สังขตธรรม อสังขตธรรม เป็นอนัตตาจริงหรือ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 13 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อพูดถึงสังขตธรรม อสังขตธรรม มักมีการถกเถียงข้อธรรมกัน เพื่อค้นหาความจริง พร้อมทั้งต่างฝ่ายก็หาหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือทั้งตัวบุคคลและตำรามาสนับสนุนกัน ต่างคนต่างมีความเชื่อของตน มักลงกันไม่ได้ เพราะต่างนำเอาทิฐิของตนเป็นตัวตั้ง ไม่คิดพิจารณาโดยแยบคายเอาพระพุทธพจน์เป็นตัวหลัก จึงมักลงกันไม่ได้

    ฝ่ายที่เอาสังขตธรรมและอสังขตธรรมเป็นอนัตตา เพราะมีพระดำรัสของพระสังฆราชค้ำไว้ ส่วนฝ่ายไม่เห็นด้วยนั้น มีพระพุทธวจนะและพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคอยค้ำไว้เช่นกัน เมื่อถามว่าตกลงใครที่น่าเชื่อถือกว่ากัน ตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่าน่าเขื่อถือทั้งคู่ และอันไหนหละที่ถูกต้อง ก็ตอบได้เต็มปากว่า ถูกต้องกันคนละด้าน โดยนำเอามาเปรียบเทียบกับพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย *สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด*

    วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย
    ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน

    บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในวิราคธรรม
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ
    ก็ผลอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ฯ"

    (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗)



    เมื่อดูจากพระพุทธวจนะแล้ว เราสามารถแบ่งข้อออกมาเป็น ๓ ข้อธรรม ด้วยกัน

    ๑.สังขตธรรม

    ๒.อสังขตธรรม

    ๓.วิราคธรรม

    ที่น่าสงสัย คือวิราคธรรมนั้นมาจากไหน? เก็บความสงสัยนั้นไว้ แต่อย่าปล่อยให้สงสัยนานเกินไป

    ๑.สังขตธรรมนั้น คือ ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น

    ๒.อสังขตธรรมนั้น คือ ธรรมที่เป็นแม่ธาตุทั้งหลาย ที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่มีเหตุปัจจัยใดๆมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น เพราะมีอยู่มาก่อนนานแล้ว เช่น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ที่มาประชุมคุมตัวกันเป็นรูป-นาม กาย-ใจ

    แม่ธาตุเหล่านี้มักไม่สามารถอยู่เป็นเอกเทศเฉพาะตัวได้ มักต้องคุมตัวกันอยู่ จึงจัดเป็นธาตุผสม หรือสังขตธรรมธาตุไป เมื่อเข้ามาอยู่ในวัฏฏะ โดยเฉพาะมหาภูตรูป คือ รูป-นาม(ขันธ์๕) จัดเป็นอนัตตา เพราะเข้าหลักเกณฑ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตน)


    ส่วนที่มีการจัดเอา "อสังขตธรรม" ให้เป็น "วิสังขารธรรม" นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเหตุว่า

    ๓.วิสังขารธรรมนั้น คือความสิ้นไปแห่งการปรุงแต่ง แสดงว่าต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และได้มีการทำให้การปรุงแต่งที่มีอยู่นั้นสิ้นสุดลงไป เมื่อการปรุงแต่งนั้นได้สิ้นสุดลงไป จึงเกิด "วิราคธรรม" ขึ้นในข้อที่สาม

    เพราะอสังขตธรรมนั้น เป็นเพียงแม่ธาตุที่มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว ไม่มีการปรุงแต่งใดๆที่เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นมีขึ้น แต่มาประชุมปรุงแต่งคุมตัวกันเข้าเป็นรูป-นาม กาย-ใจในภายหลัง

    ฉะนั้นคำว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" จึงครอบคลุมเพียงแค่ "สังขตธรรม" และ "อสังขตธรรม" ที่ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์เท่านั้น เมื่อไดัรับความบริสุทธิ์หมดจดจากการปฏิบัติธรรม เพราะได้แยกแล้วจากธรรมทั้งหลาย คือ "วิราคธรรม" (ธรรมที่แยกแล้ว) จึงจัดเป็น "วิสังขารธรรม" ได้ เป็นอนัตตาธรรมไม่ได้อีกต่อไป



    มาสรุปกันอีกที เพื่อป้องกันความสับสนที่จะเกิดขึ้นได้

    ๑.สังขตธรรม ธรรมที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมีขึ้น

    ๒.อสังขตธรรม ธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆมาปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น มีขึ้นเลย คือไม่มีการปรุงแต่งมาตั้งแต่ต้น จึงจัดเป็นวิสังขารไม่ได้

    ๓.เพราะวิสังขารนั้น ต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และมีการกระทำให้การปรุงแต่งนั้นสิ้นสุดลงไป จึงเรียกว่า "วิสังขาร" หรือ "วิราคธรรม" ได้

    และควรเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่า "อสังขตธรรม" นั้นไม่ใช่มีเฉพาะ "พระนิพพาน" เพียงอย่างเดียว ได้มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมากันเองในภายหลัง ส่วนพระพุทธพจน์ได้ทรงตรัสชัดเจนอยู่แล้วว่า "สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด" ชัดๆนะว่ามีมากกว่าหนึ่งแน่นอน "มีประมาณเท่าใด" และ "วิราคธรรม...บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น"


    การศึกษาธรรม หรือ ถกธรรม ควรเป็นไปเพื่อค้นหาสัจธรรมความจริง ที่สามารถตริตรองตามและนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เป็นการเอาชนะคะค้านกันด้วยความเชื่อที่มีตามๆกันมาเท่านั้น เพราะชนะไปทำให้เข้าใกล้มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่ ควรยืนบนหลักเหตุผลในการสนทนา ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงให้ชัดเจนหมดข้อสงสัย

    ข้อสังเกตที่ควรรู้ในพระไตรปิฎก

    เมื่อมีการกล่าวถึง "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" นั้น จะต้องมีบริบทก่อนหน้าทุกครั้งที่กล่าวถึง "สัพเพ สังขารา อนิจจา" "สัพเพ สังขารา ทุกขา" แต่ไม่เคยมีปรากฎว่ากล่าวถึง "สัพเพ วิสังขาร" มาก่อนเลย เพราะ "สังขาร" กับ "วิสังขาร" นั้น เป็ธรรมที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงนั่นเอง

    เจริญในธรรมที่เป็นสัจธรรมความจริงทุกๆท่าน
    ธรรมภูต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ลุงหมาน
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.


    ธรมภูต
    เฮ้อ !!!
    เอาที่เต็มๆมาลงสิ นิสัยถาวรชอบจังนำเฉพาะที่ตัดต่อมาโชวฺ
    แบบนี้เท่ากับบิดเบือนให้พระพุทธพจน์เสียหายหมด
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลุงหมาน
    อนุโมทนาสาธุ.....ชัดเจน
    สพฺเพ แปลว่า ทั้งหลาย ทั้งหมด

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.

    เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า ‘ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา’
    เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทาง
    แห่งความหมดจด.



    อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมภูต
    เฮ้อ !!!
    เอาที่เต็มๆมาลงสิ นิสัยถาวรชอบจังนำเฉพาะที่ตัดต่อมาโชวฺ
    แบบนี้เท่ากับบิดเบือนให้พระพุทธพจน์เสียหายหมด
    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


    ลุงหมาน
    *(•ิ_•ิ)? เอ้า ๆ อ้าว ! งงล่ะซิ ไม่เข้าใจหรือนั่น
    แค่อ่านยังทำเป็น งง แล้วมันจะไปบิดเบือนอะไรตรงไหน
    ลงตัว เป๊ะเลย เหนื่อยนักก็พักก่อน
    แถมมีลูกคู่คอยประกบ อิอิ
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ดูความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองของคนบางคนแล้ว ช่างน่าเศร้าจริงๆ
    อย่างที่เคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆว่า
    คนลองหาความซื่อสัตย์ต่อตนเองไม่ได้ อย่าเที่ยวไปหาสัจธรรมความจริงจากคนๆนั้นเลย. เฮ้อ!!!

    จากเล่ม๔๓ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย (พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทานซีดี)

    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ๕๐๐ รูป
    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สพฺเพ สงฺขารา" เป็นต้น.
    ภิกษุเรียนกัมมัฏฐาน ดังได้สดับมา
    ภิกษุเหล่านั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาแล้ว
    แม้พากเพียรพยายามอยู่ในป่า ก็ไม่บรรลุพระอรหัต จึงคิดว่า
    "เราจักเรียนกัมมัฏฐานให้วิเศษ" ดังนี้แล้วได้ไปสู่สำนักพระศาสดา.

    ทางแห่งความหมดจด พระศาสดาทรงพิจารณาว่า
    "กัมมัฏฐานอะไรหนอแล เป็นที่สบายของภิกษุเหล่านี้?"
    จึงทรงดำริว่า "ภิกษุเหล่านี้ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป
    ตามประกอบแล้วในอนิจจลักษณะสิ้นสองหมื่นปี,
    เพราะฉะนั้น การแสดงคาถาด้วยอนิจจลักษณะนั้นแลแก่เธอทั้งหลาย
    สัก ๑ คาถาย่อมควร" ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลายมีกามภพเป็นต้น
    เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี"
    ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

    ๒. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
    "เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า 'สังขาร
    ทั้งปวงไม่เที่ยง,' เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความ
    หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด."

    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า สพฺเพ สงฺขารา เป็นต้น ความว่า
    เมื่อใดบัณฑิตย่อมเห็นด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า
    "ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วในภพทั้งหลายมีกามภพเป็นต้น
    ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะต้องดับในภพนั้น ๆ เอง,"
    เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์อันเนื่องด้วยการบริหารขันธ์นี้,
    เมื่อหน่ายย่อมแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งกิจ
    มีการกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น.
    บาทพระคาถาว่า เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ความว่า
    ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด คือแห่งความผ่องแผ้ว.
    ในเวลาจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นตั้งอยู่ในพระอรหัตผลแล้ว.
    เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
    เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูปอื่นอีก จบ.

    แม้ในพระคาถาที่ ๒ เรื่องก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
    ก็ในกาลนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบความที่ภิกษุเหล่านั้น
    ทำความเพียรในอันกำหนดสังขารโดยความเป็นทุกข์แล้ว
    ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ขันธ์แม้ทั้งปวง เป็นทุกข์แท้
    เพราะอรรถว่าถูกทุกข์บีบคั้น" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:

    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ
    ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
    เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
    "เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า 'สังขาร
    ทั้งปวงเป็นทุกข์,' เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์, ความ
    หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด."


    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขา ความว่า ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าถูกทุกข์บีบคั้น.
    บทที่เหลือ ก็เช่นกับบทอันมีในก่อนนั่นแล.
    แม้ในพระคาถาที่ ๓ ก็มีนัยเช่นนั้นเหมือนกัน. ก็ในพระคาถาที่ ๓นี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความที่ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ตามประกอบแล้ว
    ในอันกำหนดสังขารโดยความเป็นอนัตตา ในกาลก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
    ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ขันธ์แม้ทั้งปวงเป็นอนัตตาแท้
    เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ
    ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
    เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
    "เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า "ธรรม
    ทั้งปวงเป็นอนัตต," เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์,
    ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด."


    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า สพฺเพ ธมฺมา
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาขันธ์ ๕ นี้เอง.
    บทว่า อนตฺตา ความว่า ชื่อว่า อนัตตา
    คือว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของได้แก่ไม่มีอิสระ
    เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เพราะใคร ๆ
    ไม่อาจให้เป็นไปในอำนาจว่า "ธรรมทั้งปวง จงอย่าแก่ จงอย่าตาย."
    บทที่เหลือ ก็เช่นกับบทที่มีแล้วในก่อนนั่นเอง ดังนี้แล.

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
    และอย่าพยายามตัดต่อพระธรรมให้เกิดความเสียหาย
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ลุงหมาน
    ดีแล้ว ๆ มีความพยายามอย่างสูง


    เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ควรจำ ๆ มีอะไรแนะนำอีกก็เชิญ
    ***
    ขอโทษที่ ไม่ได้พยายามตรงไหนเลย แค่ระลึกขึ้นมาได้
    เหมือนมีเทวดาที่ต้องการรักษาพระสัทธรรมเอาไว้ใส่พานมาให้
    ระลึกได้ว่าเคยมีการคัดลอกพระบาลีบทหนึ่งไว้ นานแล้ว
    และยังจำไม่ได้ว่า มีเนื้อหาเช่นใด แต่พอเปฺดใช่เลย ประมาณนั้นเลย

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ
    ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
    อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
    เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.
    "เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า "ธรรม
    ทั้งปวงเป็นอนัตต," เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์,
    ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด."


    แก้อรรถ
    บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า สพฺเพ ธมฺมา
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาขันธ์ ๕ นี้เอง.


    พระบาลีจากอรรถกถาจารย์คนละคณะที่รับมอบแปลความ
    จึงมีการโจษกันในหลายเรื่อง จนเป็นอธิกรณ์ต้องระงับ
    แม้แต่เรื่องอานาปานสติ ยังโจทย์กันเองเลยว่า
    "ต้องหายใจออกก่อน" อีกคณะ"ต้องหายใจเข้าก่อน"

    เห็นหรือยังว่า ควรใช้หลักกาลามสูตร ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียง
    ให้ดีๆและแน่แก่ใจเสียก่อน ค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย

    เจริญในธรรมที่ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองทุกๆท่าน

     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอ ว่าแต่ว่า

    ก็อย่างที่คุณอินทรบุตรพูดหนะถูกแล้ว^^
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...........จริงจริง พระพุทธศาสนา สอนเรื่องความพ้นทุกข์ไม่ใช่เหรอ ฮับ...อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.............:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" วัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้น สำหรับสัตวืผู้มีอุปาทาน อยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน วัจฉะ เปรียบเหมือนไฟที่มีเชื้อ ย่อมโพลงขึ้นได้ ที่ไม่มีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไม่ได้ อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น วัจฉะ เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ที่มีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน.......................พระโคดมผู้เจริญ ถ้าสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปใกล สมัยนั้น พระโคดมย่อมบัญญัติ ซึ่งอะไรว่า เป็นเชื้อแก่เปลวไฟนั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่...............วัจฉะ สมัยใดเปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปใกล เราย่อมบัญญัติเปลวไฟนั้น ว่ามีลมนั่นแหละเป็นเชื้อ วัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น ----พระโคดมผู้เจริญ ถ้าสมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วย การอื่น สมัยนั้นพระโคดม ย่อมบัญญัติ ซึ่งอะไร ว่าเป็นเชื้อแก่สัตว์นั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่.....วัจฉะ สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น เรากล่าวว่า สัตว์นี้ ว่า มีตัณหานั่นแหละเป็นเชื้อ เพราะว่าสมัยนั้น ตัณหานั้นแหละเป็นเชื้อ ของสัตว์นั้นแล----สฬา.สํ.18/485/800....:cool:
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ"ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ ที่เรียกกันว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้นั้น เป็นอย่างไร และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่า เป้นผู้ถึงอวิชชา พระเจ้าข้า ภิกษุในกรณีนี้ ปุถุชนผู้ไม่มีการสดับ ไม่รู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริงซึ่งรุป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ว่าเป็นสิ่งที่มีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา ดังนี้ ไม่รู้ชัดแจ้งตามเป็นจริงวึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ว่าเป็นสิ่งที่มีความเสื่อมเป็นธรรมดา ดังนี้ ไม่รู้ชัดแจ้งตามที่เป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อันมีทั้งความก่อขึ้นและความเสื่อมเป็นธรรมดา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย ความไม่รู้นี้เราเรียกว่า อวิชชา และบุคคลชื่อว่าเป็นผู้ถึงอวิชชา ย่อมมีได้ด้วยเหตุมีประมารเท่านี้ แล--ขนธ.สํ.17/209/320..:cool:
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ใช่พระพุทธศาสนาสอนให้พ้นทุกข์จริง

    แล้วจะพ้นทุกข์ได้จริงหรือ? เมื่อทุกอย่าง(สัพเพ ธัมมา) เป็นอนัตตา

    เมื่อบรรลุถึงพระนิิพาน กลับกลายเป็นว่า นั่นไม่ใชเราอีกแล้ว เสียเวลาทำไม?เฮ้อ!!!

    ก็กลายเป็นว่าพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องหลอกลวง ที่มีแต่ อะไรๆก็ไม่ใข่ อะไรๆก็ไม่มี

    สังขตธรรม ธรรมที่ปรุงแต่ง ก็ไม่ใช่ วิสังขารธรรม ธรรมที่สิ้นการปรุงแต่ง ก็ไม่ใช่อีก

    ในเมื่อที่ใช่ไม่มีอยู่จริง มีอยู่แต่ที่ไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะสัพเพ ธัมมา อนัตตา

    แล้วที่พระพุทะองค์ทรงปฏิเสธอาจารย์ทั้งสองว่านั่นไม่ใช่ จะออกไปหาความสิ่งที่ไม่ใช่อีกหรือ?

    เล่นสอนกันแบบนี้ พระพุทธศาสนาจะเหลืออะไรให้กุลบุตรได้ศึกษาความจริงกัน

    มีแต่ไม่ใช่ ที่ใช่ไม่มีเลย แม้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพานก็ไม่ใช่ที่พึ่งของตน(อนัตตา)

    โลกียธรรมก็ไม่ใช่ โลกุตตรธรรมฯลฯก็ยังไม่ใช่อีก เฮ้อ!!!...จบกัน

    ของหลอกลวงทั้งนั้น ยิ่งไปแปลว่า อนัตตา ไม่มีตัวตน ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

    เล่นเอาของที่ไม่มีอยู่จริง มาเที่ยวหลอกลวงคนอื่น น่าอายจริงๆสินะ

    เจริญในธรรมที่เป็นสัจธรรมของจริงทุกๆท่าน

     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปัญหา อสังขตธรรมคืออะไร? ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุอสังขตธรรมคืออะไรบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอสังขตธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางที่จะให้ถึงอสังขตธรรมเป็นอย่างไร? กายคตาสติ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตธรรม...สมถะและวิปัสสนา...สมาธิที่มีทั้งวิตกวิจาร สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร...สมาธิที่ไม่มีทั้งวกตกวิจาร สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ... สติปัฏฐาน ๔.... สัมมัปปทาน ๔.... อิทธิบาท ๔... อินทรีย์ ๕... พละ ๕.... โพชฌงค์ ๗... อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เรียกว่าทางที่จะให้ถึงอสังขตธรรรม...

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตธรรม.... ทางที่จะให้ถึงอสังขตธรรม เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย....นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง...เธอทั้งหลายจงเพ่ง อย่าประมาท อย่างได้เป็นผู้เสียใจในภายหลัง นี้เป็นคำสอนของเราเพื่อนทั้งหลาย ....”


    อสังขตสังยุต วรรคที่ ๑ สฬา. สํ. (๖๘๔-๖๘๔)
    ตบ. ๑๘ : ๔๔๑-๔๔๓ ตท. ๑๘ : ๓๘๙-๓๙๐
    ตอ. K.S. ๔ : ๒๕๖-๒๕๘
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................ไม่รู้ สิครับ...แต่ผมว่า ถ้า คุณอาว์ เคยชิมรสความสงบสักเล็กน้อย...อย่างที่พระศาสนาเราสอน...(ซึ่งผมว่าคุณอาว์รู้)ก็คงเห็นต้นทางที่ถูก...ความกลัว ความกังวลเรื่องปฎิบัติผิดถูกคงไม่มาสู่ เราท่าน (เพราะเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาด้วยตนเอง).......ไม่ต้องไปบำบัดด้วยการไปหา ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต ให้เปลืองตังค์ 555:cool:
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จาก พุทธวัจนะ ข้างต้น หากผู้ใดประสงค์จะ กราบ จะระลึกถึง พระตถาคต
    ก็สามารถเรียกขาน พระนาม พระองค์ได้หลาย ชื่อ

    จริงอยู่ ในทางกฏหมาย ไม่ได้ จำกัดสิทธิในการใช้ชื่อ

    แต่ บุคคลเช่นไรกันเล่า ที่จะ จะตั้งชื่อให้เพื่อนๆ สาธุชน
    ทราบว่า ข้านี้คือ พระตถาคต

    โดยการ ตั้งชื่อตนว่า ธรรมภูติ ดังสมาชิก จขกท กระทำอยู่

    อย่างไรก็ดี ในเมื่อเขาตั้งชื่อตนว่า ธรรมภูติ แล้ว เราก็ควรเห็นเขาเป็น พระตถาคต กันเถิด


    วู้ปี้ พระตถาคตใหม่ อุบัทว์ขึ้นแล้ว

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2013
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ขัดเจนนะ

    ทางที่จะให้ถึงอสังขตธรรม เราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย....
    นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง...เธอทั้งหลายจงเพ่ง อย่าประมาท
    อย่างได้เป็นผู้เสียใจในภายหลัง นี้เป็นคำสอนของเราเพื่อนทั้งหลาย


    ลองเทียบเคียงดูก็จะเห็นชัดเจน
    ทางให้ถึงอสังขตธรรมที่ได้รับความบริสุทธิ์ เป็นวิราคธรรม(ธรรมที่แยกแล้ว)

    วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ

    สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน

    บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรม และ อสังขตธรรมเหล่านั้น

    เจริญในธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    หลานรัก....
    อย่าสับสนไม่ใช่เรื่องปฏิบัติผิดถูก
    แต่เป็นเรื่องของพระสัทธรรมจะปฏิรูปไป
    กลายเป็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องหลอกเด็ก
    นำเอาสิ่งที่ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่มี เพราะไปแปลความหมาย"อนัตตาธรรม"แบบผิดๆ
    ล้วนเป็นเรื่องโกหกพก-ลม ทั้งสิ้นมาสอนกันให้เชื่อ ทั้งๆที่ขาดเหตุผลรองรับ

    เป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่คนคาดไม่ถึงในกาลข้างหน้า
    ไม่ต้องดูอะไรไกลที่ไหน แค่"เรื่องจิต"สอนกันจนกลายกองทุกข์ไปได้

    เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปทุกๆท่าน
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!! นู๋นิ....

    ตอนเอาพระนามของพระองค์มาปู้ยี่ปู้ยำเล่น

    ไม่เห็นต้องเกรงกลัวอะไรเลยไม่ใช่หรือ?

    พุทโธ สัมมาอรหัง พระผู้มีพระภาคฯลฯ ล้วนเป็นไวพจน์ของพระพุทธองค์ทั้งสิ้น

    เฮ้อ!!! เห็นท่างานนี้นู๋นิ คงหมดมุขจริงๆ เพราะโดนหงายหมามาหรือยังไงจ๊ะ

    จึงเอาสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นประเด็นมาเล่นจนได้ ใช้มาครบ๕ปีแล้วมั๊ง

    อย่าเผลอไปเล่น...เข้าหละ 55+

    เจริญในธรรมที่ทำให้หายหน้ามืดทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...