สัญญาจะช่วย ๔ แสนคน ให้พ้นจากอบายภูมิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา, 7 กันยายน 2011.

  1. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    สัญญาจะช่วย ๔ แสนคน ให้พ้นจากอบายภูมิ
    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ............................................................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับเรื่อง “สัญญาจะช่วย ๔ แสนคน ให้พ้นจากอบายภูมิ นี้ เป็นสัญญาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ท่านมีก่อนจะลงมาเกิด โดยผู้ที่กล่าวเรื่องนี้คือพระอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวตอนที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำไปฝึกธุดงค์ในป่าศรีประจันต์ ข้อความในที่นี้ผมนำมากจากหนังสือ อ่านเล่น เล่ม ๑๖ เหตุที่นำเรื่องนี้มาลง ได้ประโยชน์สองอย่างคือ ตอนต้น กล่าวถึงพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิด้วย ถ้าพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ทรงลาพุทธภูมิ ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังจากพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ……………………………….
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระสอนในป่า<O:p</O:p


    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๒ ของ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เมื่อตอนที่ ๑ มาจบลงตอนที่ พระเจ้าตากสินฯ บวช แล้วรัชกาลที่ ๑ กับคณะ รวมกันแล้วจริง ๆ ก็ประมาณสัก ๒๐๐ คน ใช้คานหามหามออกทางปากท่อ ไปกลางคืนเอาไปที่นครศรีธรรมราช แล้วก็ตั้งลูกชายเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ลูกชายคนโต ลูกชยคนรองก็เป็นพ่อค้าสำเภา หมดภาระ ทีนี้ก็กลับมาถึงด้านกรุงเทพฯ
    <O:p</O:p
    ด้านกรุงเทพฯ ต่อมาข่าวการมาของ เจ้าสัว เจ้าสัวแกมาอย่างนี้มาเรือ ๗ ลำ เอาหีบใหญ่ใส่เงินมา ๗ หีบ ลำละหีบ ขนาดใหญ่มากกะว่า เงินเก่าถ้าได้แล้วได้ดอกเบี้ยด้วยก็ให้กู้ต่อไป เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้นสงบขึ้น ก็ต้องใช้เงินมาก แล้วก็เอาเงินใหม่ให้กู้ด้วย คือ กู้ทั้งเงินเก่าเงินใหม่ การที่พระเจ้าตากสินฯ ถูกประหารชีวิตตามข่าวโกหกนั้น แกไม่รู้ เขาต้องประกาศว่า พระเจ้าตากสินฯ ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง ท่านทำเพื่อประเทศชาติ
    <O:p</O:p
    ต่อมาก็ปรากฏว่า เมื่อเรือแล่นเข้ามาถึง สัตหีบ แถวนั้น ในทะเลไกลไปแถว ๆ เกาะล้าน เลยเกาะล้านไปสักหน่อย ก็ปรากฏว่ามี ลมสลาตัน ลมนั้นปลิวเอาดาบ เอาหอกมาด้วย เข้าผลักไสบรรดาเรือของเจ้าสัว คนในเรือล้มตายกันเป็นแถว หีบทั้งหมด หีบเงิน ก็ถูกลำเลียงขึ้นบก แล้วก็จมเรือ สิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการก็อยู่ในเรือ อันนี้ก็เป็นเรื่องนิทานเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ประวัติศาสตร์อย่าเขียนตามนี้นะ เขียนตามนี้เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่จริง
    <O:p</O:p
    รวมความว่า เจ้าสัว นอกจากตัวเขาจะเป็นเจ้าสัวให้กู้ เจ้าหน้าที่ของเขาที่กรุงเทพฯ ก็มีอยู่ตลอดเวลา ทางราชการเราก็ถามว่า เจ้าสัวมาหรือยังเงินพร้อมจะจ่ายแล้ว จ่ายคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องจ่ายกับเจ้าสัวตามสัญญา เจ้าหน้าที่ทางนี้ของเขาก็ไม่เห็นเจ้าสัวมาสักที ก็หมดเรื่องหมดราวไป เงินก็เลยไม่ต้องชำระหนี้กัน
    <O:p</O:p
    ทีนี้ถ้าจะถามว่าปั้นรูปรัชกาลที่ ๑, ที่ ๕, ที่ ๖ แล้วก็รูป ร.๙ รูปพระเจ้าตากสินฯ ปั้นไว้ทำไม แต่ความจริงก็น่าจะปั้นทั้ง ๑๐ รัชกาล แต่มันไม่ไหว ที่ไม่มี แต่ที่มีความสำคัญ คือ
    <O:p</O:p
    . วันจักรี เด็กนักเรียนที่นี่ มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีที่มีความเคารพในรัชกาลที่ ๑ แล้วก็เคารพในพระราชวังจักรีจะได้มนัสการ ถวายบังคมกัน จะจัดการทำบุญวันจักรีเกิดขึ้น คือว่า ถ้าไหว้เฉย ๆ ผลมันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าอย่างนั้น ๆ แหละ ถ้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านจะมีประโยชน์ใหญ่
    <O:p</O:p
    ประการที่ ๒ วันปิยะมหาราช ถ้าวันปิยะมหาราชถึงเข้ามา ก็ทำบุญเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ประการที่ ๓ วันลูกเสือ คือ รัชกาลที่ ๖ เอานักเรียนมาทำความเคารพ แล้วก็ทำบุญเลี้ยงพระกัน ไม่ต้องมาก อุทิศส่วนกุศลถวายท่าน
    <O:p</O:p
    มาถึง วันรัชกาลที่ ๙ วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันที่ ๕ ธันวาคม ที่เราไม่ได้ไปกรุงเทพฯ กัน เราก็ทำบุญกันที่นี่ ประดับประดาไฟ ทุกรัชกาลประดับไฟหมด
    <O:p</O:p
    วันนี้ วันพระเจ้าตากสินฯ วันที่ ๒๘ ธันวาคม เราก็ไหว้ ไหว้พระเจ้าตากสินฯ นี่เป็นกษัตริย์ด้วย ที่เป็นพระด้วย อันนี้เป็นการยืนยันว่า พระเจ้าตากสินฯ ก่อนจะสวรรคต เป็นพระแล้วก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำของท่านยังอยู่ ใครอยากจะไปดู ก็ไปดู กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่ท่านอยู่จริง ๆ ดีกว่านั้น เขาทำมีความผาสุกกว่านั้น เวลาท่านออกจากถ้ำ ท่านก็มีที่พัก มีห้องพัก ห้องร้อน ห้องเย็นของท่านตามสบาย ๆ
    <O:p</O:p
    แต่ความจริงไม่ได้สั่งลูกชายเป็นคนสร้าง ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็คนแก่ด้วย ก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่าน ก็เป็นด้วยความเคร่งครัด คือไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า เคร่งครัด คือ ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา
    <O:p</O:p
    แต่ทว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น พระโพธิสัตว์ แล้วต่อมาภายหลัง ตามภาพนิมิต ระยะเวลาใกล้ ๆ ประมาณ มกราคม ๒๕๓๓ เอากันแค่วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓ วันนั้นพบพระเจ้าตากสินฯ อีกครั้งหนึ่ง คือว่า ..สถาพร นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่า ดาบของพระเจ้าตากสินฯ เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก ที่นครปฐม ซึ่งเป็นนายทหารม้า รุ่นพี่ของ พ..สถาพร เมื่อคืนวันที่ ๒๙ เขามาให้ไว้
    <O:p</O:p
    คืนนั้นก็ปรากฏว่า ตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ ตั้งไว้บนเตียงที่สมควร พอตอนดึกเวลาประมาณสักหกทุ่ม เวลาจะนอนลงก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระก็เห็นภาพพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมาก มาที่ดาบ ถามว่า มาทำไม ท่านบอกว่า ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็ทำให้มันหน่อย ถามว่า ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ท่านก็บอกว่า ประโยชน์มี ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ขอปิด ไม่ใช่ปิด แต่ไม่บอกให้ทราบ
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นก็คุยกัน ถามว่า เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง ท่านบอกว่า ยังไม่ได้ลา ก็ถามว่าตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือ ท่านบอกว่า เวลานี้ปรากฏว่ามีพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหมล่ะ ท่านบอกว่า ไปซิ ที่มาที่นี้ก็จะมาชวนไปด้วย ไปด้วยกัน ก็ไปด้วยกัน ไปหาพระท่าน ไปถึงเมื่อกราบท่านแล้วก็ถามว่า เวลานี้พระสิน เทวดาสิน เวลานี้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ชักเอือม ๆ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว
    <O:p</O:p
    พระท่านก็บอกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังจากพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว ก็เล่นเอาหน้าเทวดาสินหน้าเซียวต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ๓๐ พุทธสมัย ก็เลยถามพระท่านบอกว่า (พระอะไรน่ะห้ามถามนะ ถ้าจะถามว่า ถามพระอะไรก็บอกว่า พระก็แล้วกัน) ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน ท่านบอกว่า เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว กำลังเหลือ ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นเทวดาต่อไป คำว่าเป็นเทวดาต่อไป ก็หมายถึงว่าเป็น วิสุทธิเทพ
    <O:p</O:p
    นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ รู้ได้อย่างไร ก็บอกว่า ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร ไม่มีความจำเป็น คนที่เห็นผีน่ะ เข้าฌานหรือเปล่าล่ะ เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า มันก็เปล่า สภาพนี่ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก แต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ มันเรื่องง่าย ๆ เรื่องไม่ยาก ๆ เรื่องนี้ก็จบกันไปแล้ว เวลามันเหลือ มันก็จบไม่ได้สิ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ต่อมาก็มาคุยกันถึง ป่าศรีประจันต์ กันใหม่ ฟังป่าศรีประจันต์กันก็น่าจะเบื่อนะ วันนี้ก็จบกันเสียที ป่าศรีประจันต์นี่ เป็นการซักซ้อมธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ แต่ความจริงเรื่องธุดงค์แบบอุกฤษฏ์นี่ ทางภาคอีสานท่านเก่ง ลูกศิษย์หลวงพ่อมั่น ท่านเก่ง เอากันจริง ๆ จัง ๆ แต่ว่าทางด้านลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็มีบ้าอยู่ ๓ องค์ ทางด้านอุกฤษฏ์ นอกจากนั้นก็เป็นธุดงค์ปกติ แต่ว่าค่อนข้างอุกฤษฏ์ก็มี ท่านก็ดี ๆ กันทั้งนั้น
    <O:p</O:p
    ทีนี้ก็มาคุยกันถึงป่าศรีประจันต์ มาอยู่ที่ภูเขาชั่วคราว ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อสิ้นเดือนมกราคมภูเขาชั่วคราวไม่มีแล้ว ภูเขาระยำอะไร มันหายไปเร็วจริง ๆ อยู่ที่ภูเขาชั่วคราวก็มีความสุข นั่งกินนอนกิน แบบสบาย ๆ ถึงเวลาก็บิณฑบาต เวลาบิณฑบาตทีหลังก็ชักกำเริบ เอาใหม่ ประเภทที่แขวนต้นไม้ไม่เอาแล้ว เรามาตั้งใจกัน ๓ คน บอกว่า เราเอากันอย่างนี้นะ เราจะเดินบิณฑบาตกัน จากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น เป็นการฝึก เราจะไม่หลับตา จะเดินแบบสำรวม แบบพระ ถ้าเดินจากต้นนี้ไปถึงต้นโน้น จากต้นโน้นกลับมาถึงต้นเดิม ถ้าไม่มีใครใส่บาตร เราจะอยู่ด้วย ธรรมปีติ
    <O:p</O:p
    นั่นก็หมายความว่า คำว่า ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ เราจะอิ่มใจในธรรม ถ้าบังเอิญมันจะตายเวลานี้ เราก็พร้อม พร้อมในการตาย เพราะความตาย ขึ้นชื่อว่า เกิดแล้ว มันต้องตาย แต่ว่าเราจะตาย เพราะกำลังบุญกุศล เราจะเสียดายอะไรกับร่างกาย ร่างกายเป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยง ร่างกายเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นอนัตตา มันต้องตายแน่สักวันหนึ่งข้างหน้า เราจะตายอยู่กับธรรม
    <O:p</O:p
    เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้ว พอตื่นขึ้นเช้าเริ่มสมาธิ อันดับแรกตั้งอารมณ์ พรหมวิหาร ๔ ก่อนให้ครบถ้วนบริบูรณ์อารมณ์จริง ๆ หลังจากนั้นก็จับ อานาปานสติ ควบกับ พุทธานุสสติ จับนิมิตเห็นภาพพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็น อีก ๒ องค์นั่นเขาเก่งกว่า คือ ว่าเทวดาท่านบอกว่า อีก ๒ องค์นั่น เขาตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เขาคงจับนิพพานเป็นอารมณ์ สำหรับผู้พูดเวลานั้น อยู่ในเขตพระโพธิสัตว์ ยังปรารถนาพุทธภูมิ ก็จับพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ลุกขึ้นคว้าบาตรสะพาน
    <O:p</O:p
    เวลาออกเดินเราก็ไม่ภาวนาว่า พุทโธ ใช้ อิติปิโสฯ ตามเดิม ไม่สนใจใครจะใส่บาตร หรือไม่ใส่บาตร ไม่สนใจฉันจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นโน้น ก้าวไปก้าวมาก็รู้สึกถึง อิติปิโสฯ เป็นลำดับ พอเดินไปถึงครึ่งทาง ก็ปรากฏว่าเจอะเทวดา แต่งตัวเป็นเทวดา เจอะนางฟ้า แต่งตัวเป็นนางฟ้า ถือขันคนละใบ มีดอกไม้คนละ ๓ ดอก ใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ ท่านยกมือไหว้ ก็ให้พรท่านว่า เอวัง โหตุ กลับมาที่เดิม ข้าวก็กินพอดี ๆ ดอกไม้เราก็บูชาพระ
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นก็อยู่แบบสงบ ก็คุยกันบ้าง อะไรกันบ้าง ตามธรรมดา ๆ แต่ว่าก่อนที่จะกลับ ถึงวันใกล้ที่จะกลับ ก็ปรากฏว่ามีพระ ๒ องค์ ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน กำลังนั่ง ๆ คุยกัน ก็ปรากฏปุ๊บปั๊บมานั่งร่วมวงเฉย ๆ ท่านถามว่า คิดจะกลับหรือก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะกลับขอรับ ท่านบอกว่าจำทางได้ไหม ก็เลยบอกว่า จำไม่ได้ เพราะเวลามานี่เทวดานำมา จากป่าศรีประจันต์ด้านทิศตะวันออก ใกล้อำเภอผักไห่ มาถึงดอนเจดีย์นี่ มันก็ไกลแสนไกล ท่านเดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง ผมจำทางไม่ได้ แต่ว่าผมจะถือเอาทิศตะวันออกเป็นเกณฑ์ เดินไปตามทิศตะวันออก มันจะถึงเมื่อไรก็ช่างมัน
    <O:p</O:p
    ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร คนที่เขาพามา เขาก็พากลับเวลานี้ทั้งผี ทั้งเทวดา มีความชื่นชมในท่านทั้ง ๓ มาก แต่ว่าผมยังเห็นว่า ท่านทั้ง ๓ นี่ยังมีอารมณ์หยาบอยู่ นี่ได้ครูแล้ว ผมคิดว่า จะมาแนะนำท่านสักหน่อยหนึ่ง ท่านจะรับฟังไหม ก็เลยกราบท่านด้วยความเคารพจริง ๆ ถ้าจะถามว่า จำได้ไหม พระ ๒ องค์นี่พระอะไร ก็บอกว่า ไม่รู้หรอก จำไม่ได้ ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อปาน ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจง แล้วก็ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจาด สุ่มเสียงก็ไม่ใช่นุ่มนวลเหลือเกิน องค์หนึ่งน่ะสวยงามมาก หนุ่ม ไม่แก่ มองแล้วมีแสงสว่างออกจากกาย อีกองค์หนึ่งก็สวยงามเหมือนกัน แต่ว่าท่าทางผิว จะคล้ำกว่ากันนิดหนึ่ง แต่มีแสงสว่างจากกายเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ท่านก็สอนว่า การเจริญกรรมฐานของพวกคุณทั้ง ๓ องค์ นี่หนักสมถภาวนามากเกินไป ควรจะให้พอดี ๆ กัน สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา เรื่องศีลไม่กังวล ผมไม่กังวลเรื่องศีล เพราะผมเห็นคุณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณนี่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่มันก็ไปไม่รอดหรอก ในที่สุดคุณก็ต้องลาพุทธภูมิ ถามท่านว่า เป็นเพราะอะไรครับ ท่านบอกว่า สัญญาน่ะมีอยู่ ก่อนที่คุณจะลงมานี่คุณมีสัญญานะว่า จะมาช่วยงานกันตามกำลังที่คุณจะช่วยได้ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ว่ามีปริมาณไม่น้อยกว่า ๔ แสนคน เป็นกลุ่มไม่ใหญ่คุณตั้งใจว่า จะมาช่วยคนกลุ่มนี้ให้พ้นจากอบายภูมิ ถึงแม้ว่าตัวเองจะป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม จะลำบากยากแค้นอย่างไรก็ตาม คุณจะช่วยเขาทีนี้การช่วยเขาด้วยกำลังพุทธภูมินี่ ไม่สมบูรณ์แบบ
    <O:p</O:p
    คำว่า ไม่สมบูรณ์แบบ นั่นก็หมายความว่า เรามีอารมณ์ขาดพระนิพพาน เพราะนิพพานเราคิด แต่เราไม่รู้จักพระนิพพานจริงถ้าอย่างอีก ๒ องค์นี่ เขารู้จักพระนิพพาน เพราะว่าเขาปรารถนาสาวกภูมิ ทีนี้ทั้ง ๓ องค์เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วิปัสสนาญาณน่ะ เราเอากันง่าย ๆ อย่าให้มันยากถ้ายากตามตำราละ คุณไม่มีทางจะได้อะไรหรอกตามที่อาจารย์คุณสอนน่ะ ถูกต้อง แต่คุณเองทั้ง ๓ คน ก็ไม่ค่อยจะเอาตามแบบอาจารย์นัก ไม่ติดอารมณ์ตำรามาก ทีนี้คนเขียนตำราน่ะ คุณก็ต้องดูว่าเป็น พุทธพจน์ หรือ อรรถกถาจารย์ หรือว่า ฎีกาจารย์ เกจิอาจารย์ ฎีกาจารย์ กับเกจิอาจารย์นี่ คุณถือเอาเป็นเรื่องจริงเรื่องจังไม่ได้วางเสียหน่อยหนึ่ง ดูไปบ้าง อันไหน ถ้ามันเป็นประโยชน์จริง ๆ ง่าย ๆ สั้น ๆ ละก็เอา ที่เขาเขียนถูกก็มี เขาเขียนผิดก็มาก
    <O:p</O:p
    แต่ว่าถ้าอรรถกถาจารย์ ก็ต้องดูเหมือนกัน อรรถกถาจารย์ ที่ท่านเขียนองค์นั้นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ถ้าอรรถกถาจารย์ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เราก็อ่านเราก็ฟัง จับเอาเฉพาะจุดที่มีเหตุมีผลตามพุทธฎีกาจริง ๆ ถ้าอรรถกถาจารย์ ส่วนใดเป็นอรหันต์เขียนไว้ เชื่อได้เลย ก็ถามท่านบอกว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า อรรถกถาจารย์องค์นั้นเป็นอรหันต์ ท่านบอกว่า อรรถกถาจารย์ที่เป็นอรหันต์ต้องไม่ทิ้งอารมณ์พระพุทธเจ้าสอน แนวทางที่พระพุทธเจ้านี่ไม่ทิ้งแล้วสอนง่าย ๆ
    <O:p</O:p
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานี้ผมจะบอกคุณว่า เอาบังสุกุลทั้ง ๒ อย่าง เป็นพื้นฐานวิปัสสนาญาณ ถาม บังสุกุลอะไรครับ ท่านก็บอก บังสุกุลเป็น กับบังสุกุลตาย เอาบังสุกุลตายก่อนว่า อนิจจา วตสงขารา สังขาร คือ ร่างกาย ไม่เที่ยงหนอ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด อุปาทวยธมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป มันแก่ทุกวัน นั่งคิดอย่างนี้ อุปปชชิตวา นิรุชฌติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตาย ดับไป เตสํ วูปสโม สุโข การไปถึงนิพพาน นั่นคือ สงบกาย การสงบกาย หมายความว่า ไม่มีร่างกายอย่างนี้ เป็นสุข นั่นคือ นิพพานเอาจิตคิดอย่างนี้ไว้ทุกวัน ลืมตาขั้นมาปั๊บ บูชาพระเสร็จ คิดอย่างนี้ และให้นึกต่อไปว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะตายได้ทุกขณะ
    <O:p</O:p
    ที่นั่งคุยเวลานี้ คุณอาจจะตายทันทีทันใดก็ได้ อย่าไปรอความป่วย ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นของไม่แน่นอน มันป่วย หรือไม่ป่วย มันก็ตาย เวลาคุณจะตาย และอีกประการหนึ่งก็ใช้บังสุกุลเป็นว่า อริรํตยํ กาโย ปฐวิ อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโณ นิรตถํว กลิงครํ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนัก ก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว คือ จะหมดวิญญาณ มันก็จะตาย ร่างกายนี้เวลาที่เราอยู่ คนนั้นก็บูชา คนนั้นก็รัก คนนี้ก็ชอบ
    <O:p</O:p
    ถ้าเราตายแล้วจริง ๆ แม้แต่เท้าเขาก็ไม่อยากเขี่ยร่างกายของเรา เขาเห็นสภาพร่างกายเป็นของน่าเกลียด เขามีความรังเกียจในร่างกาย มันก็สู้ไม้ท่อนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้ ไม้ท่อนดีกว่า จงคิดว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกาไม่มีในเรา ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว ทั้ง ๓ องค์ คิดอย่างนี้เหมือนกันหมดนะ แล้วก็ดูอารมณ์ว่า
    <O:p</O:p
    . สักกายทิฐิเรายังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราไหม
    <O:p</O:p
    . วิจิกิจฉา สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไหม หรือเลิกสงสัยแล้ว ถ้าเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ใช้ไม่ได้ มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไว้เสมอ
    <O:p</O:p
    ประการที่ ๓ สีลัพพตปรามาสรักษาศีลเคร่งครัดไหม
    <O:p</O:p
    ประการที่ ๔ กามฉันทะเห็นว่า ร่างกายของคนเพศตรงข้ามมันสวยไหม แต่ความจริงมันสกปรกแสนสกปรก เราเห็นว่า สวยไหม ถ้าเห็นสวย ใช้ไม่ได้ จิตระงับไหม เมื่อเห็นความสวยสดงดงามของผิวพรรณ และความอวบของผิวพรรณ ถ้าจิตไม่สนใจ ใช้ได้
    <O:p</O:p
    แล้วก็ ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ มีไหม ให้ถือกฎของกรรมว่า คนและสัตว์ทั้งโลกเกิดมาเพื่อหวังความดี ที่ทำดีไม่ได้ ก็เพราะว่ากฎของกรรมที่เป็นอกุศลบังคับ และหลังจากนั้น รูปาคะ อรูปราคะ การหลงในรูปฌาน และอรูปฌาน มีไหม อย่าหลงมัน รูปฌาน และอรูปฌาน เป็นแต่เพียงสักแต่ว่า เป็นกำลังให้วิปัสสนาญาณเกิดเท่านั้น แล้วก็ มานะ การถือตัวถือตน มีไหม หมากับคนต้องคุยกันได้ คบกันได้ แม้แต่หมาขี้เรื้อน เราก็ต้องคบได้ ไม่ควรจะถือตัว เพราะมีสภาพเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    อุทธัจจะ จิตเลี่ยงจากนิพพาน มีไหม ถ้ามีใช้ไม่ได้ ให้จับนิพพานโดยตรง
    <O:p</O:p
    อวิชชา ก็มีความรู้สึกว่า ความพอใจในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มีในเรา เราต้องการนิพพานจุดเดียว
    <O:p</O:p
    จำไว้ให้ดีนะคุณนะ ทั้ง ๓ องค์นี่ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของคุณแล้ว ถือบทนี้เป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณแค่นี้พอเหลือแหล่ เหลือกิน เหลือใช้ เพียงเท่านี้ท่านจะไปไหน มันก็ไปไม่ได้แล้วนอกจากนิพพานแห่งเดียว ก็ถามว่า เมื่อไรผมจะลาจากพุทธภูมิ ท่านบอก ถึงเวลาเป็นเอง ถามว่า พระเดชพระคุณทั้งสองเป็นใครครับ ท่านบอกว่าผมทั้งสองเป็น อัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ลาไป
    <O:p</O:p
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดพอดี ไม่เลิกก็ไม่ได้ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ……………………………………..
    <O:p</O:p
    ข้อมูลจาก หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๖ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนพระสอนในป่า หรือหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ ตอน พระสอนในป่า
    ขออนุโมนาทุกท่านที่ช่วยสนับสนุนการพิมพ์หนังสือของหลวงพ่อ และช่วยเผยแพร่ออกสู่วงกว้างทางอินเตอร์เน็ตทุกท่านครับ ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านนะครับ<O:p</O:p
    .......................................<O:p</O:p
    <O:p</O:p</O:p
     
  2. หมี พลเสน

    หมี พลเสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +358
    ข้าพเจ้าโมทนาบุญด้วยครับ ขอให้ผลบุญนี้ช่วยส่งผลให้ข้าพเ<wbr>จ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติป<wbr>ัจจุบันด้วย เถิด และถ้าหากว่าชาตินี้ข้าพเจ้าไม่<wbr>ถึง พระนิพพานเพียงไร เกิดใหม่ชาติใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าไปอบายภูมิ อย่าไปเป็นเปรต อย่าไปเป็นอสูรกาย อย่าตกนรก อย่างน้อยที่สุดขอให้เป็นมนุษย์<wbr>ที่มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนกาย ร้อนใจ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2011
  4. wancha

    wancha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +85
    อนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ

    การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
     
  5. Charls

    Charls เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +2,343
    อนุโมทนาบุญครับ

    ขอเสนอแนะให้แก้ไข บทบังสุกุลเป็นบาทแรกนิดหนึ่งนะครับ (ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่นครับ เผื่อใครจะนำไปใช้ดังที่หลวงพ่อสอน จะได้ถูกต้องครับ)
     
  6. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    สาธุ ครับ

    แต่โยม เห็นอีกหลายแสน กำลังลง อบายภูมิ
    ที่เป็น ปรปักร กับ ในหลวงองค์พระโพธิสัตว์พระองค์นี้
    ทั้ง ติเตียน กล่าวร้าย และคิดล้มล้าง พระองค์
    แถมยังเผาบ้านเผาเมือง

    น่าอนาถโดยแท้ คนพวกนี้
     
  7. tharushnu

    tharushnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ...สาธุ
    _____________________________________________

    <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FBuddhaPhothiyan&amp;width=500&amp;colorscheme=light&amp;show_faces=true&amp;border_color&amp;stream=true&amp;header=true&amp;height=427" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:500px; height:427px;" allowTransparency="true"></iframe>
     

แชร์หน้านี้

Loading...