หนังสือมุนีนาถทีปนี22 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    สกิทาคามีโลกุตรภูมิ

    โลกุตรภูมิ ขั้นที่ ๒ มีนามว่า สกิทาคามีโลกุตรภูมิ = ภูมิที่พ้นจากโลก คือท่านที่จะมาเกิดอีกครั้งเดียว หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า พระสกิทาคามี อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคลชั้นที่ ๒ ในพระบวรพุทธศาสนาจะกลับมาเกิดอีกครั้งเดียวเท่านั้น ก็จักดับขันธ์ปรินิพพาน

    ท่านที่จะบรรลุถึงโลกุตรภูมิขั้นนี้ ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานผ่านโสดาปันนโลกุตรภูมิมาแล้ว ปรารถนาจักบรรลุมรรคผลขั้นนี้ จึงเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปให้ยิ่งขึ้น เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ เสมอกันแล้ว เพราะมีวาสนาบารมีที่ตนได้สั่งสอนอบรมมาเพียงพอ สภาวะแห่งวิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไป จึงถึงสังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้ จะปรากฎชัดเจนและละเอียดแจ่มแจ้งกว่าสภาวญาณที่ตนเคยผ่านมาแล้ว ต่อจากนั้น อนุโลมญาณ ก็จะเกิดขึ้น ติดตามมาด้วย โวทนะ (โวทานะแทนโคตรภูญาณ เพราะท่านผู้นี้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว มิใช่ปุถุชน เพราะฉะนั้น ญาณที่ตัดโคตรปุถุชน คือ โคตรภูญาณ จึงไม่จำต้องเกิดขึ้นอีก) ครั้นแล้วทุติยมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสกิทาคามิมรรค ก็จักอุบัติขึ้น ติดตามมาด้วยพระสกิทาคามิผล เป็นการถึงพระนิพพานอีกครั้งหนึ่ง พระสกิทาคามิมรรคนี้ไม่มีอำนาจตัดสัญโญชน์อันใดอันหนึ่งได้เด็ดขาด แต่ถึงกระนั้น ก็มีอำนาจทำกิเลสทั้งหลายให้เป็น ตนุกร คือทำให้เบาบางกว่าพระโสภาปัตติมรรค ซึ่งเป็นพระอริยมรรคครั้งแรกเป็นธรรมดา


    คุณวิเศษ

    ท่านพระสกิทาคามิอริยบุคคลนี้ นอกจากจะมีกิเลสเบาบางกว่าพระโสดาบันอริยบุคคลแล้ว ยังมีคุณวิเศษ คือสามารถเข้าถึงสกทาคามีผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดยอดก็คือว่า ท่านพระสกิทาคามิีอริยบุคคลนี้ ท่านจะเกิดอีกชาติเดียวเท่านั้น ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และแล้วก็จัดดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน ส่วนการที่ท่านจะเกิดอีกชาติเดียวนั้น ท่านจะไปเกิด ณ ที่ไหน ก็เป็นไปตามประเทภแห่งพระสกิทาคามี ๕ จำพวกคือ
    ๑. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในมนุษยโลกนี้ แล้วจุติไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า ณ สวรรค์เทวโลก ครั้นแล้วจึงจุติจากสวรรค์เทวโลก กลับมาเกิดในมนุษยโลกเรานี้อีกครั้งหนึ่งแล้วได้บรรลุพระอรหัตผลและดับขันธ์ปรินิพพานในมนุษยโลกนี้เอง

    ๒. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลแล้ว กระทำความเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตผลและดับขันธ์ปรินิพพานในชาติเดียวในมนุษยโลกเรานี่เอง

    ๓. บางท่านเป็นมนุษย์ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคลในมนุษยโลกนี้แล้วจุติไปอุบัติเกิดเป็นเทพเจ้า ณ สวรรคเทวโลก ครั้นแล้วก็ได้บรรลุพระอรหัตผล และดับขันธ์ปรินิพพานบนสวรรคเทวโลกนั่นเอง

    ๔. บางท่านเป็นเทพดาเจ้า สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ณ สวรรคเทวโลก แล้วได้บรรลุพระอรหัตผล และดับขันธ์ปรินิพพานบนสวรรคเทวโลกนั่นเอง

    ๕. บางท่านเป็นเทพยดาเจ้า สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีบุคคล ณ สวรรคเทวโลกแล้วจุติมาอุบัติเกิดในมนุษยโลกเรานี้ได้บรรลุพระอรหันตผล และดับขันธ์ปรินิพพานในมนุษย์โลกนี้เอง

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ความอัศจรรย์แห่งพระโอวาทานุสาสนีขององค์สมเด็จพระจอมมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรณีที่สามารถชักนำสัตว์ให้ออกไปจากวัฏสงสารได้อย่างแน่นอน ย่อมปรากฎมีตามที่พรรณนามานี้ ผู้มีปัญญาเห็นภัยในวัฏสงสารคนใด เมื่อมีใจเลื่อมใสยึดถือเอาพระพุทธองค์มาเป็นนาถะที่พึ่งแล้วและพยายามปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ผู้นั้นย่อมจะตัดภพตัดชาติที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารได้อย่างเด็ดขาดเป็นขั้นๆ ไป โดยไม่ต้องสงสัย


    อนาคามีโลกุตตรภูมิ

    โลกุตรภูมิขั้นที่ ๓ มีนามว่า อนาคามิีโลกุตรภูมิ = ภูมิพ้นจากโลก คือท่านผู้จะไม่กลับมาอีก หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นี้ย่อมได้ชื่อว่า พระอนาคามี อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่ ๓ ในพระบวรพุทธศาสนา ท่านจะไม่กลับมาถือปฏิสนธิในกามาวจรภูมิ คือมนุษยโลกและเทวโลกอีกเลย

    ท่านที่จะได้บรรลุถึงโลกุตรภูมิขั้นนี้ ต้องเป็นผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ผ่านโลกุตรภูมิขั้นที่ ๒ มาแล้ว ปรารถนาที่จะบรรลุมรรคผลขั้นนี้ จึงตั้งหน้าอุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งขึ้นไป เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ ได้ส่วนสมดุลเสมอกันเป็นอันดีแล้ว เพราะวาสนาบารมีที่ตนได้สั่งสมอบรมมาเพียงพอสภาวญาณก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไปจนกระทั่งถึง สังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้จะปรากฎชัดเจนจนละเอียดแจ่มแจ้งกว่าญาณที่ตนเคยได้ผ่านมา ต่อจากนั้น อนุโลมญาณ ก็จะเกิดขึ้นตามติดมาด้วย โวทานะ ครั้นแล้ว ตติยมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระอนาคามิมรรค ก็จักเกิดขึ้น พอพระอนาคามิมรรคเกิดขึ้น ก็จักทำการประหารสัญโญชน์ได้อย่างเด็ดขาดอีกบางประการ แต่จะประหารสัญโญชน์อะไรบ้างนั้น ประเดี๋ยวจะกล่าวทีหลัง ครั้นพระอนาคามีมรรคเกิดขึ้นแล้ว พระอนาคามีผลก็จักปรากฎตามติดกันมา จึงเป็นอันว่า บัดนี้ ท่านผู้นั้นเป็นพระอนาคามีบุคคลแล้ว

    ตามที่กล่าวมานี้ ดูเหมือนเป็นสิ่งที่กระทำได้สำเร็จง่ายๆ แต่ความจริงเปล่าเลย เพราะเป็นการกระทำที่ยากนักหนาสำหรับโยคีบุคคลผู้ปฏิบัติ เพราะว่าผู้ปฏิบัติเพื่อให้พระอนาคามิมรรคเกิดขึ้นในสันดานของตนนี้ ต้องเป็นผู้ที่มี สมาธิอย่างดีเยี่ยม ต้องเป็นผู้มีสมาธิเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุด โดยมีกฎตายตัวอยู่ว่า

    ท่านผู้สามารถที่จะปฏิบัติให้พระโสดาปัตติมรรคและพระสกิทาคามิมรรคบังเกิดขึ้นในสันดานของตนนั้น ต้องเป็นผู้บริบูรณ์ด้วย ศีล คือ มีศีลบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

    ท่านผู้สามารถที่จะปฏิบัติให้พระอนาคามีมรรคบังเกิดขึ้นในสันดานของตนนั้นต้องเป็นผู้บริบูรณ์ด้วย สมาธิ คือมีสมาธิดีเป็นยอดเยี่ยม

    ฉะนั้น การปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระอนาคามีบุคคลนี้ จึงต้องมีสมาธิดีเป็นอย่างยิ่ง ต้องมีสมาธิเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุด พระอนาคามีมรรคจึงจักอุบัติเกิดขึ้นได้ แม้จะเป็นการปฏิบัติที่ค่อนข้างจะยาก แต่ก็มิใช่สิ่งเหลือวิสัยสำหรับผู้ใคร่จะออกจากทุกข์ในวัฏสงสาร


    คุณวิเศษ

    ท่านพระอนาคามีอริยบุคคลนี้ ท่านตัดสัญโญชน์ได้เด็ดขาดไปอีก ๒ ประการ คือ
    ๑. กามราคะสัญโญชน์... ประหารกามราคะความติดอยู่ในกามคุณอารมณ์ทุกชนิดได้อย่างเด็ดขาด พูดอีกทีก็ว่า ไม่มีความรักความใคร่ติดอยู่ในจิตเลย ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามีมรรคนี้

    ๒. ปฏิฆะสัญโญชน์...ประหารปฏิฆะ คือความไม่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด พูดอีกทีก็ว่าไม่มีโทโสโกรธาติดอยู่ในจิตเลย ตัดความโกรธได้ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามิมรรคนี้

    เห็นไหมเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ว่าการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา สามารถตัดโซ่เหล็กอันผูกมัดคอสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร กล่าวคือสัญโญชน์ได้เป็นลำดับมา บัดนี้ ตัดสัญโญชน์ได้ ๕ ประการ แล้ว คือ
    ๑. สักกายทิฐิสัญโญชน์
    ๒. วิจิกิจฉาสัญโญชน์
    ๓. สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์
    สัญโญชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ ตัดได้ด้วยอำนาจแห่งพระโสดาปัตติมรรคที่กล่าวมาในตอนต้นนั้นแล้ว
    ๔. กามราคะสัญโญชน์
    ๕. ปฏิฆะสัญโญชน์
    สัญโญชน์ทั้ง ๒ ประการนี้ ตัดได้ด้วยอำนาจแห่งพระนาคามิมรรค ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้

    ส่วนสัญโญชน์ที่เหลืออีก ๕ ประการ จะสามารถตัดได้หรือไม่? และถ้าตัดได้ จะตัดด้วยอะไร? ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงอุตส่าห์ติดตามศึกษาต่อไป ประเดี๋ยวก็คงจะทราบตอนนี้จะขอกล่าวถึงคุณพิเศษของพระอนาคามีบุคคลก่อน คือพระอนาคามีอริยบุคคลนี้ นอกจากท่านจะตัดสัญโญชน์ได้อีก ๒ ประการตามที่กล่าวมาแล้ว ท่านยังสามารถที่จะเข้าอนาคามีผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดก็คือว่า เมื่อท่านจุติไปแล้ว จะไม่กลับมาปฏิัสนธิในกามภูมิ เช่นมนุษยโลกและเทวโลกอีกเลย ท่านย่อมไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสพรหมโลก แล้วก็จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพานบนโน้นเลยทีเดียว

    ในวันนี้ หากจะมีปัญหาว่า การที่จะไปอุบัติเกิด ณ พรหมโลกได้นั้น จะต้องปฏิสนธิด้วยฌานวิบากอันเป็นผลแห่งฌานกุศล สำหรับพระอนาคามิบุคคลที่เป็นฌานลาภี เคยบำเพ็ญสมถกรรมฐานได้ฌานมาก่อน ก็ไม่มีปัญหาอันใด คือต้องไปเกิดในพรหมโลกได้แน่ๆ แต่ทีนี้พระอนาคามีบุคคลที่เป็น สุกขวิปัสสกะ คือบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานมาอย่างเดียวล้วนๆ ไม่เคยบำเพ็ญสมถกรรมฐาน ไม่เคยได้ฌานมาก่อนเลย แล้วอย่างนี้จะไปบังเกิดในพรหมโลกได้อย่างไรกัน?

    ปัญหานี้ไม่ต้องสงสัย เพราะว่าพระอนาคมีบุคคลประเภทสุกขวิปัสสกะนี้ เมื่อท่านใกล้จะจุติ มัคคสิทธิฌาณ ย่อมบังเกิดขึ้น แล้วก็เป็นปัจจัยนำให้ท่านไปเกิดในพรหมโลก ถึแม้ว่าท่านจะถึงแก่มรณภาพลงโดยไม่ทันรู้ตัว เช่น ขณะที่กำลังหลับอยู่ก็ดี หรือขณะที่กำลังกระทำกิจการใดๆ เผลออยู่ก็ดี มีผู้มากระทำร้ายให้ถึงแก่มรณภาพลงในทันทีทันใด โดยมิได้รู้ตัวเลย เช่นนี้มัคคสิทธิฌาณก็ย่อมจะบังเกิดขึ้นแก่ท่านก่อนแล้วจึงจะจุติ ตราบใดที่มัคคสิทธิฌาณยังไม่เกิดขึ้นแล้ว พระอนาคามีบุคคลประเภทนี้จักไม่มีการจุติเลยเป็นอันขาด ต่อเมื่อมัคคสิทธิฌานบังเกิดขึ้นแล้ว ท่านจะจุติไปปฏิสนธิ ณ พรหมโลกดังกล่าวนั้น

    และเมื่อท่านไปอุบัติเกิดในพรหมโลกแล้ว ย่อมจักมีโอกาสได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพาน ตามประเภทแห่งพระอนาคามี ๕ จำพวกคือ
    ๑. อันตราปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานภายในอายุครึ่งแรกของสุทธาวาสพรหมโลกที่ท่านไปเกิดนั้น

    ๒. อุปหัจจปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานภายในอายุครึ่งหลังของสุทธาวาสพรหมโลที่ท่านไปเกิดอยู่นั้น

    ๓. อสังขารปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ในภูมินั้นโดยสะดวกดายไม่ต้องใช้ความพยายามมากแล้วดับขันธ์ปรินิพพาน

    ๔. สสังขารปรินิพพายี... ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ได้ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลก ภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินั้นโดยต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าแล้วดับขันธ์ปรินิพพาน

    ๕. อุทธังสโตอกนิฏฐคามี...ได้แก่พระอนาคามีบุคคลที่ไปอุบัติเกิด ณ สุทธาวาสพรหมโลกชั้นต่ำ คือพรหมโลกชั้น อวิหาภูมิ แล้ว จึงจุติไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสพรหมโลกชั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ คือ
    อตัปปาภูมิ
    สุทัสสาภูมิ
    สุทัสสีภูมิ
    อกนิฏฐกาภูมิ
    แล้วจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์ปรินิพพานที่ชั้นอกนิฏฐกาภูมิ สุทธาวาสพรหมโลกเอง
    คุณวิเศษที่พรรณนามานี้ เป็นคุณวิเศษแห่งพระอนาคามีอริยบุคคลผู้ทรงพระคุณ อันประเสริฐในพระบวรพุทธศา่สนาผู้ซึ่งจะไม่กลับมาสู่กามภูมิคือเทวโลกและมนุษยโลกนี่อีกเลยในอนาคตกาล สำหรับในปวัตติกาล หากสมัยใดมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุับัติตรัสในโลกแล้ว พระอนาคามีอริยบุคคลซึ่งเป็นองค์พระพรหมผู้วิเศษสถิตย์อยู่ ณ ปัจสุทธาวาสพรหมโลกทั้งหลาย ก็ย่อมจะจรมาสู่มนุษยโลกเรานี้ เพื่อที่จักได้ทอดทัศนาและได้สดับพระสัทธรรม แห่งองค์สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว เช่นนี้ก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ก็ทรงดำรงฐานะอยู่ในภาวะเป็นนาถะที่พึ่งของประชาสัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏสงสารโดยทรงโปรดประทานพระธรรมเทศนาอันประเสริฐสุด เหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฎีกา ย่อมสามารถที่จะพาตนออกจากวัฏสงสารได้ โดยตัดสัญโญชน์โซ่เหล็กจัญไรที่พันผูกคอตนไว้เป็นลำดับไป เข้าสู่จุดหมายอันเพริศพริ้ง กล่าวคือแดนพระอมตะมหานิพพานใกล้เข้าไปทุกทีประดุจ เช่นพระอนาคามีอริยบุคคลที่กล่าวมานี้ ฉะนั้นจึงควรที่เราท่านทั้งหลายที่มีโชคดี เกิดมาพบพระุบวรพุทธศาสนาในชาตินี้ จะน้อมใจให้เลื่อมใสในพระพุทธคณให้จงมากเถิด อย่าได้เคลือบแคลงสงสัยอะไรเลย แล้วรีบปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เพื่อที่จักน้อมนำเอาสมเด็จพระจอมมุนีพุทธเจ้ามาเป็นนาถะที่พึ่งของตัวเราให้จงได้


    อรหัตโลกุตรภูมิ

    โลกุตรภูมิขั้นที่ ๔ อันเป็นขั้นสูงสุด มีนามว่า อรหัต โลกุตรภูมิ คือภูมิที่พ้นจากโลก กล่าวคือท่านผู้สมควรแก่การบูชา หมายความว่า ท่านผู้ใดบรรลุถึงภูมินี้แล้ว ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพระอรหันต อริยบุคคล เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ท่านที่จักได้บรรลุถึงโลกุตรภูมิขึ้นสูงสุดนี้ ต้องเป็นผู้ที่ำบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานผ่านโลกุตรภูมิขึ้นที่ ๓ มาแล้ว และปรารถนาที่จักได้บรรลุคุณวิเศษอันประเสริฐสุด จึงรีบรุดตั้งหน้าอุตสาหะเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ยิ่งขึ้นไป เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ ได้ส่วนสมดุลลเสมอกันเป็นอันดี เพราค่าที่มีวาสนาบารมีอันตนได้สั่งสมอบรมมาถึงภาวะที่เรียกว่า เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว สภาวญาณก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณ เป็นต้นไป จนกระทั่งถึง สังขารุเปกขาญาณ แต่สภาวญาณเหล่านี้จะปรากฎชัดเจนละเอียดแจ่มแจ้งเป็นที่สุด ต่อจากนั้น อนุโลมญาณก็จะเกิดขึ้น ตามติดด้วย โวทานะ ครั้นแล้ว จตุตถมรรค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระอรหัตมรรค ก็จะพลันอุบัติขึ้นและเมื่อพระอรหัตมรรคอุบัติขึ้นแล้ว ก็จะเป็นเสมือนดาบที่คมกล้าสามารถฟาดฟันประหัตประหารบรรดาสรรพกิเลสทั้งหลายที่หมักดองอยู่ในขันธสันดานมานานนักหนา ให้ถึงภาวะหมดไปโดยสิ้นเชิง และโซ่เหล็กกล่าวคือ สัญโญชน์ที่ยังเหลืออยู่อีก ๕ ประการ ก็ให้มีอันขาดสะบั้นหมดลง ตั้งอำนาจแห่งพระอรหัตมรรคที่อุบัติขึ้นในขณะนี้ ต่อจากนั้นพระอรหัตตผลก็จะเกิดตามติดมา ให้ท่านได้เสวยอารมณ์พระนิพพาน เป็นขันธวิมุติหลุดพ้นจากเบญจขันธ์ กล่าวคือรูปนามเป็นพระมหาขีณาสพ ถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง กิเลสธุลีแม้แต่เท่ายองใยก็ไม่มีเหลือติดอยู่ในขันธสันดาน

    อนี่ง พึงทราบไว้ในที่นี้ด้วยว่า ท่านที่สามารถจะปฏิบัติเพื่อให้พระอรหัตมรรคบังเกิดขึ้นในขันธสันดานได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วย ปัญญา กล่าวคือมีปัญญาบารมีที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว พระอรหัตมรรคนี้ จึงจักอุบัติเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ในพระบวรพุทธศาสนาที่สุดบูชาแห่งพวกเราชาวพุทธบริษัทนี้ จึงเป็นพระศาสนาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหลัก ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุมรรคผลอันประเสริฐสุดเป็นโลกุตระนี้ จะต้องบรรลุด้วยหลัก ๓ ประการ ดังกล่าวแล้ว คือ
    ๑.จะบรรลุพระโสตาปัตติมรรค และพระสกิทาคามีมรรคได้ด้วย อธิศีล คือศีลขั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด

    ๒. จะบรรลุพระอนาคามิมรรคได้ด้วย อธิจิต คือมีจิตเป็นสมาธิชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด

    ๓. จะบรรลุพระอรหัตมรรคได้ด้วย อธิปัญญา คือปัญญาชั้นยอดเยี่ยมสมบูรณ์ที่สุด
    ประเภทพระอรหันต์

    พระอรหันต์อริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนานี้ เมื่อกล่าวโดยประเภทแล้วก็ย่อมมีอยู่ ๒ ประเภทคือ
    ๑.เจโตวิมุติอรหันต์... ได้แก่โยคีบุคคลผุ้ปฏิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานมาก่อนแล้ว ภายหลังมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ดี หรือโยคีบุคคลผู้ที่ปฏิบัิติเฉพาะแต่วิปัสสนากรรมฐาน แต่เมื่อพระอรหัตมรรคจะอุบัติขึ้นนั้น ฌาน ก็อุบัติขึ้นในขณะนั้น นั่นเองด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการเช่นนี้ก็ดี ท่านเหล่านี้มีชื่อว่า ฌาณลาภี บุคคล คือสำเร็จฌานสมาบัติได้วิชา ๓ อภิญญา ๖ มีคุณพิเศษในทางสำแดงฤทธิ์เดชทั้งหลาย เช่นสามารถเหาะเหิรไปในอากาศเวหาหาวได้เป็นต้น

    ๒. ปัญญาวิมุติอรหันต์... ได้แก่โยคีบุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วนๆ ไม่ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐานมาก่อนเลยและเมื่อพระอรหัตมรรคจักอุบัติขึ้นนั้น ฌานก็ไม่มีเกิดขึ้นด้วยเลย ท่านเหล่านี้มีชื่อว่า สุกขวิปัสสกะ คือ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้ง ไม่สามารถที่จะสำแดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
    นอกจากนี้ พระอรหันต์อริยบุคคลทั้งหลาย ยังแบ่งโดยประเภทแห่งคุณพิเศษได้ ๒ ประเภท คือ
    ๑. ปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์...ได้แก่พระอรหันต์ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา เพราะเมื่อท่านจะได้บรรลุพระอรหัตมรรคพระอรหัตผลนั้น ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ คือ
    ก. อรรถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ
    ข. ธรรมปฏิสัมภิทา แตกฉานในธรรม
    ค. นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในภาษา
    ง.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา แตกฉานในปฏิภาณ
    ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นพร้อมกับขณะที่ท่านได้บรรลุมรรคผล ด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการ

    ๒. อัปปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์... ได้แก่พระอรหันต์ผู้ซึ่งไม่แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านพระอรหันต์ประเภทนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มูคพระอรหันต์ คือพระอรหันต์ผู้ไม่มีความรู้ในพระปริยัติธรรม

    ก็การที่ท่านจักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณพิเศษประเภทฌานลาภีบุคคล คือมีฌาณกล้าสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ก็ดีทรงคุณพิเศษประเภทแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ ก็ดี ทั้งนี้ด้วยอำนาจแห่งบุรพาะิการ ที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาแต่อดีตชาติ กล่าวคือเมื่อชาติปางก่อนนั้น ท่านประกอบการอันเป็นบุญกุศลใดๆ ย่อมได้เคยตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาไว้โดยนัยว่า
    "ต่อไปภายหน้า เมื่อข้าฯ ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันตสาวกแห่งองค์สมเด็จพระทศพลแล้วไซร้ ขอให้มัคคสิทธิฌานหรือพระปฏิสัมภิทาญาณจงบังเกิดขึ้นพร้อมกับการให้บรรลุมรรคผลนั้นเถิด"
    ด้วยอำนาจแห่งบุรพาธิการดังนี้ ท่านจึงได้เป็นฌานลาภีอรหันต์ หรือเป็นปฏิสัมภิทาปัตตอรหันต์ดังกล่าวมา ฝ่ายว่าท่านพระอรหันต์ผู้ไม่มีญาณหรือไม่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ก็เพราะไม่มีบุรพาธิการ กล่าวคือในอดีตชาติ เมื่อท่านประกอบกองการกุศลใดๆ แล้วไม่เคยได้ตั้งความปรารถนาเช่นกล่าวเอาไว้ดังนั้น คุณพิเศษคือฌานและปฏิสัมภิทาญาณจึงไม่เกิดขึ้น


    คุณวิเศษ

    ท่านพระอรหันต์อริยบุคคล ผู้เป็นพระมหาขีณาสพเจ้าทรงคุณวิเศษขั้นสูงสุดในพระบวรพุทธศาสนานี้ ท่านตัดสัญโญชน์ที่เหลือได้หมดเด็ดขาด รวมทั้งสิ้น ๕ ประการ คือ
    ๑. รูปราคะสัญโญชน์... ความยินดีในรูปภพ คืออยากไปเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ อยู่ ณ รูปพรหมภูมิ ๑๖

    ๒. อรูปราคะสัญโญชน์...ความยินดีในอรูปภพ คือความอยากไปเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษสุดอยู่ ณ อรูปพรหมภูมิ ๔
    ยังจำได้ไหมเล่า? ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายว่า รูปพรหมภูมิและอรูปพรหมภูมนี้ คือภูมิในวัฏสงสารชั้นไหน ถ้าชักจะงงๆ ก็จงเปิดกลับไปดูตอนต้นโน่น คือ ตอนที่ว่าด้วย อุปริมสงสาร นั้นแล้ว ก็คงจะเข้าใจได้และคงหายงง
    ๓. มานะสัญโญชน์...ความถือตัวซึ่งได้แก่ อหังการ์และมนังการ์

    ๔. อุทธัจจะสัญโญชน์... ความที่จิตฟุ้งไป โดยที่จิตไม่สามารถจะตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวได้นานๆ

    ๕. อวิชชาสัญโญชน์... สภาพที่ไม่รู้พระจตุราริยสัจจธรรม... คือโง่ พูดอีกทีว่า "โมหะ" ความมืดหลงแห่งจิต

    ในกรณีนี้ หากจะมีผู้สงสัยว่า ความไม่รู้ในสภาพธรรมกล่าคืออวิชชานี้ เหตุไฉนจึงยังเหลือติดค้าง คอยให้พระอรหัตมรรคประหารอยู่อีก เพราะเมื่อมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ก้ได้เห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาได้ทุกครั้งไป เหตุไฉนจึงยังมีอวิชชาเหลืออยู่อีกเหล่า น่าสงสัยนักหนา?

    วิสัชนาว่า อย่าสงสัยเลย ทั้งนี้ก็เพราะมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือพระโสตาปัตติมรรค ๑ พระสกิทาคามิมรรค ๑ พระอนาคามิมรรค ๑ เมื่ออุบัติขึ้น ย่อมเห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาได้ทุกมรรคก็จริง แต่ว่ามรรคเหล่านี้มีสภาพเป็น วิชฺชูปมา ธมฺมา คือมีสภาพเหมือนกับฟ้าแลบ ตามธรรมดาฟ้าแลบ ที่เราเห็นแปลบปลาบกันอยู่ในยามราตรีมืดตื้อนั้น ย่อมมีแสงสว่างเกิดขึ้นแวบหนึ่ง แล้วความมืดก็ปกคลุมต่อไป ในกรณีแห่งมรรคเบื้องต่ำทั้ง ๓ เห็นพระจตุราริยสัจกำจัดอวิชชาก็เช่นเดียวกับอุปมาที่ว่ามานั้น ส่วนพระอรหัตมรรคนี้มีสภาพเป็น วชิรูปมา ธมฺมา คือมีสภาพเหมือนกับฟ้าผ่า ตามธรรมดาสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมานั้น สิ่งที่กีดขวางอยู่จะไม่ถูกทำลายเป็นอันไม่มี ในกรณีนี้ก็เหมือนกัน กล่าวคือเมื่อพระอรหัตมรรคผ่าลงมาแล้ว กองอวิชชาหรือโมหะที่ประจำจิตติดอยู่ในขันธสันดานมานานไม่รู้ว่ากี่แสนโกฏิกัปนั้นย่อมจะพลันถูกทำลายแตกกระจายสูญหายไปหมดสิ้น ไม่เหลือติดอยู่ในจิตสันดาน คือไม่อาจปกคลุมได้อีกต่อไปเลย

    รวมความว่า บัดนี้ บรรดาสรรพกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลายซึ่งเอามารวมเรียกไว้ในที่นี้ว่า สัญโญชน์ ได้ถูกตัด ถูกประหัต ประหารด้วยอำนาจพระอริยมรรคญาณต่างๆ หมดสิ้นแล้วใช่ไหมเล่า? เพื่อให้เข้าใจดี จะขอกล่าวซ้ำทบทวนดูอีกทีดังนี้
    ๑. พระโสตาปัตติมรรค ประหารได้ ๓ สัญโญชน์ คือสักกายทิฏฐิสัญโญชน์ ๑ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ ๑ สีลัพพตประมาสสัญโญชน์ ๑

    ๒. พระสกิทาคามิมรรค ประหารไม่ได้สักสัญโญชน์เดียว แต่มีอำนาจพิเศษ คือทำกิเลสทั้งหลาย อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ซึ่งเรียกว่า ตนุกร
    ๓. พระอนาคามิมรรค ประหารได้ ๒ สัญโญชน์ คือ กามราคะสัญโญชน์๑ ปฏิฆะสัญโญชน์ ๑

    ๔. พระอรหัตมรรค ประหารได้ ๕ สัญโญชน์ คือรูปราคะสัญโญชน์๑ อรูปราคะสัญโญชน์ ๑ มานะสัญโญชน์ ๑ อุทธัจจะสัญโญชน์๑ อวิชชาสัญโญชน์ ๑
    พระอรหันตอริยบุคคล นอกจากจะสิ้นกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารโดยการตัดสัญโญชน์ได้หมดสิ้นดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังสามารถเข้าสู่อรหัตตผลสมาบัติเสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามจิตปรารถนาอีกด้วย แต่ที่วิเศษสุดก็คือ ท่านหมดกิจอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เป็นพระมหาขีณาสสวเจ้าผู้ทรงคุณวิเศษประเสริฐสุดกว่าประชาสัตว์ทั้งปวง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ต้องทนทุกข์ทรมาณอยู่ในห้วงมหรรณพสงสารอีกต่อไป เมื่อถึงอายุขัยแล้ว ท่านก็ดับขันธ์เข้าสูพระปรินิพพาน ซึ่งเป็นแดนอมตะแสนสุขเกษมนักหนา เป็นอันว่าท่านสามารถยึดถือสมเด็จพระจอมมุนีบรมไตรโลกนาถผู้ทรงเป็นนาถะที่พึ่งของประชาสัตว์ในไตรโลกเอามาเป็นนาถะที่พึ่งของตนได้อย่างแท้จริงแน่นอนเป็นที่สุด

    ท่านพุทธบริษัทผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อองค์สมเด็จพระจอมมุนีผู้ทรงมีพระบารมี เพื่อพระโพธิญาณอันอบรมบ่มมานานหนักหนาได้เสด็จมาอุบัติตรัสในมนุษย์โลกเรานี้แล้ว ย่อมทรงเปรียบเหมือนประทีปแก้ว ส่องให้ประชาสัตว์ในไตรโลกได้เห็นว่าตนกำลังถูกมัดให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร แล้วก็ทรงแนะนำพร่ำสอน ถึงวิธีการออกจากวัฏสงสารด้วยการตัดสัญโญชน์ ฝ่ายประชาสัตว์ผู้มีปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเทพยดา อินทร์ พรหม และมนุษย์ เมื่อเชื่อตามกระแสพระพุทธฎีกาแล้ว ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ย่อมสามารถที่จะนำตนออกมาจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร เข้าไปเสวยสุขอยู่ในแดนพระนิพพานได้ชัี่วนิรันดร์กาล ฉะนั้น สมเด็จพระจอมมุนีศาสดาจารย์ จึงควรอย่างยิ่งแก่การที่จะได้รับสดุดีว่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

    บัดนี้ เราท่่านทั้งหลาย เกิดมาปะเหมาะพบพระบวรพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้เข้าพอดี จึงนับว่าเป็นโชคดีเหลือเกิน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะมามัวประมาท ทำเป็นนิ่งเฉยมิรู้มิชี้เสียอย่างนั้น จะเป็นการสมควรแก่ตัวเราผู้โชคดีแลหรือ โดยที่แท้ เราต้องอุตสาหะพยายามปฏิบัติให้เกิดภาวนามยปัญญาเห็นความวิเศษสุดแห่งพระพุทธศาสนา เพื่อหาทางออกจากทุกข์วัฎสงสารให้จงได้ เพื่อจักได้หายเหน็ดเหนื่อยเป็นการหยุดพักผ่อนตลอดกาล ด้วยการเสวยนิพพานสมบัติอันเป็นบรมสุขกันเสียที เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ จึงจะสามารถนำพระองค์มาเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุดได้เป็นบรมสุขกันเสียที และตัวเรานี้ก็จักได้ชื่อว่าเป็นสาวกอย่างแท้จริง ขององค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ู้ผู้ทรงเป็นที่พึ่งอย่างยอดเยี่่ยมแห่งประชาสัตว์ในไตรโลก

    พรรณนาในเรื่องพระบรมไตรโลกนาถ สมควรที่จะยุติลงได้แล้ว จึงขอยุติลง ด้วยประการฉะนี้
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ ๆ
    ในบุญกุศลทั้งหลาย
    และท่านที่ได้นำพระธรรม
    มาเผยแพร่ด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  3. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    -ขอบคุณมากครับ กล่าวเกี่ยวกลับพระอรหันได้ ระเอียดมากครับ

    ยังไงผมก็เชื่อว่า ผู้หมดกิเลสแล้วย่อมไม่เกิดบนโลกอีก

    อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...