สิ่งที่ชาวพุทธควรทำความเข้าใจ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aero1, 20 พฤษภาคม 2008.

  1. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    สิ่งที่ชาวพุทธควรทราบและทำความเข้าใจ<o>:p></o>:p>
    <o>:p> </o>:p>
    มูลแห่งการแยกนิกายหลังพุทธปรินิพานเกิดจากไม่ลงลอยของความเห็นในเรื่องวินัยโดยในที่นี้จะขอยกวินัยบางข้อมากล่าวให้พอจับประเด็นได้ ในขณะพระองค์ใกล้ปรินิพานนั้นได้ตรัสกับพระอานนท์ว่าสิกขาบทข้อใดที่เห็นว่าเล็กน้อยให้หมู่สงฆ์ยกเว้นได้ ภายหลังพุทธปรินิพพานหมู่สงฆ์ประชุมกันโดยมีพระมหากัสสปะ อันเป็นอัครมหาสาวกที่พระองค์ตรัสว่ามีธรรมเสมอพระองค์เป็นประธาน ในที่ประชุมนั้นมีภิกษุจากทั่วเขตมาร่วมประชุมเพื่อสังคยานาพระธรรมวินัยคำสอนจนถึงหัวข้อดังกล่าว หมู่สงฆ์เห็นควรปรับอาบัติทุกกฎแก่พระอรหันต์อานนท์ผู้ซึ่งสำเร็จอรหันต์ โดยปรับอาบัติทุกกฎไว้หลาย ข้อหนึ่งในนั้นคือการไม่ทูลถามพระพุทธองค์ว่า อาบัติเล็กน้อยนั้นคือโทษขั้นไหนบ้างบ้างก็ว่าตั้งแต่โทษสังฆาทิเสสลงมาเป็นอาบัติเล็ก น้อยบ้างก็ว่าปาจิตตีย์ลงมาจัดว่าเล็กน้อย บ้างก็ว่าทุกกฎเล็กน้อย ในที่ประชุมล้วนเป็นอรหันต์ทรงคุณปฏิสัมภิทา(คุณวิเศษครบถ้วน)หลายร้อยองค์นั้นลงความเห็นว่าจะไม่เปลี่ยนหรือยกเลิกหรือละเว้นสิกขาบทใดเลยขยายความตรงนี้นะครับ อันว่าศีลภิกษุ แยกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
    1. ศีลที่เป็นพื้นฐานของพรหมจรรย์คือ ข้อการปฏิบัติ และไม่ควรปฏิบัติ เพื่อมรรคผลนิพพาน150 ข้อ
    2. ศีลที่เป็นมรรยาทอันดี อีกมากมายแต่ยกเอามาในปาติโมกข์ 77 ข้อ รวมเป็น 227 ข้อฉะนั้นในปัจจุบันจึงเข้าใจผิดกันว่าศีลพระสงฆ์มี 227 ข้อ .
    :p>:p>
    พุทธองค์ตรัสอีกแห่งว่าผู้ไม่มีความละอายเรียกว่าอลัชชี ในปัจจุบันพุทธศาสนิก ส่วนใหญ่เข้าใจว่าคือผู้ต้องปาราชิกจริงๆแล้วหมายถึงภิกษุที่ประเภททำทองไม่รู้ร้อนในการไม่เคารพสิกขาบทนะครับ คำถามต่อมาคืออาบัติระดับใดที่เพิกเฉยแล้วเรียก อลัชชี? ก็ต้องตอบว่าในทุกสิกขาบทกอปรกับอนุบัญญัติหรือข้อยกเว้นต่างๆ พระองค์ตรัสว่าอลัชชีแม้หนึ่งรูปก็สามารถทำให้ภิกษุทั้งร้อยเป็นอลัชชีได้ เมื่อลองมาดูชีวิตจริงของพระนะครับ ยกตัวอย่างที่พระต้องพบทุกวัน ฉะนั้นถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ระหว่างหมู่คณะแล้ว อึดอัดมากครับ เช่น พระ ก รับเงินไว้และซื้อของด้วยเงิน พระ ข ไม่รู้มาร่วมบริโภคใช้สอยด้วย พระ ข โดนอาบัติไปด้วยครับ ปรับอาบัติทุกๆย่างก้าว อีกตัวอย่าง พระ ก รับประเคนของมาผิดวิธีพระ ข ไม่เห็น ไม่รู้ฉันของนั้นๆด้วย อาบัติไปด้วยครับแล้วท่านปรับทุกคำกลืน คือ1กลืน1อาบัติ ที่ยกมาเป็นอาบัติที่อยู่ในศีลอันเป็นพื้นของพรหมจรรย์ หากหมู่สงฆ์อยู่กันอย่างพร้อมเพรียงน่ารัก เคารพนับถือมากๆครับ และพร้อมกันนั้นท่านจะรักสามัคคีกันยิ่งกว่าเพื่อนตายอีกครับเพราะท่านจะดูแลอาบัติให้กันและกันด้วย พระในปัจจุบันที่เห็นส่วนใหญ่เอาแต่สำคัญผิดว่าพรรษามากหน่อยก็จะทำงานพระศาสนาในแง่การเผยแผ่พระศาสนาจริงๆ แล้วท่านไม่ต้องทำการเผยหรอก ท่านประพฤติตามคำสอนให้ชัดเจน นั้นนะเป็นการเผยแผ่เชิงคุณภาพอย่างชัดเจนเมื่อผลเกิดแล้วค่อยเผยแผ่ หากไม่ปฏิบัติตามยังดำรงตนเป็นอลัชชีอยู่เป็นการทำลายพระศาสนาทางอ้อมเสียมากกว่าอย่านึกว่าในปัจจุบันไม่มีพระลัชชี (ผู้ทีมีความละอาย)นะครับมีอยู่แน่นอน พวก เราท่านทั้งหลายคงเคยเห็นในหลวงถวายทานนะครับในซองที่พระองค์ถวายไม่ใช่เงินนะครับแต่เป็นใบปราวนา พระบางท่านก็จะบอกนะครับว่ารับใบปราวนาก็ผิดเหมือนกันสู้รับตรงๆไปเลยบริสุทธิ์ใจดีนั้นว่าไปนั้นนะครับกรรมจริงๆเหตุเพราะศึกษาน้อยถึงแม้จะมีดีกรีสูงสุดทางภาษาบาลีหรือจบดอกเตอร์ทางพุทธศาสนาหากไม่ละอายในสิกขาบทก็ยังจัดได้ว่าศึกษาน้อยเพราะคำว่าศึกษาในความหมายพุทธองค์นั้นกินเนื้อความรวมถึงภาค ปฏิบัติอันมีศีลเป็นเบื้องแรก จริงๆแล้ว ต้องวิเคราะห์ตัวบทครับขอยกมาอธิบายในที่นี้เลยวินัยสิกขาบทข้อนี้คือ ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ก็ดีเป็นอาบัติปาจิตตีย์(1ใน150) ขยายความดังนี้
    1.รับเอง
    2.ใช้ให้รับ
    3.ไม่รับเองและไม่ใช้ให้คนรับแต่ยินดีในเงินทองที่เก็บไว้ให้

    ทั้ง 3 ข้อเข้าข้อใดเป็นอาบัติ ท่านที่รับใบปราวนาท่านต้องสำรวมจิตไม่ให้เป็นอาบัติโบราณท่านให้ทิ้งจิตไปที่ของที่จะได้มาจากเงินนั้นแทนเพื่อกันอาบัติและ ข้อสำคัญอีกข้อ บางท่านบอกไม่เห็นเป็นอะไรปลงอาบัติเอา หากท่านเป็นอาบัติเดียวกันรับปลงให้กันไม่ได้ครับ บางที่ถ้าไม่แน่ใจต้องส่งพระ 1 รูปไปปลงกับพระต่างวัดแล้วกลับ มาวัดเดิมเพื่อชำระศีลก่อนฟังปาติโมกข์ทุกครึ่งเดือน หากไม่ทำอย่างนั้นในปาติโมกข์ท่านจะถามทุกรูปเป็นบาลีครับว่าท่านยังบริสุทธิ์ดีอยู่หรือ ? หากไม่บอกว่ายังติดข้อไหนอยู่ก็เข้าข่ายโกหกครับแล้วจะปฏิบัติหานิพพานที่ไหนละครับเมื่อเป็นดังนั้นท่านจะระวังพระจากที่อื่นมากว่า หากศีลไม่เสมอกันเข้ามาแล้วหมู่สงฆ์จะเดือดร้อนจึงดูเสมือนท่านจิตใจคับแคบหรือยกตนข่มท่านในบางครั้งซึ่งมีมูลเหตุ และหากท่านเหล่านั้นทราบว่ามีศีลเท่าเทียมกันท่านจะให้การต้อนรับ และปฏิสันฐานตามวินัยข้อที่ทรงบัญญัติไว้ในเรื่องการดูแลกัน และกันอย่างงดงาม ไม่เชื่อท่านที่คิดว่ามีสภาพยกตนข่มท่านลองปฏิบัติดูทำที่วิถีของตนก่อน

    หลังจากสังคายนาครั้งแรกไม่นานคณะสงฆ์ได้แยกออกเป็น2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกยึดตามมติเถระคือกลุ่มอรหันต์ปฏิสัมภิทาดังกล่าวมาข้างต้น กลุ่ม 2. ยึดเอาคำพุทธพจน์ที่ให้เว้นได้ในข้อเล็กน้อย และพร้อมกับเรียกตัวเองว่านิกายมหายานอันหมายถึงยานใหญ่สามารถขนคนได้มากเพราะข้อจำกัดไม่มากและข้อขัดแย้งน้อยไม่ต่อว่ากันเรื่องศีล ( ความเห็นส่วนตัวเพราะคุณก็ผิดผมก็ผิดว่ากันไม่ได้) แต่ก็ยังเห็นต่างกันไปอีกมากมายเพราะหมดจุด ยืนไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอนทำให้นิกายมหายานแตกออกไปอีกเป็นร้อยนิกาย อีกทั้งมีพุทธพจน์ตรัสไว้ให้โอนอ่อนบัญญัติได้โดยให้โอนอ่อน กับกษัตริย์ในแว่นแคว้นนั้นได้ หากจะเกิดราชภัย (คือบางประเทศสั่งประหารพระเอาดื้อๆ) เห็นได้จากในเมืองจีนสภาพ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศไม่อำนวยจึงเปลี่ยนสิกขาบท ด้วยระยะทางและกาลเวลาพระในประเทศญี่ปุ่นบางนิกายจึงมีภรรยาได้และพร้อมกันนั้นก็ขนานนามกลุ่มแรกว่า นิกายหีนยาน อันหมายถึงยานคุณภาพต่ำขนส่งคนได้น้อย ในขณะที่กลุ่มแรกเรียกตนเองว่าเถระวาทหรือกลุ่มผู้ฟังคำของพระที่ร่วมประชุมครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นานมีการตั้งมหาวิทยาลัยนารันทา แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นโดยนิกายมหายานมีพระเข้ามาศึกษาเป็นหมื่นรูปในจำนวนนั้นมีมหาเถระที่เข้าศึกษาที่เป็นที่รู้จักของคนไทยอยู่ด้วยท่านผู้นั้นคือ พระถัง ซัมจังรวมอยู่ด้วยหลัง จากการที่พระพุทธธรรมเจริญมาก ก็ขนานไปกับความเสื่อมเช่นกัน เอกลาภมีมากในเหล่าพระสงฆ์ พระสัทธรรมเริ่มเบี่ยงเบนติดเข้าไปในความรู้ผิดๆบางรูปจึงเริ่มสะสมด้วยเหตุว่าเพื่อสืบพระศาสนาให้มากก ๆนานนๆ เมื่อมีทรัพย์มากก็เริ่มหลงผนวกกับการสรรเสริญ ผู้หญิงก็เริ่มเข้ามาจะโดยฝ่ายไหนเริ่มก็แล้วแต่จึงเป็นที่อิดหนาของญาติโยม อีกทั้งความแตกแยกของ 2 นิกายดังกล่าว

    เหล่านี้จัดเป็นภัยภายในของพุทธศาสนา ส่วนภัยภายนอกก็เกิดศาสนาฮินดูใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการผสมคำสอนของพุทธกับพราหมณ์เข้าด้วยกันจึงแนบแน่นในจิตวิญญาณชาวอินเดียอย่างรวดเร็ว เพราะความเบื่อและหาทางออกไม่ถูกของคนจึงยึดที่พึงไว้ก่อนเพราะสอดรับกับความเป็นอยู่ดั่งเดิมรวมทั้งการถือวรรณะ กอปรกับทางตอนเหนือของอินเดียมีอาณาจักรของประเทศที่นับถืออิสลามอยู่และวิธีการของสมัยนั้นก็ขยายดินแดนกันด้วยการรบอันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยการล่มสลายที่เกิดจากภายนอก เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนั้น จนกระทั่ง
    :p> :p>
    ประมาณช่วงก่อน พ.ศ.500 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ทรงเป็นยอดนักรบรวบรวมแผ่นดินไว้ได้มากขณะเดียวกันก็รบราฆ่าฟันคนมากมายเช่นกัน ช่วงปลายสมัยทรงเห็นคุณค่าพระธรรมจึงเปลี่ยนมานับถือพุทธธรรมอย่างเต็มพระองค์ และมีเหตุการณ์หนึ่งที่จัดเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญคือ มีเหตุหมู่สงฆ์ตกลงร่วมลงปาติโมกข์กันไม่ได้ ด้วยเหตุระแวงเรื่องศีลเพราะหากไม่บริสุทธิ์ ปาติโมกข์ก็ไม่เป็นอันสมบูรณ์ พระเจ้าอโศกทรงทราบจึงมีราชดำรัสราวๆว่า "ทหารไปจัดการซะ" ทหารไปถึงก็นิมนต์ให้หมู่สงฆ์ลงปาติโมกข์ แต่อย่างไรพระก็ไม่ลงฟัง ทหารจะเกรงพระอาญาอย่างไรไม่ทราบ และด้วยเป็นชาตินักรบมาตลอดชีวิต จึงถามพระที่ละรูปและบังคับให้ลงฟังปาติโมกข์ถ้ารูปไหนไม่ลงจะฆ่าให้ตายพระก็ไม่ลง ทหารจึงลงมือฆ่าพระทีละรูปไม่ทราบว่าฆ่าไปกี่รูป จนกระทั้งมาหยุดอยู่ที่พระรูปหนึ่งทหารไม่กล้าฆ่า เพราะภิกษุรูปนั้นคือพระอนุชาของพระเจ้าอโศกนั้นเอง จึงนำความกลับไปทูลพระเจ้าอโศก เมื่อพระเจ้าอโศกได้ฟังดังนั้นก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมากเพราะทรงไม่มีเจตนาเข่นฆ่าพระ จึงทรงประกาศบำรุงพระศาสนาเป็นอันมากทรงสร้างวัดทั่วประเทศ 84,000 วัด

    ในช่วงเวลานั้นมีนโยบายที่จะส่งพระสงฆ์ออกเผยแผ่พระธรรมคำสอนสู่ประเทศต่างๆ 9 สาย หนึ่งในนั้นคือ พระโสณะ และพระอุตตระ เป็นพระสงฆ์อรหันต์ ในสมัยนั้นเดินทางมาดินแดนขวานทอง สืบเชื่อสายบริสุทธิ์จากนิกายเถรวาทโดยตรง เพราะทางการสืบวงศ์ภิกษุนั้นหรือการบวชนั้น หากคณะสงฆ์ที่บวชให้มีไม่ครบตามพุทธานุญาติกำหนด คือ 5 หรือ10 รูปขึ้นอยู่กับความยากในการหาพระสงฆ์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งหากครบจำนวนแต่มีผู้ปาราชิกอยู่ด้วยก็ถือว่าไม่ครบองค์การบวชนั้นๆก็ไม่สมบูรณ์ หรือไม่เป็นพระฉะนั้นจึงต้องเลือกอุปัชฌาย์และหมู่สงฆ์ที่ผู้บวชมั่นใจ การที่มีการส่งสมณทูตมาประกาศพระศาสนาครั้งนั้นจึงจัดว่า การประดิษฐานพระธรรมคำสอนในประเทศเราหรือดินแดนสุวรรณภูมิจึงเริ่มถือกำเนิดขึ้น ณ เวลานั้น
    .

    จนกระทั้งลุถึงประมาณปี พ.ศ. 1700 หลังจากมีการประดิษฐาน พุทธธรรมทั้ง 9 สาย ดังกล่าวโดยใช้เวลาในการประทับอย่างมั่นคง ในดินแดนทั้ง 9 สายเป็นที่เรียบร้อย ในด้านดินแดนพุทธภูมิ คือ อินเดียนั้น ประมาณ ปี1700 เป็นจุดสิ้นสุดการสืบต่อพุทธธรรมคำสอน กล่าวได้ว่าพุทธธรรมคำสอนเกือบทั้งหมดถูกฝังอยู่ใต้ดิน มหาวิทยาลัยนารันทาถูกเผาราบ ห้องสมุดถูกเผาอยู่เป็นเดือนกว่าจะหมด พระสงฆ์ต้องหนีลงใต้ บ้างถูกฆ่า บ้างถูกบังคับจับสึก บ้างถูกบังคับให้เสพเมถุน(ร่วมเพศ)เพื่อทำลายสายพันธุ์สงฆ์ หลังจากนั้นไม่นานกล่าวกันว่าชาวอินเดียแม้แต่ฝันก็ไม่เคยฝันถึง วิปัสสนา อันเป็นธรรมลิขสิทธิ์เฉพาะพระองค์อีกต่อไป (ผู้อื่น แสดงได้ ถึง สมาบัติ 8 ,วิปัสสนา มีแค่ อนิจจัง ทุกขัง) เป็นอันปิดฉากพุทธธรรมยุคเก่าเพียงเท่านั้น ชาวพุทธเรามีโอกาสได้รู้เรื่องราวพุทธสถานต่างๆก็เมื่อช่วงยุคล่าอาณานิคมหรือประมาณ150ปีก่อนนี้เอง ที่รัฐบาลอังกฤษได้ทำการขุดโดยนักโบราณคดี จนกระทั้งพบพระไตรปิฎกฝังอยู่ ด้วยเกิดเรื่องบางอย่างที่อัศจรรย์ใจจึงเดินทางไปเรียนภาษาบาลีที่ประเทศศรีลังกาซึ่งเป็นเชื้อสายพระสงฆ์จากไทยเมื่อ 250 ปีนับจากปัจจุบันเพราะศรีลังกาหมดพระที่จะสืบสกุลบุตร ทางกษัตริย์อยุธยาจึงส่งพระสงฆ์ไปบวชให้เรียกว่านิกายสยามวงศ์จนถึงทุกวันนี้ หลังจากใช้เวลาเรียนอยู่พอสมควรจึงกลับขึ้นไปแปลด้วยตัวเองหลังจากแปลแล้วก็ลองปฏิบัติดูปรากฏว่า นักโบราณคดีหลายท่านบวชเป็นภิกษุสงฆ์ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อมาจึงมีการตั้งศูนย์บาลีศึกษา สมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) ประเทศอังกฤษ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๔ (ค.ศ.๑๘๘๑) ผู้ริเริ่มตั้งคือ ศาสตราจารย์ ที. ดับเบิลยู. ริส เดวิดส์ (T.W. Ryhs Davids) ด้วยความประสงค์ที่จะพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาบาลี ด้วยอักษรโรมัน และคำแปลพระไตรปิฎกทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ

    หน่อโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เจริญไกลต้น เป็นลูกไม้ที่ล่นใกล้ต้นก็จริง แต่ใบโพธิ์และกิ่งก้านนั้นใหญ่มากปกคลุมบริเวณกว้าง ถึงเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ย้ายก็อยู่ใกล้ต้นแม่ไม่ได้จะต้องตายในที่สุด ในขณะเดียวกันก็สามารถแพร่พันธุ์ไปได้ไกลมากเพราะมีนก กา นำไป เมื่อได้ที่สิ่งแวดล้อมเหมาะก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงเป็นร่มเงาให้ที่นั้นสืบไป จะเห็นได้ว่าในก่อนที่เกิดการล้มสลายพุทธธรรมในอินเดียนั้นประมาณ 700 ปี หน่อพุทธะทั้ง 9 หน่อได้ขจรขจายออกไปทุกทิศทุกทาง โดยผสมผสานกลมกลืน กับสภาพแวดล้อมนั้นๆเพื่อช่วยให้โลกมีทางออกแห่งจิตใจ โดยสำเร็จประโยชน์ตนแล้วจึงสงเคราะห์ประโยชน์โลกอีกฝ่ายหนึ่งดำรงพระพุทธธรรมไว้ให้นานที่สุดบางท่านอาจกล่าวได้ว่า ก็พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์แล้วว่า 5000 ปีคืออายุพระสัทธรรมทำไมต้องนานกว่านั้น อธิบายว่าคำว่า5000 เป็นจำนวนเรียกโดยประมาณ เช่นตรัสว่า ภิกษุ 500ไม่ได้หมายความว่า 500 รูปพอดี แต่หมายถึงพระสงฆ์กลุ่มใหญ่ ภิกษุ500, พระสัทธรรม 5000 ปี จึงเป็นสำนวนที่ใช้กันในสมัยนั้น

    ลุถึงแผ่นดินใหม่พุทธธรรมฝ่ายเถระวาทที่เหลืออยู่ในโลกอย่างชัดเจนก็ แถบประเทศไทย พม่านี้ละครับโดยมีการแลกเปลี่ยน กันทำสังฆกรรม เพื่อความคงไว้ซึ่ง ธรรมวินัย แท้ๆ ยกตัวอย่างเช่นกรณีประเทศศรีลังกาที่ได้กล่าวมาแล้ว ไทยกับพม่าหรือมอญก็เช่นกันหลังจากศึกสงครามเมื่อพระไตรปิฎกเสียหายก็หาจากแหล่งดังกล่าวมาเติม ในสมัยเสียกรุงครั้งที่ 1 ไม่ถูกเผาทำลาย การจัดการจึงไม่ยุ่งยากเท่าไร โดยมีวิธีอิงความบริสุทธิ์ในการแก้ไข 2 สถาน คือ 1.ความคงที่มาของพระไตรปิฎกให้ดั่งเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้ 2.ความบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ที่เป็นองค์กำเนิดรุ่นต่อๆไป งานหลังนี้ค่อนข้างหนักครับเพราะไม่รู้ใครเป็นใคร ดีชอบ อย่างไรดูที่ไหน ก็ต้องใช้ผู้ชำนาญพิเศษ เฉพาะทางมาพิสูจน์กัน มีเรื่องบันทึกไว้ว่า พระเจ้าตากหลังจากทรงกอบกู้เอกราชได้แล้วนั้น ได้ทรงสังคยานาพุทธธรรมครั้งใหญ่ในต้นรัชกาล จากการที่ก่อนเคยผนวชอยู่ 3 พรรษา และพร้อมกับปฏิบัติไปด้วยในขณะที่เกิดศึกประชิดเมืองกรุงศรีอยุธยาใกล้แตกนั้นการต้านทัพพม่าในหัวเมืองบางแห่งนิมนต์พระ เป็นผู้นำการต่อต้านข้าศึกและอาจฆ่าคนหรือสั่งให้ฆ่าไปบ้าง จึงทรงให้จัดนำพระอุปัชฌาย์ทั่วประเทศเข้าเฝ้า และดำรัสว่าหากท่านใดรูปใดหมดจากความเป็นพระแล้วให้บอกซะตอนนี้ แล้วพระองค์จะเลือกภรรยาให้ พร้อมให้ทำงานในราชการ หากยังยืนยันความบริสุทธิ์ก็ให้อธิษฐานจิต ดำน้ำจนกว่าจะตีระฆังหากผ่านจนครบเสียงระฆังก็ให้กลับไปดูแลพระศาสนาต่อไป หากไม่ผ่านพระองค์จะลงโทษประหาร เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพระราชภาระอันหนักขององค์ศาสนูปถัมภกในประวัติศาสตร์ชาติไทยเราเพื่อดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของขอบขัณฑสีมาในบวรพุทธศาสนา จากนั้นในรัชสมัยพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อๆมาก็ทรงโปรดให้มีการทำสังคายนาอยู่เสมอเพื่อให้คงความบริสุทธิ์ของพระสัทธรรมไว้แต่ในส่วนขององค์คณะสงฆ์น้อยครั้งมากที่จะมีการจัดการเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากและไม่มีวิธีการที่ชัดเจนในการจัดการนอกจากต้องอาศัยผู้ที่มีความแตกฉานทั้ง การศึกษา และปฏิบัติพร้อมผลของการปฏิบัติที่ชัดเจนตามคำสอน

    อนึ่ง ในเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมานั้นมีเรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษคือ ตัวภาษาที่ใช้บันทึกพระสัทธรรม อันว่าพุทธองค์ทรงใช้ภาษาบาลีในการอธิบายธรรม จะอธิบายสักเล็กน้อยในภาษาบาลีนั้นเป็นภาษาที่ตาย กล่าวคือเป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรใช้เขียน มีเพียงภาษาพูดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในครั้งพุทธกาลเท่านั้น พระพุทธองค์จึงใช้ภาษานี้ในการอธิบายพระสัทธรรม อีกทั้งเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ชัดเจนมากความคลาดเคลื่อนของความหมายที่เกิดจากการกร่อนทางภาษาจึงมีน้อยมาก จึงเป็นผลดีอย่างมากในการรักษาสืบทอดพระสัทธรรมคำสอนสืบจนปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาลนั้นใช้วิธีท่องจำพระธรรมถ่ายทอดโดยการบอก ท่อง บ่น จัดแยกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน หลังจากพุทธปรินิพพานเล็กน้อย ได้มีการสังคายนาและจารึกเป็นหนังสือขึ้นโดยใช้อักษรจากภาษาอื่นมาเทียบเสียง เช่น เอาอักษร เทวนาคี มาใช้ เมื่อพระสัทธรรมถึงประเทศเราในสมัยนั้นซึ่งเป็นยุคชนชาติขอม ครองแผ่นดินนี้อยู่จึงนำเอาอักษรขอมมาเทียบเสียงในภาษาบาลี ขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ เช่น เอาอักษรอังกฤษ เทียบเสียงบาลี คำว่า นะโมตัสสะ ก็จะได้ว่า Namo Tussa จะเห็นได้ว่าทำความเข้าใจยากมาก ไทยเราใช้รูปแบบลักษณะนี้มาตั้งแต่เริ่มมี พระสัทธรรมเข้ามา ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการที่จะเรียนรู้ธรรมในพระไตรปิฎกได้นั้น จึงต้องเป็นผู้รู้ในภาษาอย่างน้อยๆ 3 ภาษาคือ 1. รู้ภาษาไทยอ่าน ออก เขียนได้ 2.รู้ภาษาขอมชัดเจนอ่านออกเขียนได้ 3. รู้ภาษาบาลีเมื่อผสมอักษรขอม แล้วอ่านออก เขียนได้ ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจพระไตรปิฎกในสมัยก่อนได้จึงมีน้อยมาก ลำพังภาษาไทยเองผู้อ่านออกเขียนได้ก็ไม่มาก จึงต้องเป็นผู้มีภูมิรู้ชั้นสูงมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นราชวงศ์ หรือหากไม่ใช่ก็จะได้รับแต่งตั้งบางทีก็สถาปนา ขึ้นเป็นชั้นต่างๆ เช่น หลวงพ่อทวดครั้น ได้ข่าวการแต่งตั้งเป็นสังฆราชองค์ท่านจึงหนีเข้าป่าแถบภาคใต้ไม่ขอรับตำแหน่ง สมเด็จโต พรหมรังสีหนีเข้าป่าแถบอีสานเหนือจนในหลวงรัชกาลที่ 4 ตามกลับมาด้วยวิธีให้ส่งตัวพระที่รูปลักษณะคล้ายองค์ปู่โตเข้ามาพระนคร จนกระทั่งหลวงปู่เห็นว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่หมู่สงฆ์จึงกลับเข้ามาจำพรรษาในพระนครตั้งแต่นั้น
    :p> :p>
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เช่นกันพระองค์ประสูติภายใต้ร่มเศวตฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงเป็นเจ้าฟ้าพระองค์ต้นที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา ขณะสิ้นรัชสมัยรัชกาลที่ 2 นั้น พระองค์ทรงพระเยาว์อยู่มาก จึงมีการสรุปตกลงกันของราชนิกุลและผู้มีอำนาจในสมัยนั้น กราบทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดา เสด็จขึ้นครองราชย์แทนเจ้าฟ้ามกุฎ(รัชกาลที่4) จึงทรงออกผนวชเป็นเณรน้อยตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ณ วัดมหาธาตุใกล้บรมมหาราชวัง ครั้นเมื่อเข้ามาศึกษาก็ทรงร่ำเรียนด้วยความแตกฉานอย่างรวดเร็ว ใน 3 ภาษาที่เป็นพื้นดังที่กล่าวข้างต้นโดยคณาจารย์ชั้นครูระดับประเทศใช้เวลาทรงเรียน 3 ปีจึงสามารถอ่านพระบาลีเข้าพระทัย ขณะทรงเป็นเณรน้อยนั้นเอง ทรงศึกษาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จวบจนกระทั้งพระชันษาครบบวช จึงทรงผนวชเป็นภิกษุสงฆ์และย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดราชาธิวาส เพื่อให้เหมาะแก่การปฏิบัติเพราะวัดราชาในสมัยนั้นมีสภาพเป็นวัดป่า ในขณะนั้นเองทรงมีพระดำริว่า ทำไมพระสงฆ์ในขณะนั้นจึงประพฤติหรือมีความเป็นอยู่ไม่เหมือนในพระไตรปิฎก(ในสมัยนั้นพระยังไม่จับหรือรับเงิน ทอง ความประพฤติจึงเป็นเรื่อง อื่นๆ) และทรงเริ่มหาภิกษุที่จะให้ความชัดเจนในเรื่องนี้โดยทั่วแคว้น มีโอกาสก็ออกจาริกไปเพื่อดูความเป็นอยู่ของพระในถิ่นไกลๆ ซึ่งในสมัยนั้นการเดินทางเต็มไปด้วยภยันตราย นานาประการ โดยการนั้นทรงพบสมบัติคู่แผ่นดิน เช่น หลักศิลาจารึก พระพุทธรูปองค์สำคัญของประเทศหลายๆ องค์ องค์พระปฐมเจดีย์ และทรงตั้งปณิธาน อธิษฐานจิตว่า จักต้องหาให้พบหมู่สงฆ์หมู่ใดที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบศึกษาลงลึกถึงศีลละเอียดรวมทั้งธุดงควัตร 13(ข้อวัตรเด็ดขาด13ข้อเพื่อการบรรลุธรรม) จากการที่ทรงหาหมู่สงฆ์อยู่นั้นพระองค์ทรงผนวชซ้ำ(ทัฬหีกรรม; บวชซ้ำเพื่อทำให้มั่นใจ)อยู่ 4 ครั้ง จนกระทั้งมีพรรษาใกล้ 10 โปรดให้มีการขุดลูกนิมิต แห่งวัดราชาขึ้นมาดูว่าผูกถูกต้องตามพุทธพจน์หรือไม่ ปรากฏว่าอุโบสถนั้นผูกนิมิตไม่สมบูรณ์ซึ่ง วิธีบวชตามพุทธานุญาติที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งบันทึกไว้ชัดเจนว่าการบวชนั้นๆ ไม่สมบูรณ์ จึงทัฬหีกรรมอีกครั้งกับคณะสงฆ์เชื้อสายมอญ ณ อุโบสถกลางน้ำที่จัดทำเพื่อการนี้โดยเฉพาะ(ถือว่าเป็นอุโบสถที่บริสุทธิ์ที่สุด) หน้าท่าน้ำเจ้าพระยาวัดราชาธิวาสนั้นเอง จากนั้นจึงเห็นว่าการจะอยู่วัดราชาต่อแล้วปฏิบัติที่แตกต่างจากพระยุคนั้น จะเป็นการไม่สะดวกแก่การประพฤติ อีกทั้งพระเถระ(10พรรษาขึ้น)มหาเถระ(20พรรษาขึ้น)ในวัด ที่พรรษามากกว่าพระองค์ก็มาก จึงมีพระดำริหาอารามเพื่อศึกษาตามแนวที่พระองค์ศึกษามาจากพระไตรปิฎก จึงทรงย้ายมาวัดรังษีบริเวณบางลำพู แล้วทรงตั้งชื่อใหม่ว่า วัดบวรนิเวศวิหาร อันมีความหมายว่า ที่พักของวังหน้า(ชั้นยศรองจากพระเจ้าแผ่นดิน) เมื่อเสด็จมาประทับจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศได้มีคณะสงฆ์ที่ติดตามมาด้วยความเลื่อมใสในแนวทางพร้อมกับ ราชนิกุล ข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ตามมาผนวชกับพระองค์โดยพระองค์ทรงเป็นองค์อุปัชฌาย์ ให้ด้วยพระองค์เองและทรงนำประพฤติปฏิบัติ โดยทรงขนานนามคณะสงฆ์นี้ว่าคณะธรรมยุติ มีความหมายว่าคณะที่ใช้ธรรมเป็นข้อยุติ มีจุดประสงค์เพื่อปฏิบัติตามแนวพระไตรปิฎกที่สืบต่อกันมาตามสาย พุทธวงศ์นิกายเถรวาทที่มีเจตนาไม่เปลี่ยนคำสอนเดิม ซึ่งเป็นการขัดแย้งอย่างรุนแรงในสมัยนั้นจะด้วยการไม่ได้ศึกษาประวัติกำเนิดเถระวาทหรืออย่างไรไม่ทราบพระในสมัยนั้นส่วนใหญ่จึงเห็นว่าพระธรรมวินัยในสมัยนั้นไม่สามารถปฏิบัติตามได้ บางเหล่าบางบุคคลที่ศึกษาน้อยยังกล่าวว่าพระองค์ทำสังฆเภทหรือการยุยงให้สงฆ์แตกกัน แต่ด้วยความที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์และทรงกระทำด้วยความรู้จริงเหตุการณ์จึงไม่รุนแรงมากนักจะเห็นได้ว่าพระองค์ไม่มีเจตนาในการแยกนิกายสงฆ์


    นับจากทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารพระองค์ผลิตบุคคลากรทางพระศาสนามากมายโดยทรงให้พระภิกษุที่บวชโดยพระองค์เมื่อมีพรรษามากขึ้น ก็ทรงให้ครองวัดอื่นโดยรอบและพร้อมกันนั้นทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นอีกหลายวัด พระองค์ทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะสืบต่อพระศาสนา เพราะหากมีผู้รู้หนังสือมากก็จะสามารถเรียนรู้หรือถ่ายทอดตามคำพุทธพจน์ได้สะดวกและตรงแนวทางขึ้น จึงทรงโปรดให้มีการเรียนสอนหนังสือในวัดขึ้น ซึ่งจัดว่าเป็นระบบการศึกษาครั้งแรกในประเทศและยังมีงานอื่นอีกมากที่ทรงประทานแก่ประเทศชาติและพระศาสนาจวบจนสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการอาราธนาให้ลาสิกขาบทเพื่อขึ้นครองราชย์ โดยมีภิกษุพรรษา 27 พระชนมายุ 47 พรรษา
    :p> :p>
    หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ได้ทรงสืบสานงานเก่าขณะทรงผนวชโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ทรงให้กำเนิดโรงเรียนในราชสำนัก ทรงให้มีการเรียนสอนภาษาอังกฤษ แก่บรรดาเจ้าฟ้า และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เพื่อประโยชน์ในการเจรจาบ้านเมือง โดยเฉพาะการวางแผนหาทางออกเรื่องการกำหนดท่าที่ต่อการล่าอาณานิคมของประเทศทรงอำนาจ ซึ่งเป็นอันตรายใหญ่ในการรักษาพระพุทธธรรม และแผนในการกระจายการศึกษาออกไปทั่วประเทศในนามคณะสงฆ์ไทย พร้อมกับเริ่มแปลงอักษรขอมในพระไตรปิฎกให้เป็นอักษรไทย(แล้วเสร็จในรัชสมัยรัชกาลที่ 5) จึงทำให้การเรียนรู้พระธรรมคำสอนสะดวกขึ้น หลักจากพระไตรปิฎกชุดนี้ออกไปทั่วประเทศ 1000 ชุด เมล็ดพันธุ์แห่งผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจึงเริ่มกำเนิดขึ้น ในปี พ.ศ.2413ได้เกิดบุคคลที่มีคุณูปการต่อพระสัทธรรมขึ้น คือหลวงปู่มั่น เมื่อถึงอายุครบบวช องค์ท่าน ได้ออกบวชราวปีพ.ศ.2433 และเป็นผลผลิตเอกอุชัดเจนในแนวทางเถระวาทที่แน่วแน่ในการประพฤติ พรหมจรรย์ ทั้งสิกขาบทและธุดงควัตร กล่าวคือเพียบพร้อมทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จัดเป็นผลผลิตโดยตรงของในหลวงรัชกาลที่4 ทั้งในแง่ของพระไตรปิฎกทีศึกษาเข้าใจง่ายขึ้น และสายสืบวงศ์การบวชจากพระองค์โดยตรง เป็นแม่ทัพธรรมในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง ในขณะที่องค์ท่านไม่ได้เป่าประกาศให้เผยแผ่พระศาสนาเยอะๆมากๆนานนนๆ แต่หากองค์ท่านทำที่ตนพระองค์เองก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงสงเคราะห์หมู่สงฆ์ ตามธรรมและวินัยอันเป็นการเผยแผ่พระสัทธรรมอย่างแท้จริงการศึกษาพระไตรปิฎกในปัจจุบันนี้ เริ่มจากการแปลออกเป็นภาษาไทยความหมายไทยฉบับสมบูรณ์เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมานี้ ปัจจุบันนี้ พ.ศ.2549 พระไตรปิฎกมีการแปลออกเป็นภาษาไทยแล้ว การศึกษาง่ายกว่าสมัยก่อนมาก อีกทั้งระบบการค้นหาก็สะดวกคล่องตัวมากจะขาดแคลนก็แต่บุคคลที่ศึกษาและปฏิบัติตามเท่านั้นที่ดูแล้วน่าจะเพิ่มมากขึ้นมากกว่านี้และเป็นกำลังให้พระศาสนาต่อไปและช่วยกันลดจำนวนอลัชชีในพระศาสนาให้ลดลงโดยให้ความสำคัญเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ

    ซึ่งจากการที่ได้พรรณนามานี้ก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะทราบถึงที่มาที่ไปของเรื่อง ราวความเป็นมาของการรักษาไว้ซึ่งพระสัทธรรมบริสุทธิ์ในยุคต่างๆเพื่อจะได้นำไปเป็นส่วนประกอบในการศึกษาพระสัทธรรมให้ยิ่งขึ้นไปและพร้อมกันนั้นแสดงให้เห็นมูลเหตุ ของจุดผกผันของพระศาสนาในยุคต่างๆเพื่อให้ทราบถึงตำแหน่งที่ยืนในพระศาสนาว่าเราท่านทั้งหลายอยู่ตรงส่วนใดของพระศาสนาเพื่อประโยชน์ในการกำหนดท่าทีว่าการเป็นชาวพุทธของเราท่านทั้งหลายนั้นชัดเจนเพียงใดและมีทางออกของพุทธศาสนิกชนร่วมกันคิดร่วมกันสร้างความสามัคคีของชนในชาติอย่างไรโดยไม่ให้กระทบต่อการทรงไว้ซึ่งแ
    นวทางการศึกษาตามพระไตรปิฎกฉบับเถระวาทซึ่งเป็นเบ้าหลอมวัฒนธรรมของชนในชาติมาอย่างยาวนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2008
  2. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    อนุโมทนาค่ะ



    ปล คราวหลังเขียนเเบบไม่ต้องเลื่อนไปข้างๆได้ปล่าวค่ะ อิอิ
     
  3. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    เชิญผู้ที่ยังไม่ได้อ่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...