สิ่งที่ผมเห็นนี้คืออะไรครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย bpisut, 15 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอเรียนถามท่านผู้รู้ครับ
    ผมจะเห็น(ด้วยจิต)ที่กลางอกของทุกคนจะมีดวงกลม ประมาณผลส้มโอ มีสีขาว บ้าง ดำบ้าง เหลืองบ้าง ฯลฯ ไม่ทราบว่าสิ่งที่เห็นนี้เรียกว่าอะไร คืออะไรครับ
    ปล. ทีผมเขียนสั้น ๆ เพราะอยากจะสอบถามท่านที่รุ้เห็นจริงๆ น่ะครับ เพราะท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเห็นนี้น่ะครับ ผมเคยถาม ผู้เรียนอภิธรรม แล้ว
    เหมือนคุยกันคนละภาษาน่ะครับ
    ขอบคุณครับ
    bpisut
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2015
  2. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    นิมิตรครับ
     
  3. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณครับ / หมายถึงเป็นนิมิต ของคน ๆ นั้นใช่ไหมครับ มีเรื่องที่ผมอยากจะเล่าในเชิงแลกเปลี่ยนประสบการณ์น่ะครับ
    แต่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ คือ เร็ว ๆ นี้ ผมเห็นนิมิต ของหลวงปู่รูปหนึ่ง เป็นแก้วใสแต่ผิวไม่เรียบ เป็นเหลี่ยมๆ คล้ายคริสตัล สีแวววาวเป็นสีรุ้ง
    สดใสมาก ผมคิดว่า ท่านคงมีฤทธิ์ พอดีผมไปพบข้อมูลว่า มีพระอีกรูปหนึ่ง
    ท่านบอกว่า หลวงปู่รูปนี้ ตอนท่านปลุกเสก จะมีแสงออกจากตัวหลวงปู่ เป็นสายรุ้งด้วย
     
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    นิมิตรของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งลักษณะนิมิตรแสดงทางอายตนะทั้ง ๖ ทางทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    ที่เห็นได้ก็เป็นนิมิตรทางตา ซึงก็ผิดแผลกแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญอย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามันถูกต้องเป็นจริงอย่างเด็ดขาด แม้นว่าบางครั้งมันอาจจะจริงก็ตาม หากไปหลงมันก็จะมาหลอกเราร้อยแปดให้ประสาทเสียครับ
     
  5. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    นิมิตรที่คนเราเหนนั้นมีอยู่ 2 แบบ คือ นิมิตรจริง กับนิมิตรหลอก ในนิมิตรหลอก ถ้าเราหลงไปกับมันมากไปจะทำให้ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด จัดเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่สามารถทำเพื่อพัฒนาจิตต่อไปได้ ให้คิดเสมอเมื่อเหนนิมิตรเหล่านี้ ไม่ว่าจะจริงหรือหลออก ให้ร้ตัวไว้ว่า มันยังไม่แน่ มันอาจไม่ใช่ของจริงก้ได้ยังมีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงเปนอย่างอื่นได้ แสงหรือภาพพวกนี้ยังเปนเหมือนภาพมายา แต่เหนไว้ด้วยใจอุเบกขา จะไม่เปนอันตรายกับผู้ปฏิบัติ เพราะเปนสิ่งที่เราต้องก้าวข้ามมันไป ถือเปนเครื่องรู้อย่างหนึ่ง เวลาจิตกำลังรวมเปนสมาธิ แต่เปนแสงสีขาวนวล สว่างๆ สบายตาและอบอุ่นจัดเปนนิมิตรสีที่ดีสุดครับจิตในขณะนั้นไม่มีนิวรณ์มารบกวนนัก สมาธิิจะมั่นคงดีมาก แต่ถึงอย่างไร ก้ต้องฝึกบ่อยๆเพราะมันไม่ใช่ของเที่ยง ต้องฝึกเพื่อพัฒนาจิต และ เหนความจริงในตัวมันต่อไป
     
  6. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอขอบคุณทุกท่านครับ
     
  7. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอสอบถามคุณ ฐสิษฐ์929 ต่อครับว่า นิมิตรนี้ เป็นเรื่องเดียวหรือคนละเรื่องของสีของน้ำเลี้ยงจิต ตามที่หลวงพ่อองค์หนึ่งเคยบอกไว้ครับ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015



    ลองมองไปที่ คนดี กับคนเลว
    แล้วก็นักบวชดู
    ว่ามีสีอะไร
    แล้วลองเปรียบเทียบ
    กับ คนที่บอกว่ารู้แล้ว
    ว่ามันจริงไหม

    หากจริง ก็ใช้ได้
    หากไม่จริง แสดงว่าจิตไม่นิ่งพอ
    เวลามอง ให้เข้าญานสาม
    คือ ขั้นปิติ แล้วมองใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  9. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    มันเป็น ตัวแทนของจิต ของแต่ละคนครับ คนอื่น อาจสัมผัสพลังวานว่า ดี เบา สบาย อึดอัด ร้อนเย็น...แต่คุณเห็นเป็นภาพ แทนอัตตาตัวตน ของเขา...สามารถพัฒนา จิตคุณ ดูได้มากกว่านี้ครับ
    มันไม่ไช่นิมิตร หรอกครับ...แต่มันคือ อภิญญาของคุณครับ
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015




    อันนี้จะส่งผลดีต่อตัวคุณ
    โดยคุณจะหาอาจารย์
    ที่เก่งๆ ได้ไม่อยาก
    ให้พิจารณาดูที่สีครับ
    เริ่มจากคนที่จิตใจต่ำ จะสีทึบๆ มัวๆ
    คนที่จิตสูง ธรรมะธรรมโม จะสีใสๆ สว่างๆ
    แต่พิจารณาเปรียบเทียบได้
    เฉพาะสมถะเท่านั้น

    ไปดูท่านที่ทำวิปัสสนาไม่ได้
    เพราะคนที่จิตใสปิ้ง
    ก็ไม่แน่ว่าจะบรรลุธรรม
    เพียงแต่กิเลสเบาบาง
    เพราะเข้าญานสี่ ได้บ่อยนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  11. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณที่แนะนำครับ ..เท่าที่เห็น คนเราดูภายนอกไม่ออกจริงๆ ครับ เช่น พระบางรูปจิตสีดำสนิททั้งดวง ตอนแรกผมไม่แน่ใจ เพราะแสดงเหมือนมีปฏิปทาเคร่งมาก แต่ในที่สุดโดนจับสึก เพราะโกงเงินกฐิน ... พระบางรูปจิตใสเป็นประกายเพชร หมายถึงท่านเป็นผู้มีอภิญญา แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นพระอริยะหรือไม่ คงเป็นตามที่คุณ Nilakarn บอกน่ะครับ ..ผมเข้าใจว่าการดูจิตคนอื่นมันไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่หลุดพ้น แต่ผมต้องการศึกษาเพื่อนำใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้ไปเที่ยวดุจิตใครต่อใครทั้งวัน ดูไปทั่วหรอกครับ ..และที่ว่าผมมีอภิญญา แต่ผมแปลกใจว่า คือสิ่งที่ผมเห็นไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธิเป็น ชั่วโมงๆ เพียรภาวนามาเป็นหลาย ๆปี แต่กลับกัน ผมจะนั่งสมาธิไม่ได้นาน มันจะฟุ้งซ่าน ไม่สงบ หรือบางทีตั้งใจว่าจะไม่ขยับร่างกายตอนนั่งสมาธิ ไม่กี่นาที ก็แทบแย่ครับ อึดอัดมาก แทบจะทนไม่ไหว บางทีแค่ 15 นาทีก็แทบจะไม่ถึงครับ ... ผมคิดว่าในเว็บนี้คงมีผุ้ได้อภิญญาจริงอยุ่หลายท่าน คงจะขอคำแนะนำได้บ้างน่ะครับ
    ขอบคุณมากครับ
    Bpisut
     
  12. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณครับ... ตอนนี้ผมยังไม่สามารถสัมผัสความรุ้สึกได้ เพียงแต่เห็นสีของจิต แต่เห็นไม่กี่สี คือ ดำ ขาว ใส เหลือง แค่นี้ครับ จะพัฒนาต่อต้องทำอย่างไรครับ
    Bpisut
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ขอบคุณที่แนะนำครับ ..เท่าที่เห็น คนเราดูภายนอกไม่ออกจริงๆ ครับ เช่น พระบางรูปจิตสีดำสนิททั้งดวง ตอนแรกผมไม่แน่ใจ เพราะแสดงเหมือนมีปฏิปทาเคร่งมาก แต่ในที่สุดโดนจับสึก เพราะโกงเงินกฐิน ... พระบางรูปจิตใสเป็นประกายเพชร หมายถึงท่านเป็นผู้มีอภิญญา แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นพระอริยะหรือไม่ คงเป็นตามที่คุณ Nilakarn บอกน่ะครับ ..ผมเข้าใจว่าการดูจิตคนอื่นมันไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่หลุดพ้น แต่ผมต้องการศึกษาเพื่อนำใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้ไปเที่ยวดุจิตใครต่อใครทั้งวัน ดูไปทั่วหรอกครับ ..และที่ว่าผมมีอภิญญา แต่ผมแปลกใจว่า คือสิ่งที่ผมเห็นไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธิเป็น ชั่วโมงๆ เพียรภาวนามาเป็นหลาย ๆปี แต่กลับกัน ผมจะนั่งสมาธิไม่ได้นาน มันจะฟุ้งซ่าน ไม่สงบ หรือบางทีตั้งใจว่าจะไม่ขยับร่างกายตอนนั่งสมาธิ ไม่กี่นาที ก็แทบแย่ครับ อึดอัดมาก แทบจะทนไม่ไหว บางทีแค่ 15 นาทีก็แทบจะไม่ถึงครับ ... ผมคิดว่าในเว็บนี้คงมีผุ้ได้อภิญญาจริงอยุ่หลายท่าน คงจะขอคำแนะนำได้บ้างน่ะครับ
    ขอบคุณมากครับ





    ลองอธิบายหน่อยครับ
    ว่าสีอะไร หมายถึงใคร
    ไล่เป็นสีๆ มาหน่อยครับ


    การดูเฉยๆ ไว้เป็นแบบอย่าง
    ก็ไม่ผิดกติกาอย่างใดครับ
    แต่ถ้าดูแล้ว ไปตำหนิ
    หรือ ดูถูกผู้ื่ือื่น
    อันนี้จะเป็นกรรมครับ

    อภิญญามันเป็นของเราอยู่แล้ว
    ในชาติก่อน พอจิตเราเป็นสมาธิหน่อยนึง
    ของเก่า มันก็กลับมาเอง
    ไม่อยากได้ แต่ก็ได้
    ที่อยากได้ กลับไม่ได้

    มีไว้หลีกเลี่ยงคนชั่วได้
    เราก็คบแต่คนที่ใจใสๆ
    อย่างน้อยคนติดญาน
    ก็กิเลสน้อยกว่า คนเลวๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  14. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    กำหนดเห็น และไปอ่านเรื่องอภิภายตนะ8 ประการ
     
  15. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    การรู้ความหมายนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดเองน่ะครับ ไม่ได้เกิดจากจิตรู้แบบญาณหยั่งรู้แบบนั้น คือ
    * จิตสีเหลืองอ่อน หมายถึง สภาพจิตที่สบาย ๆ กำลังดี ไม่จมแช่ในความสบายนั้น พบน้อยมากในบุคคลทั่วไป พบในพระมากกว่า
    * จิตสีเหลืองเข้มมาก จิตสบายเกินไป คล้าย ๆ จมแช่กับความสบาย เกิดความพอใจกับความสบายของจิตตน
    * จิตสีดำ มีกรรมเยอะ พบเยอะโดยทั่วทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ แต่ตรงนี้ผมเห็นก็นิ่งเฉยครับ เป็นไปตามกรรม
    * จิตใส มีประกายเพชร เป็นผู้มีอภิญญา ทั้งแบบรู้ตัวเองว่ามี กับแบบไม่รุ้ตัวเอง แต่ถ้าให้อธิษฐานก็จะสามารถใช้งานได้ ตรงนี้แปลกคือ
    บางคนพอทำให้สัมผัสได้ แต่เขากลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าเขามีเขาทำได้
    * จิตสีขาวกระดาษ จิตเป็นบุญกุศล ชอบทำบุญ บางคนกิริยาภายนอกดูไม่ค่อยดี แต่จิตขาว
    * จิตสีขาวคล้ายเมฆหมอก ควัน เขาอาจจะรุ้สึกมึน ๆ ไม่สดใส
    * จิตใส ไม่มีประกาย ตรงนี้ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คิดว่า เคยฝึกจิตมามากแต่ไม่มีอภิญญา แต่มักจะเป็นคนนิสัยดีซื่อบริสุทธิ์
    * จิตสีทองสว่าง ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คนเคยบอกผมว่าคือ การประพฤติพรหมจรรย์
    * จิตใส ภายในมีเมฆหมอก อันนี้ไม่รุ้ความหมาย
    *** จิตใส เป็นลูกแก้วกลมไม่สว่าง ลอยอยู่บน Background สีดำสนิท ตรงนี้ ขอถามว่าคืออะไรครับ
    ผมก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกัน

    ผมมีความประสงค์ที่จะแชร์ในสิ่งที่ ผมเห็นตามความเป็นจริงน่ะครับ
    เรื่องผิดถูก ต้องอาศัยท่านผู้รู้แนะนำอีกทีครับ
    Bpisut
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2015
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    Bpisut

    การรู้ความหมายนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดเองน่ะครับ ไม่ได้เกิดจากจิตรู้แบบญาณหยั่งรู้แบบนั้น คือ
    * จิตสีเหลืองอ่อน หมายถึง สภาพจิตที่สบาย ๆ กำลังดี ไม่จมแช่ในความสบายนั้น พบน้อยมากในบุคคลทั่วไป พบในพระมากกว่า
    * จิตสีเหลืองเข้มมาก จิตสบายเกินไป คล้าย ๆ จมแช่กับความสบาย เกิดความพอใจกับความสบายของจิตตน
    * จิตสีดำ มีกรรมเยอะ พบเยอะโดยทั่วทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ แต่ตรงนี้ผมเห็นก็นิ่งเฉยครับ เป็นไปตามกรรม
    * จิตใส มีประกายเพชร เป็นผู้มีอภิญญา ทั้งแบบรู้ตัวเองว่ามี กับแบบไม่รุ้ตัวเอง แต่ถ้าให้อธิษฐานก็จะสามารถใช้งานได้ ตรงนี้แปลกคือ
    บางคนพอทำให้สัมผัสได้ แต่เขากลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าเขามีเขาทำได้
    * จิตสีขาวกระดาษ จิตเป็นบุญกุศล ชอบทำบุญ บางคนกิริยาภายนอกดูไม่ค่อยดี แต่จิตขาว
    * จิตสีขาวคล้ายเมฆหมอก ควัน เขาอาจจะรุ้สึกมึน ๆ ไม่สดใส
    * จิตใส ไม่มีประกาย ตรงนี้ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คิดว่า เคยฝึกจิตมามากแต่ไม่มีอภิญญา แต่มักจะเป็นคนนิสัยดีซื่อบริสุทธิ์
    * จิตสีทองสว่าง ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คนเคยบอกผมว่าคือ การประพฤติพรหมจรรย์
    * จิตใส ภายในมีเมฆหมอก อันนี้ไม่รุ้ความหมาย
    *** จิตใส เป็นลูกแก้วกลมไม่สว่าง ลอยอยู่บน Background สีดำสนิท ตรงนี้ ขอถามว่าคืออะไรครับ
    ผมก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกัน

    ผมมีความประสงค์ที่จะแชร์ในสิ่งที่ ผมเห็นตามความเป็นจริงน่ะครับ
    เรื่องผิดถูก ต้องอาศัยท่านผู้รู้แนะนำอีกทีครับ





    คราวนี้ ให้หมั่นภาวนาว่า
    จิตเหล่านี้ ก็ไม่เที่ยงหนอ
    นับประสาอะไรกับเรา
    จิตเราก็ไม่เที่ยงหนอ
    นับประสาอะไรที่เรา
    จะไปให้ค่า

    ทำไปเรื่อยๆ
    หรือจะเป็น
    อภิญญาก็ไม่เที่ยงหนอ
    เดี๋ยวก็เห็นเป็นสีนั้นสีนี้
    นับประสาอะไรที่เรา
    จะไปให้ค่ามัน


    ให้ภาวนาบ่อยๆ แบบสบายๆ
    แทนทำสมาธิก็ได้
    สำหรับ คนที่เข้าญานได้ยาก


    ให้พิจารณาว่า
    คำบริกรรมอันไหน
    มันสะเทือนใจ ก็ใช้อันนั้น
    จะสามารถเข้าญานสี่ไ้ด้เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  17. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ญานที่ว่านี้ หมายถึง ฌาน ใช่ไหมครับ .. ตอนที่อ่านคำภาวนา ไม่ทราบว่าจะใช้คำว่าสะเทือนใจหรือปล่าว แต่รุ้สึกขนลุกซู่ เกิดปิติขึ้นมาน่ะครับ จะลองภาวนาดูครับ
    ขอบคุณครับ
    Bpisut
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015





    ครับ เป็นญานเมือนกันการทำ สมาธิ
    แล้วจิตนิ่ง แต่ว่า อันนี้เป็นการทำวิปัสสนา


    เร่ิ่มใหม่ๆ ให้ภาวนาเฉยๆ แบบสมถะ
    แต่พอคุ้นแล้ว ชำนาญแล้ว
    ก็ให้คุณคิดตามคำภาวนาไปด้วย
    พอจิตเข้าลึก ไปนิ่ง ก็ปล่อยให้นิ่งไปครับ
    อย่าไปบังคับ แต่พอจิตคลายออกมา
    จนภาวนาได้ ก็ให้ภาวนาครับ
    สลับไปสลับมาอย่างนี้ ตลอด


    ที่เกิดอาการขนลุกซู่ เกิดปิติขึ้นมา
    เพราะจิตของคุณ ตอบรับออกมา
    ด้วยการดีใจจนขนลุก
    และเหล่าเทวดาอารักขาของคุณ
    ก็ดีใจด้วย ที่คุณจะได้ทำวิปัสสนา
    ภพภูมิเหล่านั้น ก็จะได้บุญด้วย
    คุณก็ต้องอุทิศให้เค้าด้วย บ่อยๆ
     
  19. bpisut

    bpisut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณครับ..เรื่องที่เกิดอาการปิติ มีเรื่องที่ผมสงสัยมานานอีกเรื่อง คือ ผมสังเกตุว่า ถ้าได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อท่านหนึ่ง พอฟังไปสักพักจะเกิดอาการปิติบ่อยๆ ขนลุกซู่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้กำหนดอะไร
    เพียงแต่ตั้งใจฟัง แต่กับหลวงพ่อองค์อื่นฟังแล้วก็ไม่มีอาการอะไรน่ะครับ
    Bpisut
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ขอบคุณครับ..เรื่องที่เกิดอาการปิติ มีเรื่องที่ผมสงสัยมานานอีกเรื่อง คือ ผมสังเกตุว่า ถ้าได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อท่านหนึ่ง พอฟังไปสักพักจะเกิดอาการปิติบ่อยๆ ขนลุกซู่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้กำหนดอะไร
    เพียงแต่ตั้งใจฟัง แต่กับหลวงพ่อองค์อื่นฟังแล้วก็ไม่มีอาการอะไรน่ะครับ
    Bpisut




    อาการอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เกทในธรรม
    หรือ อาการเข้าใจในธรรมะครับ
    เนื่องจากจิตของเราสูงเท่ากับ
    ธรรมะข้อนั้นพอดี จิตของเราจึง
    เข้าใจได้ ทั้งที่อาจจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้ว
    แต่ตอนนั้น จิตของเรายังไม่สูงพอ
    จึงไม่อาจเข้าใจ ธรรมะที่สูงๆได้

    เหมือนคนที่ยังไม่บรรลุธรรม
    พอไปฟังเทศน์ เรื่องการดูจิต
    ก็ยิ่งงงสับสนไปใหญ่
    ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ
    ผลสุดท้าย ก็ปรามาสพระว่า
    ท่านเทศน์เรื่องอะไรหว่า
    ไม่เห็นมีสาระเลย
    สู้การทำสมถะไม่ได้ สนุกดี
    มีฤทธิ์ด้วย

    แต่ถ้าหากเป็นพวกปัญญาธิกะเหมือนผม
    คือ พวกที่มีปัญญามาก อธิษฐานทีไร
    ก็ขอให้เกิดปัญญาเห็นธรรม
    พวกนี้จะปัญญามาก แต่ไม่มีทรัพย์
    เพราะตอนทำบุญ ไม่ได้เงินขอทอง
    เกิดมาชาติหนึ่งๆ จะมีแค่พอกิน ไม่ร่ำรวยแต่อย่างใด
    แต่จะได้ไปเกิดในครอบครัวที่เป็นพุทธ
    มีโอกาศจะได้บวชต่อไปเรื่่อยๆ เกือบทุกชาติ
    เพราะมีบ่วงเรื่องการ บรรลุธรรม เกี่ยวเข้ามา
    ไม่อาจจะใช้ชีวิตทางโลกได้
    ถึงอยู่ได้ แต่ก็หากินไม่รอด อยู่ดี

    พวกนี้จะศึกษาธรรมมามาก เกือบทุกชาติ
    มีแววของผู้บรรลุธรรม ตั้งแต่เด็ก
    สามารถบรรลุธรรมได้เลยทันที
    หากเกิดไปเจอ ผู้สอน หรือ อาจารย์ที่ดี
    ดังนั้น พอฟังธรรมปุ๊บ ก็เกทปั๊บได้เลย
    ไม่ต้องไปศึกษาอีก เกิดอาการแป๊บในหัวใจ
    เรียก ดีใจจนเนื้อหัวใจเต้น จึงส่งผลมา แสดงที่ผิวหนัง
    ขนลุกขนพองทันที


    อาการบรรลุธรรม ก็เป็นเช่นเดียว
    แต่เป็นรุนแรงกว่า เป็นหมื่นเท่า
    จนเราคิดว่า มีคนมาระเบิดภูเขาอยู่ข้างๆ
    เนื่องจากว่า เราสะสมบารมีมาเต็มแล้ว
    มรรคมีองค์แปดของเราก็เต็มแล้ว

    แต่มันเหมือนกับจิกซอร์ ที่ยังไม่ต่อให้ถูกต้อง
    พอเราฟังธรรมข้อนั้นปุ๊บ ก็เปรี้ยงเลย
    เหมือนโดนฟ้าผ่า เราก็ต่อจิ๊กซอร์
    ตามที่เราได้ฟัง ทีนี้พอต่อจิกซอร์เสร็จแล้ว
    เราก็เห็นว่า มรรคที่พาให้เราถึงนิโรธนั้น
    ได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ช่วงนี้แหละที่เรียกว่า
    ได้ดวงตาเห็นธรรม เราจึงเกิดความเชื่อมั่นขึ้นในจิต
    ว่า ถ้าเราปฏิบัติตามที่เราเห็นนั้น
    เราจะสามารถบรรลุธรรมได้
    ความเชื่อมันตรงนี้แหละ ที่ทำให้เรา
    ตัดสังโยชน์สามได้

    พราะฉนั้น พระโสดาบันปัตติมรรค
    ไม่ได้ตัดกิเลสอะไรเลย
    เพียงแค่มีความเชื่อมั่นเต็มร้อยเท่านั้น
    ยังกินเหล้าเมายาได้ตามปรกติของจิต
    แต่ถ้าไปถามว่า ให้เลิกนับถือพุทธแลกกับเงินทองเอาไหม
    พระโสดาบัน จะไม่เอาเด็ดขาด
    แต่ถ้าเป็นศึล ยังกระพร่องกระแพร่ง เท่าขี้เล็บเท่านั้น
    ต่อเมื่อเป็นพระโสดาปัตติผลแล้ว
    จิตถึงจะนิ่ง จะสามารถรักษาศึลได้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...