สิ้นภพ-สิ้นชาติ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    สิ้นภพ-สิ้นชาติ

    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

    จากหนังสือ พุทธจารปูชา


    โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 12845 โดย: ตรงประเด็น 14 ก.ย. 47​

    สิ้นภพ-สิ้นชาติ

    “ ทางพระสอนให้ล่ะชั่ว ทำความดี แต่ไม่ให้ติดอยู่ในความดี ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้น จนไม่ติดดีติดชั่ว จึงจะพ้นโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุข ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็น เทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆหมดลง ก็ย่อมต้องกลับเวียนว่ายตายเกิดอีก

    ทางพระจึงสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้ รวม ระวัง ตั้งมั่น… ทำจิตให้มีปัญญารู้ตามความจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆออกเสีย จึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง”

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 33)

    ยอดของบารมี

    “เรื่องการภาวนา เป็นยอดของบารมีทั้งหลาย เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ กำลังปัญญาให้เข้มแข็ง สามารถต่อสู้เอาชนะกิเลสน้อยใหญ่ได้

    เมื่อไม่รู้จักภาวนา ก็ปล่อยให้พวกกิเลสเป็นเจ้านายผู้บงการการกระทำของตน ตนก็เลยเป็นทาสของกิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรมไม่ดี สะท้อนเอาความทุกข์ยากมาสู่ตนเอง”

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 33)

    ความเพียร

    “บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียรไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ ............ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า.......เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ ให้มันตาย มนุษย์เผาไฟแล้วจึงค่อยถอย ถ้ามันยังไม่ตายเราจะไปถอยความเพียรไม่ได้”

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 78)

    ข่าวมรณกรรมของผู้อื่นและของเรา

    “.ชีวิตของเรา ไม่เป็นของยั่งยืนเป็นของที่จะต้องตายลงโดยแน่นอน เวลานี้ เราอาจได้ยินข่าวมรณกรรมของผู้อื่น ของพระอื่นแต่อีกไม่นานข่าวนั้นต้องเป็นของเราบ้าง เพราะชีวิตทุกชีวิตจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ทั้งนั้น ฉะนั้น อย่าประมาทเรื่องความตาย ให้เร่งภาวนา ทำจิตใจให้หมดกิเลส หมดทุกข์ หมดร้อน ให้ได้ก่อนความตายจะมาถึง"

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 36)

    หลงศีล-หลงธรรม

    “ใจเราไปติดกิเลส ไม่ใช่กิเลสมาติดอยู่ในใจเราจึงหลงศีล หลงธรรม หลงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอยู่ที่อื่น ความจริงอยู่ที่กายวาจาจิตของพวกเราทุกคน มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ต้องไปหาที่อื่น มันอยู่ที่ความเพียร ความขยัน ความอดทน ความหมั่นในการภาวนาไม่ขาด”

    (จาก พุทธจารปูชา ช่วงคำนำ น.13)

    เกิด-ตายกับเกิด-ดับ

    “เป็นคนเป็นสัตว์ มันก็มีเกิดมีตาย ธรรมะไม่เกิด-ไม่ตาย มีแต่เกิด-ดับ กิเลสตายไปแล้ว ไม่มาอีก เหลือแต่ นิโรโธ นิพพานัง”

    ธรรมลิขิตจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร มกราคม 2536

    (จาก พุทธจารปูชา ช่วงคำนำ น.16)

    อย่าอวดดีจะตายทิ้งเปล่า

    “.อย่าว่าแต่คนเราธรรมดา แม้พระศาสดาเอกในโลกก็ยังดับขันธ์เข้าสู่นฤพาน เราท่านทั้งหลายจะไม่แตกไม่ตายนั้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องอวดดี ถ้าอวดดีแล้วจะตายทิ้งเปล่าๆ”

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 66)

    ความตายเปรียบ หมาล่าเนื้อ

    “ความตายนี้มันไล่ติดตามตัวเราอยู่เสมอ ท่านเปรียบอุปมาเหมือนหมาไล่เนื้อ ตามทันที่ไหน มันก็กัดเอาให้เนื้อนั้นตายฉันใด มรณะ ความตายที่ตามเราท่านทั้งหลายมาตั้งแต่เกิด เกิดมาแล้ว มันตาม มันไล่ล่า เท่ากับว่า เนื้อมันยังแข็งแรงอยู่ สุนัขมันยังไล่ไม่ทัน มันทันเวลาไหน ก็เอาเนื้อนั้นตายในที่นั้นไม่เลือกสถานที่”

    (จาก พุทธจารปูชา หน้า 76)
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    วาทะธรรม

    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

    คัดมาจาก หนังสือพุทธาจารานุสรณ์

    “หมาไล่เนื้อ”

    ท่านว่าคนเราเกิดมาบนโลกนี้ ความแก่ความชรา มันก็ไล่ติดตามอยู่เสมอ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไล่ติดตามอยู่เสมอ มรณภัยคือความตาย ขยับใกล้เข้ามาทุกวันคืน ท่านเปรียบอุปมาเหมือนหมาไล่เนื้อในป่า สมัยโบราณเขาเอาหมาไปไล่เนื้อ ไล่สัตว์ป่ามากินเป็นอาหาร เมื่อสุนัขมันเห็นสัตว์ป่ามันก็ไล่ ไป เมื่อสุนัขไล่ไปไล่อยู่ไม่หยุด ไม่หย่อนก็ย่อมมีเวลาทัน ทันเนื้อสัตว์ป่านั้น เมื่อทันที่ไหนมันก็กัดเอาจนเนื้อตัวนั้นตายไป

    ที่เราเกิดมาแล้วนี้มันได้ชื่อว่า เหมือนหมาไล่เนื้อมาโดยลำดับ มันใกล้เข้ามาเป็นลำดับๆ ฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงเตือนว่า ให้ภาวนามรณกรรมฐานไว้ มรณํ เม ภวิสสติ ให้พากันภาวนา ให้นึกถึงว่าความตายมันใกล้เข้ามา ไล่เข้ามาโดยลำดับ

    อีกไม่นานความตายนั้นก็จะเข้ามาถึงตัวเราทุกคน แต่ทุกวันนี้มันก็ใกล้เข้ามา เดี๋ยวก็ได้ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ตาย พระเณร พระท่านผู้เฒ่าผู้แก่ตายไป นี่คือว่ามันเหมือนหมาไล่เนื้อ เมื่อมาทันเวลาใด หมามันไม่ได้ยกเว้น มันกัดเอาจนเนื้อตัวนั้นตายไป ชราความแก่ พยาธิความเจ็บไข้ มรณภัยคือความตายอันมันไล่ติดตามตัวเรา อันมันไล่ติดตามเราท่าน ทั้งหลายอยู่นี้ ถ้าเราไม่รีบเร่งภาวนา ไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติให้ดีแล้ว เมื่อมรณภัย คือความตายมาถึงเข้าบุคคลผู้นั้น ย่อมมีความพลั้งเผลอ ลุ่มหลงเพราะไม่ได้ประกอบกระทำในภาวนาไว้ให้เพียงพอ ยิ่งเมื่อความแก่ชรา แก่ตัวมาเท่าไร พยาธิ โรคา มันก็มากขึ้น สติสตัง ก็ต้องตั้งขึ้นมา ให้มีสติ ความระลึกได้ จิตใจจึงจะตั้งมั่นในสมาธิภาวนาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจิตใจก็จะฟุ้งไปซ่านมา แส่ส่ายหาอารมณ์ต่างๆ ไม่มีที่จบที่สิ้น

    “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนสาด”

    มนุษย์เกิดมาไม่ใช่จะมีแต่คนรักกัน คนชังกัน คนหาข้อที่ทำลายชีวิตของเราก็มีอยู่ แต่เราไม่รู้ คนเกลียดคนชังก็มี คนรักนั้นมีน้อย คนชังนั้นมีมาก คนโบราณจึงแต่งคำสอนใจไว้ว่า

    คนที่มีความรักนั้นมีเท่าผืนหนัง เหมือนหนังวัวหนังควายมันมีจำกัด แต่ว่าคนชังนั้นมีเท่าผืนเสื่อ คนชังมันมีได้เต็มโลก มันมากกว่าคนรัก ฉะนั้นอย่าไปหลงคนรัก อย่าไปหลงอารมณ์กิเลส คนชังคนคอยเบียนเบียนมาก แต่เขาไม่บอกให้รู้

    เพราะบอกให้รู้มันก็ไม่พอใจของคน แต่ว่าคนที่ชอบคอพอใจกันทั้งนั้น คนหนึ่งสองคนก็รู้มาบอกว่า ข้าพเจ้าเคารพ นับถือท่าน แต่คนชังเขาไม่บอก

    โน่นละถึงฆ่ากันตายกลางถนนหนทางเป็นศพไปแล้ว แก้ไม่ได้อันนี้เค้าจึงแต่งคำกลอนว่า คนรักมีเท่าผืนหนัง คือน้อยนิดเดียวนะ คนชังเท่าผืนเสื่อสาด คนชังมันเห็นได้เต็มโลก คนทั้งโลกมาก คนรักคนชอบ พอใจมันน้อย คนชังมันมาก คือเป็นการเตือนใจทุกคนนั้นเอง

    “อภัยทาน”

    ฝึกหัดจิตใจในการให้ทาน ทานนี้ ทานวัตถุข้าวของใครก็พอมองเห็นได้ แต่ว่าอภัยทานการให้อภัยแก่คนอื่น สัตว์อื่นนี้คนเรามองไม่เห็น แล้วการปฏิบัติก็ไม่ได้

    ก็เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง ถ้าว่าอย่างหนึ่งก็เรียกว่าฝึกจิตอย่างสูง คือทุกสิ่งทุกอย่างมันจำเป็นต้องเสียสละให้อภัยแก่สัตว์ทั้งหลาย แก่คนและสัตว์ทั้งหลายที่เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อเราฝึกหัดจิตนั้นเอง ให้จิตมันเกิดความรู้ความฉลาด ขึ้นมาว่า สิ่งใดควรยึดสิ่งใดไม่ควรยึด สิ่งใดควรให้อภัย

    ในทางผู้ต้องโทษในประเทศไทยเมื่อเอาไปกักกันอยู่ในเรือนจำแล้วนานๆ ท่านก็มีให้อภัย โทษที่ตัดสินว่าให้อยู่เท่านั้นปี เท่านี้ปี เท่านั้นสิบปีก็มี ท่านก็ให้อภัยได้ อภัยทานจึงเป็นทานอันสูงสุด ตามธรรมดาก็ต้องติดคุกไป จนหมดโทษ แต่ให้อภัยคือว่าให้ลดโทษนั้นไปจนพ้นโทษ อันการหัดฝึกจิตฝึกใจของเราแต่ล่ะบุคคล อภัยทาน ให้อภัยแก่กัน คนอื่นผู้อื่นเขาไม่รู้ แม้เราจะไปแน่ะนำสั่งสอนอย่างไร ว่าอย่างไรก็ตามแต่ มันก็ไม่รู้ไม่เข้าใจอยู่นั้นแหละ

    “ภาวนาไม่เลือกสถานที่”

    ในวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เราไม่ควรประมาท นั่งที่ไหนก็ตั้งใจภาวนาในที่นั้น ยืนอยู่ที่ไหนก็ตั้งใจภาวนาในที่ยืน เดินไปไหนก็ให้ตั้งใจภาวนาในที่เดินไปนั้น แม้กระทั้งเรานอนแล้วแต่ยังไม่หลับก็ให้น้อมเอาดวงใจ เอาใจของเราให้หยุดให้อยู่ ให้สงบ ระงับได้นั้น

    แหละเป็นการดี จึงให้ชื่อว่าการภาวนาในทางพุทธศาสนา เราต้องตั้งใจประกอบกระทำให้เกิดให้มีขึ้น คนอื่นที่จะมาช่วยได้จริงๆนั้น มันก็ห่างไกลอยู่ ตัวเรานี่แหละพึ่งตัวเราเอง พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนไว้ว่า อตตาหิ อตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน จะคิดพึ่งคนอื่นมาภาวนาให้ไม่ได้ เราต้องภาวนาเอง แก้ไขจิตใจเราเอง

    “ลมปาก”

    ลมปากมนุษย์มันพอใจมันก็ว่าให้ดี ที่ลมปากมนุษย์มันไม่พอใจมันก็ด่าให้ว่าให้ อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อนทำใจของเราให้วางเฉย พุทโธอยู่ในดวงใจให้จิตใจเย็นสบายเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยภายในใจของเรานี่เอง บางคนเมื่อถูกความคิดเตียนนินทาเหมือนเอาน้ำร้อนมาลวกเข้าไป เต้นเหย็งๆ คือว่าไม่ภาวนา ว่าลมแรงยังไม่แรงเท่าลมปาก เขาว่าอย่างนั้น ลมแรงนั้นนานๆจึงจะพัดมาทีหนึ่ง แต่ลมปากมนุษย์มันพัดอยู่ทุกวันเวลา ใครไม่ภาวนาก็เป็นทุกข์เป็นร้อนถ้าเขาสรรเสริญเราก็ไม่ควรดีใจ ถ้าเขานินทาว่าร้ายป้ายสีก็ไม่ควรเสียใจ เพราะความสรรเสริญนินทานี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ความเที่ยงแท้แน่นอนมันอยู่ในจิตใจทุกคน ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง

    “ใจดวงเก่า”

    ใจของเรามันมีอยู่คนละดวงๆ ภายในตัวเราทุกๆคน ใจดวงนี้ไม่ได้ไปไหน ตั้งแต่มาปฏิสนธิในท้องแม่ จนคลอดออกมา เกิดมาแล้วก็จิตใจดวงเก่านี้เอง จิตใจดวงนี้มาแต่ภพก่อนหนหลังนับไม่ถ้วนแล้ว มาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตาย อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ในโลกจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีความรู้ความฉลาดยังไม่เพียงพอ ความโง่เขลาเบาปัญญายังมีอยู่เยอะ

    เพราะเราไม่ฝึกต่อกันมา เมื่อเรารู้ตัวอย่างนี้เราต้องฝึกฝนอบรมหลายอย่างหลายประการ นับตั้งแต่นั่งขัดสมาธิเพชร ไม่ได้ไม่ยอม เราต้องนั่งให้ได้ เราไม่ฝึกเราไม่สอนเราเอง ใครจะมาสอนล่ะ ไม่มีใครสอนยืนภาวนาก็ให้ได้ เดินภาวนาก็ให้ได้ ไปรถไปรายิ่งภาวนาให้มันมาก

    “กบเฝ้ากอบัว”

    ในข้อความบางอย่างท่านเปรียบเทียบไว้ว่า มีหนองบัวอยู่ มีบึงมีหนองอยู่ มีเจ้ากบนั้นก็นั่งเฝ้ากอบัวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าบนหัวของตัวมันมีดอกไม้ ดอกบัวมีน้ำหวานอยู่ในนั้น แมลงผึ้งก็มาเอาเกสรดอกไม้ เอาน้ำหวานของดอกบัว แต่ไอ้เจ้ากบก็นั่งเฝ้ากอบัวไม่รู้ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรล่ะ ถ้าร้อนขึ้นมาก็โดดน้ำ เย็นแล้วก็ขึ้นมานั่งเฝ้ากอบัว ท่านเปรียบให้เห็นว่า แมลงภู่แมลงผึ้งมันยังรู้จัก

    เจ้ากบนั่งเฝ้ากอบัว ดอกบัวอยู่บนหัวกลิ่นบ่ต้อง(ไม่ได้กลิ่นบัว) ภุมรินบินมาข้างบนเอาเกสรดอกไม้ไป โบราณเขาก็แต่งโคลงให้ว่า กบไม่รู้อะไร ผู้ไม่ภาวนาแม้คุณพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ คุณพระธรรมก็ไม่รู้ คุณพระสงฆ์ก็ไม่รู้ แล้วก็นั่งเฝ้ากอบัวคือนั่งเฝ้าธาตุทั้งสี่ ขันธ์ห้า นั่งเฝ้าตู้พระธรรมก็ว่าได้ ตัวเรานี้แหละเป็นตู้พระไตรปิฏก กาย วาจา จิต พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ กบก็คือจิต เราไม่ภาวนา ไม่สงบจิตสงบใจมานั่งเฝ้ากอบัวอยู่ นั่งเฝ้าดอกไม้ของหอมอยู่แต่ไม่รู้ เกิดมาแล้วก็มีตาก็ดูไป มีหูก็ฟังไป มีจมูกก็ดมกลิ่นไป มีลิ้นก็ลิ้มรสกินอาหารไป มีร่างกายก็กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งไป เมื่ออารมณ์ทั้งห้าผ่านมาแล้วก็เป็นอารมณ์อยู่ในจิต สิ่งใดชอบใจก็หลงไป สิ่งใดไม่ชอบใจก็โกรธขัดเคืองในจิตในใจ ไม่ให้อภัยแก่ใครทั้งนั้น คือว่าไอ้กบนั่งเฝ้ากอบัวคือเราทุกคนนี่แหละ..

    ..แต่ไอ้เจ้าผึ้งก็โง่อีก เมื่อเห็นแสงสว่างไฟฟ้า มันไม่รู้จักว่าไฟฟ้าแหละ ไม่รู้จักของร้อน เมื่อตัวบินมาแล้ว มาเห็นแสงสว่างเห็นแสงไฟ ก็คิดเข้าใจว่าของวิเศษ แก้วมณีโชติอยากได้ ไอ้ตัวความอยากตัณหาอันนั้นแหละ มันอยากได้ ลืมเสียว่าตัวบินมานั้น บินไปหาอะไร มาหาแก้วมณีโชติไฟไหม้นี่หรือ หรือบินไปหาเกสรดอกไม้น้ำหวาน

    ของดอกไม้ แล้วลืมเสีย ลืมของหวานที่จะเอาไปให้ลูกเต้ากิน เอาไปเลี้ยงพวกเพื่อนของตัวเอง ลืมหมด พอมาเห็นแสงสว่างของไฟนี่มันยังดีไฟไม่ไหม้ตัวมัน ถ้าเกิดเป็นไฟป่าบินเข้ามา อย่างนี้ก็ตาย ตายลูกเดียว นั่นคือแมลงผึ้งมันไม่รู้ แต่มันก็มีวิชาความรู้โดย

    ธรรมชาติ ว่าเกิดมาแล้วมันรู้เองว่าต้องไปหาน้ำหวานเกสรดอกไม้ แต่วาความรู้ว่าไฟร้อนไม่ได้เรียนไม่ได้รู้ ปู่ย่าตาทวดของผึ้งก็ไม่ได้สอน เพราะโง่มาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดของผึ้ง สอนแต่ให้หาเกสรดอกไม้และน้ำเย็น มันก็กินอย่างนี้ กินน้ำเย็นเยอะและก็กินน้ำผึ้งน้ำดอกไม้..
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]
    ความเพียร

    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

    พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๕

    ๓ มิถุนายน ๒๕๒๖


    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005160 – โดยคุณ : mayrin [ 8 พ.ค. 2545 ]​

    ณ บัดนี้ ได้เวลานั่งสมาธิภาวนา ให้พากันนั่งขัดสมาธิเพชร แสดงความองอาจกล้าหาญในใจ ให้จิตใจมีความเพียร ความหมั่น ความขยัน ตื่นขึ้นลุกขึ้นในหัวใจ อย่าปล่อยให้อำนาจถีนมิทธะ ความง่วง เหงาหาวนอนเข้ามาทับถม การนั่งสมาธินี้ ท่านมีระเบียบอยู่ว่าให้นั่งขัดสมาธิเพชร เอาขาซ้ายขึ้นทับขาขวา แล้วก็เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย เรียบร้อยแล้วหลับตา ตั้งใจบริกรรมภาวนา มี พุทโธ พุทโธในใจ เป็นต้น

    จิตใจหรือว่าจิตคนเรานั้นต้องฝึกฝนอบรมจึงจะเป็นไปได้ ให้ใจมันมีความเพียร ความหมั่น ความขยันไม่ให้เกียจคร้าน ไม่ว่าจะเป็นการท่องบ่นสาธยายพระธรรมคำสั่งสอน ก็ไม่ให้เกียจคร้าน ให้หมั่น ความเพียรนั้นคือว่าหมั่น ขยัน กราบพระ ไหว้พระ สวดมนต์ ก็อย่าเพียงหมายแต่ว่ามารวมในหมู่ในคณะกราบพระไหว้พระ เราอยู่คนเดียวก็กราบได้ไหว้ได้ นั่งสมาธิภาวนาได้ สวดมนต์ภาวนาได้ เดินจงกรมได้

    ความเพียรนี่แหละท่านว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญ วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้มีความพากเพียรพยายามแล้ว กิจกรรมการงานใด ๆ ไม่เหลือวิสัย ผู้มีความเพียรพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้มาภาวนาตั้งใจปฏิบัติไม่มีความเพียร แต่อยากให้จิตใจของตนพ้นจากความทุกข์ความเร่าร้อนต่าง ๆ นานา ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ

    อุบายมันอยู่ที่ไหน อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง ไม่มั่นคงอย่าไปถอย เมื่อจิตใจไม่ถอย จิตเพียรพยายามอยู่ หาวิธีการที่จะเอาชนะกิเลสในใจของตนให้ได้ เดี๋ยวนี้กิเลสในใจมันย่ำยีเหยียบกาย วาจาจิตของเราอยู่ ไม่ยอมให้เราลุกขึ้นปฏิบัติภาวนาได้เต็มที่ทำได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ความอยากได้มาก อันนี้ไม่ถูก

    เมื่อมีความเพียรอะไรมันจะเหลือ (วิสัย) ความเพียร ดูพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีความเพียร สี่อสงไขย แสนมหากัป ท่านยังมีความเพียร ความหมั่น ขยัน เอาจนสำเร็จลุล่วงไปได้นั่นแหละคือความเพียร ความเพียรไม่ใช่คำพูดอย่างเดียว เป็นการเพียรทางกาย เพียรทางวาจา เพียรทางจิต เพียรหมดทุกอย่าง เรียกว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร

    ถ้าเราจะมาท่องแค่คำพูดเท่านี้ จำได้แล้วก็ว่าได้ กิเลส ราคะละไม่หมดชื่อว่ายังไม่มีความเพียร กิเลสโทสะในใจของตัวเอง ยังไปยึดไปถือมันอยู่ ไม่ละให้หมด นั่นแหละมันยังไม่มีความเพียร กิเลสโมหะในใจยังไม่หมดไปสิ้นไป ไปถอยความเพียรได้ที่ไหน ต้องเพียรพยายามอยู่ทุกเวลา พระองค์ทรงตรัสว่า เพียรพยายามอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก คำว่าทุกลมหายใจเข้าออก นั่นคือว่า เพียรอยู่เสมอ ตั้งใจอยู่เสมอ ณ ภายใน นั่งก็ไม่ยอมให้มันง่วงเหงาหาวนอน ยืดตัวขึ้นไปให้มันสูงสุด ไม่ให้กระดูกสันหลังมันอ่อนลงไปได้ เรียกว่าเพียร เพียรพยายามฝึกตัวเองอยู่มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้

    เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ ให้มันตายมนุษย์เผาไฟแล้วจึงค่อยถอย ถ้ามันยังไม่ตาย เราจะไปถอยความเพียรไม่ได้

    ตื่นขึ้นลุกขึ้น ในจิตในใจ ใครจะคิดชั่วเหลวไหลให้เป็นเรื่องของเขา ใจเราไม่ต้องคิด คนใดจะพูดชั่วเหลวไหลไม่มีประโยชน์เป็นเรื่องของเขา ตัวเราทุกคน สิ่งใดไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ไม่พูดเสียเลย เพียรพยายาม ระวังรักษา รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ รักษาตัวก้อนเดียวตัวเดียวนี้ไม่ได้ จะจัดว่าเป็นผู้มีความเพียร มีภาวนาไม่ได้

    ความเพียร ความหมั่น ความขยันขันแข็ง ไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ เมื่อมันเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใด ๆ ขึ้นมาก็ให้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างลงสู้ สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเราเสียงไม่ดีเข้าหู ก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน

    ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน ไม่ว่าไฟนั้นจะเป็นไฟ วันไหน เดือนไหน ยุคใด สมัยใดก็ตาม ไฟธรรมดานี่แหละมันร้อน กิเลสในใจมนุษย์คนเรานั้นมันเป็นไฟ ไหม้หัวใจของตนอยู่ทุกเวลาเรายังเด็กอยู่ไฟไหม้ไม่ได้ ไม่ได้ (อย่างไร) ก็เหมือนไฟภายนอก เด็กไปเผลอเข้า มันไปเหยียบเข้า ไฟก็ไหม้เท้าไหม้ตีน เหยียบมากก็ไหม้มาก เข้าสู่กองไฟก็ตายเลย

    กิเลสราคะ กิเลสโทสะ กิเลสโมหะ ต้องภาวนาดูจึงจะรู้ว่ากิเลสมันอยู่ตรงไหน จะเลิกละได้โดยวิธีใด เราต้องตั้งตัวตั้งใจขึ้นมา อย่าไปปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาทับถมจิตใจ เมื่อจิตมันไม่มีความเพียรปล่อยให้กิเลสมันทับถม กายมันก็อ่อนแอท้อแท้ ขี้เซาเหงานอนมันก็ไหลมาเทมา ก็เพราะจิตมันไม่มีความเพียร จิตมันไม่ตื่นขึ้นไม่ลุกขึ้น จิตมันอ่อนแอท้อแท้ จิตมันขุ่นมัว มันไม่ใส พุทโธไม่อยู่ในจิต จิตไม่เข้าถึงพุทโธ พุทโธอยู่ภายในใจสว่างแจ้งไม่หลงใหลไปตามคนสัตว์วัตถุธาตุทั้งหลาย

    ตั้งใจยกจิตใจของตนขึ้นมา เอาจนให้ได้คำว่า ผู้มีความเพียรย่อมสำเร็จได้ทุกอย่างทุกประการ ตั้งใจทำตั้งใจพูด ตั้งใจคิด ตั้งใจภาวนา มันไม่เหลือวิสัยของผู้มีความเพียร ผู้มีเพียร คนมีเพียร ทำอะไรก็สำเร็จ พูดอะไรก็สำเร็จ คิดอะไรก็สำเร็จ เมื่อไม่มีความเพียร มันจะเอาอะไรมาเป็นความสำเร็จ ทำอะไรไม่ตั้งใจทำ ทำจนตลอดรอดฝั่งคือว่า เอาจริงเอาจังในใจ แม้พุทโธคำเดียวก็ได้สำเร็จมรรคผลเห็นแจ้งพระนิพพาน เพราะอะไรเพราะองค์นั้น ผู้นั้นทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ภาวนาจริง ๆ ตั้งจิตตั้งใจจริง ๆ ตั้งเนื้อตัวจริง ๆ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง เมื่อทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ ของจริงมันก็ปรากฏการณ์ขึ้นมา ในที่ความจริงนั่นแหละ ไม่ได้อยู่ในที่อื่น มันอยู่ที่จิตที่ใจของแต่ละบุคคล ไม่ต้องไปมัวสงสัยวิตกวิจารอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ทำจริงปฏิบัติจริง มันไม่จริงอย่าไปถอยความเพียร

    ดูพระสาวกในครั้งพุทธกาลท่านทำจริง ท่านเดินจงกรมอย่างเดียว เอาจนได้สำเร็จมรรคผล เห็นแจ้งพระนิพพาน ท่านทำอย่างไร คำว่าจริง ทีนี้ท่านนั่งภาวนามันก็ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนเราท่านทั้งหลายนี่แหละ ท่านก็ไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันสัปหงก ท่านไม่นั่ง ท่านเดินจงกรม คำว่าเดินจงกรมก็คือว่าเดินก้าวไปก้าวมา ในทางในเส้นทางจงกรมที่ท่านปัดกวาดไว้นั้น ไม่ยอดหยุดไม่ยอมนั่ง ถ้านั่งมันคอยหลับตา หลับตาก็ยิ่งร้ายใหญ่ เดินเอาอย่างเดียว เดินจนไม่รู้ว่ามันนานเท่าไรล่ะ เดินจนหนังเท้าแตกเลือดไหล เดินไม่ได้

    แล้วเราท่านทั้งหลายผู้นั่งภาวนาอยู่นี่เดินจงเท้าแตกเลือดไหลเดินไม่ได้ มีหรือไม่เห็นมี ไปทางไหนก็สวมรองเท้า กลัวตีนแตก เจ็บนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาไม่ไหวแล้ว ตายแล้วทำไมไม่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิดล่ะ นั่นแหละคือว่าใจท้อถอย ใจเกียจคร้าน ไม่ได้ดูพระแต่ก่อนท่านเดินจนกระทั่งหนังเท้าแตกเดินไม่ได้ เมื่อเดินไม่ได้ท่านก็ยังไม่ถอยความเพียร ถ้าเราสมัยนี้ถ้าถึงขนาดนั้นละก็นอนแผ่เท่านั้นแหละ ไม่เดินอีกต่อไป ไม่ภาวนาอีกต่อไป

    แต่ท่านไม่ยอม เมื่อเดินไม่ได้เข่ายันมี มือยังมี คลานเอา ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็คลานเดินจงกรมไป กลับไปกลับมา ไม่รู้ว่ากี่หนแหละ เข่าแตก หนังเข่าแตกไป ช่างมันไม่ใช่เข่าเรา เข่าของกิเลส มือแตกก็แตกช่างมัน เดินไม่ได้มันเจ็บ แตกเลือดไหล

    เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่เท่านั้นเองแหละ กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้น ภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านคลานเอา

    ทีนี้คลานไม่ได้ท่านทำอย่างไร ท่านก็ไม่ต้องนอนกันล่ะ แต่ท่านนอนขวางทางจงกรม แล้วไม่ใช่นอนนิ่ง ๆ ให้มันหลับ พลิกเหมือนกับเดินจงกรมในทางนั่นเองแหละเหยียดยาวลงตั้งแต่หัวถึงตีน ทีนี้มันก็ไม่มีที่ตรงไหนแตกแล้วทีนี้ กลิ้งไป พลิกไป จนสุดทางจงกรม กลิ้งกลับมาอีก เอาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นับไม่ถ้วน ท่านตั้งใจลงไปท่านไม่ยอมให้มันหลับมันไหล ไม่ให้มันฟุ้งซ่านไปที่อื่น เท้ามันเจ็บก็ไม่ให้ไปยึดไปถือ เข่ามันแตกก็ไม่ให้ไปยึดถือ มือแตกก็ช่างมือ มือผีหลอก มันหลอกให้หลง เข่าผีหลอก เท้าผีหลอก ท่านไม่ย่อท้อ ใจไม่ย่อท้อ อันนั้นแหละเรียกว่าความเพียร ไม่ใช่คำ "เพียร" พูดปลายลิ้นเท่านี้ ท่านมีความเพียรจริง ๆ ไม่ยอมให้มันนิ่ง ถ้านิ่งมันก็หลับ พลิกไปกลิ้งกลมไปเรื่อย มันจะตายก็ช่างสิ ได้ภาวนาทำความเพียรละกิเลสเป็นสิ่งสำคัญ ความตั้งใจองค์นั้น

    เมื่อถึงขั้น นอนเหยียดตามแผ่นดินแล้ว กลิ้งไปเถิดมันไม่แตกละทีนี้ มันไม่มีที่ไหนหนัก ถ้ายืนมันก็ไปลงหนักที่เท้าที่ตีน ถ้าคลานมันก็ไปที่เข่าที่มือ มันไปหนักที่นั้น ถ้านอนเหยียดยาวละก็ไม่มีที่ไหนจะไปหนักมันเท่ากันหมด แต่ไม่ใช่ท่านนอนหลับ เหมือนพวกเรา ไม่ใช่นอนภาวนา นอนกลิ้งไม่ยอมให้มันหลับ ไม่ยอมให้มันนิ่ง เรียกว่า สติสัมปชัญญะสมาธิท่านตั้งมั่นลงไป องค์นี้เรียกว่ามีความเพียรที่สุดในพุทธศาสนา ไม่มีองค์ใดที่จะได้สำเร็จแบบนี้ มีองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าท่านทำจริง

    เราทุกคนทุกดวงใจถ้ามีความเพียรขนาดนั้นล่ะคิดดูสิ ไม่ต้องไปถามหามรรคผลนิพพานล่ะ (ต้องได้แน่)ท่านเอาจนสำเร็จ แม้เราทุกคนก็เอาให้มันขนาดนั้นมันจะไปเหลือวิสัยได้หรือ มันยังไม่ถึงขั้นนั้นมันไปถอยเสียก่อน หยุดเสียก่อน มันกลัวตายน่ะ มันจึงได้มาเกิดมาตายอยู่ไม่จบไม่สิ้น มานอนอยู่ในท้องแม่นับภพนับชาติไม่ถ้วนก็เพราะจิตอันนี้ไม่มีความเพียร ไม่สมกับพุทธภาษิตที่ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงความทุกข์ได้ด้วยความเพียร ไม่ใช่เพียงคำพูดวาจาที่เปล่งออกมา มันเป็นการกระทำทั้งหมดนั่นแหละ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ดูที่ท่านทำจนกระทั่งถึงขั้นนอนจงกรมจนได้สำเร็จเป็นพระโสดา เป็นพระสกิทาคา เป็นพระอนาคา เป็นถึงพระอรหันตา ในทางจงกรมนั่นแหละในจิตที่ไม่หวั่นไหวพรั่นพรึง ไม่กลัวทุกข์ไม่กลัวตายไม่กลัวเจ็บ มันจะเจ็บก็เป็นเรื่องของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ร่างกาย สังขารเจ็บ จิตท่านมีความเพียร จิตท่านมีความขยันหมั่นเพียร ไม่กลัวอะไรทั้งหมดละ มันจะไม่สำเร็จนั้นไม่มี

    ให้เตือนใจของเราว่าเราได้ทำความเพียรเหมือนพระอรหันต์องค์นั้นหรือไม่ ถ้ายังไม่ถึงก็เอาให้มันถึงไม่ถึงให้มันตายเสียดีกว่า มารอกินข้าวสุกทุกวัน ใจขี้เกียจ ใจขี้คร้าน ใจขี้นอนหลับ ใช้ไม่ได้ ให้ตื่นลุกขึ้นอย่าไปเพียงว่าเห็นคนอื่นง่วงเหงาหาวนอน ตัวเองไม่เห็นตัวเอง ใจตัวเอง ไม่เห็นกาย ไม่เห็นจิต ไม่เห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏสงสาร ยังจะมาเข้าใจผิดคิดหลงไปว่า ความสุขความสบายในรูป ในนาม ในตัว ในตน ในสัตว์ ในบุคคลในมนุสสโลก ในเทวโลก พรหมโลก ยังมีความสุขอยู่ มันจะหาเอาความสุขอันเป็นสุขโลกีย์นั้น มันก็ได้แค่โลกียสุขเท่านั้น ไม่ถึงขั้นภาวนาละกิเลสได้

    จงตั้งใจบำเพ็ญภาวนา ลืมตาดูกาย วาจาจิตของเราเอง อย่าไปมัวเล่นไปมัวขี้คุยอยู่ พูดอะไรต่อมีอะไร ให้ภาวนาละกิเลสไม่ได้ ได้แต่ขี้คุย มีขี้อยู่ในหัวใจ ขี้โกรธมันก็อยู่นี่ ขี้โลภมันก็อยู่นี่ ขี้หลงมันก็อยู่นี่ มันไม่ลุกขึ้นภาวนาทำความเพียร มันมีแต่ความอยาก มีแต่ตัณหา ตัณหามันหามามันไว้ มันหามาปิดปังไว้ ตาหัน-ตัณหา ตาเห็น รูปมันก็เกิดตัณหา หูฟังเสียงมันก็เกิดตัณหา มันหามาต้น หามาปิด หามาผูกมัดรัดรึงไว้ในตัวในใจ สร้างความดีให้เกิดขึ้นไม่ได้ นั่งสมาธิภาวนาเอาจนกิเลสให้มันดับไปหมดไปสิ้นไปไม่ได้ก็เพราะว่าความเพียรไม่ถึงไม่ถึงความเพียร ความเพียรไม่มีแม้จะมีก็นิด ๆ หน่อย ๆ มันเพียรยังไม่ถึงขนาด เพียรให้มันถึงขนาด

    ดูพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา บารมี ๑๐ ประการ บารมี ๓๐ทัศน์ เต็มบริบูรณ์ทุกส่วนทุกประการ เมื่อถึงขนาดนั้นละก็ไม่มีอะไรเหลือล่ะ ละกิเลสราคะก็ได้ ละกิเลสโทสะก็ได้ละกิเลสโมหะก็ได้ ไม่ได้อย่างไร ท่านมีความเพียร ท่านไม่งอมืองอเท้าเหมือนพวกเราทั้งหลาย ท่านตื่นขึ้น ท่านลุกขึ้น ท่านยืนหยัดต่อสู้ ทั้งกาย วาจา ทั้งจิตทั้งใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวทุกอย่าง เมื่อมันลุกขึ้นเต็มที่แล้วนั่นแหละเรียกว่า "วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ" บุคคลใดก็ตามจะพ้นทุกข์ได้ เพราะความเพียร ไม่เหลือความเพียรไปได้

    คนที่มีความเพียร ของหนักก็กลายเป็นของเบา ที่ว่ายากมันกลายเป็นของง่าย คนอื่นทำไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าทำได้เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้มีความเพียรอันใหญ่ยิ่ง ไม่มีมนุษย์และเทวดาอินทร์พรหมที่ไหนมีความเพียรเหมือนพระพุทธเจ้า ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครมาเสี้ยมสอนให้พระองค์มีความเพียรเอง ความหมั่นความขยันความอดทน

    พระองค์ฝึกฝนอบรมจิตใจของพระองค์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดมีความสามารถอาจหาญทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับว่าผืนแผ่นดินหนักเท่าไร ก็เอาแผ่นดินทั้งแผ่นลอยได้ นั่นแหละคือใจพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความเพียรพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้มีความเพียร จิตใจพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีความเพียร จิตใจของพระโสดาพระสกิทาคา พระอนาคา ท่านมีความเพียรความสามารถอาจหาญไม่ใช่ขี้เซาเหงานอนฟุ้งซ่านรำคาญ โลภะ โทสะโมหะ เพิ่มเข้าไปทุกวันคืน ไม่ละกิเลสราคะโทสะโมหะออกไปให้มันหมดสิ้น เมื่อจิตไม่ตั้งจิตไม่เอาจริง อะไรมันก็ไม่จริงหมดล่ะ ถ้าจิตมันเอาจริง ๆ ทำจริง ๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไร หนักเท่าแผ่นดินก็เอาแผ่นดินปลิวไปได้

    ความเพียร ความหมั่น ความขยัน ความตั้งใจ ไว้ดีชอบประกอบในสิ่งที่เป็นบุญกุศล จิตใจจะไม่สงบระงับไม่ได้ ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปในทางที่เรียกว่า สร้างสรรค์ ฝึกฝนอบรม เท่ากันกับว่า ในตัวของผู้นั้นมันมีปีกมีหางมีเครื่องยนต์กลไก เหมือนเครื่องบินมันบินไปบนฟ้าบนอากาศได้ ทำไมมันไปได้ เพราะมันมีปีกมีหางมีอะไรครบทุกอย่าง เมื่อมันพร้อมทุกอย่างทั้งคนทั้งวัตถุมันก็ไปได้ เราไม่เห็นหรือเครื่องบินไปบนฟ้าบนอากาศ ตัวเราธรรมดาทำไมมันบินไม่ได้ มันไม่มีเครื่องครบน่ะ ความเพียร ความหมั่น ความขยัน ความตั้งใจดีชอบมันไม่มี ทำไรพูดอะไร คิดอะไร นั่งสมาธิภาวนา หลับตาภาวนา มันก็ได้ชั่วนิด ๆ หน่อย ๆ เมื่อความเพียรไม่มีก็สร้างความเพียรให้เกิดมีขึ้น

    พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหนก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูกทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละมันให้หมด กายวาจาจิต ให้มันเต็มไปด้วยความหมั่นความขยันขันแข็ง ความสามารถอาจหาญ ไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ เรียกว่าเป็นคนใจดีใจงาม ใจเฉลียวฉลาดสามารถอาจหาญ ไม่เป็นคนใจเน่า คนใจเน่าใจเหม็นไปอยู่ที่ไหนก็เน่าที่นั่นเหม็นที่นั่น

    ศีลสมาธิปัญญาวิชาวิมุติไม่ทำให้มันเกิดมีขึ้น มีแต่เรื่องเน่าเหม็นเรื่องโมโหโทโสฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่เลิกไม่ละความโกรธ ไม่เลิกไม่ละความโลภ โลภจิตเท่าแผ่นดินไม่เห็น เลิกละให้หมดนั่นแหละ จึงให้ชื่อว่า "เพียร" เพียรละกิเลสมีมากน้อยเท่าไรกิเลสหยาบก็เพียรละให้หมด กิเลสอย่างกลางก็เพียรละให้หมด กิเลสอย่างละเอียดก็เพียรละให้มันหมด ไม่หมดอย่าไปถอยความเพียร ตั้งใจเพียรลงไปอย่างนั้น อยู่ตลอดเวลา

    เมื่อมีความเพียรเต็มที่ได้เมื่อใดเวลาใด มันก็รู้แจ้งรู้จริงขึ้นมาในหัวใจที่มีความเพียรนั่นแหละ ไม่ใช่มือเท้าร่างกายมันมีความเพียร จิตนั่นมันมีความเพียร จิตมันมีความสามารถอาจหาญ จิตมันไม่ท้อแท้ อ่อนแอ จิตมันมีสติสัมปชัญญะ มีสติในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เมื่อจิตมันมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีญาณอันวิเศษเกิดขึ้นในจิตใจของผู้มีความเพียร มันก็รู้ได้เข้าใจ มันจะไปรู้ที่ไหน ก็รู้ที่กายวาจาจิต รู้ความขี้เกียจขี้คร้าน แล้วก็ละทิ้งให้มันหมดไม่ต้องมายึดหน้าถือตา ตัวกูของกู ตัวข้า ของข้า ข้าเป็นอะไร ข้าเป็นนั้นข้าเป็นนี้ เป็นอะไรมันก็เป็นไปสู่ความแก่ความชรา เป็นไปสู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นไปสู่ความตายเหมือนกัน ตายแล้วมันมีวิเศษวิโสอะไร ยังไม่ตายมันวิเศษวิโสอะไรกิเลสเหล่านี้

    ให้พากันลุกขึ้นตื่นขึ้น อย่ามัวนั่ง ๆ นอน ๆ เล่นอยู่เปล่า ๆ นั่งก็ให้นั่งภาวนาในจิต ตั้งจิตให้มีความเพียรความหมั่น ยืน เดินนั่งนอนทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ มันไม่ลึกซึ้งไม่ใช่ตื้นมันพอดีนั่นแหละทำเพียรให้มันถึงมันถึงได้ทุกคน ถึงได้ทุกหัวใจ รู้ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปถามคนอื่น

    ถามหัวใจของตัวเองว่ามีความเพียรหรือยัง มันตั้งใจมั่นหรือยังในใจนั้น ไม่มั่นคงมันไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้กินข้าวผ่าหัวใจหรือ กินข้าวผ่าหัวใจทุกวัน ทำไมใจมันจึงไม่มีความเพียร เพียรละกิเลสทำไม่ไม่เพียร เพียรเอากิเลสทำไมมันเพียรเอาได้ กิเลสระคะ โทสะ โมหะ ทำไมมันมีเต็มกายเต็มใจเต็มวาจาของทุก ๆ คน ไปไหนมาไหนก็กิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลง แบกไป หาบไป หามไปทะเล่อทะล่า

    กิเลสโลเลพระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้ง ได้ละทิ้งหรือยัง ได้ปล่อยได้วางทิ้งหรือยัง ไม่ทิ้งเดี๋ยวนี้จะเอาไปทิ้งที่ไหน ไม่ตั้งเดี๋ยวนี้ไปตั้งที่ไหน ไม่เพียรพยายามเดี๋ยวนี้จะไปเพียรเมื่อใดเวลาใด โกหกพกลมตลอดเวลา ใจไม่จริงคนไม่จริง เกิดมาทำไม เป็นชายทำไมใจไม่แก่กล้าสามารถเหมือนพระพุทธเจ้า เป็นหญิงทำไมไม่แก้กล้าสามารถ เกิดมาทำไมตายเสียดีกว่าเปลืองข้าวสุก

    ฉะนั้นให้ตั้งอกตั้งใจ มันจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวขนาดไหน ให้มันเหนื่อยไปหิวไป ให้จิตเรามีความเพียร ไม่ว่าทำอะไรให้มีความเพียร มีแต่ความอยากจะเป็นโน่นจะเป็นนี่ จะเอาอย่างโน้นจะเอาอย่างนี้ แต่ว่าเท่าเส้นผมมันก็ไม่เอา มันจะได้อะไร มันก็ได้แต่ความขี้เกียจขี้คร้านมักง่าย ท้อถอยกลัวตายอยู่นั่นแหละ ใจมันไม่ลุกขึ้นไม่เพียรถึงขนาด

    เพราะฉะนั้น พระสาวกเจ้าทั้งหลายในครั้งพุทธกาลท่านเดินจงกรมภาวนาทำความเพียรอย่างเดียว จนนอนจงกรม แล้วก็ได้สำเร็จ ไม่สำเร็จไม่หยุดเสียละ เอาถึงขนาดนั้นก็ได้สำเร็จทุกคนนั่นแหละ

    ฉะนั้นทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก เราท่านทั้งหลาย ต่อไปอย่าได้มีความท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ ให้พากันตื่นอยู่ ลุกขึ้นมา กิเลสทางกายไม่สร้างมันขึ้นมาอีก กิเลสทางวาจาไม่พูดมันต่อไปอีก กิเลสทางใจไม่คิดตามไปอีก จะไปที่ไหนไล่กิเลสให้มันหนีออกไปหมดล่ะ ให้เหลือแต่จิตที่ไม่มีกิเลสความโกรธ ให้เหลือแต่จิตที่ไม่มีความหลง นั่งก็ภาวนา ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวนา อยู่ถ้ำ อยู่ป่า ไปไหน มาไหน ไม่ปล่อยให้จิตใจลุ่มหลงมัวเมาไปอยู่ในใต้อำนาจกิเลส จงพากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา ไม่มีใครจะไปทำแทนกันได้ เปรียบเหมือนบุคคลเราที่มีชีวิตเป็นมาตั้งแต่เกิด เราบริโภคอาหารมาโดยลำดับ ๆ ชีวิตของเราก็ต่อเนื่องมาจนถึงวันเวลาเดี๋ยวนี้ ไปให้คนอื่นบริโภคแทนได้หรือ ฉันใดการปฏิบัติบูชาภาวนาก็เหมือนกัน ไม่มีใครที่จะช่วยตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเอง

    แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้ตรัสรู้ผู้บอกผู้สอนสาวกทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย สาวกทั้งหลายละเองปฏิบัติเอง ให้มันเต็มที่เต็มฐาน เมื่อยังไม่เต็มที่เต็มฐานไม่ต้องบ่น ทุกข์อะไรท่านว่าไม่ต้องไปบ่น มีความอด ความทน มีความเพียรความหมั่น มีความขยันขันแข็ง ไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจในจิต ในใจนั้นกายวาจามันก็ไม่ท้อแท้อ่อนแอเหมือนกัน ใจเอา กายวาจามันก็เอาทั้งนั้น จิตมันเป็นนาย ร่างกายมันเป็นบ่าวไพร่ราษฏร ถ้าจิตมันสั่งการให้ทำ ให้ปฏิบัติ ให้เลิกให้ละ มันก็ละได้หมดแหละ

    ฉะนั้นพุทธภาษิตที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะความเพียร พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลาย ท่านได้บรรลุมรรคผลเห็นแจ้งพระนิพพาน ท่านก็มีความเพียร ความขี้เกียจขี้คร้านมักง่าย ท่านละทิ้งปล่อยทิ้งตัดทิ้ง เอามันเด็ดขาดลงไปความเพียรมันก็เกิดขึ้นเต็มที่ ไม่ว่ากิจกรรมการงานใด ๆ ภายนอกภายใน เมื่อมีความเพียรก็ทำได้ปฏิบัติได้ทุกอย่างไป

    บาป พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ให้ทำ เราก็เลิกในกาย วาจาจิตของเราให้มันเด็ดขาดลงไป เมื่อละบาปได้ ทุกข์ในเรื่องบาปมันก็ไม่มี เมื่อไม่ละบาป ทำบาปอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอนตลอดชาติ ก็ได้รับความเดือดร้อนเมื่อภายหลัง เมื่อเราเลิกได้ ละได้ ปล่อยวางได้ ใจของเราเองก็ได้ชื่อว่าแจ้งใส หมดจด สะอาด คล่องตัวคล่องแคล่วว่องไว ไหวพริบเฉลียวฉลาด เฉียบแหลม รู้จักรู้แจ้งรู้จริง รู้แจ้งแทงตลอดในโลก ในทางโลกและทางธรรม มันมีอยู่ในหัวใจทุกคนแหละ

    แต่ว่าทุกคนไม่มีความเพียรพยายาม ถ้าทุกคนมีความเพียรความหมั่นความขยันขันแข็งสามารถอาจหาญแล้ว ก็ย่อมสำเร็จลุล่วงได้ทุกถ้วนหน้า ฉะนั้นดวงจิตดวงใจของเราอย่าได้ประมาทต่อไป ประมาทมาแล้วก็ให้แล้วไป ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ขณะนี้ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ประมาททุกลมหายใจเข้าออก มรณกรรมฐาน พุทโธในดวงใจ ไม่ให้หลงลืม

    ฉะนั้นอุบายธรรมต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้เมื่อว่าเราท่านทั้งหลาย พากันได้สดับรับฟังแล้วให้จดจำนำไปปฏิบัติ ก็คงได้รับความสุขความเจริญ

    เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

    คัดลอกจาก : พุทฺธาจารบูชา
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ๏ ธรรมโอวาท
    จากพระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์และธรรมลิขิต


    1. คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่

    2. ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้

    3. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก

    4. การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ

    5. ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย

    6. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้

    7. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

    8. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา

    9. พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด

    [​IMG]
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    10. ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป

    11. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้

    12. เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น

    13. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น

    14. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง 9 เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม

    15. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

    16. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง

    17. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

    18. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น

    19. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก

    [​IMG]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    20. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน

    21. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน

    22. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น

    23. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง

    24. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ

    25. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง 3 อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน

    26. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ

    27. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน

    28. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า “ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั่น”

    29. มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาท มัวเมาไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่ายๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา

    30. ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย กูก็จะตาย สูก็จะตาย จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม่

    [​IMG]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <TABLE class=forumline border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top rowSpan=2 align=middle></TD><TD class=row2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=postdetails></TD><TD vAlign=top noWrap align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>

    [​IMG]
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


    ๏ ปัจฉิมบท

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ถือกำเนิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนชาวพุทธอย่างแท้จริง หลวงปู่พร่ำสอนเสมอๆ มิให้ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความประมาทในความตาย หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่าเป็นหนทางอันสูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ดังคำสอนตอนหนึ่งความว่า

    “ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุขไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆ หมดลง ก็ย่อมต้อง กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวม ระวังตั้งมั่น ทำจิตให้มีปัญญารู้ความเป็นจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ออกเสียจึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง”

    หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม และด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่ หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจ หลวงปู่จากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมดังที่หลวงปู่ได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ

    ถ้าสาธุชนท่านใดได้ไปที่วัดถ้ำผาปล่อง ท่านจะได้พบรูปหล่อเหมือนองค์หลวงปู่ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์ท่าน และ “เจดีย์แห่งความกตัญญู” ที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวายให้ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของ “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”

    [​IMG]
    รูปหล่อ-รูปภาพ-พัดยศสมณศักดิ์หลวงปู่สิม ณ วัดถ้ำผาปล่อง

    [​IMG]
    รูปหล่อเหมือนหลวงปู่สิมในท่าขัดสมาธิเพชร ณ วัดถ้ำผาปล่อง

    [​IMG]
    “พระธาตุเจดีย์พุทธาจารานุสรณ์” เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    และเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือแก้วมณีอีสาน
    Dhamma and Life - Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


    ๏ ปัจฉิมบท

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ถือกำเนิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนชาวพุทธอย่างแท้จริง หลวงปู่พร่ำสอนเสมอๆ มิให้ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความประมาทในความตาย หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่าเป็นหนทางอันสูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ดังคำสอนตอนหนึ่งความว่า

    “ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุขไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆ หมดลง ก็ย่อมต้อง กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวม ระวังตั้งมั่น ทำจิตให้มีปัญญารู้ความเป็นจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ออกเสียจึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง”

    หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม และด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่ หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจ หลวงปู่จากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมดังที่หลวงปู่ได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ

    ถ้าสาธุชนท่านใดได้ไปที่วัดถ้ำผาปล่อง ท่านจะได้พบรูปหล่อเหมือนองค์หลวงปู่ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์ท่าน และ “เจดีย์แห่งความกตัญญู” ที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวายให้ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของ “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”

    [​IMG]
    รูปหล่อ-รูปภาพ-พัดยศสมณศักดิ์หลวงปู่สิม ณ วัดถ้ำผาปล่อง

    [​IMG]
    รูปหล่อเหมือนหลวงปู่สิมในท่าขัดสมาธิเพชร ณ วัดถ้ำผาปล่อง

    [​IMG]
    “พระธาตุเจดีย์พุทธาจารานุสรณ์” เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    และเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    หนังสือแก้วมณีอีสาน
    Dhamma and Life - Manager Online
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    สนทนาธรรม กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    [​IMG]


    หลวงปู่สิม บ่ได้ไปนอนโรงพยาบาลตำรวจ บ่
    หลวงปู่บุดดา บ่ได้ไปหรอก นางอนามัยมาอยู่นี่เลย มันมานอนบ่อย นี่มุ้งมาฝากไว้นี่
    หลวงปู่สิมอยู่ในกรุงนี่ ถ้าจะสบายกว่าทางชัยนาทมั้ง
    หลวงปู่บุดดา อยู่ที่นี่สะดวก พระเณรช่วยเหลือมาก ที่โน่นพระเณรไม่พอ
    หลวงปู่สิม๘๐ กว่าหูฟังอะไรได้ยินดีอยู่ กำลังกายตอนนี้จะขึ้นไปอีสานไปเชียงใหม่ได้อยู่บ่ไปรถไฟนะ
    หลวงปู่บุดดา ไปได้ ชายทะเล ไม่ได้ค้างคืนหรอก ไปแล้วก็กลับ ร่างกายมันอ่อนแอแล้ว ต้านทานข้างนอกไม่ไหว
    หลวงปู่สิมนี่นับว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแล้ว ๘๖ ปี มนุษย์สมัยนี้แก่กว่าพระพุทธเจ้า อากาศชายทะเลกับขึ้นไปภูเขาชอบทางไหน
    หลวงปู่บุดดา อากาศชายทะเลดีกว่า
    หลวงปู่สิมหลวงปู่นี่มีครบทุกอย่าง ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง
    หลวงปู่บุดดา วัดนี้เป็นวัดเก่า ๑๐๐ กว่าปีแล้ว
    หลวงปู่สิมแต่ก่อนเคยมาอยู่ บ่
    หลวงปู่บุดดา เคยมาอยู่นานแล้ว เข้าเดือน ๑-๒ นี้ครบ ๒ พรรษาแล้ว สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๘ พรรษาแล้ว
    หลวงปู่สิมแต่สมัยยังท่องเที่ยวอยู่ บ่เคยเป็นนักบวช เคยมาเกิดบ่ ทางกรุงเทพฯ นี่
    หลวงปู่บุดดา เคยมาแต่รัชกาลที่ ๑ มาถึงปีกลายก็ยังไม่แล้ว (หลวงปู่บุดดาถวายผ้าจีวร สีกลักหลวงปู่สิม) ห่มเลย ๆ
    หลวงปู่สิมทานบารมีหลวงปู่
    หลวงปู่บุดดา พริกขี้หนู ตะไคร้ เกลือ ยาโบราณ หน้าแล้งก็เป็นหวัดหน้าแล้ง หน้าฝนก็เป็นหวัดฤดูฝนไม่ว่า กายเนื้อกายหนัง มันติดกับ นาม-รูป มันเป็นอิถีภาวะผสม ภาวะรูป ๔ มันมีทุกลมหายใจ เข้า-ออก มันไม่เหมือน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่มันเห็นได้
    หลวงปู่สิมเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน นี้ หลวงพ่อมหากัสสปท่านขึ้นไปเทศน์ให้ฟังที่ถ้ำผาปล่อง
    หลวงปู่บุดดา จากระยองหรือ ?
    หลวงปู่สิมกัสสปโบราณโน่น
    หลวงปู่บุดดา กัสสปโบราณหรือ ?
    หลวงปู่สิมมีเทปนี้มา คือว่าเปิ้นขึ้นไปเทศน์ให้ฟังนั้น ไปในนามคนทรง สองครั้งแล้วท่านขึ้นไปเทศน์ให้ฟัง ในถ้าผาปล่องน่ะ เปิ้นมีเมตตาอย่างใดบ่ฮู้ กัสสปน่ะ มารู้ข่าวว่าท่านยังไม่ทันเข้านิพพาน
    หลวงปู่บุดดา ยัง
    หลวงปู่สิมแน่ะ หลวงปู่ยังฮู้นี่ บ่เข้านิพพานไปอยู่ไหนล่ะ ในเมื่อท่านเข้านิพพานไปแล้ว ท่านเคยมาหาหลวงปู่ บ่
    หลวงปู่บุดดา ท่านคอยพระศรีอารย์อยู่ คอยพระศรีอารย์เวลาเทศน์จบแล้ว จะเป็นภาพทำศพอีก ๘ หมื่นปี นั่นแหละ
    หลวงปู่สิมนึกว่าได้นิพพานแล้ว ไปนิพพานเลยแม่นแล้ว ฟงข่าวหลวงปู่ ยังไม่ทันไปนิพพาน ยังคอยพระศรีอารย์อยู่
    หลวงปู่บุดดา ยังคอยเจ้าภาพศพ มีเวลามาเทศน์ ๘ หมื่นปี เสร็จแล้วจึงจะมาเผาศพ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ธรรมพระกัสสปเถระ

    กัสสป เจ้ามีความเชื่อแล้วหรือยังว่า กัสสปเจ้าทีได้พาเจ้ามาเฝ้าพระอรหันต์ในวันนี้ ฮึ


    มาณพ มีความเชื่อแล้วครับ


    กัสสป คือมนุษย์เราเดี๋ยวนี้ มันยากนะมหาบพิตร คือ พอเขาหลับตานิดหนึ่ง เขาก็บอกว่าเห็นแล้วธรรมนี่เจ้านี่อีกคนหนึ่ง เขาหลับตานิดเดียว เขาบอกว่าเห็นแล้วธรรมน่ะ แล้วก็นำเอาไอ้คำพูดนี้ไม่ใช่ไปขึ้นพุทธภูมินะไปสู่อเวจี ใช่ไหมมหาบพิตร มันเข้าข้อธรรมของพระศาสดาบัญญัติว่าภิกษุทั้งหลายสิ่งใดที่ไม่รู้แจ้งด้วยธรรมก็อย่าแนะนำคนอื่นเขาใช่ไหมมหาบพิตร ถ้าไม่ใช่คำแนะนำของพระชินวรเจ้า มันเข้าแล้วตัวอุตริมนุสธรรมใช่ไหมล่ะ ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากคำสั่งสอนของพระชินวรเจ้านี่ละพวกเจ้านี่ละพวกเจ้าทั้งหลายนะคือว่า อาตมาไม่ได้ยกสององค์นี่นะ แต่ว่ากันตาบาลีแล้ว มหาบพิตรก็จะกำหนดมาทิ้งขันธ์ที่นี่นั้นใช่หรือเปล่า เพราะมันร้อนเร่าถึงอินทร์ พรหม ยม เทพ ทั้งหลายที่มาพิทักษ์รักษาในถ้ำนี้ เพราะบารมีของมหาบพิตรมันคมยิ่งกว่ากฤชเสียอีก อย่างพระศรีสรรเพชร์เสด็จว่านำโยธาไม่ใช่ไพร่พลสกลไกรนะ รบกับมาร ให้นำศรัทธา คือ ขันธ์ เป็นพระขรรค์ที่จะโรมรันฟันศัตรู คือ ขันธ์ธรรมตรงนี้เองใช่ไหม นี่ไม่ใช่จะมาสอนมหาบพิตรอย่างนั้นนะ คือ เราเป็นศิษย์ตถาคต เราคุยกัน



    [​IMG]


    หลวงปู่สิม ว่าไป ๆ


    กัสสป ท่านถึงมันอยู่แล้ว พระขันธ์แก้วตัวนี้แต่ว่าหลีกได้นะ ถ้าหลีกไม่ได้ก็ไม่ได้มาไกลถึงเพียงนี้ใช่ไหมล่ะ คือมารมาหาท่านนะ ท่านไม่ได้ไปหามารอย่างฤาษีเขาว่านะ มาณพน้อยฟังอาตมาว่า ฤาษีชีไพรกลัวกันนักหนา กลัวอะไรมหาบพิตรพอจะแจ่มแจ้งไหม ฤาษีชีไพรเขากลัวอะไรกัน



    หลวงปู่สิม ยังไม่แจ่มแจ้งเลย ขออภัย



    กัสสป กลัววัวเขาอ่อน รู้ไหมวัวเขาอ่อนคืออะไร ฤาษีชีไพรยังต้องตบะแตก มหาบพิตรเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วยังมาณพน้อย



    มาณพ ยังไม่เข้าใจ



    กัสสป ก็มันขวิดเองมาเวลานี้อะไรล่ะ เข้าใจแล้วยัง



    มาณพ เข้าใจแล้ว



    กัสสป มหาบพิตรนี่นะหลีกเหลือเกิน มันตามขวิดมหาบพิตรเหมือนกันใช่ไหม แต่มหาบพิตรเอาพระขันธ์กันไว้ จึงได้เป็นพระอรหันต์ในคราวนี้ปัจจุบันสัตบุรุษพุทธบริษัท ไม่คอยจะเข้าวัด อีกอย่างชอบติสงฆ์ นินทาสงฆ์ แต่สาวกของพระพุทธองค์ก็เป็น สงฆ์ไม่เต็ม แต่ไม่ใช่ทั่วไปเหมือนปลาข้องเดียวกันก็ทำให้เหม็นไปหมด พูดง่าย ๆ ภาษาบาลีว่า ตัวอลัชชี ไม่ละอายต่อบาป มาณพมากราบมีปัจจัยมาไหมล่ะ อื้อ! นี่สมมุติมหาบพิตร ถ้าเป็นลูกตถาคตอันแท้จริงอย่างมหาบพิตร เอ็งจะมีหรือไม่มี มหาบพิตรวางเฉย สบายใจ นี่เป็นอย่างนี้เรียกว่าเป็น ลูกตถาคต อาตมานี่หมายความยังมีซากเป็นสิ่งที่เวทนา เมื่อองค์พระศาสดาปรินิพพาน อาตมา ก็ไม่ได้อยู่ต้องจาริกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา แทนหูแทนตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งนั้นไปปาวานคร แดดจะร้อน ฝนจะตก ก็ตามใจมัน โภชนาอาหารใครเขานำมาเป็นทานก็ได้ขบฉัน จิตนั้นมิได้หวาดหวั่น ต่อศัตรูหมู่พาลทั้งหลาย เพื่ออยากจะให้ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เผยแพร่ทั่วไป



    จนกระทั่งองค์พระศาสดาปรินิพพานไม่ได้เห็นดวงพระหฤทัยของพระองค์ท่านร้อนถึงท้าวเวสสุวรรณ จำแลงกายมาในกาลบัดนั้น ในคัมภีร์ว่า ถือดอกไม้ดำผ่านหน้าเพื่อให้อาตมาได้รู้ อาตมาเฉลียวใจ ได้ถามว่า เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นที่ไหนล่ะ เขาจึงตอบว่าอ้าวพระกัสสปเถระเจ้าไม่รู้หรือว่าองค์พระศาสดาปรินิพพานแล้ว อาตมาก็วิตก แหม! ดวงแก้วหนีไปเสียแล้ว เขาจะปลงศพองค์พระศาสดาถวายพระเพลิงพระศพเท่าไรก็ไม่ทำลายได้ อาตมาถึงอธิษฐานจิตลงไป เท่านั้นไปทิพย์เกิดขึ้น ฉะนั้นอาตมาก็ต้องรอพระศาสดาข้างหน้านั้นทำลายสังขารหมดกันเสียที เอ! ก็ปุจฉาวิสัชนามาเป็นสังเขป



    หลวงปู่สิม ยังไม่พอ



    กัสสป คือว่า อาตมานี่นะ มหาบพิตรทั้งสองรูป ทว่าเป็นเรื่องเก่าที่มาเล่าแล้ว มนุษย์เดี๋ยวนี้ ไม่เชื่อว่าพระมหากัสสปเถระเจ้าปรินิพพานไปแล้ว องค์พระศาสดาปรินิพพานไปแล้ว ๒๔๘๙ พรรษา มนุษย์เขามาแก้กัน แต่อินทร์พรหม ยม เทพ เขาไม่แก้กัน ทีนี้พระกัสสปเถระเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๐๔๘ ปี ยังเป็นผีอยู่ได้ไฉนหนอ

    www.vcharkarn.com/varticle/38665
     

แชร์หน้านี้

Loading...