สิ่งที่หาได้ยากในโลก หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 28 เมษายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕


    สิ่งที่หาได้ยากในโลก


    สิ่งที่หาได้ยากในโลกของเรานี้ท่านกล่าวไว้ ๔ ประการ หนึ่ง กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก สอง กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ มนุษย์นี้เกิดได้ยากกว่าสัตว์ เราเกิดเป็นมนุษย์นี้นับว่าเป็นบุญลาภของเรา สาม กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ ชีวิตเป็นของที่ตายได้ง่าย ความเจริญรุ่งเรืองยืดยาวของชีวิตนี้หาได้ยาก แต่การตายนั้นตายได้ง่ายและรวดเร็ว จึงเป็นของที่หาได้ยากในความเป็นอยู่แห่งชีวิตของมนุษย์ ตลอดชีวิตของสัตว์ วันหนึ่งๆ เสี่ยงภัยเสี่ยงเวรเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจ ไม่งั้นตายได้จริงๆ สี่ กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การได้ฟังธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของที่หาได้ยาก เพราะธรรมไม่ได้เกิดง่าย มีง่าย ปรากฏง่ายเหมือนสิ่งทั่วๆ ไป พระพุทธเจ้าไม่มาอุบัติ ธรรมก็ไม่อุบัติ ธรรมก็ไม่ปรากฏแก่โลก ธรรมจะปรากฏขึ้นแต่ละครั้งต้องเป็นเวลานานชั่วพุทธันดรหนึ่งๆ พร้อมกับพระพุทธเจ้าอุบัติแต่ละพระองค์


    ยาก ข้อที่หนึ่ง คือการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของยาก เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่จะอุบัติขึ้นมานั้น ไม่ใช่อุบัติขึ้นอย่างง่ายดายเหมือนสัตว์และมนุษย์ทั่วๆ ไปเกิดกัน มนุษย์และสัตว์ทุกประเภททุกภพทุกภูมิที่เกิดกันนั้น เกิดได้ง่ายและเกิดได้ทุกแห่งทุกหน เกิดได้ทุกเวลานาที ในน้ำบนบก ตามภพภูมิต่างๆ มากต่อมากไม่มีประมาณ เกิดได้ทั่วไป วันหนึ่งๆ กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านชีวิต เกิดกันจนนับไม่ถ้วน เกิดได้ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ลูกแม่หนึ่งๆ เกิดได้ตั้งหลายๆ ตัวและหลายสิบหลายร้อยหลายพันตัว แต่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติแต่ละพระองค์นั้นยากแสนสาหัส บารมีที่สนับสนุนพอจะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น ตามที่ท่านกล่าวไว้ในหลักธรรมว่า ๔ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง กำไรแสนมหากัป นั่นฟังซิ


    อสงไขย คือการนับไม่ได้ๆ ไม่รู้กี่ครั้ง เช่น เรานิยมนับไปจนถึงล้านแล้ว เลยจากนั้นไปก็นับไม่ได้ ต้องกลับมานับหนึ่งถึงล้านอีก เป็นหนึ่งล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน พันล้านอย่างนี้ โดยถือเอาหลักล้านเป็นข้อยุติ ท่านว่าอสงไขยๆ หมายถึงว่านับไม่ได้ ไม่รู้กี่หน เช่นเดียวกับเรานับถึงล้านแล้วนับใหม่ได้ร้อยล้าน สองร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน คือเอาล้านนั้นเป็นจุดสุดท้าย นับเลยจากนั้นไปไม่ได้ จึงต้องย้อนมานับใหม่เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นล้านๆ นั่น มายุติกันอยู่ที่ล้าน นี่คำว่าอสงไขยก็เหมือนกัน พอไปถึงอสงไขยแล้วหยุด นับใหม่ๆ ถึงอสงไขยแล้วก็หยุด โดยถือเอาอสงไขยเป็นจุดสุดท้าย


    พระ พุทธเจ้าทรงสร้างพระบารมีมา ๔ อสงไขย คือนับไม่ได้ถึง ๔ หน กำไรยังแสนมหากัป ฟังซิ นี่ละกว่าจะมาอุบัติแต่ละพระองค์ๆ เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่หนาแน่นยิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่น ยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก มันปิดหัวใจสัตว์ให้อยู่ด้วยความมืดบอด เกิดตายด้วยความมืดบอด ทำอะไรๆ ด้วยความมืดบอด ไม่ได้ทำด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงพอที่จะพ้นจากทุกข์จากภัยจากเวรไปได้เลย เรียกว่าหลับตาทำ หลับตาไปเกิด หลับตามาเกิด เวลาจะตายก็หลับตาตาย หาช่องทางไปด้วยความปลอดภัยไร้ทุกข์ไม่ได้ นอกจากนั้นยังหาสติสตังหาคุณงามความดีไม่ได้ ธรรมแทรกเข้าไม่ได้ มีแต่กิเลสตัวพาให้มืดบอดปิดบังไว้และลากจูงไปเหมือนวัวเหมือนควาย นี่เป็นคติธรรมดาของสัตว์โลก ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด


    เมื่อ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาต้องแหวกว่ายสิ่งที่มืดดำทั้งหลายนี้ ด้วยพระบารมีที่ทรงสร้างมาด้วยความอุตส่าห์พยายาม จึงได้โผล่ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ เพราะฉะนั้น จึงนานแสนนานกว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะได้อุบัติขึ้นมาในโลกโลกันตะนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมา ทรงนำแสงสว่างแห่งธรรมมาด้วย พระอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงสู้ความสว่างแห่งธรรมไม่ได้ พระอาทิตย์มีกี่ร้อยกี่พันดวงจะส่องแสงสว่างลงได้แต่สถานที่แจ้งเท่านั้น ที่มืดที่กำบังพระอาทิตย์ส่องไม่ถึง แต่พระเมตตาธรรม พระปรีชาญาณธรรมของพระพุทธเจ้านั้นทรงส่องได้ทะลุปรุโปร่งไปตลอดทั่วถึง ไม่ว่าใต้น้ำบนบก บนฟ้าอากาศ นรกมีกี่หลุมกี่ขุม พระองค์ทรงแทงทะลุไปหมดด้วยพระปรีชาญาณ คือปัญญาญาณ


    นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภา แสง สว่าง เสมอด้วยปัญญาไม่มี พระอาทิตย์ถ้าเทียบกับพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่มีความหมาย พระอาทิตย์กี่ร้อยกี่พันดวงก็ไม่มีความหมาย สู้พระปัญญา พระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้าไม่ได้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สั่งสอนสัตว์โลก ทรงมีธรรมประกอบพร้อมสรรพสมบูรณ์บริบูรณ์ จึงได้มาเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลกได้เต็มภูมิศาสดา


    สาม แดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครมีเมตตาเสมอพระพุทธเจ้าในทางความสงสารสัตว์โลก พูดถึงความบริสุทธิ์ก็สุดส่วนไม่มีใครเสมอเหมือนได้ เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ทรงมีพระกำลังอันเอกมารื้อขนสัตว์ ตั้งแต่วันตรัสรู้แล้วจนกระทั่งวันปรินิพพาน บางองค์มีอายุถึงแปดหมื่นปีก็มี พระพุทธเจ้าบางองค์หกหมื่นปี สี่หมื่นปี ลดลงตามลำดับ จนถึงพระพุทธเจ้าของเรานี้อายุแปดสิบปี องค์ใดมีอายุยืนนานเท่าไรก็ทำประโยชน์ให้แก่โลกได้นานเท่านั้น คำว่าทำประโยชน์ให้แก่โลก ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้านำสำเภาลำใหญ่หรือยานลำใหญ่มาวางลงที่มหาสมุทร ได้แก่มหาสมมุติมหานิยม ที่เป็นสถานที่กล่อมใจสัตว์โลกให้ลุ่มหลง รื่นเริงบันเทิงลืมเป็นลืมตายอยู่เรื่อยมา ไม่เสาะแสวงหาทางออก


    พระ พุทธเจ้าทรงนำยานอันใหญ่โตมาวางลงท่ามกลางมหาสมุทรมหาสมมุติมหานิยม ชาวพุทธเราต่างคนก็ต่างเกาะเรือลำใหญ่คือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ตามทันพระพุทธเจ้าก็มี เช่น พระอรหัตอรหันต์ที่บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในโลกเรื่อยมานี้ นี่เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน นอกนั้นก็เป็นพระอนาคา เป็นพระสกิทา เป็นพระโสดา เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นผู้มีศีลมีธรรม สรุปแล้วก็คือ ชาวพุทธเราได้เกาะเรือใหญ่ของพระพุทธเจ้า ที่ได้มาตรัสรู้และสั่งสอนแต่ละพระองค์ๆ นั้น ให้ผ่านพ้นไปจากโลกโลกันตนรก คือ ความทุกข์ทรมาน ความมืดแปดด้านนี้ไปได้เป็นลำดับลำดามีจำนวนมากมายไม่อาจคณนาได้ เฉพาะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่มาประกาศธรรมสอนโลก เพราะฉะนั้น การที่อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าจึงเป็นของที่หาได้ยากมาก ไม่ใช่อุบัติขึ้นอย่างง่ายๆ เหมือนสัตว์สาราสิงต่างๆ เกิด-ตาย กันจนน่าเอือมแต่ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ เราที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็ต้องพร้อมด้วยคุณงามความดีที่พอจะเป็นมนุษย์ ได้ จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์


    ประการ ที่สามก็ชีวิตความเป็นอยู่ของเราในวันหนึ่งๆ นั้นต้องมีการเยียวยารักษาบำรุงตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นมันจะตายจริงๆ ชีวิตมันคอยแต่จะแตกจะดับ ที่โลกวุ่นวายกันทุกหย่อมหญ้าก็เพราะต่างเสาะแสวงหาเครื่องบำรุงรักษา เพื่อให้ชีวิตลมหายใจคงอยู่ได้สืบไปนั่นแล ไม่งั้นก็ตายจริงๆ


    กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นของยาก ฟังซิ ทำไมจึงเป็นของยาก ก็เพราะถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้อุบัติขึ้นมา ไม่ได้แสดงธรรมะเหล่านี้ไว้แล้ว สัตว์โลกจะไม่ได้ยินเลยในคำว่า บาปเป็นยังไง ทั้งๆ ที่บาปมีอยู่ในโลก บุญเป็นยังไง ทั้งที่บุญมีอยู่ในโลก สัตว์ทั้งหลายไม่รู้ไม่เคยได้ยิน นรกเป็นยังไง ทั้งที่นรกมีอยู่ เหล่านี้สัตว์ทั้งหลายจะไม่ได้ยินเพราะไม่มีผู้มาบอก ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น จึงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า นรกมีเท่านั้นขุมเท่านี้ขุม เป็นความแผดเผาขนาดไหนนรก นรกขุมหนึ่งมีความแผดเผาขนาดนั้น ขุมที่สอง ที่สาม ที่สี่มีความแผดเผาขนาดนั้นตามลำดับ ตามแต่อำนาจแห่งกรรมของสัตว์ที่ทำไว้


    สัตว์ ตัวใดที่ทำกรรมไว้มากน้อยเพียงไร ก็ต้องไปตกนรกหมกไหม้ตามกรรมของตน นรกแต่ละขุมมีความแผดเผามากน้อยต่างกัน คำสอนเช่นนี้ก็ไม่มี ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้อุบัติขึ้นมาและแสดงบอกไว้ จะไม่มีใครรู้ใครเข้าใจบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลกและนิพพานกันเลย เพราะไม่มีธรรมแสดงไว้ การได้ฟังธรรมเป็นของยาก เพราะไม่มีธรรมให้ได้ฟังเสมอไป เนื่องจากธรรมอุบัติยากเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าอุบัติยากนั่นแล


    สัตว์ โลกที่อยู่กันก็อยู่ด้วยความมืดบอด กี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่อย่างนี้ เหมือนมดไต่ขอบด้งนั่นแหละ ไต่ไปไต่มาแล้วก็มาถึงขอบเก่า ก็ไต่ไปไต่มาเข้าใจว่าเป็นของใหม่ไปเรื่อย ตื่นทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรเข้ามาสัมผัสตื่นไปหมด เข้าใจว่าเป็นของใหม่เรื่อยไปทั้งที่มีแต่ของเก่าเต็มโลกดินแดน เพราะไม่มีปัญญาหยั่งทราบเหตุผลต้นปลายพอจะยึดถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ได้ เพราะไม่มีธรรมชี้แนะไว้ แม้แต่มีคำสอนทุกวันนี้มันยังไม่ฟังจะว่าไง เพราะกิเลสมันหนา จึงชอบฟังกันแต่เรื่องกิเลส ฟังได้จนวันตายไม่มีเบื่อ ปล่อยใจให้มันฉุดมันลากไปอยู่ทำนองนั้น มนุษย์เราจึงไม่มีโอกาสรู้อรรถรู้ธรรมได้ง่ายๆ พระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ประเสริฐก็ประเสริฐสำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เรามันก็เหลวอยู่ตลอดมาและยังเหลวตลอดไปด้วย ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของประเสริฐก็ประเสริฐเฉพาะธรรม เราเองก็ดำปี๋เหมือนถ่านไฟนั่นแล ยาเป็นของดีสำหรับรักษาโรค หมอดีในการรักษาคนไข้ ก็ดีแต่หมอดีแต่ยา แต่คนไข้ไม่สนใจกับยากับหมอ แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคนไข้รายนั้น เราอย่าให้เป็นคนไข้ประเภทนั้นถ้าไม่อยากตายเร็วผิดโลกทั่วไป


    เรา เกิดมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา เป็นของเลิศของประเสริฐเหมาะสมอย่างยิ่งแล้วในชีวิตและภูมิมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์มาตรัสรู้ที่แดนมนุษย์นี้ทั้งนั้น ไม่ได้ไปตรัสรู้ในเทวโลกเทวบุตรเทวดา อินทร์พรหมที่ไหนเลย ทรงเห็นว่าแดนมนุษย์นี้เป็นแดนและภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่ง พระองค์จึงได้มาตรัสรู้แดนมนุษย์ทุกๆ พระองค์ การฟังธรรมว่าเป็นของยาก เราทั้งหลายก็ได้เกิดมาท่ามกลางแห่งธรรม บุญก็ได้ยิน บาปได้ยิน นรกได้ยิน สวรรค์ได้ยิน นิพพานก็ได้ยินจนชินใจจากธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นแต่เพียงกิเลสจะอำนวยให้หรือไม่ มันจะยอมให้เราเชื่อความจริงจากพระพุทธเจ้าหรือไม่ เพราะกิเลสมันปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมกระซิบแต่ของปลอมเข้าหัวใจมนุษย์ตลอดเวลา กิเลสทุกประเภทปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมทุกประเภทจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเดินสวนทางกันเรื่อยมาแต่ไหนแต่ไร


    กิเลส เป็นข้าศึกของธรรม เพราะฉะนั้น กิเลสจึงต้องต่อสู้กับธรรม ลบล้างธรรม ธรรมว่าเป็นของจริง กิเลสหาว่าเป็นของปลอม ทั้งๆ ที่กิเลสมันจอมปลอมนั่นแลมันอายธรรมของจริงเมื่อไร ถ้าจะว่าลัทธิ ลัทธิหนึ่งจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ลัทธิหนึ่งปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากจะพูดถึงลัทธิก็ลัทธิปลอม กิเลสที่มันเป็นลัทธินิสัยปลอม มันจะหาความจริงมาจากไหน กระดิกพลิกแพลงออกในแง่ใดมุมใดมีแต่แง่โกหกหลอกลวงทั้งนั้น มันอยู่ได้ด้วยการหลอกลวง มันอยู่ได้ด้วยการโกหก จำพวกกิเลสนี่ คือกิเลสภายในใจของสัตว์ เอ๊า ถ้าจะแยกเป็นส่วนบุคคล จะแยกออกเป็นลัทธิก็ลัทธินี้เป็นลัทธิที่ปลอมเต็มตัว หลอกล่อเต็มพุง ไม่มีคำว่าจริงมาพูดให้ใครฟังเลย มีแต่หลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ต้มตุ๋นตลอดเวลา นั่นท่านจึงเรียกว่าลัทธิปลอม เป็นข้าศึกต่อความสงบสุขของส่วนรวม


    ศาสนา เป็นของจริง จริงตลอดเวลา อย่างเช่น นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ก็เช่นเดียวกับตะรางมีจริง เรือนจำมีจริงนั้นแหละ ใครไม่เชื่อก็ลองดูซิ ไปฉกไปลักไปปล้นสะดมดูซิ ส่วนมาก คนเราเชื่อตัวเองนั่นแหละ เวลาไปฉกไปลักเขาก็เข้าใจว่าเขาจะจับไม่ได้ เราว่าเราเป็นคนและเก่งกว่าคน เหมือนว่าคนทั่วโลกเป็นหมูไปหมด พอเวลาถูกจับได้แล้วก็คนๆ นั้นแหละ คนเก่งๆ นั้นแหละไปติดคุกติดตะราง ชื่อมันนายดีก็มี นายบุญก็มี นางสวรรค์ก็มี นายพรหมก็มีอยู่ในเรือนจำนั้นน่ะ ไม่มีชื่อต่ำๆ เช่นนายบาป นายนรกเป็นต้น ไม่มีเลยในนั้นน่ะ นายโง่ก็ไม่มี มีแต่นายปัญญา นายฉลาด นายบัณฑิตโน่นแน่ะ


    เวลา เราถามทำไมแกจึงได้มาติดคุกติดตะรางอย่างนี้ล่ะ แกก็มีชื่อถึงขนาดนั้น ชื่อว่านายบุญ แกทำไมจึงมาติดคุกติดตะราง แกก็ชื่อว่านางสวรรค์ทำไมจึงได้มาตกนรกทั้งเป็นอย่างนี้ล่ะ แกชื่อนายพรหม พรหมต้องอยู่ชั้นสูงๆ นี้ตะรางไม่ใช่พรหม แกมาอยู่ทำไม “เขาหาว่าผมขโมยของเขา” ว่างั้นนะ แล้วแกขโมยเขาจริงเหรอ “ขโมยจริงๆ ละคร้าบ” หมดท่าเลย เห็นไหม นั่นละ ตัวเก่งๆ นั่นละเขาจับได้ กลายเป็นคนขี้คุกเกลื่อนอยู่นั้น


    นี่ ก็เหมือนกัน อย่าว่าตนเก่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า อย่าว่าตนเก่งกว่าครู กิเลสมันหลอกให้ว่าเราเก่งต่างหาก กิเลสมันก็มิได้เก่ง เราผู้ถูกหลอกจึงไม่มีอะไรเก่ง มันหลอกให้เราตกนรกทั้งเป็น อะไรที่ธรรมว่าดี มันว่าไม่ดี กิเลสน่ะ ธรรมว่ามี มันว่าไม่มี กิเลสมันลบไปหมด ศาสนธรรมอุบัติขึ้นในโลกก็เพื่อบุกเบิกเพิกถอนสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ ออก ให้เราทั้งหลายได้ทรงอรรถทรงธรรมในหัวใจ ใจจะได้ดีวันดีคืนไปเรื่อยๆ จะมีหวังความสุขความเจริญดังโลกผู้ดีทั้งหลายประสบกัน


    วันนี้ ได้พูดถึงเรื่องธรรมสี่ประการ ธรรมหายาก พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกเป็นของหายากหนึ่ง มนุษย์นี่เป็นของที่เกิดได้ยากยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายหนึ่ง ชีวิตของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากหนึ่ง การที่ได้ยินได้ฟังธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ หรือแต่ละครั้งละคราวเป็นของยากหนึ่ง เป็นของหายากสี่ประการด้วยกัน


    สำหรับ เราได้เกิดขึ้นในท่ามกลางแห่งธรรมอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็มีแต่อรรถแต่ธรรม ในบ้านก็ฟังได้ทั้งวิทยุทั้งโทรทัศน์ จะไปวัดไปวาก็ฟังได้ทั้งนั้น ตามตำรับตำรามีไม่อดไม่อั้นนอกจากขี้เกียจเสียอย่างเดียว เพราะฉะนั้น จงให้ทราบว่าความขี้เกียจนั้นคือข้าศึกของธรรม เวลาจะไปวัดไปวา กิเลสตัดแข้งตัดขา ตีหู ตีตา ตีหัว ตีอวัยวะต่างๆ ไปหมด ให้เจ็บท้องปวดศีรษะ ปวดตามเนื้อตามตัวทั่วอวัยวะไม่อาจไปได้ อะไรๆ ไม่เจ็บไม่ปวดก็หาเรื่องปวดขึ้นมา กิเลสมันหาเรื่องมันไม่อยากให้เข้าวัดเข้าวาบำเพ็ญศีลธรรม กลัวจะหนีจากอำนาจของมัน เพราะธรรมนี้จะต้องยื้อแย่งแข่งดีกับกิเลสเสมอไป เมื่อเวลาเราจะมาสู่อรรถสู่ธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลให้ทานภาวนา กิเลสมันไม่พอใจ มันจึงต้องขัดต้องขวาง นั่งอยู่เฉยๆ เมยๆ ราวกับคนสิ้นท่าตาเหม่อลอย หรือนั่งเพลิดเพลินกับเรื่องตาลุกวาวกับคาวโลกีย์อันเป็นเรื่องของกิเลส ล้วนๆ ไม่เป็นไร นั่งกี่ชั่วโมงก็ได้ไม่เจ็บไม่ปวดอวัยวะ แต่พอจะนั่งภาวนาเหมือนขาจะหัก แข้งขาเดินไปเดินมาตามปกติก็เดินได้สะดวก แต่เวลาจะเดินเข้าวัดฟังธรรมจำศีล ขามันจะหัก มันเจ็บมันปวดไปหมด ถูกกิเลสตีเอาๆ


    สมบัติ เงินทองข้าวของมีมากน้อย เวลาจะจับจ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายนั้นไม่มีคำว่าสถานีที่จอดที่แวะ ไม่มีคำว่าพอดี ไหลไปเลยเหมือนกับน้ำกับท่า มันไหลไปได้อย่างคล่องตัว ถ้าเป็นสิ่งที่กิเลสพาให้ไหล ถ้าเป็นสิ่งที่กิเลสต้องการหมดเท่าไรเป็นหมด ยังเท่าไรช่างมัน เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วไม่มีคำว่าถอย คำว่าพอแล้วๆ ไม่มี แต่พอจะแยกออกมาทางด้านศีลธรรมอย่างนี้ไม่ได้ กิเลสมันขัดมันขวาง มันหวงไม่อยากให้ทำ ไม่อยากให้ทาน บาทหนึ่งก็จะสิ้นจะเปลืองจะหมด เราก็จะตาย แม่อีหนูก็จะตาย พ่ออีหนูก็จะตายไปหมดนั่นแหละ บทเวลาเข้าโรงบ้าโรงบาร์ พ่ออีหนูก็รื่น แม่อีหนูก็เริง สมบัติเงินทองในกระเป๋าก็ดิ้นหาที่ออกเพื่อไปชมโรงบ้าโรงบาร์กับเจ้าของจะ ว่าไง


    แล้ว ยิ่งเล่นบัตรเล่นเบอร์เล่นบ้านี้เข้าอีกด้วยแล้ว เอ๊า มีเท่าไรเป็นเทมันเลย ถึงไหนถึงกัน เมื่อคืนนี้ฝันว่าไงเฒ่า เสียงสองเฒ่าผัวเมียถามกัน ฝันว่าไง อู๊ย เมื่อคืนฝันว่ามีคนเอาของดีมีค่ามาให้เรา อุ๊ย มันจะออกเลขนั้นนะเฒ่า ออกเลขนั้นนะ เอ๊า ถ้ายังงั้นเทมันเลยมีเท่าไรเฒ่า ไม่ต้องรอ เวลาจะรวยรอไปทำไม โกยอ้าวเดี๋ยวนี้เป็นไร ถึงเวลาเลขออก เป็นยังไง โอ้ยผิดเลขตัวเดียวเท่านั้นละเฒ่า เอ๊าๆ เฒ่าเอาอีกมันผิดเลขตัวเดียว ส่วนซื้อเลขไม่ถูกเงินหมดไปเท่าไรไม่ได้ว่านะ ที่ซื้อไปแล้วมันหมดไปเท่าไรไม่ว่าไม่คิดกัน คิดแต่จะร่ำรวยท่าเดียว


    ซื้อ ทีไรก็ผิดเลขตัวเดียวเท่านั้น เอ้า เอาอีกๆ แล้วจะเอาอะไร เงินมันหมดแล้วไม่มีค้างในกระเป๋า เอ๊า ควายไอ้ตู้เรานั่นยังตัวหนึ่ง ขายเสียได้เงินมาแล้วเอามาซื้อเลขอีกนะเฒ่านะ เลขผิดตัวเดียวอีก ไอ้ตู้หมดไปทั้งตัว ผิดเลขตัวเดียวอีก หมดไปทั้งไอ้ตู้ หมดไปทั้งสมบัติเงินทองในบ้าน ผิดเลขตัวเดียวอยู่นั้นแหละ สุดท้าย นาเราว่าไงเฒ่านะ เอ๊า เอานาไปขาย ฟาดใส่เลขอีก เป็นยังไงเฒ่าวันนี้ โอ๊ย ผิดเลขตัวเดียวอีกเฒ่า นาไปทั้งทุ่งทั้งแปลงผิดเลขตัวเดียวๆ นี่คือความพอใจทำ เข้าใจไหม คนเราลงได้พอใจเสียอย่างเดียวเป็นถึงไหนถึงกัน ดังเขาซื้อเลขท้ายลอตเตอรี่นั่นแล เงินทองหมด ไร่นาสาโทหมด วัวควายในคอกหมดยังไม่ถอย ถ้าเป็นเรื่องอบายมุขอบายภูมิมันพอใจ เพราะจิตเป็นอบายมุขอบายภูมิเต็มตัวอยู่แล้ว


    นี่ กิเลสมันมีอำนาจเรืองอำนาจบนหัวใจมนุษย์ มันจึงสร้างความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์ ไปที่ไหนทุกหย่อมหญ้ามีแต่ความทุกข์ความลำบาก เวลาถามมีแต่คนหาความสุขความเจริญ มันหาความสุขความเจริญอะไรกัน ก็ต่างแสวงแต่นรกมันก็ไปเจอตั้งแต่นรกอเวจีน่ะซิ ทำไมจึงไปเจออย่างนั้น ก็เพราะการขวนขวายมันเป็นไปตามเรื่องของกิเลส ความ อยากไม่มีเมืองพอ ความโลภก็ไม่มีเมืองพอมันถึงได้เจออย่างนั้น ถ้าพูดถึงท้องถึงพุงเล่า พุงก็พุงน้อยๆ แต่หัวใจที่บรรจุความโลภไว้นั้นมันใหญ่มันโตเกินมนุษย์มนาเดินดินกินข้าว ทั้งหลาย ได้เท่าไรไม่พอ เหมือนกับคนๆ หนึ่งตายไม่เป็น ราวกับจะเหาะเหินเดินบนฟ้าอากาศ ความตายไม่อาจเอื้อมเข้าถึงตัวได้ เมื่อถึงกาลก็ตายเหมือนคนทั้งหลายนั่นแล


    เวลา ตายแล้วก็คนนั่นละไปเผาคน ฟืนนั้นละไปเผาคน เงินทองข้าวของ ความโลภมากๆ นั้นมันไม่ได้มาเผาคนแหละ มีแต่คนนั่นแลอยู่ด้วยกัน สุขทุกข์ก็คนนั่นแลดูแลกัน คนนั่นแลเป็นที่ฝากผีฝากไข้กัน เจ็บไข้ได้ทุกข์ก็มีแต่คนนั่นแลดูแลรักษากัน คนนั่นแลเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกมนุษย์เรา เวลาตายก็คนนั่นแลเผาศพกัน ความโลภ ความเอารัดเอาเปรียบ ความคดโกงรีดไถ มันไม่มามองหน้าแหละ ดังนั้น คนเราจึงควรรักกันดีกว่าชังกัน


    เพราะ ฉะนั้น การอยู่ด้วยคนจึงเป็นของสำคัญ ขอให้ทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณา อยู่กับอะไรๆ ก็ตาม อยู่สถานที่ใดก็ตาม อยู่กับเรื่องอะไรกับวัตถุหรือสมบัติใดก็ตาม สู้อยู่กับคนไม่ได้ สถานที่มีคนอยู่ด้วยย่อมมีความผาสุกเย็นใจ อยู่กับคนทั้งเป็นทั้งตาย อยู่ได้สนิทติดใจและอบอุ่นกว่าอยู่กับอะไรในโลก เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็คนนั่นละไปถามข่าวคราวสุขทุกข์ทั้งหลาย ไปเยี่ยมยามถามทุกข์สุกดิบกัน อยู่กับคนเป็นความผาสุกเย็นใจยิ่งกว่าอยู่กับสิ่งใดๆ เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นความอยู่กับคนเป็นของมีคุณค่าสาระทางจิตใจ และเห็นอกเห็นใจกัน และมองดูหัวใจเขากับหัวใจเราว่ามีคุณค่าเสมอกัน ไม่ดูถูกเหยียดหยามกัน อยู่ด้วยกันในฐานะผู้มีใจสูง มีใจเป็นธรรมต่อกันทั้งเด็กผู้ใหญ่ ตลอดฐานะมีหรือจนให้ถือเป็นสมบัตินอกกาย อย่านำเข้ามาเป็นเครื่องดูถูกเหยียดหยามกัน ควรถือหัวใจเป็นสำคัญกว่าอื่นๆ มนุษย์เราย่อมอยู่ด้วยกันได้สนิท


    เมื่อ ต่างคนต่างมีคุณค่าเท่ากัน มองกันในแง่เหตุผล มองกันในแง่ให้อภัย มองกันในแง่เมตตาสงสาร มองกันในแง่แห่งความเสมอภาคต่อกัน แห่งความเป็นมนุษย์มีชีวิตชีวาด้วยกัน มนุษย์เราเมื่อต่างคนต่างมองกันในแง่ดีงามเหล่านี้แล้ว ก็ชื่อว่ามนุษย์อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก มีเท่าไรก็อยู่ด้วยกันได้ไม่เป็นภัยต่อกัน แต่ถ้ามองกันในแง่เห็นแก่ตัวและแง่อัปมงคลดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็นภัยต่อกันไม่มีใครเกินมนุษย์ มนุษย์เป็นภัยต่อกันมากเพราะมนุษย์ฉลาด ทำอะไรทำได้อย่างแหลกอย่างเหลวอย่างละเอียดเลือดเย็น ทั้งๆ ที่สัตว์ทั้งหลายทำไม่ได้มนุษย์เราทำได้ เพราะมนุษย์มีความฉลาดกว่าสัตว์ มนุษย์จึงทำได้ทุกอย่างที่จะทำ


    ด้วย เหตุนี้จึงต้องมีศีลธรรมเป็นเครื่องสนับสนุนมนุษย์ เป็นเครื่องดำเนินทางความประพฤติหน้าที่การงาน อัธยาศัยใจคอ มีศีลมีธรรมเป็นเข็มทิศทางดำเนิน เพราะศีลธรรมเป็นสิ่งที่ร่มเย็น เป็นสิ่งที่ให้ความอบอุ่น เป็นสิ่งที่ให้ความถูกต้องแม่นยำแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ผลเป็นความสงบสุขเย็นใจโดยทั่วกันในสังคมแห่งสุภาพชน


    ธรรม ของพระพุทธเจ้าไม่เคยทำโลกให้เสียหายล่มจมแต่ไหนแต่ไรมา ท่านจึงตรัสไว้ว่า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าทางฆราวาส ไม่ว่าทางพระ พระเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยตามเพศของตน ก็มีความสุขความสบายเย็นอกเย็นใจ ตั้งแต่พระที่เริ่มบวชจนถึงขั้นมหาเถระ เพราะอำนาจแห่งศีลแห่งธรรมเข้าชำระสะสางสิ่งสกปรกโสมมภายในใจ คือความโลภอันเป็นความสกปรกอันหนึ่ง ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาแต่ละอย่างๆ มันเป็นของสกปรกและเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ละอย่างๆ เมื่อนำธรรมะนำวินัยเข้าไปแก้ไขเข้าไปดัดแปลง เข้าไปชะล้าง สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยจางลงไปๆ จิตใจก็มีความสง่าผ่าเผยสงบร่มเย็นขึ้นมา จากพระธรรมดากลายเป็นพระอริยะขึ้นมาได้เพราะศีลเพราะธรรม เพราะการประพฤติปฏิบัติ พระอริยะเป็นยังไง อริยะก็ตั้งแต่พระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ จะนอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยดีนี้ ไม่ได้เลย


    ที นี้ฆราวาสเราไม่สามารถที่จะปฏิบัติแบบพระได้ เราก็ปฏิบัติแบบฆราวาสซิ เราเป็นฆราวาสเป็นอะไร ฆราวาสไม่สมควรที่จะหาความสงบสุขแก่ตนได้เหรอ ฆราวาสก็คน พระก็คน ศาสนาสอนคน ความมุ่งหมายของเราเป็นยังไงจึงจะปฏิบัติตามศาสนาเพื่อความสงบสุขแก่ตนไม่ ได้ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เราก็คน เกิดขึ้นมาก็เกิดขึ้นมาในท่ามกลางของมนุษย์ เรามีบุญวาสนาแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์แล้วเดือดร้อนที่สุดเลย แต่เรานี้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำไงถึงจะรักษามนุษย์เรานี้ให้ดีให้เป็นผู้มีศีลธรรมไม่ได้ ศีลธรรมเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์มีความร่มเย็นเป็นสุขทางจิตใจ ตัวเองก็เย็นคนอื่นก็เย็น นอกจากศีลธรรมแล้วก็ยากที่จะให้ความร่มเย็นเป็นสุขได้ ดีไม่ดีจะเป็นพิษเป็นภัยเผาลนคนอีกด้วย แต่ศีลธรรมแล้วไม่เคยเป็นฟืนเป็นไฟเผาลนผู้ใดให้มีความเดือดร้อนเลย เพราะฉะนั้น ศีลธรรมจึงเป็นของจำเป็นและดีเยี่ยมสำหรับมนุษย์เรา เพราะเป็นภูมิที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง


    ดังเมื่อตะกี้นี้ก็ได้อาราธนาศีลห้าว่า ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา เพียงห้าข้อนี้เราก็พออยู่พอกินแล้วสำหรับฆราวาส เราจะไปหาสวรรค์วิมานที่ไหน เราสร้างสวรรค์วิมานขึ้นจากศีลห้านี้ก็พอแล้ว อย่าไปวาดมโนภาพแบบลมๆ แล้งๆ ขึ้นหลอกหลอนตนมันจะเป็นบ้าโดยไม่รู้สึกตัวนะ ถ้าวาดภาพไปตามศีลตามธรรมและปฏิบัติตนตามศีลธรรมที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ เราจะหาความสงบสุขเจอแน่นอน โดยที่ยังไม่ถึงสวรรค์วิมานในแดนสวรรค์ก็ตาม


    คำ ว่า ปาณา คืออะไร ถ้าจะอุปมาก็เหมือนว่า สัตว์ทั้งหลายมีความโลภความโมโหโทโส เหมือนกับมีมือถือศัตราวุธอยู่เป็นประจำ คอยฆ่าฟัน คอยที่จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน พอปาณาติปาตา เวรมณี สิกขา เหมือนพระพุทธเจ้ามาแย่งเอาอาวุธอยู่ในมือของสัตว์ทั้งหลายออกและสั่งสอนว่า อย่าฆ่ากันซิ การฆ่ากัน การทำลายกัน การเบียดเบียนกันและกันเป็นความเลวร้าย ไม่ใช่ของดี อย่าทำ หยุดๆ ความหมายว่าอย่างนั้น ทรงสำทับว่า ฆ่าเราเป็นยังไง เรารักไหมชีวิตเรา คนอื่นสัตว์อื่นเขารักเช่นเดียวกับเรารักชีวิตเรา ถ้าเรารักชีวิตเราอย่าฆ่าเขานะ ชีวิตเขากับชีวิตเรามีคุณค่ามีน้ำหนักเท่ากันนั่นแหละ ให้ต่างคนต่างรักษาความปกติแห่งชีวิตชีวาของกันและกันไว้ ไม่ยังชีวิตชีวาของกันและกันให้กำเริบด้วยความเจ็บความปวด ด้วยความล้มความตายเพราะการสังหารทำลายกัน เพียงเท่านี้โลกก็อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก


    อย่า ว่าแต่มนุษย์อยู่ด้วยกันเลย สัตว์กับมนุษย์ก็ยังอยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทติดใจไม่อยากจากมนุษย์ไปไหน เพราะอยู่กับมนุษย์มีศีลธรรมปลอดภัยดีกว่าอยู่กับพวกของตัวและอยู่โดยลำพัง เพราะมนุษย์มีอำนาจมากสัตว์ทั้งหลายกลัวกัน ถ้ามนุษย์มีศีลธรรมเสียอย่างเดียว ไม่มีใครที่จะให้ความร่มเย็นแก่กันและแก่สัตว์ได้ยิ่งกว่ามนุษย์เรา การปล่อยวางชีวิตฝากเป็นฝากตายต่อกันได้ด้วยความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ใครๆ ต้องการทั่วพิภพ ต่างชีวิตต่างมีความสุขมากเพราะศีลธรรมช่วยรักษา นี่ข้อหนึ่ง


    ข้อที่สอง อทินนาทานฯ ของใครแม้มีเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือสิทธิ มีความรักความสงวนถือว่าเป็นของตัวด้วยกันทั้งนั้น สมบัติทั้งปวงที่อยู่ในความครอบครองมีคุณค่าอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ แม้เพียงเข็มเล่มหนึ่งก็ตาม คุณค่าของเข็มนี้คืออะไร คือใจ ใจของผู้เป็นเจ้าของมีคุณค่ามาก ถ้าให้กันเฉยๆ ให้เท่าไรก็ได้ ให้เท่าไรก็เป็นมงคลทั้งสองฝ่ายไม่มีประมาณ ให้กันเป็นล้านๆ ก็ไม่เป็นไรเพราะให้ด้วยเจตนา ให้ด้วยความยินดี ผู้ให้ก็ยินดี ผู้รับก็รับด้วยความยินดี เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าฉกถ้าลัก ถ้าปล้นถ้าสะดมซึ่งกันและกันแล้ว นั่นเป็นการทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของฝ่ายผู้เป็นเจ้าของอย่างฉิบหายวาย ปวง ทำลายสมบัติของผู้นั้นยังไม่แล้ว ทำลายจิตใจเขา ทำให้เกิดความเคียดแค้นและผูกกรรมผูกเวรต่อกัน ดีไม่ดีก็แก้กรรมแก้เวรกันด้วยความเลวร้ายเพิ่มเติมเข้าไปอีก


    มนุษย์ แก้กรรมแก้เวรกันคือกิเลสแก้กรรมแก้เวรกัน ไม่เหมือนธรรมแก้กรรมแก้เวร ผิดกันอยู่มาก กิเลสแก้กรรมแก้ยังไง คือแก้แบบเอาที่น้ำสกปรกไปชะล้างสถานที่หรือวัตถุที่สกปรกให้สกปรกยิ่งขึ้น นี่คือการล้างแค้น คือการล้างกรรมล้างเวรซึ่งกันและกันของโลกเป็นเช่นนี้ ของโลกคืออะไร คือของกิเลส คนมีกิเลสสัตว์มีกิเลส การกระทำด้วยความเคียดแค้นต้องเป็นการเพิ่มกิเลสขึ้นเสมอ ยิ่งเพิ่มความสกปรก ยิ่งเพิ่มกรรมเพิ่มเวรขึ้นอย่างไม่มีประมาณ แต่ทางด้านธรรมะไม่เป็นเช่นนั้น เอาชนะความไม่ดีของเขาด้วยความดีของตน ชะล้างสถานที่สกปรกด้วยน้ำอันสะอาด นี่คือธรรมแก้อธรรม ปราชญ์ท่านแก้กันอย่างนี้


    เพื่อ รักษาจิตใจและสมบัติของกันและกันไม่ให้สูญหายและกำเริบลุกลาม พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม อย่า ของเขาเป็นของเขา ของเราเป็นของเรา อย่าไปอาจไปเอื้อม อย่าไปรุกล้ำเอาของกันและกัน นั่นเป็นการยังจิตใจของกันและกันให้กำเริบ ไม่ใช่ของดี ความกำเริบไม่ว่าโรคกำเริบ ไม่ว่าใจกำเริบ เป็นของไม่ดีทั้งนั้น สมบัติมีเจ้าของยิ่งเป็นเรื่องของจิตใจโดยตรง จิตใจกำเริบยิ่งเป็นบ่อนรกอเวจีที่จะเผาผลาญกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย อย่าพากันทำ นี่ข้อที่สอง คือ อทินนาทาน จงพากันจำเอาไว้และปฏิบัติตาม สมบัติจะปลอดภัย ดวงใจจะเป็นสุขโดยทั่วกัน


    ข้อที่สาม คืออะไร กาเมฯ กาเมเรื่องอะไร ก็เรื่องผัวเรื่องเมียนั่นเองจะเป็นเรื่องอะไรไป มันชัดแจ้งอยู่แล้วมิใช่หรือ จะสาธกเรื่องเป็นคติสอนใจให้ฟังเล็กน้อย พากันจำเอาไว้ ก็ไอ้พวกสุนัขหอนอึกทึกครึกโครมเวลาเดือนเก้าเดือนสิบ (คือเดือนสิงหาคม-กันยายน) เรา ไม่ว่าอะไรมัน เพราะรู้ว่ามันไม่มีเขตมีแดน ในฤดูมันคึกคะนองแม้แต่หลังคนมันยังเยี่ยวรดได้ เวลาคนนั่งชุมนุมคุยกันเพลินอยู่นั้น สุนัขคณะใหญ่วิ่งแห่กันมา พอเจอหลังคนมันนึกว่าพุ่มไม้หรือหัวตอก็ยากสันนิษฐานถูก มันยกขาขึ้นข้างหนึ่งแล้วก็เยี่ยวรดใส่หลังคนร้อนผ่าวเชียว ก็คนมิใช่หัวตอ พุ่มไม้ ต้องรู้สึกและโดดลุกขึ้น เจ้าสุนัขรู้ว่าเป็นคน กลัวก็เผ่นใหญ่ นั่นฟังเอา นี่เป็นความจริง มีอยู่ที่บ้านตาดนั่นเอง ตัวคนที่ถูกสุนัขเยี่ยวรดก็ยังเป็นตนเป็นตัวอยู่เวลานี้ แต่อย่าให้ระบุชื่อเถอะ อายแทนหัวตอนั้น


    เพียง สุนัขคะนองยังไม่น่าดูน่าชม มันเยี่ยวรดกระทั่งหลังคน เผื่อว่ามนุษย์คะนองจะเป็นยังไง จะไม่ร้ายกว่าสัตว์โน่นหรือ ที่นี่เราเป็นมนุษย์จะทำอย่างสัตว์ไม่ได้ สังคมผู้ดีไม่ยอมรับ จึงควรมีศีลธรรมช่วยรักษา ลำพังเราไม่ไหว จะเยี่ยวรดอะไรก็ไม่อาจทราบได้เวลาราคะตัณหามันคะนอง


    จง เป็นผู้สันโดษมักน้อย มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น เป็นความสงบเย็นในครอบครัว ไม่มีอะไรมายุ่งกวน แม่อีหนูจะไม่เป็นโรคประสาทตาย หรือพ่อไอ้หนูจะไม่อกแตกตายเพราะแม่อีหนูมีหลายใจ เป็นหญิงกว้างขวางไม่เข้าเรื่อง ไม่เข้าประเพณีอันดีงามของมนุษย์ที่มีสามีภรรยาเป็นหลักแหล่งแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า อปฺปิจฺฉตา ให้มีผัวเดียว เมียเดียว เราไม่ว่าข้าราชการทหาร ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าชาวบ้านร้านตลาด บ้านนอกในเมือง มันมีครอบครัวด้วยกันทั้งนั้นแหละ ครอบครัวหนึ่งๆ ต้องมีผัวมีเมีย มีผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่มีศีลนี้เป็นเครื่องรักษาแล้ว ไม่มีใครและสัตว์ตัวใดจะทำความวุ่นวายเดือดร้อน ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมยิ่งกว่ามนุษย์เรา มนุษย์นี้ตัวเก่งเชียวแหละ คึกคะนองไม่มีฤดูกาล ไม่มีเพศมีวัย ยิ่งกว่าจำพวกเดือนเก้าเดือนสิบเป็นไหนๆ ท่านจึงให้มีศีลข้อนี้


    อปฺปิจฺฉตา ให้มีความมักน้อย ให้มีความยินดีฝากเป็นฝากตาย มีความจงรักภักดีกับสามีและภรรยาของตนเท่านั้น นี่ศีลห้าในข้อที่สาม ข้อนี้ลองเอาไปรักษาซิ ครัวเรือนที่เคยนำไฟมาเผากันให้ลุกเป็นเปลวแต่ก่อนที่ยังไม่มีศีลข้อนี้ กับเวลารักษาศีลข้อกาเมนี้แล้ว ผลเป็นอย่างไร ครัวเรือนนั้นจะทราบเองว่าไฟนั้นได้ดับมอดไปราวกับปาฏิหาริย์ และอยู่กันด้วยความสำราญราวกับขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นนั่นแล


    ถ้า ศีลข้อนี้ด่างพร้อยลงเป็นยังไง ความสงบสุขในครัวเรือนนั้นต้องด่างพร้อย ครัวเรือนนั้นเริ่มหาความสงบไม่ได้ อย่างน้อยก็เริ่มเป็นไฟเผากองแกลบขึ้นมาในครอบครัว มากกว่านั้นแตกกันได้ เพราะเรื่อง มหิจฺฉตา คือความมักมากทำลายล้างผลาญ เนื่องจากได้หนึ่งแล้วไม่พอกับความต้องการ ได้สองไม่พอกับความต้องการ ได้สามไม่พอกับตัณหาตามืด แล้วเราเคยเห็นไหม ใครที่อยู่ในโลกนี้ที่มาพูดอวดว่า เฮ้ย ข้านี่มีความสุขว่ะ ข้าได้เมียห้าคนข้ามีความสุขมาก แกไปหามาให้ได้สิบคนมาแข่งซิ แล้วฉันมีเมียได้สิบคน ฉันมีผัวได้ร้อยคน ฉันมีความสุขมากนะ ไม่เคยมี มีแต่ก่อฟืนก่อไฟเก้ากอง สิบกอง ร้อยกอง พันกอง เผาเจ้าของและครอบครัวให้แหลกนั่นแหละ เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น


    ความ สุขอยู่ในความรู้จักประมาณ ความเหมาะสม ความยอมรับด้านศีลธรรมเป็นสำคัญ ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความฝากเป็นฝากตายกัน นี่เป็นความสุขของสามีภรรยา นอกจากสามีภรรยามีหลักมีเกณฑ์พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้แล้ว ลูกเต้าหลานเหลนยังถือเป็นคติตัวอย่างอันดีงามไปใช้อีก บ้านเราก็มีขื่อมีแป รู้จักสูงรู้จักต่ำ รู้จักของเขาของเรา โลกนี้ก็เป็นโลกที่สงบร่มเย็น


    ถ้า เรามีความสงบร่มเย็นด้วยศีลด้วยธรรมแล้ว สวรรค์เราไม่อยากไปก็ได้เพราะเรามีความสุขสบายดีอยู่แล้วนี่ คนเราที่ระเหเร่ร่อนย้ายเรือนไปอยู่ที่นั่นที่นี่ก็เพราะที่ๆ เคยอยู่นี่มันไม่สมบูรณ์ มันขาดตกบกพร่อง การแสวงหาไม่พออยู่พอกินพอใช้พอสอย ทางโน้นน่าจะดี ทางโน้นน่าจะมีความสมบูรณ์กว่าที่นี่ ทางโน้นน่าจะเป็นสุข มันทำให้คิดให้ระเหระหนวนเวียนภายในใจ แล้วย้ายบ้านไปอยู่ทางโน้นย้ายบ้านไปอยู่ทางนี้ เพราะความสงสัยไม่แน่ใจ เพราะความบกพร่องขาดเขินนั่นแหละพาให้คิดให้ย้ายบ้านย้ายเรือน ถ้าเรามีความสมบูรณ์พูนผลอยู่แล้วจะย้ายไปทำไม อยู่ที่นี่มันก็สบายแล้ว คิดถึงอะไรก็มีมาๆ เหมือนกับแก้วสารพัดนึกแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนซึ่งดียิ่งไปกว่านี้ คนเรา ไม่อยากไปเพราะที่นี่ก็สบายแล้ว นั่น


    คน เราเมื่อมีความสุขแล้วอยู่ไหนก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามีความทุกข์เดือดร้อนแล้ว โลกนี้แม้จะกว้างแสนกว้างแต่มันก็กลายเป็นโลกที่คับแคบนะ อยู่ไหนก็อยู่ไม่ได้เพราะทุกข์บีบคั้น โลก กว้างแสนกว้างมันก็มาคับแคบอยู่ที่หัวใจนี่แหละ มันตีบตันอั้นตู้อยู่ที่หัวใจนี่ ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่ที่หัวใจนี่แล เพราะฉะนั้น จงปรับปรุงใจให้ถูกต้องดีงามด้วยศีลด้วยธรรมเสียแต่บัดนี้ไปจะไม่เดือดร้อน ภายหลัง ธรรมโอสถคือศีลคือธรรมมีอยู่จงนำไปรักษา ในข้อที่สามก็ได้พูดไว้แล้ว วันนี้พูดเพียงย่อๆ กลัวว่าเวลาจะไม่มีเพียงพอ


    เรื่อง ของศีลของธรรมเป็นของดีเลิศประเสริฐสุดจงนำไปประพฤติปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธอย่าเพียงนับถือศาสนาเฉยๆ เห็นพระก็เพียงกราบปลกๆ เมื่อมีคนถามว่าท่านถือศาสนาอะไร “ถือศาสนาพุทธ” ศาสนาพุทธเป็นยังไง “ข้าไม่รู้ ข้านับถือตามเขาเฉยๆ นั่นแหละ” ไม่ ได้เรื่องได้ราวได้สารคุณอะไรจากศาสนา มีแต่ถือไม่ได้ปฏิบัติ นำออกพูดโชว์เฉยๆ เหมือนผลไม้นี้ดีนะๆ แต่ไม่เคยได้ลิ้มรสของผลไม้นั้นเลย จะรู้รสชาติได้ยังไง ถือผลไม้โชว์ผลไม้ก็ถือก็โชว์อยู่อย่างนั้นแหละแต่ไม่ได้กิน เหมือนลิงได้แก้ว นี่ก็ถือศาสนาพุทธ ใครถามก็ว่าถือศาสนาพุทธ เรื่องของพุทธท่านสอนว่ายังไง พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้เพราะเหตุผลกลไกอะไร พระสาวกได้เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เป็นเพราะท่านนับถือศาสนาเฉยๆ เหรอ หรือเป็นเพราะท่านปฏิบัติ ก็ต้องคิดอย่างนั้นบ้างซิ เราอยากได้ผลอันดีงามเป็นความสงบร่มเย็นแก่ตัวของเรา เราก็ต้องปฏิบัติตามหลักศาสนาซิ อย่างน้อยได้รักษาศีลห้านี้ก็ยังดี นี่ในข้อที่สาม ได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังย่อๆ


    ศีล ห้าข้อที่สามคือกาเมฯ คือจงรักภักดีและรักสงวนซึ่งกันและกัน ให้ความเคารพความไว้วางใจต่อกันและกัน แม้ไม่มีเงินล้านก็ตามเถอะน่า ขอให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน พึ่งเป็นพึ่งตาย ไว้อกไว้ใจกันได้ ไปในบ้านนอกบ้านในเมืองนอกเมืองไว้ใจกันได้ทั้งหญิงทั้งชาย คือทั้งฝ่ายสามีภรรยาจะมีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะความไว้วางใจกันได้อย่าง สนิทตายใจทั้งสองฝ่าย นี่แหละบ่อแห่งความสุขอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่อยู่ที่เงินหมื่นเงินแสนเงินล้านนะ เงินล้านก็ล้านเถอะ ถ้าตัวเจ้าของเงินล้านประพฤติตัวไม่ดีแล้ว เงินก็กลายเป็นฟืนเป็นไฟและเป็นยาพิษเผาเจ้าของทั้งครอบครัวผัวเมียลูกเล็ก เด็กแดงให้แหลกเหลวไปหมดนั่นแหละ


    สมบัติ เงินทองมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของต่างหาก เป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาด เป็นคนดีหรือคนชั่ว ถ้าเป็นคนฉลาดในทางดีแล้ว มีหลายล้านกว่านั้นก็เอามาทำประโยชน์ได้หมด ถ้าไม่ฉลาด แม้จะมีเงินน้อยล้านหรือมีหลายล้านกว่านั้น ก็กลายเป็นไฟกองน้อยกองใหญ่มาเผาตัวให้แหลกแตกกระจายไปหมดนั่นแหละ มันสำคัญอยู่ที่ใจของเราจะปฏิบัติต่อตัวและต่อครอบครัวผัวเมียให้ดี หรือให้เลวประการใดต่างหาก ที่จะพาให้ดีหรือให้เลว ดังนั้น จงรักษาตนด้วยการประพฤติศีลประพฤติธรรม อย่าลืมตัวประมาท เราเองก็ร่มเย็น ครอบครัวก็เป็นสุข สมบัติมีมากน้อยก็เป็นเครื่องเสริมสุขเสริมเกียรติไม่ล่มจมฉิบหาย


    ข้อ ที่สี่ เราไม่พูดอะไรไปกว้างขวางมากมายละ พูดให้พอเหมาะพอสม พูดลงในจุดของครอบครัว เพราะเราต่างคนต่างมีครอบครัวด้วยกันนี่ โกหกใครเราก็ไม่สำคัญนัก เราไม่ว่าอะไรนัก เราไม่ปรักปรำอะไรนัก เราไม่จดไม่จ่ออะไรมากนัก สำคัญอย่ามาโกหกพ่ออีหนู อย่ามาโกหกแม่อีหนู ในเรื่องชู้ๆ สาวๆ ก็แล้วกัน นี่สำคัญมากนะ ไปเถลไถลนอกบ้านนอกเรือนมาแล้ว มองดูท่าทางมีพิรุธด้อมๆ มองๆ เหมือนขโมยจะเข้าบ้าน ดูท่าทางมันก็ขโมยเราดีๆ อยู่แล้ว พอเมียถามอะไรนั่น ไปอะไรมา “อย่าๆ ถามฉันนา ฉันไปเยี่ยมเพื่อนต่างหาก” อีกฝ่ายหนึ่งเอาใหญ่ ถูกซักเยี่ยมเพื่อนอะไรกัน เพื่อนหญิงหรือเพื่อนอะไร “เพื่อนชะ.า.ย. เพื่อนชาย” นั่นมันหาเรื่องแก้ตัว แก้ไปเท่าไรก็ติดไปหมดละซิ เพราะโกหกพูดต้องติดอ่าง


    ความ จริงไม่เป็นเช่นนั้น ความจริงมันไปหาขโมยมาแล้วนี่ นี่ละการโกหก โกหกใครก็ตามอย่าเอาเรื่องชั่วช้าลามกมาโกหกพ่ออีหนูแม่อีหนูก็พอ นี่เป็นของสำคัญ ความโกหกอันนี้ร้ายแรงมาก ร้ายแรงมากกว่าความโกหกอย่างอื่นสำหรับครอบครัวนะ การไปโกหกใครก็ไม่เป็นไร บางคนยังชอบให้โกหกด้วยเพราะสนุกดี แต่มาโกหกครอบครัวเจ้าของด้วยความไม่ดีของตัวเองนี้เสียมากทีเดียว และเจ็บแสบมากด้วย ดีไม่ดีบ้านแตกสาแหรกขาดโน่น เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดอย่าทำ จะไม่นำความโกหกมาโกหกกัน จะไม่นำไฟมาเผากัน จงคิดและทำแต่สิ่งเป็นสิริมงคลต่อกันและครอบครัว เราจะเป็นสุขยิ่งกว่ามีเงินล้านแต่นำไฟมาเผากันเป็นไหนๆ


    ท่าน ทั้งหลายอยากเห็นหอวิมานไหม ถ้าอยากเห็นหอวิมาน ให้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน พ่ออีหนูแม่อีหนูให้ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน นั่นละหอวิมานของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าไปหาหอวิมานกับแม่อีหนูพ่ออีหนูตัวแสบกลางบ้านนะ นั่นละมันจะตายตรงนั้นน่ะ พอกลับมาแม่อีหนูเอาไม้ฟาดแข้งแหลก เข้าใจไหมฝ่ายแม่บ้านแม่อีหนูน่ะ ถ้าแฟนคือพ่ออีหนูทำตัวแบบสุนัขหน้าคะนองละก็ หลวงตาบัวจะบอกให้นะ ให้เตรียมไม้ไว้ดีๆ นะ พอมาแล้วไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอะไรละ ใส่เปรี้ยงเข้าไปหน้าแข้งนั่นเลย อย่าออมแรงนะ แข้งหักแล้ววันหลังจะไม่ได้ไป เข้าใจไหม ถ้ามันยังไปได้อีก ฟาดแข้งข้างหนึ่งเข้าอีก สองแข้ง เมื่อหักทั้งสองแข้งแล้วคงไม่กล้าคลานออกนอกบ้านแหละ เอามันร้องโอยๆ เชียวละเข้าใจไหม นี่คือวิชาดัดสันดานแฟนตัวเก่ง นี่เป็นข้อที่สี่


    ข้อที่ห้า เวลานี้ชาวพุทธเรากำลังกำเริบกันเรื่องน้ำบ้า สุรา คือน้ำบ้า ยังไม่รู้อยู่เหรอว่าน้ำบ้า เอ๊า ถ้าอยากจะรู้ก็ให้เอามากินเดี๋ยวนี้ซิ คนดีๆ ก็เป็นบ้าได้อย่างสดๆ ร้อนๆ นี่ มันวิเศษวิโสอะไรกับน้ำสุรานั้น นักปราชญ์ทั้งหลายที่เป็นหลักอันร่มเย็นของโลก ที่รื้อขนสัตว์ทั้งหลายผู้ตกทุกข์ให้มีความสงบร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมาจน ปัจจุบันนี้ มีแต่ผู้ตำหนิสุราทั้งนั้น นอกจากเทวทัตผู้ทำลายศีลธรรมอันดีงามของโลกเท่านั้นจะชมเชยสุรา เราจะเป็นเทวทัต หรือจะเป็นศิษย์ตถาคตเราก็ควรพิจารณาตัวเองแต่ละราย


    ปัจจุบัน นี้ ไม่ว่าอยู่ในสถานที่ใดไปที่ใด ถ้าไม่มีสุราออกหน้าออกตาแล้ว สังคมนั้นรู้สึกว่ามันเหงาหงอยราวกับบ้าไม่มีในสังคมนั้น ถ้าสังคมใดมีสุราออกโชว์นั้นโชว์นี้รู้สึกว่าสง่าผ่าเผยรื่นเริงด้วยบ้า แม้สมาคมของพระก็ตามเถอะ ถ้าลองเอาน้ำบ้ามาวางนี้ ภาษาอีสานว่า คนนั้นจอกหนึ่ง คนนี้จอกหนึ่ง คือคนนั้นแก้วหนึ่ง คนนี้แก้วหนึ่ง หลวงตาบัวแก้วหนึ่ง ฟาดลงไป พวกนี้ตีกันแหลกล้มระนาว หลวงตาบัวเก่งมากตีคนล้มระนาว เพราะน้ำบ้าพาให้กล้าหาญตีคนไม่เลือกหน้า ที่นี่มันเลยเป็นบ้าไปหมดกระทั่งหลวงตาบัว


    สุรา มันเป็นของดีแล้วเหรอ เอ้า พิจารณาซิ เรายกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ อย่างนี้แหละ เอ๊า ถ้าว่านี้ไม่เป็นบ้าแล้ว เอามาลองดูเดี๋ยวนี้ซิ ท่านทั้งหลายกินกันเดี๋ยวนี้เพื่อให้เห็นผลทันตา ถ้าว่าหลวงตาบัวพูดโกหกป่าเถื่อน คนโน้นแก้วหนึ่ง คนนี้แก้วหนึ่ง หลวงตาบัวสองแก้วเพราะเป็นอาจารย์เขา ฟาดสองแก้วแล้วทีนี้ตีท่านทั้งหลายแหลกหมด หลวงตาบัวน่ะ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนไม่กินสุราไม่ตีคน ดุก็ดุไปเฉยๆ ทีนี้พอกินสุราเข้าไปแล้วฟาดคนแหลกเลย หลวงตาบัว นั่นเห็นไหม มันดีไหมสุราควรพิจารณา หรือว่ากินสุราแล้วมันเกิดความอาจหาญ ก็คนอาจหาญเพราะความเมาสุรานี้คือคนบ้า คนดีๆ ก็อาจหาญได้และอาจหาญอย่างมีเหตุมีผลดีกว่าคนเมาสุราเป็นไหนๆ ขอให้อาจหาญด้วยเหตุด้วยผลนั่นแล ดีกว่าอาจหาญด้วยการเมาสุราซึ่งคอยจะเสียท่าถ่ายเดียว ไม่ใช่เป็นของดี คนมีเหตุมีผลและปลอดภัยคือคนไม่เมาสุรา


    คน เมาสุราหาเหตุผลไม่ได้ ชอบโม้ชอบคุย เก็บความลับไว้ไม่ได้ อะไรๆ นำออกมาเปิดเผยและกระจายหมดไม่มีเหลือ แม้โง่แสนโง่ก็ว่าตัวฉลาดที่สุดไม่มีใครสู้ ก็คือคนเมาสุรา และเสียท่าเร็วที่สุดก็คือคนเมาสุรา พิจารณาซิ มันเป็นของดีแล้วเหรอ สุรามีมากมีน้อยมันทำลายมนุษย์เราได้ขนาดไหน เงินค่าสุราแก้วหนึ่งราคาเท่าไร คนๆ หนึ่งคุณค่าราคาเท่าไร สุรานั้นมันทำลายคน ทำไมไม่คำนึงคำนวณผลได้ผลเสียของสุรา พอมีทางประหยัดทรัพย์ ประหยัดคนไม่ให้เสียไปเพราะสุราดังที่เป็นมาและเป็นอยู่นี้ เราไม่ต้องพูดถึงไกลใกล้อะไรหรอก เราเอาเฉพาะวงของเราๆ นี้แหละ ถ้าหากสุราได้ห่างไกลไปแล้ว คนนั้นจะเริ่มเป็นคนขึ้นมา ถ้าสุราใกล้เข้ามาๆ คนนั้นเริ่มใกล้จะเป็นบ้าแล้วนะนั่นน่ะ พอสุราเข้าถึงปาก บ้าก็ขึ้นถึงปากเลย สติสตังไม่ทราบหายไปไหน เหลือแต่บ้าเต็มตัวเต็มปาก คุยโม้ไม่มียางอาย


    ศีลเพียงห้าข้อนี้ ถ้าเราได้นำไปประพฤติปฏิบัติ เราจะชื่อว่าเป็นชาวพุทธได้เป็นอย่างดี ผลก็ร่มเย็นทั้งตัวและครอบครัว แต่ นี่มักมีแต่นับถือศาสนาพุทธๆ หาเรื่องหาราวเป็นพุทธอะไรไม่ได้ มักมีแต่เรื่องเป็นข้าศึกกับพุทธ เรื่องเป็นข้าศึกกับตัวเอง แล้วจะว่าถือศาสนาพุทธที่ตรงไหน นี่ซิมันสำคัญ ถามที่ไหนรายใดมีแต่ถือศาสนาพุทธ แต่ความสนใจกับพุทธมีน้อยมาก นอกจากทุ่มเทไปทางอื่นเสียจนแหลก วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่เรื่องทุ่มเทไปที่จะเอาผลกำไรลงพื้นนี่ ลงใต้ก้นเทวทัต ไม่ได้เอาผลกำไรที่จะเป็นคนดิบคนดี เป็นความสงบสุขร่มเย็นอะไรจากศาสนาเลย พิจารณาซิ แล้วพยายามตั้งใจประพฤติปฏิบัติถ้าอยากเห็นคนดีมีความสงบสุข คือตัวเราเองนั่นแล


    วันนี้ ได้อธิบายธรรมะในแง่ต่างๆ ให้ท่านทั้งหลายฟัง และธรรมะประเภทนี้ก็ไม่ค่อยได้อธิบายบ่อยนักนะ ถ้าคนไม่มีวาสนาก็คงไม่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแบบนี้ หลวงตาบัวไม่มีวาสนาก็ไม่ได้เทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งสองฝ่ายนี้นับว่ามีวาสนานะเข้าใจไหม ให้พากันนำธรรมที่อธิบายนี้ไปประพฤติปฏิบัติ วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่าลืมระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ และอย่าหาเรื่องใส่ตนว่ายุ่งไม่มีเวลาระลึกบำเพ็ญ ก็เวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงเช้าวันหลังเป็น ๒๔ ชั่วโมง เอาไปไหนหมด พิจารณาซิ ถ้าเราจะเป็นนักโต้วาทีกับเราเพื่อคุณงามความดีสำหรับเราแล้ว เราก็มีทางที่ชนะเราได้ พอจะมีเวลาประพฤติศีลธรรมเท่าที่ควร ที่ว่าไม่มีเวลา นั่นกิเลสมันกันท่า ไม่ให้ทำต่างหาก ถ้าเป็นเรื่องเหลวไหลแล้วมันไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” เอา ได้ทั้งวันทั้งคืน ตายก็ไม่เป็นไร นี่เรื่องของกิเลสมันไม่ยอมผ่อนผันให้ใครง่ายๆ มันไม่ผ่อนผันสั้นยาวให้ใครเลย มีแต่บีบแต่มัดเข้าไปโดยลำดับ และถูกมันกล่อมให้หลับอยู่ตลอดเวลา จะตายมิตายแหล่ยังว่าตัวดี มีวันคืนยืดยาวนานอยู่เรื่อยไป ไม่คิดว่าจะเป็นจะตายวันไหนเมื่อไร


    เรา จึงควรมีศีลธรรมนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่ออ่านดูตัวเรา จะได้รู้ความบกพร่องหรือสมบูรณ์ของเรา วันหนึ่งคืนหนึ่ง เวล่ำเวลาที่จะนำมาสวดมนต์ไหว้พระนั่งภาวนาทำใจให้สงบเยือกเย็นและเป็นสิริ มงคลแก่ตัวเองทำไมเวลาจะหาไม่ได้ จะทำไม่ได้ เวลาไปไหนหมดถึงว่าไม่มีเวลา เกิดมาก็เกิดกับเวลาแท้ๆ เกิดเวลาเท่านั้น ตกฟากเวลาเท่านั้น เราเกิดกับเวลา อยู่กับเวลามาจนกระทั่งถึงป่านนี้ ทำไมเวลาไม่มีเพื่อทำความดี ถ้าเราไม่โง่ต่อเวทมนต์ของกิเลสจนเกินไป ถ้าเราพอใจหาเวล่ำเวลามาทำประโยชน์แก่ตน ไม่ให้กิเลสแย่งไปกินเสียหมด ต้องได้วันหนึ่งเวลาใดแน่นอน เอาให้ได้นะท่านทั้งหลาย ของดีมีค่าคือธรรม คือเรา เอาให้ได้ทุกคน ไม่ได้มากก็ให้ได้น้อย เกิดมาในท่ามกลางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของเลิศแล้ว ทำไมเราจึงจะกลายเป็นคนเลวในท่ามกลางศาสนาได้ล่ะ ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธ ใช้ไม่ได้ จงเอาให้ใช้ได้ ใช้ได้ดีและดีมาก จะได้ภูมิใจในตัวเราเอง ดีกว่าไปภูมิใจกับคนอื่นซึ่งตนเองก็เสียใจว่าไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจเหมือน เขา


    การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติเพียงแค่นี้


    คัดลอกจาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2345&CatID=2

     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ธรรม ของพระพุทธเจ้าไม่เคยทำโลกให้เสียหายล่มจมแต่ไหนแต่ไรมา ท่านจึงตรัสไว้ว่า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าทางฆราวาส ไม่ว่าทางพระ พระเป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยตามเพศของตน ก็มีความสุขความสบายเย็นอกเย็นใจ ตั้งแต่พระที่เริ่มบวชจนถึงขั้นมหาเถระ เพราะอำนาจแห่งศีลแห่งธรรมเข้าชำระสะสางสิ่งสกปรกโสมมภายในใจ คือความโลภอันเป็นความสกปรกอันหนึ่ง ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาแต่ละอย่างๆ มันเป็นของสกปรกและเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ละอย่างๆ เมื่อนำธรรมะนำวินัยเข้าไปแก้ไขเข้าไปดัดแปลง เข้าไปชะล้าง สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยจางลงไปๆ จิตใจก็มีความสง่าผ่าเผยสงบร่มเย็นขึ้นมา จากพระธรรมดากลายเป็นพระอริยะขึ้นมาได้เพราะศีลเพราะธรรม เพราะการประพฤติปฏิบัติ พระอริยะเป็นยังไง อริยะก็ตั้งแต่พระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ จะนอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยดีนี้ ไม่ได้เลย

    นี่ ก็เหมือนกัน อย่าว่าตนเก่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า อย่าว่าตนเก่งกว่าครู กิเลสมันหลอกให้ว่าเราเก่งต่างหาก กิเลสมันก็มิได้เก่ง เราผู้ถูกหลอกจึงไม่มีอะไรเก่ง มันหลอกให้เราตกนรกทั้งเป็น อะไรที่ธรรมว่าดี มันว่าไม่ดี กิเลสน่ะ ธรรมว่ามี มันว่าไม่มี กิเลสมันลบไปหมด ศาสนธรรมอุบัติขึ้นในโลกก็เพื่อบุกเบิกเพิกถอนสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ ออก ให้เราทั้งหลายได้ทรงอรรถทรงธรรมในหัวใจ ใจจะได้ดีวันดีคืนไปเรื่อยๆ จะมีหวังความสุขความเจริญดังโลกผู้ดีทั้งหลายประสบกัน​

    ผมชอบสองย่อหน้านี้ครับ
    อนุโมทนาสาธุ (กว่าจะอ่านจบ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...