หนังสือมุนีนาถทีปนี20 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารขณะนี้นั้น ที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล ย่อมเป็นไปมิได้เลยเป็นอันขาด จงเชื่อเถิด แม้จะอุบัติเกิดในภูมิที่ดี ภูมิสูง เสวยสมบัติวิเศษสุดดุจพระยามหาจักรพรรดิราชก็ดี มีทิพยสมบัติประเสริฐหนักหนา ดุจองค์สมเด็จอมรินทราธิราชเจ้าจอมสวรรค์ชั้นไตรตรึกษ์ก็ได้ หรือมีความสุขแสนวิเศษดุจองค์พรหมเมศร์ ณ เบื้องพรหมโลกทั้งปวงก็ดี แต่ที่จะเที่ยงแท้ยั่งยืนเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ย่อมเป็นไปมิได้อย่างเด็ดขาด ย่อมจะต้องรู้พลัดรู้พรากรู้ฉิบหาย ตายจากสมบัติ จากความสุขนั้นๆ ไปเป็นธรรมดา ในเมื่อถึงคราวสิ้นอายุหมดบุญแล้ว ก็ย่อมจะแคล้วคลาดเคลื่อนจากวัฏสงสารที่กล่าวมานี้ และการที่จะไปเกิดในภูมิอะไรนั้น ก็เป็นไปตามอำนาจกรรมแห่งตน คือ

    หากว่ามีอกุศลกรรม ได้แก่มีบาปอันหยาบช้าลามกที่ตนทำไว้ด้วยใจสกปรกใจหมองเศร้า บางทีเล่า ก็พลัดไปเกิดในจตุรบายคืออบายภูมิทั้ง ๔ มีโลกนรกเป็นต้น ต้องกระวนกระวายเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเหลือประมาณ เพราะเป็นเหฏฐิมสงสาร การพลัดไปเกิดในภูมิขั้นต่ำ ถ้าทำความดีประกอบกรรมที่เป็นกุศลไว้ กรรมที่เป็นกุศลก็จะดลบันดาลให้ขึ้นมาอุบัติในมัชฌิมสงสาร คือเกิดในมนุษยภูมิ มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างปะปนกันอยู่ตามที่รู้ๆ กันอยู่นี้ ถ้าทำความดีไว้มากก็ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา ณ สวรรค์ชั้นฟ้า มีหน้าตาชื่นบานได้รับความสุขสำราญดีกว่ามนุษย์เป็นไหนๆ เพราะเต็มไปด้วยกามคุณอารมณ์ ถ้าได้สร้างสมาสมาธิจิตบำเพ็ญภาวนา จนบรรลุถึงฌานต่างๆ แล้ว ก็ไม่แคล้วที่จักไปอุบัติเกิด ณ พรหมโลกเป็นองค์พรหมเมศร์ กรรมที่ทำไว้ ถึงอายุขัยก็ต้องจุติไปเกิดในภูมิอื่นอีกต่อไปตามยถากรรม แล้วเฝ้าพำนักอยู่ และก็เวียนไปเวียนมาอยู่ในมหาสมุทรทะเลหลวง กล่าวคือวัฏสงสารนี้เรื่อยไปไม่มีวันหยุดยั้งเที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในที่แห่งเดียวได้เลย เพื่อความกระจ่างแจ้งในข้อนี้ พึงทราบความวิจิตรพิสดารของวัฏสงสาร ซึ่งจะกล่าวอย่างย่อๆ ดังต่อไปนี้

    อันว่าฝูงสัตว์นรกนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุในนรกขุมที่ตนเสวยทุกข์โทษนั้นแล้ว บางทีก็กลับเกิดซ้ำอยู่ในนรำขุมเก่านั้นอีกก็มี บางทีก็ไปเกิดในนรกขุมอื่นๆ ก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นเปรต บางทีไปเกิดในกำเนิดอสุรกายก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานก็มี บางทีก็มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ บางทีถ้าเคยได้ประกอบกรรมอันเป็นบุญกุศลมาก่อนบ้าง ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

    อันว่าฝูงเปรตทั้งหลายนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากเปรตวิสัยแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วกลับเกิดเป็นเปรตซ้ำอีกก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดียรแานก็มี บางทีพอหมดบาปกรรมแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีก็เคยได้ประกอบกรรมอันเป็นกุศลมาก่อนบ้างก็ได้ ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

    อันว่าฝูงอสุรกายทั้งปวงนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากอสุรกายภูมิแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วกลับเกิดเป็นอสุรกายซ้ำอีกก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็มี บางทีไปเกิดเป็นเปรตก็มี บางทีไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี บางทีก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีถ้าเคยได้ประกอบกุศลกรรมความดีไว้บ้างแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

    อันว่าฝูงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายนั้น ครั้นเขาสิ้นอายุตายจากติรัจฉานภูมิแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วต้องกลับเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอีกเช่นนี้ก็มี บางทีก็ไปเกิดในกำเนิดเปรตก็มี บางทีก็ไปเกิดเป็นอสุรกายก็มี บางทีก็มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ก็มี บางทีถ้าเคยได้ประกอบกุศลกรรมความดีไว้ ก็ได้มีโอกาสไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้า

    อันว่ามนุษย์ชายหญิงท้งหลายในมนุษยโลกเรานี้ เมื่อแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ก็ได้ ๒ ประเภท คือ
    ๑. อันธพาลปุถุชน... ได้แก่คนพาลสันดานหยาบ บุญบาปไม่คำนึงถึง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่งประดุจคนตาบอด แต่เข้าใจว่าตนเป็นยอดคนในเชิงความคิด เที่ยงแผลงฤทธิ์ประพฤติทุจริตเกเร มีจิตใจหวนเหไปข้างบาป มีใจอาบไปด้วยความชั่วเช่นนี้ ครั้นเขาดับขันธ์สิ้นชีวี ตายจากมนุษย์แล้วก็ไม่แคล้วที่จะต้องไปเกิดในอบายภูมิ คือไปเกิดเป็นสัตว์นรก ๑ เป็นเปรต ๑ เป็นอสุรกาย ๑ เป็นเดียรฉาน ๑ เช่นนี้ก็มี บางทีอันธพาลปุถุชนนี้ ก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ซ้ำอีกแต่หลีกกรรมชั่วไปไม่พ้น เขาจึงเป็นคนทุรพลพิการเป็นพาลอัปลักษณ์บัดสีมีน้ำใจโหดหื่น ผู้อื่นเห็นเขาเป็นคนสันดานร้ายเพราะใจเขามิรู้จักบุญและบาปเลย

    ๒. กัลยาณปุถุชน ... ได้แก่คนดีมีสันดานงาม มีศีลธรรมประจำใจประกอบไปด้วยหิริความละอายต่อบาปและโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปกรรม พยายามจะทำแต่ความดี มีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น บำเพ็ญกุศลอยู่เนืองๆ เช่นนี้ ครั้นเขาดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัยตายไปจากมนุษย์แล้ว ก็ย่อมไม่แคล้วที่จะไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สวรรค์เมืองฟ้าชั้นใดชั้นหนึ่ง เช่นจตุมหาราชิกาสวรรค์ และไตรตรึงษ์สวรรค์เป็นต้น เช่นนี้ก็มีบางทีก็กลับมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ซ้ำอีก แต่หลีกกรรมดีงามที่ตนทำไว้ไม่พ้น เขาจึงเกิดเป็นคนที่อุดมไปด้วยมนุษย์สมบัติ เกิดในตระกูลสูง ฝูงชนพากันรักใคร่ได้รับความสุขสบายนักหนา และกัลยาณปุถุชนอีกจำพวกหนึ่งนั้น มีน้ำใจอาญหาญเหลือประมาณ ได้กระทำสมถกรรมฐานบำเพ็ญภาวนากรรม จนสำเร็จฌานต่างๆ ครั้นเขาวางวายสิ้นชีวิตจากโลกนี้แล้ว ก็ไม่แคล้วที่จักไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมผู้วิเศษ ณ พรหมโลก

    อันว่าเหล่าเทพยดาผู้สถิตเสวยสุขอยู่ ณ เทวโลกทั้งหลายนั้น ครั้นเขาหมดอายุถึงกาลจุติแล้ว บางทีก็ไม่แคล้วอุบัติเกิดเป็นเทพยดาอยู่ที่สวรรค์ชั้นเดิมซ้ำอีก เช่นนี้ก็มี บางทีก็ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหม ณ พระหมโลกก็มี บางทีก็ลดลงมาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ บางทีมีบาปอกุศลที่ตนเคยทำก็จะมีอันเป็นให้วาบหวำตกลงมาจากเทวโลก จุติไปอุบัติเกิดในจตุรบาย คือเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดียรฉาน เช่นนี้ก็มี ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามอำนาจแห่งอกุศลที่ทำไว้เป็นที่น่าสังเวชสลดใจนัก

    อันว่าพระพรหมผู้มเหศักดิ์ทั้งหลาย ซึ่งสถิตย์อยู่ ณ เบื้องบรมพรหมโลกนั้นเล่า ครั้นเขาสิ้นอายุจุติจากพรหมโลกแล้วบางทีก็ไม่แคล้วต้องอุบัีัติเป็นพระพรหมอยู่ ณ พรหมโลกนั้นก็มี บางทีก็กลับมาเกิดเป็นคน ณ มนุษยโลกเรานี้ แต่ที่จะไปอุบัติเกิดในจตุรบายภูมินนั้นมิได้มี ที่ว่ามานี้ มิใช่ว่าพระพรหมทั้งหลายท่านปิดอบายภูมิได้ เป็นแต่เพียงว่า ท่านที่จุติจากพรหมโลกแล้ว จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิใดในชาติที่ ๒ เท่านั้น ในชาติต่อไปนั้นไม่แน่ อาจจะไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลาย ภูมิใดภูมิหนึ่งก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น มีพระพรหมผู้วิเศษองค์หนึ่ง ซึ่งหมดอายุจุติจากพรหมโลกแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ หากว่าคนที่เคยเป็นพระพรหมแล้ว มาเกิดเป็นคนในมนุษยโลกเรานี้ หากว่าคนที่เคยเป็นพระพรหมมาก่อนนั้น มีความประมาทประกอบกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าเช่น ปาณาติบาต เป็นต้น และก่อนที่จะตาย จิตยึดเหนี่ยวเอาอกุศลปาณาติบาตนั้นเป็นนิมิตตารมณ์ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่คนผู้นั้นเคยเป็นพระพรหมมาก็ตาม ก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิื คือต้องเป็นสัตว์นรก เพราะอกุศลชาตินี้ชักนำไป ฉะนั้น จึงได้ว่าพระพรหมทั้งหลายท่านไม่ไปเกิดในอบายภูมิในชาติที่ ๒ เท่านั้น แต่ชาติต่อไปนั้นไม่แน่

    สภาพการณ์แห่งวัฏฏสงสาร ย่อมเป็นเช่นที่กล่าวมานี้แล ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนั้น ที่จะมีอันเป็นเที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล ย่อมจะเป็นไปมิได้เลย ย่อมจะต้องมีอันเป็นให้ท่องเที่ยวไปเกิดในโลกที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง และสุขบ้าง ทุกข้บ้าง สลับสับสนปะปนกันไป หากคราวใดได้มีโอกาสไปเกิดในโลกที่ดีมีความสุข กล่าวคือเทวโลกหรือพรหมโลกแล้ว คราวนั้นนับว่าเป็นการดี แต่ทีนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงไปอุบัติเกิดใน
    โลกชั่ว เช่นโลกนรกและโลกเปรต เป็นต้นแล้ว ย่อมไม่แคล้วที่จะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และเป็นการยากนักหนาที่จักยกตนขึ้นมาจากโลกชั้นต่ำนั้นได้ เพราะจะต้องมีอันเป็นให้เวียนตายเวียนเกิดอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแสนนาน

    อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวเวียนวนอยู่อย่างมะงุมมะงาหลาในวัฏสงสารนี้นัน นับว่าเป็นการเวียนวนไปมาไม่มีเวลาสิ้นสุด กรณีนี้สิน่าสะพึงกลัวนักหนา ลองหลับตานึกวาดภาพดูบัดนี้เถิดว่า ประชาสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งตัวเราที่กำลังเป็นมนุษย์อยู่ขณะนี้ด้วย ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นครั้งใดเป็นต้องตายลงไป ครั้งนั้น เกิดทีไรเป็นต้องตายทุกที ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ไม่มีวันหยุดยั้ง ตัวเรานี้เอง เกิดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่ไม่รู้ตัว มาทำเป็นหลงลืมเสียเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำวางทีท่าเป็นมนุษย์อย่างสง่าผ่าเผยในขณะนี้ ก็เพราะอวิชชา คือความไม่รู้ในเรื่องชาติภพมันปิดบังเสียเท่านั้นเอง และต่อไปนี้อีกไม่นาน ตัวเราก็ต้องตายแล้วใช่ไหมเล่า? ตายแล้วก็เกิดอีก แต่เฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้ตลอดไปและตลอดไปไม่มีวันสิ้นใุดลงได้ ดังนั้นท่านจึงว่า วัฏสงสาร เป็นภัยที่น่ากลัวกว่าสิ่งที่น่ากลัวทั้งหลายในทุกโลก


    พระสัพพัญญูเจ้า

    ลำดับนี้ จึงมีปัญหาต่อไปว่า จะทำอย่างไร จึงสามารถนำประชา
    สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งต้่องตายและต้องเกิดเวียนวนไปมาอย่างไม่หยุดนี้ ให้รอดพ้นจากวัฏสงสารอันมีภัยใหญ่น่าสะพึงกลัวนั้นเสียได้

    คำวิสัชชนาก็มีอยู่ว่า อย่าไปคิด...อย่าไปทำด้วยตนเองให้ยากลำบากไปเปล่าๆ เลย ไม่สำเร็จดอก ถึงจะทำอย่างไรๆ ก็ไม่สำเร็จ ต่อให้มีฤทธาศักดาเดช เป็นองค์พรหมเมศร์องค์อินทร์และพญายมราช หรือแม้แต่มนุษย์ผุ้มีความเพียรเป็นอุกฤษฐ์ ประพฤติตบะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์เป็นโยคีฤาษีชีไพรก็ดี หรือผู้มีความคิดยอดเยี่ยม ทำตนเทียมเทวดา มีปฏิภาณโวหารกล้า มหาชนยกย่องนับถือกันทั่วทั้งโลกก็ดี หากว่ายังมีสันดานเป็นพาลปุถุชน ไม่รู้พระจตุราริยสัจธรรมแล้ว ก็มิอาจที่จะนำประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้สำเร็จ อย่าว่าแต่ผู้มีกิเลสทั้งหลายตามที่กล่าวมาแล้วนี่เลย แม้แต่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ท่านเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสขาดออกจากจิตสันดานได้จนหมดสิ้นแล้วด้วยพระองค์เอง ถึงกระนั้น พระองค์ท่านก็สามารถนำพระองค์ออกจากวัฏสงสารได้ แต่ลำพังพระองค์ท่านผู้เดียวเท่านั้น แต่ไม่ทรงสามารถที่จะนำประชาสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสารไปได้

    แต่วิสิฐบุคคลผู้หนึ่งนั้นไซร้ ได้มุ่งมั่นด้วยหฤทัยหมายใคร่จะรื้อขนสัตว์โลกออกไปจากวัฏสงสาร จึงปรารถนาพระโพธิญาณ อุตส่าห์สร้างสมอบรมบ่มพระบารมีมานานนักหนา และพอพระบารมีแก่กล้าก็ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกอุงค์อัครบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้จตุราริยสัจธรรมเป็นพระอรหันต์ หมดกิเลสเป็นสมุึจเฉทประหานด้วยพระองค์เมื่อหมดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหานด้วยพระองค์แล้ว มีน้ำพระทัยประกอบไปด้วยพระกรุณาใหญ่ พระพุทธองค์เจ้านี่เอง พระพุทธองค์เจ้านี้แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น จึงจะทรงสามารถนำประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้ ขอให้พวกเราชาวพุทธบริษัท พึงตระหนักในข้อนี้ให้จงดี จักได้มีน้ำใจเลื่อมใสในพระมหากรุณาธิคุณแห่งสมเด็จพระจอมมุนีโดยยิ่ง

    ก็การที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎจอมมุนีนาถบรมศาสดาจารย์เจ้าทรงสามารถนำประชาสัตว์ออกจากวัฏสงสารได้นี้ พระองค์ทรงสามารถนำออกไปได้จริงๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู คือทรงมีพระปัญญาแหลมคม ทรงรู้ทุกสิ่งทุกประการ เกินกว่าที่ปัญญาแห่งสามัญสัตว์จะรู้ได้ สิ่งไรที่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้เป็นอันไม่มี ในกรณีที่พระองค์เป็นพระสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งอย่างละเอียดลออ เกินวิสัยของปัญญาสามัญสัตว์ตลอดไตรโลกนี้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงเห็นตัวอย่างที่ท่านยกไว้อย่างอุกฤษณ์ ดังต่อไปนี้

    สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้า พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณนั้น ย่อมทรงรู้บุญรู้บาปแห่งสัตว์ทั้งปวง พระองค์ทรงรู้ได้โดยละเอียด รู้โดยอุปเทสสิ้นท่วงสิ้นที หาผู้ที่จะเสมอเหมือนมิได้ ดุจใตกรณีตัวอย่าง คือ

    ชาวบ้านร้อยคนพันคนพากันกระทำอกุศลกรรม ฆ่าเนื้อตัวเดียวกัน หรือฆ่าสุกรตัวเดียวกันก็ดี เจตนาในการฆ่าแห่งชาวบ้านทั้งปวงนั้น จะได้เหมือนกันก็หามิได้ คือ บางคนมีเจตนากล้าหาญ คิดทำการฆ่าด้วยลำพังใจตนเอง บางคนมีเจตนาฆ่าอ่อน ห่าเพราะมีผู้ชักชวนหรือมีผู้ใช้ บางคนเสียมิได้จำใจต้องฆ่า บางคนกลัวคนอื่นเขาว่าจึงต้องฆ่า แต่บางคนเมื่อร่วมกันฆ่าเนื้อ หรือสุกรนั้นมีจิตชื่นชมโสมนัสในการฆ่า บางคนก็ได้แต่มัธยัสถ์เป็นอุเบกขา มิได้ยินดียินร้ายในการฆ่านั้น บางคนมิได้ลงมือฆ่าเป็นแต่ช่วยโห่ช่วยร้อง บางคนไม่โห่ไม่ร้อง ได้แต่เพิกเฉยอยู่จะห้ามเสียก็ไม่ห้าม เพราะตกลงปลงใยด้วยเจตนาในการฆ่าย่อมมีเป็นต่างๆ กันเช่นนี้ จะได้มีเหมือนกันนั้นหามิได้เลย

    เมื่อชาวบ้านเป็นร้อยเป็นพัน พากันกระทำอกุศลกรรมในคราวเดียวร่วมกัน เช่นวามานี้ สมเด็จพระจอมมุนีสัพพัญญูเจ้า ย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์ละเอียดละออ แต่แรกกระทำ โดยทรงรู้ว่า "บรรดาชาวบ้านที่ทำอกุศลกรรมด้วยกันในครั้งนี้ หากแตกายทำลายขันธ์ไปแล้ว...

    ผู้นี้จักได้ไปเิกิดในสัญชีวนรก
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในกาฬสุตตนรก
    ผู้โน้นจักได้ไปเกิดในสังฆาฏนรก
    ผู้นี้จักได้ไปเกิดในรุวนรก
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในมหาโรรุวนรก
    ผู้โน้นจักได้เกิดในตาปนรก
    ผู้นี้จักได้ไปเกิดในมหาตาปนรก
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในอเวจีนรก
    ผู้โน้นจักได้ไปเกิดในอุสสทนรก
    ผู้นี้จักได้ไปเกิดในยมโลกิยนรก
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิดในนิชฌามตัณหิกเปรต
    ผู้โน้นจักได้ไปเกิดเป็นขุบปิปาสิกเปรต
    ผู้นี้จักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานมีเท้ามาก
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานประเภทสัตว์ไม่มีเท้าและผู้โน้นมีบาปน้อยกว่าคนทั้งปวง บาปในครั้งนี้มิอาจจะให้ปฏิสนธิได้ ต่อเมื่อใดกรรมอื่นให้ผลปฏิสนธิแล้ว บาปที่ตนกระทำในครั้งนี้จึงจะพลอยให้ผล
    ชนชาวบ้านร้อยคนพันคนร่วมมือกันกระทำอกุศลกรรมอย่างเดียวกัน กระทำในคราวเดียวกัน คนเหล่านั้นจะได้รับทุกข์โทษ ต้องเสวยผลแห่งบาปต่างกันเป็นประการใดๆ ก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์ทุกสิ่งทุกประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นแรกลงมือกระทำทีเดียวดังนัยดังพรรณนามานี้

    ในกรณีที่ทำกุศลกรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อชาวบ้านเป็นร้อยเป็นพันร่วมมือกันทำบุญอย่างเดียวกัน และกระทำในคราวเดียวกัน สมเด้จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงรู้แจ้งประจักษ์อย่างละเอียดลออทุกประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นลงมือกระทำ พระองค์ก็ทรงรู้ว่า "บรรดาคนทั้งปวง ซึ่งพากันประกอบกองการกุศลด้วยในครั้งนี้ ย่อมมีกุศลเจตนาต่างกันเป็นอย่างๆ เมื่อจะได้เสวยผล ก็เสวยผลต่างกันอย่างนี้ๆ คือ
    ผู้นี้จักได้ไปเกิด ณ ปรินิมมิตวสวัตตีสวรรค์
    ผู้นั้นจะได้ไปเกิด ณ นิมมานรตีสวรรค์
    ผู้โน้นจะได้ไปเกิด ณ ดุสิตสวรรค์
    ผู้นี้จักได้ไปเกิด ณ ยามาสวรรค์
    ผู้นั้นจักได้ไปเกิด ณ ดาวดึงส์สวรรค์
    ผู้โน้นจักได้ไปเกิด ณ จาตุมหาราชิกาสวรรค์
    ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นภุมมเทวดา
    ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นมเหสักขาเทวราชผู้ใหญ่
    ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นฐานันดรที่สองรองเทวดาผู้ใหญ่
    ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นฐานันดรที่สามรองเทวดาผู้ใหญ่
    ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นทวดารับใช้
    ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลกษัตริย์
    ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพราหมณ์
    ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็มนุษย์ในตระกูลพระยามหาอำมาตย์
    ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลรองจากพระยามหาอำมาตย์
    ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพ่อค้าพานิช
    ผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลชาวนา
    ผู้โน้นจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลพ่อครัว
    ผู้นี้จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์คนใช้ของผู้อื่น

    และผู้คนอื่น มีบุญน้อยกว่าคนทั้งปวง บุญในครั้งนี้มีผลน้อยมิอาจจะให้ปฏิสนธิได้ ต่อเมื่อใดบุญกรรมอื่นให้ผลปฏิสนธิแล้ว บุญที่ตนกระทำในครั้งนี้จึงจะพลอยให้ผลได้

    จึงเป็นอันว่า ชนร้อยคนพันคนร่วมมือกันกระทำกุศลกรรมอย่างเดียวกัน แลเขาเหล่านั้นจะได้รับผลแห่งกุศลที่ตนประกอบขึ้นต่างๆ กัน เป็นประการใดๆ ก็ดี สมเด็จพระจอมมุนีชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมทรงรู้แจ้งประจักษ์อย่างละเอียดลออทุกสิ่งทุกประการ ตั้งแต่เขาเหล่านั้นแรกลงมือประกอบการทีเดียว ด้วยประการฉะนี้

    กรณีตัวอย่างที่กล่าวมานี้ ย่อมจักชี้ให้เห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงอบรมบ่มพระบารมีมาช้านาน จนกระทั่งได้ตรัสแ่ก่พระปรมาภิเศาสัมโพธิญาณนั้น พระพุทธองค์ท่านย่อมทรงไว้ซึ่งความเป็นพระสัพพัญญู กล่าวคือทรงรู้แจ้งประจักษ์ชัดในสภาวธรรมทุกสิ่งทุกประการ โดยที่พระองค์ทรงประกอบด้วยพระสัพพัญญูตญาณอันหาญกล้า ทรงไว้ซึ่งพระปัญญาเกินกว่าสามัญสัตว์โดยประการทั้งปวง สมควรที่ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจะไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นพระสัพพัญญูของพระองค์อีกต่อไป (การฝึกให้รู้ทุกสิ่งนี้ ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ "วิธีสร้างสรรค์ภูมิปัญญา" จัดพิมพ์โดยคณะสังคมผาสุก)

    ก็ในเมื่อสมเด็จพระพุทธองค์ทรงไว้ซึ่งความเป็นพระสัพพัญูเช่นนี้ และได้มีโอกาสเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกแล้ว องค์พระประทีปแก้วจึงทรงชี้ให้เห็นเหล่าประชาชนสัตว์ได้ทราบโดยนัยว่า

    บรรดาสัตว์ในไตรโลก คือสัตว์ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในเหฏฐิมสงสารหรือภูมิเบื้องต่ำ ซึ่งได้แก่สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดียรฉานก็ดี สัตว์ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในมัชฌิมสงสาร หรือภูมิเบื้องกลาง ซึ่งได้แก่มนุษย์และสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ในอุปริมสงสารหรือภูมิเบื้องสูง ซึ่งได้แก่พระพรหมผู้วิเศษทั้งหลายก็ดี สัตว์เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนตกอยู่ในอำนาจของวัฏสงสาร คือต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิเหล่านี้ ต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และไม่มีวันพักผ่อน ไม่ว่าจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในภูมิไหน

    อะไรเป็นเหตุให้ต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารเช่นนี้เล่า? ก็เพราะเหตุที่ยังมีกิเลสติดอยู่ในจิตสันดาน ตราบใดที่ยังมีกิเลสติดอยู่ในจิตสันดานแล้ว ก็จะถูกกิเลสนี่แหละมันพาให้หลงติดอยู่มิรู้หยุดหย่อน เมื่อพูดถึงกิเลสตัณหาที่นอนนิ่งอยู่ในสันดานของประชาสัตว์นี่แล้ว แต่ละสัตว์แต่ละบุคคลก็มีอยู่มากมายเหลือพรรณนา ท่าย่อมว่า กิเลส ๑๕๐๐ ตัณฆา ๑๐๘ ย่อมมีเป็นประจำอยู่ในสันดานของแต่ละบุคคล การที่จะจับเอากิเลสตัณหามาจาระไนทีละตัวนั้น ย่อมเป็นการยากนักหนา ฉะนั้นจึงขอรวบรัดกล่าวว่า กิเลสตัณหาอันมากมายเหล่านั้น รวมเรียกว่าเป็นสิ่งจัญไรสิ่งหนึ่ง ซึ่งคอยผูกมัดสัตว์ทั้งหลายให้เวียนตายเกิดอยู่ในโลกต่างๆ สิ่งจัญไรที่ว่านี้ มีชื่อว่าสัญโญชน์​


     

แชร์หน้านี้

Loading...