สูดกลิ่นความตายที่วัดย่านยาว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pongsiri, 11 เมษายน 2005.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    เรื่อง : จักรพันธุ์ กังวาฬ

    ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๗

    [​IMG]

    สายลมเย็นรื่นโชยผ่านหน้าวัดย่านยาว บางขณะหอบเอากลิ่นศพเหม็นเอียนคลุ้งมาด้วย ด้านในกำแพงวัดยังมองเห็นภูเขาโลงศพไม้ซ้อนสูงเป็นกองพะเนิน
    ผู้คนทั้งไทยและต่างชาติคลาคล่ำอยู่หน้าวัด ต่างมีใบหน้าหม่นหมองอมทุกข์ หลายคนมุงที่หน้าบอร์ดติดประกาศ ไล่สายตาหวั่นวิตกไปตามบรรดาภาพถ่ายศพผู้เสียชีวิตที่ติดเรียงราย ศพแล้วศพเล่า...ทั้งเพศชาย หญิง และเด็ก หลายศพขึ้นอืดบวมเป่ง จนไม่อาจจำเค้าหน้าเดิมได้

    แม้ตั้งใจมาตามหาญาติมิตรที่สูญหาย แต่คงไม่มีใครอยากเห็นผู้เป็นที่รักกลายเป็นร่างไร้ชีวิต
    หญิงวัยกลางคนร่างท้วมในชุดดำ ถึงกับทรุดฮวบจนญาติต้องรุมล้อมเข้าประคอง นางร่ำไห้คร่ำครวญน่าเวทนา

    "ใช่ลูกสาวของป้าแน่ ผมจำนาฬิกากับชุดเครื่องแบบของแกได้" ผู้ชายคนนั้นบอก
    หลังคลื่นสึนามิพัดถล่มภาคใต้ ลูกของป้าสองคนได้สูญหายไป ลูกผู้ชายคนหนึ่งกับลูกสาวซึ่งทำงานเป็นพนักงานต้อนรับที่โรงแรมเทพทาโร ชายหาดคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ใกล้กับหาดเขาหลักซึ่งถูกคลื่นยักษ์พัดถล่มพินาศยับเยินตลอดแนว

    วันนี้ญาติพาป้ามาที่วัดย่านยาว เจอกับผู้ชายซึ่งทำงานที่เดียวกับลูกสาวของนาง เขาเล่าให้ฟังว่าเที่ยวตามหาศพของคนที่ทำงาน เมื่อวานเจ้าหน้าที่กู้ภัยขุดศพหนึ่งขึ้นจากซากปรักหักพังของโรงแรม เขาคิดว่าใช่ "เพ็ญจันทร์" ลูกสาวของป้าไม่ผิดตัว

    วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นศูนย์กลางการเก็บและชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากคลื่นยักษ์ทั่วจังหวัดพังงา ศพจากบริเวณเขาหลัก บางเนียง แหลมปะการัง บ้านน้ำเค็ม ล้วนถูกส่งมาที่นี่

    คนทั่วพังงาที่มีญาติมิตรสูญหาย จึงหลั่งไหลมาที่วัดแห่งนี้ไม่เว้นแต่ละวัน หากพบว่ารูปถ่ายบนบอร์ดติดประกาศเป็นญาติตน ก็สามารถไปทำเรื่องแจ้งขอรับศพได้ตามขั้นตอน แต่สำหรับผู้ที่ไม่พบศพญาติซึ่งมีเป็นจำนวนมาก สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้ในวันนี้ก็คือ เดินไปที่โต๊ะของอาสาสมัครที่ตั้งเรียงเป็นแนวอยู่หน้ากำแพงวัด รับบัตรคิวเพื่อกรอกใบแจ้งรูปพรรณสัณฐานของญาติที่หายไป แล้วไปที่โต๊ะตรวจดีเอ็นเอ ให้เจ้าหน้าที่เก็บดีเอ็นเอเอาไว้-ในกรณีที่เป็นญาติสนิท เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือลูกของผู้สูญหาย โดยใช้ไม้พันสำลีป้ายจากกระพุ้งแก้ม จากนั้นกลับบ้านไปเฝ้ารอ

    หากเจ้าหน้าที่ทำการชันสูตรศพ เปรียบเทียบพบว่าดีเอ็นเอของผู้เสียชีวิตตรงกับดีเอ็นเอของญาติที่แจ้งไว้รายใด ก็จะแจ้งผลให้ทราบภายใน ๓ เดือน

    ในวันนี้ไม่มีญาติรายใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปมองหาศพภายในวัดด้วยตาตนเอง เพราะขณะนี้กระบวนการชันสูตรศพ และเก็บดีเอ็นเอยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ต่างระดมสรรพกำลังทำงานกันอย่างรีบเร่ง เคร่งเครียด หน่วยงานหลักคือสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม โดยมีคุณหญิงแพทย์หญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ มาควบคุมการปฏิบัติงานอยู่ด้วย

    หากเดินผ่านหน้าประตูวัดเข้าไปก็จะพบบรรยากาศความพลุกพล่านอย่างชัดเจน โลงไม้เปล่าจำนวนมากตั้งเรียงกันอยู่ด้านซ้ายมือทางเข้า สนามหญ้าฝั่งขวาตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องเย็นสำหรับเก็บศพชาวต่างชาติที่ได้รับการชันสูตรแล้ว ลานพื้นปูนกว้างตรงกลางเต็มไปด้วยผู้คน ญาติที่มาค้นหาศพ อาสาสมัครกลุ่มต่าง ๆ ที่มาช่วยขนของ เก็บขยะ ขนศพ กำลังพักเหนื่อย จับกลุ่มยืนคุย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เดินสังเกตการณ์ ทั้งนักข่าว ช่างภาพจากสำนักข่าวต่าง ๆ เดินกันว่อน บ้างไปยังศาลาข้างวัดซึ่งใช้เป็นศูนย์ข้อมูล ภายในศาลาวางโต๊ะเตี้ยเรียงราย อาสาสมัครนั่งกับพื้น จดจ่อหน้าจอคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก บางส่วนคอยยืนให้คำอธิบายแก่ผู้ที่มาขอข้อมูล

    นักข่าวบางคนรีบไปที่ลานปูนหน้าวัด ทันทีที่คณะของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงหนึ่งมาถึง เสียงตามสายจากลำโพงตัวใหญ่แผดลั่น ประกาศว่าท่านรัฐมนตรีขอเชิญคุณหมอพรทิพย์มาพบ

    บทสนทนาที่ตามมาระหว่างคุณหมอและรัฐมนตรีที่สวมหน้ากากครอบกันกลิ่น ท่ามกลางวงล้อมนักข่าว บอกให้รู้ว่าการปฏิบัติงานที่นี่เต็มไปด้วยความติดขัดวุ่นวายเพียงใด

    "ทางเราขาดคนประสานงาน เรียนท่านเลยนะว่า...ทีมงานจากเชียงใหม่ที่มาช่วย จะกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วต่อเครื่องไปเชียงใหม่ไม่ได้-ก็พรทิพย์ ทีมงานที่ส่งมาช่วย มาลงภูเก็ต-มาที่นี่ไม่ได้-ก็พรทิพย์ คือมันควรจะมีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบ"

    รัฐมนตรี "คือตอนนี้มันมีหลายกลุ่ม ที่ทางรัฐบาลกำลังช่วยกัน"
    คุณหมอพรทิพย์ "ท่านขา ตรงนี้ พังงา เป็นเซ็นเตอร์ ๕,๐๐๐ ศพ เพราะฉะนั้นอย่าส่งผิดจุด"
    รัฐมนตรี "ไม่ใช่ คือตอนนี้บางหน่วยงานไปพบผู้บาดเจ็บ ต้องรีบเอาออกมา"
    คุณหมอพรทิพย์ "ถ้าอย่างนั้นบอกมาเลยว่าเอาคนเป็นก่อน คนตายทีหลัง จะได้บอกญาติกลับบ้านไปเลย สองอาทิตย์ค่อยมา คือเราว่าต้องแบ่งงานค่ะ ญาติคนหายก็อยากรู้ เราพร้อมให้ข้อมูล แต่ไม่มีหน่วยงานของรัฐมารองรับ"

    รัฐมนตรี "สภาพตอนนี้ ถ้าไม่มีคนมาช่วย คงไม่มีระบบถึงขนาดนี้ มีคนมาช่วย แต่อาจไม่ทันใจคุณหมอ"

    คุณหมอพรทิพย์ "ไม่ใช่ไม่ทันใจ บอกเลยว่า อย่างเราต้องการรถหกล้อมาขนศพออกไปเพื่อเตรียมรับศพใหม่ที่จะเข้ามา ไม่มีค่ะ พรทิพย์ต้องบัญชาเอง อาหารเลี้ยงก็ไม่มีนะคะวันนี้ น้ำก็ไม่มี คือประมาณว่าไม่มีผู้รับผิดชอบเลย ส่งมาแต่ตัวแทนซึ่งทำอะไรไม่เป็น ตอนนี้หมออยากได้คนที่มาประสานงานที่รู้เรื่อง ไม่ใช่ให้เราซึ่งทำหน้าที่พิสูจน์บุคคลก็แย่อยู่แล้ว ต้องมาตามหารถ หาช่างไฟฟ้า หาช่างประปา ทำทุกอย่างเลย"

    คณะท่านรัฐมนตรีกลับไปแล้ว บ่ายนั้นรถบรรทุกทหารสามสี่คันแล่นตามกันมาถึงถนนด้านหน้า ก่อนเลี้ยวเข้ามาจอดในวัด บรรดาอาสาสมัคร ทั้งหน่วยทหาร และคนทั่วไป ช่วยกันขนศพจากรถบรรทุก ไปยังด้านหลังของวัด ซึ่งเป็นบริเวณที่ทำการชันสูตรศพ

    ในขณะที่ด้านหน้าวัดเต็มไปด้วยคนเป็นพลุกพล่าน ส่วนหลังของวัดเต็มไปด้วยคนตาย และกลิ่นความตาย

    กลิ่นศพเข้มข้นคลุ้งตลบทั่วบริเวณ ลานดินกว้างขวางด้านหลังวัดกลายเป็นลานมรณะ เต็มไปด้วยศพในห่อผ้านอนเรียงรายเกลื่อนกลาด มองไปทางไหนเห็นแต่ศพเต็มไปหมด ทั้งบริเวณใต้ร่มไม้ใหญ่ หรือข้างโบสถ์ กลุ่มแพทย์นิติเวช และอาสาสมัครที่มาช่วยมัดห่อศพและขนศพ ต่างอยู่ในชุดเสื้อกาวน์ตัวยาวคลุมถึงขา แขนยาว มีผ้ากันเปื้อนทับอีกชั้น สวมหน้ากากปิดจมูกปาก สวมหมวกครอบศีรษะ สวมรองเท้าบู๊ต เดินขวักไขว่อยู่ไปมา แทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร บ้างช่วยกันตรวจสอบ หรือช่วยกันห่อศพที่เปลือยเปล่า

    ศพที่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยเพิ่งกู้เก็บจากแหล่งและส่งมาถึงที่วัด หากเป็นศพคนไทยจะถูกลำเลียงเข้าไปในศาลาด้านหลังวัด เพื่อให้ทีมแพทย์นิติเวชทำการชันสูตรศพและเก็บดีเอ็นเอไปตรวจ หากเป็นศพชาวต่างชาติ จะถูกแยกไปวางรวมกันที่ลานดินข้างศาลา มีทีมผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศรับผิดชอบการชันสูตร

    ในศาลามีแต่ความทึบทึม ศพซึ่งส่วนใหญ่เปลือยเปล่า บวมอืด ผิวคล้ำ ตัวแข็งทื่อ แขนขายกค้าง นอนเรียงกันอยู่บนพื้นเต็มศาลา บนร่างศพมีน้ำแข็งแห้งก้อนใหญ่สีขาววางอยู่เพื่อรักษาความเย็นไม่ให้ศพเน่ามากกว่านี้ ส่งควันสีขาวฟุ้งกรุ่นกระจายลอยเรี่ยทั่วพื้น คล้ายสายหมอกปกคลุมแม่น้ำในฤดูหนาว

    "หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการชันสูตรศพที่นี่ก็คือสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีทีมแพทย์นิติเวชจากหลายหน่วยงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เช่นทีมแพทย์จากโรงพยาบาลรามาฯ จากโรงพยาบาลท้ายเหมือง จากโรงพยาบาลเชียงใหม่ และที่อื่นๆ"

    นพ. สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ หัวหน้าศูนย์พิสูจน์บุคคลสูญหาย สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เล่าให้ฟัง
    คุณหมออธิบายว่า กระบวนการพิสูจน์บุคคลและชันสูตรศพผู้เสียชีวิต เบื้องต้นแพทย์จะทำการถ่ายภาพและจดบันทึกลักษณะที่เห็นภายนอก เช่น เพศ อายุ รูปร่าง ท่าทาง สีผม ผมสั้น-ยาว มีแผลเป็น-รอยสักหรือไม่ รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ ที่ติดตัวมา เช่น นาฬิกา สร้อยคอ แหวน ส่วนทันตแพทย์รับหน้าที่ตรวจบันทึกรายละเอียดลักษณะฟันของผู้เสียชีวิต จากนั้นเป็นกระบวนการเก็บดีเอ็นเอ

    ศ. นพ. ธานินทร์ ภู่พัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญการเก็บดีเอ็นเอจากโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ อธิบายว่า
    "ในขณะนี้ศพที่มาถึงจะเน่าหมดแล้ว จึงดูลักษณะภายนอกไม่ได้เท่าไหร่ อาจบอกได้ว่าเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ลักษณะของฟันเป็นอย่างไร การแต่งตัวใส่เสื้อผ้าอย่างไรแค่นั้น สิ่งที่สำคัญคือต้องเก็บดีเอ็นเอให้ถูกวิธี ในกรณีที่ศพเน่า ควรเก็บตัวอย่างจากกล้ามเนื้อ หรือเนื้อมดลูกในกรณีผู้หญิง เก็บชิ้นเนื้อเล็กประมาณหัวไม้ขีด แช่ในเอทานอล ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วนำไปสกัดตรวจดีเอ็นเอในห้องแล็บ"

    ข้อมูลของแต่ละศพจะถูกบันทึกเข้าคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ศพที่ชันสูตรเรียบร้อยแล้วจะได้รับการออก "หมายเลขประจำตัว" เป็นแผ่นป้ายผูกติดข้อมือ

    นพ. สุพิไชยเล่าว่า "ในช่วงวันแรกๆ ทีมแพทย์ต้องทำงานเร่งด่วนมากเลย เพราะศพที่มาถึงยังไม่เปลี่ยนสภาพมาก ต้องรีบถ่ายภาพและบันทึกรายละเอียด ผมทำงานทั้งคืนกว่าจะนอนเจ็ดโมงเช้า สิบเอ็ดโมงต้องตื่นมาทำต่ออีก ถึงวันนี้ศพที่มาถึงเน่าแล้ว แต่เรายังต้องทำงานแข่งกับเวลาอยู่ดี เพราะศพมาถึงเป็นจำนวนมาก ศพเก่าต้องรีบเคลียร์ออก เปิดพื้นที่รับศพใหม่ นับจากวันแรกถึงขณะนี้มีศพผู้เสียชีวิตส่งมาชันสูตรที่วัดย่านยาวจำนวนพันกว่าศพแล้ว"

    ศพที่ผ่านการชันสูตรถูกลำเลียงจากในศาลามาวางที่ลานดิน หน่วยห่อศพรับหน้าที่ต่อไป พวกเขาประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทหาร และอาสาสมัครที่เป็นบุคคลทั่วไป ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ห่อศพด้วยผ้าพลาสติกสามชั้น ใช้เชือกมัดเป็นปล้องจนแน่น แล้วเขียนหมายเลขประจำศพบนผ้าห่อชั้นนอก จากนั้นลำเลียงศพขึ้นรถบรรทุกที่มาจอดรอด้านหลังวัด

    ศพคนไทยจะถูกแยกย้ายนำไปฝังไว้ตามวัดต่าง ๆ ของจังหวัดพังงา ที่หลุมศพปักป้ายระบุหมายเลขศพไว้ด้วย เผื่อในอนาคตญาติที่ได้รับแจ้งว่ามีดีเอ็นเอตรงกัน จะมารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา หรือเจ้าหน้าที่สามารถนำศพขึ้นมาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้

    สำหรับศพชาวต่างชาติจะถูกนำไปเก็บรักษาในตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นห้องเย็น รอการจัดการลำดับต่อไป
    "ขอให้อาสาสมัครทุกหน่วยเตรียมพร้อม" เสียงประกาศจากคุณหมอพรทิพย์ "ศพชุดใหม่กำลังจะมาถึงวัดแล้ว"

    คาดว่าศพชุดใหม่ที่จะมาถึงมีจำนวน ๑,๖๐๐ ศพ !
    รถบัสขนาดเล็กจำนวนสามสี่คันของมูลนิธิกู้ภัยแห่งหนึ่งบรรทุกศพเคลื่อนเข้ามาก่อน ตามด้วยรถกระบะของมูลนิธิอื่นที่ขนศพมาด้วยเช่นกัน

    ตลอดช่วงเย็นวันนั้น รถกระบะของมูลนิธิกู้ภัยประจำจังหวัดต่างๆ ที่ยกกำลังลงสู่ภาคใต้ ทั้งจากอุบลราชธานี นครนายก ชลบุรี ฯลฯ ไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน วิ่งตามกันเป็นขบวนเข้ามาสู่ลานดินหลังวัดย่านยาวอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นรถติดในบางขณะ แต่ละคันบรรทุกศพมาเต็มกระบะหลัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยในเครื่องแบบหลากสีเดินกันเกลื่อน บ้างช่วยขนศพลงจากรถ

    "พี่เก็บศพมาจากไหน" นักข่าวตะโกนถาม
    "มาจากแหลมปะการัง เก็บศพยาก ติดอยู่ตามซากแผ่นไม้ ดงต้นโกงกาง" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตอบ ท่าทางดูเหนื่อยอ่อน
    อีกคนเสริมว่า "ยังเอาออกมาไม่หมด ไม่ไหว ล้าแล้ว"

    ถึงกระนั้นภาพเคลื่อนไหวบนลานดินยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เจ้าหน้ากู้ภัยสามถึงสี่คนช่วยกันหิ้วแขนขาของศพที่ตัวบวมเป่งน้ำหนักมาก ให้ลอยพ้นพื้น วิ่งกรูไปวางบนผ้าพลาสติกสี่เหลี่ยมที่ปูรองไว้สองชั้น ผ้าอีกผืนปูทับบนร่าง อาสาสมัครห่อศพรีบพับขอบผ้าด้านข้างมาทบกันตรงกลาง ม้วนขมวดเป็นสันกลม แล้วใช้เชือกผ้ามัดศพตามขวางเป็นเปลาะๆ แพทย์ในชุดกาวน์เดินตรวจตราศพต่างๆ น้ำแข็งแห้งวางทับบางศพด้านนอกส่งไอขาวฟุ้งไหลเรี่ยคลุมพื้นดิน

    ความเคลื่อนไหวเหล่านี้คงดำเนินไปจวบสนธยา ลานดินท้ายวัดย่านยาวค่อย ๆ มืดครึ้ม และเหมือนถูกปกคลุมด้วยแสงสีน้ำเงินอมม่วงแปลกประหลาด กลิ่นศพยังคงอบอวล ผสมกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อโรคที่ถูกฉีดฟุ้งกระจาย จนให้ความรู้สึกคล้ายกลิ่นเอียนๆ ในโรงพยาบาล

    อาสาสมัครช่วยห่อศพคนหนึ่งกำลังยืนพัก เขาเป็นชายหนุ่มบ้านเกิดอยู่ที่ตะกั่วป่า ขณะนี้ทำงานในกรุงเทพฯ แต่พอทราบข่าวร้ายก็รีบลางาน นั่งรถทัวร์กลับมาช่วยเหลือที่นี่ทันที เขาคุยให้เราฟังว่า

    "ตะกั่วป่าเป็นเมืองเล็ก บอกได้เลยว่าทุกคนต้องมีญาติหรือคนรู้จักสักคนหนึ่งที่ตายหรือสูญหายไป อย่างผมเองก็มีเพื่อนอายุไม่ถึงสามสิบที่เป็นเจ้าของกิจการริมหาด หายไปตั้งหลายคน"

    เพื่อนสื่อมวลชนอีกคนเปรยว่า "มาเห็นอย่างนี้แล้วปลง ศพมากมายไปหมด มันดูน่ากลัวจนถึงขั้นไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว"

    อย่างน้อยฉากและเหตุการณ์ในลานดินท้ายวัดย่านยาวก่อนความมืดมาเยือน ช่วยแสดงให้เห็นว่า ครั้งนี้มนุษย์ตัวเล็กจ้อยเป็นฝ่ายถูกธรรมชาติบดขยี้จนย่อยยับ กระทั่งคนที่เคยมีชีวิต พูด คุย หัวเราะ ร้องไห้ กลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เหลือเพียงตัวเลขไม่กี่หลักไว้ระบุตัวตนเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...