทรงสดับตรับฟังตามเรื่องที่เล่ามานี้ แต่การที่ใครจะมองเห็นพระคุณของพระพุทธองค์ได้มากน้อยแค่ไหน นั่นก็สุดแท้แต่ว่าปัญญาของใคร คือหมายความว่า ใครมีปัญญาจักษุดวงตาคือปัญญามาก มีสันดานบริสุทธิ์มาก ก็ย่อมจะเห็นพระคุณของพระองค์ได้มาก แต่ถ้าใครมีปัญญาจักษุน้อย มีสันดานบริสุทธิ์น้อยก็ย่อมจักเห็นพระคุณของพระองค์ได้น้อย ยิ่งผู้ที่อาภัพอับวาสนาไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา หรือผู้ที่พบพระพุทธศาสนาแล้วแต่เป็นคนทิฐิวิบัติิหาปัญญาจักษุมิได้ คนเหล่านี้จะิคิดจะมองไปเท่าใดๆ ก็ยิ่งมืดมองไม่เห็นพระคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเลย

    เมื่อมองไม่เห็นพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมทำให้เกิดมีทิฐิความคิดความเห็นต่างๆ นานาตามประสาโง่แห่งตน บางคนบางพวกถึงกับมีความเห็นไปว่าสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า คงจะไม่มีปรากฎในโลกนี้เป็นมั่นคง องค์พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยกย่องสรรเสริญกันนั่น ก็คือ คนธรรมดาสามัญนี่เอง ไม่มีคุณวิเศษเป็นมหัศจรรย์อะไรที่ควรจะเชื่อถือ พระพุทธศาสนาก็คือนโยบายสอนคนโบราณนานมาแล้ แต่ครั้งคนเรายังโง่อยู่ ความเห็นทำนองนี้ ซึ่งเป็นไปเพราะความไม่เชื่อในกำลังพระสัพพัญญูติญาณของพระตถาคตเจ้า ย่อมปรากฎในห้วงนึกของปุถุชนคนที่ยังมีทิฐิกิเลสทั้งหลายเป็นอันมาก แ
    ละมิใช่จะเพิ่งมาปรากฎแก่คนเราในสมัยนี้เท่านั้น แม้แต่ในอดีตสมัยกาลที่ล่วงมาแล้ว ตั้งแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วปรินิพพานเป็นต้นมา ชาวประชาผู้เกิดมาภายหลังไม่เคยได้เห็นพระพุทธองค์ ทั้งมีปัญญาทรามไม่ได้ลิ้มรสอมตธรรมอันประเสริฐสุดไม่ได้เป็นพระพุทธบุตรดื่มอมตรสที่พระตถาคตเจ้าทรงประทานไว้ให้ย่อมจะมีความกินแหนงแคลงใจอยู่ไม่หายว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ?

    ความจริงนั้น สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงปรากฎมีแล้วในโลกโดยแท้ อย่าสงสัยเลย จงเชื่อฟังเถิดแม้นักปราชญ์ผู้เกิดแต่ปางก่อน ซึ่งท่านมีสันดานบริสุทธิ์ซื่อตรง สำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ได้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ก็ได้อุตสาหะพร่ำสอนในเรื่องนี้สืบๆ กันมา โดยมีข้อความที่จะพรรณนาให้ฟัง ดังต่อไปนี้


    โลกสมุทร

    ธรรมดาว่ามหาสมุทรทะเลใหญ่ อันลึกล้ำคัมภีรภาพพ้นพิสัยย่อมทรงไว้ซึ่งทรายและชลชาติมากมายสุดจะนับได้ อากูลมูลมากไปด้วยมัจฉาหมู่ปลาใหญ่น้อยเหลือคณนา และเป็นที่ไปมาอาศัยอยู่แห่งหมู่นาคครุฑและผีเสื้อน้ำ บรรดาสัตว์ทั้งหลายย่อมพากันเที่ยวแหวกว่ายแสวงหาอาหารท่องแถวชลธารอยู่คลาคล่ำ บางคราก็กำเริบด้วยหมู่อสูรคึกคะนองแลเสียงเมฆกึก้องสะเทือนท้องน้ำ กัมปนาทฟังดังเหมือนพิณพาทย์ฆ้องกลองดุริยางค์ดนตรีเภรีสวรรค์ สมุทรวารีนั้นมีเกาะเกิดเป็นเขางามหลากหลายประมาณได้มากมายนับเป็นหมื่นแสน มีหมู่อมรแทนเฝ้าแหนสิงสถิตทุกยอดเขา เทพยเจ้าทั้งหลายย่อมเสวยทิพยสมบัติโสมนัสบรรเทิงใจ โดยอาศัยสมัครสโมสรแต่ก่อนมา อนึ่่ง มหาสมุทรวารีนั้น ย่อมมีนาวาสลุปกำปั่นสำเภาแห่งเหล่าพานิชแล่นไปมาทำการค้าขายไม่ขาดสาย อนึ่งย่อมประกอบไปด้วยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือ มีฟองและระลอกคลื่นดาษดื่นอยู่ทุกเช้าค่ำ มีคุ้งน้ำและปากอ่าวมากหลาย เป็นที่อาศัยของหมู่สัตว์และนิกรชน ทั้งประกอบด้วยวังวนแลบาดาลน่าอัศจรรย์แปลกประหลาด วิจิตรโอภาสด้วยแก้วอเนกา มีหมู่ปลาและเต่าอาศัยอยู่อย่างสะดวกสบายเป็นอันมาก หลากหลายด้วยปลามัจฉาชาตินานาชาติ มีปลาโลมา ปลาฉลาม ช้างน้ำม้าน้ำ และเงือกเบื้องต้น ย่อมอยู่อาศัยในมหาสมุทรนั้นโดยปกติธรรมดา

    คราที่นั้น ก็พลันมีมหามัจฉาปลาใหญ่หนึ่งมีกายใหญ่โตมหึมานักหนา จะใคร่ลองกำลังของตนจึงโดดขึ้นไปสุดแรงย่อมกระทำให้มหาสมุทรนั้นกำเริบเป็นระลอกใหญ่ชัดไปที่ริมฝั่งปรากฎเสียงดังสนั่นกึกก้องเหลือประมาณ กาลนั้นมนุษย์นิกรซึ่งสัญจรไปที่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้น ครั้นเห็นคลื่นใหญ่พิกล ทุกคนก็ย่อมจะต้องเข้าใจว่า "ปลาใหญ่มีอยู่ในมหาสมุทรนี้เป็นมั่นคง ไม่ต้องสงสัย" คำอุปมาที่ว่ามานี้ฉันใด

    โลกที่เราอาศัยอยู่เวลานี้ ก็เปรียบเหมือนกับมหาสมุทรวารีที่ว่ามานั้น เพราะมีความลึกล้ำสุดพรรณนา ทรงไว้ซึ่งน้ำคือ ราคะ โทสะ โมหะ มากมายเหลือจะคณนา อากูลมากมูลด้วยหมู่มิจแาคือพาลปุถุชนมีแพคือสกลกิเลสทั้งหลายลอยอยู่ แวดวงด้วยข่ายคือมิจฉาทิฐิ ความคิดเห็นวิปริตผิดปกติมากมาย มีกระแสสายคือตัณหา พาให้ไหลไปไม่รู้จักหยุดยั้ง ได้มีธงชัยคือมานะ ความถือตัวสั่นระรัวอยู่เสมอในทุกดวงใจ ร้อนด้วยไฟ คือราคะ โทสะ โมหะ สุดประมาณ ประกอบด้วยอันธการความมืดมิด้วยฤทธิ์แห่งอวิชชา ความเขลาปราศจากปัญญา มีความสาหัสไปด้วยโลภเจตนาเป็นที่สุด ก็โลกสมุทรนี้ผู้มีสติปัญญาเห็นแจ้งประจักษ์ย่อมเห็นเป็นภัยน่ากลัวนักหนา สุดที่จักหาอะไรมาเปรียบได้ เพราะเป็นที่อยู่ของคนตามืดตาบอด คือผู้ที่ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิในดวงจิตทั้งหลาย และเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์หญิงชายที่มีน้ำใจเป็นกุศล และมีน้ำใจเป็นอกุศล คนมียศและหายศมิได้ คนมีเดชแลหาเดชมิได้ คนมีบุญแลหาบุญมิได้ คนที่มีคุณวิเศษและหาคุณวิเศษมิได้ คนที่มีความเจริญแลหาความจำเริญมิได้ คนมีปัญญาและหาปัญญามิได้ คนที่มีความรู้แลหาความรู้มิได้ อนึ่ง โลกสมุทรนี้จะได้มีแต่คนทั้งหลายเช่นว่ามาแล้วนั่นก็หามิได้ ย่อมประกอบไปด้วยกษัตริย์และพราหมณ์ พ่อค้าแลชาวนา พ่อครัวและอาชีวก คนนุ่งขาวและปริพาชก พระพุทธสาวกแลคนขอทาน คนถือทิฐิประพฤติพรตนอนกับพื้นแผ่นดินปฐพีภาค แลคนถือการนอนข้างเดียวเป็นวัตร คนไม่อาบน้ำเต็มไปด้วยเหงื่อไคลแลชีเปลือยเปล่ากายรวมทั้งพระดาบส โยคีฤาษีทั้งหลายเป็นอันมาก ย่อมปรากฎมีอยู่ในโลกสมุทรนี้เกลื่อนกลาด นอกจากนั้น ยังมีสัตจตุนาทมีเอนกนานา เป็นต้นว่า อูฐ ฬา แพะ แกะ หมู หมา ช้าง ม้า แลสีหราช เป็นจำนวนมากมายเหลือที่จะกล่าว นอกจากนั้นเล่า ยังมีสัตว์สองเท้าเป็นต้นว่า นกจากพราก นกแก้ว นกสาลิกา นกดุเหว่า นกเขา นกพิราบและนกตะกรุม นกฮุก มีลูกหลานสืบพันธุ์กันไม่ขาดสาย ทั้งยังประกอบไปด้วยสัตว์ทั้งหลายที่มีเท้ามาก เช่น ตะขาบ กิ้งกือ แลสัตว์ประเภทที่หาเท้ามิได้ เช่นงูและไส้เดือน เป็นต้น ล้วนปะปนสถิตอาศัยอยู่ในโลกสมุทรนี้ทั้งสิ้น

    ปางเมื่อ สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้า ผู้ทรงพระภาคอันงามเลิศประเสริฐสุด พระองค์ทรงอุบัติผุดขึ้นโลกนี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วย่อมมีอานุภาพยังพื้นพิภพปฐพี ทั่วหมื่นโลกธาตุให้หวาดไหว ได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกองค์อัครมหามุนีโลกนายกแล้ว ทรงสามารถยังมนุษยโลกกับทั้งเทวโลกให้กำเริบปั่นป่วนด้วยพระสัทธรรม แล้วก็ทรงปักแพ้วไว้ซึ่งธรรมธุชธงชัย คือธรรมอันเลิศ สมเด็จพระองค์ผู้สุดประเสริฐสัพพัญญูเจ้าทรงยังโลกให้กำเริบขึ้นด้วยระลอกคลื่น กล่าวคือตรัสพระสัทธรรมเทศนาสั่งสอนสัตว์ ตักเตือนสัตว์ เปลื้องสัตว์รื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุคติภพ คืออบายภูมิทั้ง ๔ มีภูมินรก ภูมิเปรต ภูมิอสุรกาย และภูมิเดียรฉาน ทรงประทานพระอมฤตหนทางพ้นทุกข์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วประเทศ มิได้เลือกเพศเลือกหน้า ทรงประทานยาดับพิษโลกคือกิเลสให้แก่สัตว์ในประเทศทั้งหลาย กระทำใจให้สิ้นมลทินขาวบริสุทธิ์ผอ่ง ยังสัตว์โลกทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในพระปฏิสัมภิทา ให้ตั้งอยู่ในพระวิโมกข์ ให้ตั้งอยู่ในพระอริยภูมิอันสำราญ ตรัสประทานพระสัทธรรมเทศนาซึ่งพระจตุราริยสัจธรรมอันประเสริฐนักหนา หมู่เทวดาและมนุษย์ได้สวนาการสดับตรับฟัง บางพวกตั้งอยู่ในพระอนาคามีผล บางพวกตั้งอยู่ในพระสกิทาคามิผล บางพวกตั้งอยู่ในพระอนาคามีผล บางพวกตั้งอยู่ในพระอรหัตผล บางพวกก็ตั้งจิตสมาทานศีล บางพวกตั้งจิตสมาทานพระไตรสรณคมน์ บางพวกตั้งอยู่ในภูมิเป็นอุบาสก อุบาสิกา มีศรัทธาเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย

    กาลเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จพระพุทธลีลาศขึ้นไปตรัสพระสัทธรรมเทศนา ณ เบื้องสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น พระองค์ประทับนั่งเหนือบัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ แล้วตรัสพระสัทธรรมเทศนาพระทุกขสัจ เหล่าเทพยเจ้า ๘๐ โกฏิ ต่างล้วนโสมนัสปราโมทย์ชื่นชมยินดีในกระแสธรรม ก็ได้ธรรมจักษุบรรลุคุณวิเศษด้วยการพิจารณาเห็นซึ่งทุกขสัจ แล้วปลงปัญญาเห็นซึ่งนิโรธธรรมอันวิเศษ... อีกครั้งหนึ่ง กาลเมื่อสมเด็จพระโลกเชษฐเสด็จอยู่ ณ ปาสาณเจดีย์ ตรัสพระสัทธรรรมเทศนาสมุทยสัจ เหล่าเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายได้สดับแล้ว ก็มีหฤทัยปราโมทย์ยินดีในพระกระแสธรรม ได้บรรลุมรรคผลมากมายนับจำนวนได้ถึง ๑๔ โกฏิ... อนึ่งโสต กาลเมื่อเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพ สมเด็จพระนราสภสัพพัญญูเจ้าก็ได้ตรัสพระสัทธรรมเทศนาพระนิโรธสัจ เหล่าเทพยเจ้าแลมนุษย์ทั้งหลายได้สดับรับรสพระธรรมเทศนาแล้วหมดความสอดแคล้วสงสัยพระพุทธคุณ ได้บรรลุมรรคผลมากล้นเหลือปลายประมาณได้ถึง ๓๐ โกฏิ .. พระเทศนาที่พระมุนีโปรดประทานนั้น ปานประหนึ่งว่าคลื่นระลอกที่ซัดกระฉอกกำเริบหวั่นไหวอยู่ในโลกสมุทรอันสุดกว้างนี้ และแล้วพระสมเด็จพระชินสีห์สัมพุทธเจ้าก็ทรงบ่ายพักตรเข้าสู่เขาภูมิอันเกษมสานต์ คือดับขันธ์ปรินิพพานเป็นเอกัตบรมสุขพิสัยไปตามธรรมดา

    ฝ่ายว่า บัณฑิตชนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้พบเห็นคลื่น คือพระสัทธรรมอันโอฬารของพระบรมโลกุตตรมาจารย์เข้าก็เฝ้าปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ผู้ที่มีวาสนาบารมีสูงก็ย่อมตัดเสียได้ ซึ่งเครื่องจองจำอันมากมูลอากูลเหลือล้นในขันธสันดาน ผลาญเสียซึ่ง ราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดสิ้น มีจิตพ้นมลทินผ่องใสจากกิเลสบาปธรรม บรรลุถึงพระอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลโอฬาร กระทำพระนิพพานให้แจ้งชัดเป็นพระปรมัตถธรรม ฝ่ายผู้ที่มีวาสนาบารมีต่ำกว่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติตามก็ย่อมได้รับผลสมควรแก่การปฏิบัติเป็นอัศจรรย์ ชนเหล่านี้ก็ย่อมอนุมานกำหนดแน่ลงด้วยปัญญาได้ว่า "คลื่นพระสัทธรรมอันแสนมหัศจรรย์นี้ ไม่มีใครที่จักให้เป็นไปได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกิเลส คือพระโลกเชษฐอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น สมเด็จพระภควันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎมีแล้วในโลกโดยแท้" แต่ชนมีบุญน้อยด้อยวาสนา ปัญญาเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ ถือว่าตนมีความคิดดีเป็นยอดคน ไม่สนใจการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีก็ชวดเปล่าที่จักเห็นความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธพจน์ เมื่อไม่ดื่มรสอมตธรรมเป็นพระพุทธบุตร ก็ย่อมจะถูกวิจิกิจฉาฉุดให้คลางแคลงสงสัยอยู่มิวายว่า พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้ามีจริงฤา?


     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับท่านที่ได้นำพระธรรมมาเผยแพร่ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...