สะสมบารมี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 3 เมษายน 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    สติปัฏฐาน หมายความว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งสติ เรียกว่าสติปัฏฐาน เช่น กายเป็นที่ตั้งของสติ และสตินั้นก็เป็นที่ตั้งได้ด้วยและเป็นตัวสติด้วย คาว่าสติ คือการระลึกได้ ฉะนั้น สติปัฏฐานจึงมุ่งหมายถึง สติที่มีการระลึกได้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม เหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง ก็เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์ที่มีจริตต่าง กัน คือ ๑. ตัณหาจริตอย่างอ่อน มีกายานุปัสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ที่หยาบจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดที่มีนิมิตเกิดขึ้นได้ไม่ยากนักก็เหมาะสมกับพวกสมถยานิกะประเภทยังอ่อน (พวกที่ปฏิบัติสมถะ) ๒. ตัณหาจริตอย่างกล้า มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ละเอียดจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับพวกสมถยานิกะประเภทแก่กล้า
    ๓. ทิฏฐิจริตอย่างอ่อน มีจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ละเอียดแต่ก็แยกรายละเอียดออกไปไม่มากนัก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ที่เป็นวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทยังอ่อน ๔. ทิฏฐิจริตแก่กล้า มีธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์อันละเอียดลึกซึ้งแยกประเภทออกไปมาก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ที่เป็นวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทแก่กล้า สติปัฏฐาน ๔ เป็นข้อปฏิบัติเพื่อละสุภวิปัลลาส สุขวิปัลลาส นิจจวิปัลลาส และอัตตวิปัลลาส เป็นทางสายเอกที่จะนาเหล่าเวไนยสัตว์ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ ข้ามพ้นโสกะปริเทวะ ดับทุกข์ โทมนัส บรรลุเญยยธรรม แจ่มแจ้งในพระนิพพาน ข้อเปรียบเทียบ พระนิพพาน เหมือนพระนคร โลกุตตรมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เหมือนประตูพระนคร ผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ต้องปฏิบัติด้วยการระลึก เช่น การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยวิธี ๑๔ อย่างแล้ว(มีอานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ เป็นต้น) ก็จะไปรวมลงสู่ที่เดียวกัน คือ พระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของกายานุปัสสนา เหมือนคนทั้งหลายเดินทางมาจากทิศตะวันออก ถือเอาสิ่งของที่มีในทิศตะวันออก ก็เข้าพระนครได้ ฉะนั้น สติปัฏฐาน มี ๔ คือ
    ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณากาย เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ
    พิจารณากายเป็นอารมณ์กรรมฐานจึงจะสามารถกาจัดอภิชฌา(คือ โลภะ ความยินดีพอใจ) และโทมนัส(คือ โทสะ ความไม่ยินดีไม่พอใจ) ที่เกิดเพราะกายเป็นเหตุได้ ๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาเวทนา เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาเวทนาเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกาจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะเวทนาเป็นเหตุได้ ๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาจิต เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาจิตเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกาจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะจิตเป็นเหตุได้ ๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาสภาวธรรม เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาสภาวธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกาจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะสภาวธรรมเป็นเหตุได้ ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ กายอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ หมายความว่า กายทุกส่วนทุกเนื้อเยื่อ ตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้าเป็นที่ตั้งแห่งสติให้เกิดขึ้นได้ทั้งหมด กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นของหยาบ หากพิจารณาถึงข้อปฏิบัติอันเป็นที่สุดของการพิจารณาดูกายแล้ว ต้องพิจารณาเห็นกายทั้งหมดตามที่กล่าวไว้ถึง ๑๔ บรรพนั้นว่าเป็นของน่ารังเกียจ อุบายวิธีในการพิจารณาเพื่อจะให้เห็นชัดกายที่สุดนั้นเริ่มจากการพิจารณากายส่วนนอกสุดก่อน เช่น การหายใจออก-เข้า การยืน เดิน นั่ง นอน แล้วเอาสติเข้าไปกาหนดรู้กาย(การกาหนดรู้ลมหายใจ คือกาหนดรู้วาโยธาตุ เป็นต้น) แล้วต่อไปก็เป็นเหตุให้รู้กายในส่วนที่น่ารังเกียจนั้นว่าน่ารังเกียจจริงๆ แล้วมีปัญญากาหนดรู้มากขึ้นๆ จนรู้แจ้งว่ากายทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มี ๑๔ บรรพ (หัวข้อ) ได้แก่ อานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ สัมปชัญ- ญบรรพ ปฏิกูลบรรพ ธาตุบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ๙ (ป่าช้า ๙ ข้อ) รวมเป็น ๑๔ บรรพ
    หลักการใช้สติพิจารณาลมหายใจ (อานาปานบรรพ)
    ในเบื้องต้น ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จะต้องเข้าไปสู่ปุา โคนไม้ หรือเรือนว่าง นั่งคู้บังลังก์ ตั้งกายตรง ดารงสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจออก-เข้า ด้วยวิธีดังต่อไปนี้คือ ผู้ปฏิบัติพึงกาหนดสติหายใจออก กาหนดสติหายใจเข้า
    ๑. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
    เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
    ๒. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
    เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น
    ๓. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจเข้า
    ๔. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจเข้า
    ๕. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจเข้า
    ๖. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุข หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้า
    ๗. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจเข้า
    ๘. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า
    ๙. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจเข้า
    ๑๐. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักทาจิตให้บันเทิง หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักทาจิตให้บันเทิง หายใจเข้า
    ๑๑. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า
    ๑๒. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า
    ๑๓. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า
    ๑๔. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกาหนัด หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกาหนัด หายใจเข้า
    ๑๕. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจเข้า
    ๑๖. ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจออก
    ย่อมสาเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจเข้า ภิกษุทั้งหลาย อุปมาเหมือนช่างกลึง หรือลูกมือช่างกลึงผู้มีความชานาญนั้น ถ้าชักเชือกยาว ก็รู้ตัวว่า “ตนเองชักเชือกยาว” ถ้าชักเชือกสั้น ก็รู้ตัวว่า “ตนเองชักเชือกสั้น” ฉันใด ภิกษุก็ควรปฏิบัติโดยทานองเดียวกันกับช่างกลึง ฉันนั้น คือ เมื่อหายใจออกยาว ก็ให้กาหนดรู้ว่า หายใจออกยาว เป็นต้น การกาหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า โดยความเป็นรูปก็ต้องพิจารณาว่า ลมหายใจอาศัยอะไรเกิด? ลมหายใจก็อาศัยอยู่กับวัตถุกรชกาย คาว่าวัตถุ ได้แก่ มหาภูตรูป และอุปาทายรูป นั่นเอง เมื่อกาหนดรู้รูปโดยความเป็นจริงอยู่เช่นนี้ ต่อไปก็รู้ถึงนามที่รู้รูป เหล่านั้น เพราะมีผัสสะ คือการกระทบความเป็นไปแห่งปฏิจจสมุปบาท มีอวิชชาเป็นต้นก็เป็นไป เมื่อ อวิชชาคือความไม่รู้เป็นไป ภพชาติย่อมเกิดขึ้นเป็นไปด้วย เมื่อเข้าใจความจริงได้อย่างนี้ ก็ข้ามพ้นความสงสัยได้ และเข้าใจได้ถูกต้องว่านี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ความเป็นจริงแห่งลมหายใจที่เป็นไปเท่านั้น จึงยกเอานามและรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนาบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ (นี้เป็นเพียงตัวอย่างการพิจารณาลมหายใจจนบรรลุธรรมได้) ผู้ปฏิบัติควรนาวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา โดยมีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป ดังนี้
    ๑. นาวิธีข้างต้นมาพิจารณาว่า กายภายใน(คือลมหายใจของตนเอง) ให้เห็นเป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นลมหายใจ
    คาว่าพิจารณากาย ไม่ใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ต้องพิจารณาอยู่ในมหาภูตรูปและอุปาทายรูป(คือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปนั้นเกิดขึ้น) เป็นผู้พิจารณาเห็นการชุมนุมกันแห่งมหาภูตรูปและอุปาทายรูปนั้น เหมือนคนลอกกาบกล้วยออกจากต้น ต้นกล้วยนั้นถ้าลอกกาบออกไปที่ละกาบๆ แล้ว ก็จะพบความจริงว่าไม่มีแก่นสารอะไรเลย ชื่อว่าต้นกล้วยไม่มีแล้ว มีแต่กาบแต่ละกาบเท่านั้นเอง
    เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงของกายโดยกาหนดรู้กายโดยรู้มหาภูตรูปและอุปาทายรูปแล้ว จึงเป็นเหตุให้สามารถแยกความเป็นกลุ่มเป็นกองได้ จึงไม่เห็นเป็นกาย เป็นหญิง เป็นชาย หรือเป็นธรรมอะไรอื่น นอกเหนือไปจากการชุมนุมแห่งธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว แต่สัตว์ทั้งหลาย มีความเชื่อผิดๆ จึงยังหลงยึดติดอยู่ ซึ่งที่จริงเป็นเพียงสภาวะการชุมนุมกันของมหาภูตรูปและอุปาทายรูปและธรรมอื่นๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นพระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :- สิ่งใดที่บุคคลเห็นอยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นแล้ว สิ่งใดที่บุคคลเห็นแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ เมื่อไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงหลงติดอยู่ เมื่อหลงติดอยู่ ย่อมไม่หลุดพ้น
    ผู้ที่พิจารณาเห็นกายได้จริงๆ เขาจะเห็นกายอย่างเดียวเท่านั้นไม่พิจารณาเห็นธรรมอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การมองเห็นพยับแดด บุคคลทั่วไปมองเห็นพยับแดดว่าเป็นน้า แต่ผู้ปฏิบัติไม่ใช่เห็นของปลอมเช่นนั้น แต่จะเห็นกายนี้ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่งาม ไม่ใช่ว่าไปเห็นว่ากายเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา และเป็นของงาม แต่จะพิจารณากายได้จริงๆว่า กายเป็นที่ประชุมของกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และเป็นของไม่งาม เท่านั้นเอง กายนี้ใด มีลมหายใจออก มีลมหายใจเข้าที่ในครั้งแรกตอนที่คลอดออกจากครรภ์มารดา ต่อไปก็จะมีกระดูกที่กลายเป็นผุยผงไปในที่สุด พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติพิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้า กายคือไฟ กายคือลม กายคือผม กายคือขน เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเบื่อหน่าย จะคลายความกาหนัดยินดี จะดับตัณหา จะสลัดออกไม่ยึดไว้ ละคลายได้ หมายเหตุ การพิจารณาในกายอย่างนี้ต้องพิจารณาให้ได้ในทุกๆ หมวดแห่งกายานุปัสสนาตั้งแต่อานาปานบรรพไปจนถึงการพิจารณาปุาช้า ๙ ข้อ ด้วย
    ๒. หรือพิจารณาเปรียบเทียบ กายภายในกับกายภายนอก โดยการเปรียบเทียบลมหายใจของตนเองกับลมหายใจของบุคคลอื่น ให้เห็นเป็นเพียงสักแต่ว่าลมหายใจทั้งของตนเองและของบุคคลอื่นก็เป็นแต่เพียงลมหายใจนั่นเอง
    ๓. หรือจะพิจารณารู้สลับกันไปมาระหว่างกายภายในกับกายภายนอก คือการกาหนดรู้ ลมหายใจของตนเองบ้าง และกาหนดรู้ลมหายใจของบุคคลอื่นบ้าง สลับกันไปมาก็ได้
    ๔. ควรใช้สติพิจารณาการเกิดขึ้นของลมหายใจและธรรมอันเป็นเหตุเกิดแห่งลมหายใจ หรือใช้สติพิจารณาการดับและธรรมเป็นเหตุดับแห่งลมหายใจ หรือใช้สติพิจารณาทั้งการเกิด-ดับ และธรรมเป็นเหตุเกิด-ดับของลมหายใจ สลับกันไปก็ได้
    อธิบายเหตุเกิดของลมหายใจ เพราะมีโพรงจมูก ถ้าไม่มีโพรงจมูกลมหายใจก็เกิดไม่ได้และถ้าไม่มีจิตลมหายใจก็เกิดขึ้นไม่ได้(เช่นซากศพมีโพรงจมูกก็จริงแต่ไม่มีลมหายใจเพราะไม่มีจิต) อุปมาเหมือนช่างทองที่ใช้เท้าเหยียบสูบเพื่อเปุาลมให้ไฟพ่นออกมาเพื่อเชื่อมทองได้ ฉันใด ลมหายใจก็เป็นไปได้เพราะมีจิต ลมหายใจนั้นเป็นรูปคือเป็นวาโยธาตุ จิตและเจตสิกเป็นนาม(ฉะนั้นลมหายใจเกิดจากกุศลจิตก็มี เกิดจากอกุศลจิตก็มี ในขณะลมหายใจเกิดขึ้นก็มีจิตด้วย การพิจารณาเช่นนี้เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติก็ต้องรู้ลักษณะของจิตด้วย) หรือพิจารณาเหตุเกิดของลมหายใจในปัจจุบัน คือเมื่อมีการกาหนดการกระทบของลมหายใจที่เข้า-ออกก็จะเห็นการเกิดของกองลมหายใจที่เข้า-ออกว่า ตลอดกองลมหายใจนั้นก็มีเริ่มต้นกระทบ(เกิด)และสุดท้ายแห่งการกระทบ(ดับ) อดีตเหตุของลมหายใจเกิดจาก อวิชชา กรรม สังขาร ภวตัณหา จึงทาให้มีภพชาติส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต้องรับผลของกรรมอยู่ในขณะนี้นี่เอง ๕. ที่สาคัญที่สุดคือจะต้องมีสติอยู่เสมอว่า ลมหายใจที่ปรากฏอยู่นี้เป็นแต่เพียงรูป(ลมหายใจเป็นรูป คือ เป็นวาโยธาตุ สติที่ประกอบกับจิตเป็นนาม) ไม่ใช่บุคคลอัตตาตัวตนเราเขา และต้องตระหนักด้วยว่าการที่นาเอาลมหายใจมาพิจารณาโดยนัยต่างๆ ข้างต้นนั้น มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อต้องการให้ญาณปัญญาแก่กล้ายิ่งๆขึ้น และเพียงเพื่อความสมบูรณ์แห่งการเจริญให้มีสติระลึกรู้เท่านั้น จึงไม่ควรที่จะหลงผิดยึดติดอยู่ในสังขารใดๆ ที่กาลังเกิด-ดับอยู่ ไม่ควรเข้าไปยึดว่ากายคือลมหายใจนี้เป็นเรา เป็นของของเรา ของสัตว์ บุคคล ผู้หญิง ผู้ชาย ๖. สติกาหนดลมหายใจโดยอริยสัจ ๔ ต่อไป คือ ๖.๑ สติที่กาหนดลมหายใจ เป็นอารมณ์ สติ จัดเป็นทุกขสัจ ๖.๒ ตัณหาคือความยินดีพอใจในอดีตภพ จึงทาให้มีการเกิดมาในภพนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติที่ไปกาหนดรู้ลมหายใจ อยู่ในขณะนี้นี่เอง ตัณหาในอดีตภพ จัดเป็นสมุทัยสัจ ๖.๓ การหยุดทุกขสัจและตัณหา จัดเป็นนิโรธสัจ
    ๖.๔ อริยมรรคที่กาหนดรู้ทุกขสัจ และละสมุทัยสัจมีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ จัดเป็นมรรคสัจ
    ข้อเตือนใจ การปฏิบัติวิปัสสนาเป็นเรื่องที่ต้องทาลายอัตตาตัวตนให้ได้ ฉะนั้นสติต้องกาหนดระลึกรู้ในกาย คาว่ากายจะมีความหมายเปลี่ยนไปในแต่ละหมวดการปฏิบัติต่างกันไป เช่น ในอานาปานบรรพ คาว่า “กาย” หมายถึงลมหายใจ ในอิริยาบถบรรพ คาว่า “กาย” หมายถึงอิริยาบถ ๔ ในสัมปชัญญบรรพ คาว่า “กาย” หมายถึง อิริยาบถย่อยต่างๆ
    จบหลักการใช้สติพิจารณาลมหายใจ ในอานาปานบรรพ (โดยสังเขป)
    ๑.๒ หลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถบรรพ
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรใช้สติพิจารณาอิริยาบถ ๔ ดังต่อไปนี้ ๑. ขณะที่ภิกษุเดิน ก็ให้กาหนดรู้ว่า “เดิน” ๒. ขณะที่ภิกษุยืน ก็ให้กาหนดรู้ว่า “ยืน” ๓. ขณะที่ภิกษุนั่ง ก็ให้กาหนดรู้ว่า “นั่ง” ๔. ขณะที่ภิกษุนอน ก็ให้กาหนดรู้ว่า “นอน”
    การกาหนดอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ก็ให้รู้เหตุแห่งการเกิดอิริยาบถต่างๆ นั้น ไม่ได้มุ่งหมายให้รู้ว่าเดิน เป็นต้น แต่ให้รู้เหตุแห่งการเดิน ที่เรียกกันว่าเดินนั้นมีเหตุเกิด คือ เกิดจากการแผ่ไปของวาโยธาตุที่เกิดจากจิต เมื่อจิตคิดว่าเราจะเดิน จิตนั้นก็ทาให้เกิดวาโยธาตุ วาโยธาตุก็ทาให้เกิดความเคลื่อนไหว การนากายให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความไหวตัวไปของวาโยธาตุนั้น ความเป็นไปเช่นนี้ มีสมมุติบัญญัติ
    เรียกกันว่า “เดิน” ในอีก ๓ อิริยาบถที่เหลือก็เป็นไปในทานองเดียวกัน ผู้ปฏิบัติควรนาวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา โดยมีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป ดังนี้
    ๑. พิจารณากายภายใน(คือวาโยธาตุ) ด้วยการกาหนดอิริยาบถ ๔ ของตนเอง เช่น เมื่อกาหนดรู้การเดินก็พิจารณาว่า อิริยาบถเดินเกิดขึ้นได้เพราะวาโยธาตุที่เกิดจากจิต จึงทาให้กายเคลื่อนไปข้างหน้าได้ หมายเหตุ อย่าลืมกาหนดกายเช่นเดียวกับในอานาปานสติที่อธิบายแล้วข้างต้น
    ๒. พิจารณากายภายนอก(คือวาโยธาตุ) ด้วยการกาหนดอิริยาบถ ๔ ของคนอื่น สัตว์อื่น กาหนดอิริยาบถของบุคคลอื่น โดยให้พิจารณารู้ว่าอิริยาบถนั้นๆ เป็นไปได้ก็เพราะวาโยธาตุที่เกิดจากจิต เป็นไปเหมือนกันกับอิริยาบถของเราเอง การที่เราเห็นคนเดินมาเราเห็นได้แต่เฉพาะรูปารมณ์ แต่ความไหวของการเดินก็สามารถรู้ได้ทางใจ เพราะบุคคลนั้นมีวิญญัติรูปที่มีความหมายที่ทาให้เรารู้ได้ ความหมายนี้เกิดจากวาโยธาตุ และวาโยธาตุนี้เกิดจากจิต
    ๓. การรู้วาโยธาตุก็ต้องรู้จักวาโยธาตุ ๔ ประการ คือ
    ๑. วาโยธาตุมีการพยุงไว้ เป็นลักษณะ จึงทาให้คนนั้นๆ เดิน นั่ง ได้ไม่ล้มลงไป ๒. มีความเคลื่อนไหว เป็นกิจ ๓. มีการแสดงท่าทางต่างๆ ได้ เป็นผล เมื่อจิตคิดจะเดิน วาโยธาตุก็ทาให้เกิด กิริยาอาการ ท่าทางต่างๆ กันไป นี้เป็นผลของวาโยธาตุนั้นเอง ๔. มีธาตุดิน น้า และไฟ เป็นเหตุใกล้ คือ มีธาตุอีก ๓ นี้เกิดร่วมด้วย
    ๔. หรือจะพิจารณารู้สลับกันไปมาระหว่างกายภายในกับกายภายนอก คือ กาหนดวาโยธาตุ ทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น
    ๕. พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด พึงกาหนดความเกิดและความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ โดยพิจารณาว่า รูปเกิดเพราะอวิชชาเกิด เป็นต้น
    ๖. เมื่อกาหนดวาโยธาตุรู้ได้ชัดเจนดีแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ - ๕ สิ่งที่สาคัญที่สุดที่จะต้องกาหนดพิจารณาต่อไปคือ ต้องไม่หลงยินดีพอใจว่าเราปฏิบัติถูกแล้ว เข้าใจถูกแล้ว แต่เมื่อกาหนดรู้วาโยธาตุ ก็ให้เป็นไปเพื่อทาลายทิฏฐิความยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน เราเขา ให้ได้
    ๗. แม้สติที่เข้าไปกาหนดรู้วาโยธาตุนั้นก็หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์แก่ความรู้ คือญาณปัญญาที่ยิ่งๆ ขึ้นไป และเพื่อประโยชน์แห่งการเกิดขึ้นของสติสัมปชัญญะเท่านั้น และต้องกาหนดรู้ต่อไปว่า
    ๘. สติกาหนดอิริยาบถโดยอริยสัจ ๔ ต่อไป คือ
    ๘.๑ สติที่กาหนดอิริยาบถ ๔ เป็นอารมณ์ สติ จัดเป็นทุกขสัจ ๘.๒ ตัณหาคือความยินดีพอใจในอดีตภพ จึงทาให้มีการเกิดมาในภพนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติที่ไปกาหนดอิริยาบถ ๔ อยู่ในขณะนี้นี่เอง ตัณหาในอตีตภพ จัดเป็นสมุทัยสัจ ๘.๓ การหยุดทุกขสัจและสมุทัยสัจทั้งสองนั้น จัดเป็นนิโรธสัจ ๘.๔ อริยมรรคที่กาหนดรู้ทุกขสัจและละสมุทัยสัจมีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ จัดเป็น มรรคสัจ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลได้ปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถ ๔ แล้ว ย่อมรู้และเข้าใจได้ถูกต้องว่า ไม่มีสัตว์ใดๆเดินหรือยืนเลย อิริยาบถเดิน ยืน นั่ง นอน ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม อิริยาบถนั้นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติเรียกขานกันเท่านั้นเอง ความเป็นจริงที่ผู้ปฏิบัติต้องกาหนดรู้ก็คือ วาโยธาตุที่เกิดขึ้นเพราะมีจิตคิดที่จะเดิน ยืน นั่ง นอน นั่นเอง เมื่อกาหนดรู้รูปได้ถูกต้องแล้วก็ต้องศึกษาในวิสุทธิ ๗ และข้อปฏิบัติที่จะทาให้นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นได้อีก แล้วเพียรปฏิบัติเพียรเจริญให้มากกระทาให้มาก จนวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นแก่ท่านนั่นแหละจะเป็นเครื่องหมายให้รู้ได้ว่าท่านปฏิบัติมาถูกทางแล้วและเกือบจะสาเร็จแล้ว และต่อไปก็ต้องข้ามพ้นวิปัสสนูปกิเลสไปให้ได้ เมื่อนั้นท่านก็จัดได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นมีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว
    รูปไม่ใช่อิริยาบถ อิริยาบถไม่ใช่รูป วิญญัติก็คือวิญญัติเป็นอสภาวรูป ขออธิบายศัพท์เพื่อความเข้าใจ ดังนี้
    รูป หมายถึง ธรรมชาติใดย่อมแตกดับด้วยอานาจความเย็น ความร้อน เป็นต้น ฉะนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่ารูป ได้แก่ อวินิพโภครูป 8 (ดิน น้า ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา) เป็นต้น นี ชื่อว่ารูป เป็นปรมัตถธรรม คือ รูปปรมัตถ์ อิริยาบถ เป็นเพียงอาการของรูป อิริยาบถจึงไม่ใช่รูป ไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรม แต่เป็นสมมุติบัญญัติ เช่น ขวดใบหนึ่ง ขวดก็มีรูปอยู่ ๘ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ ขวดใบนี้ถ้าอยู่ในอาการหนึ่งก็เรียกว่าตั้ง อยู่ในอาการหนึ่งก็เรียกว่านอน คนเราก็เหมือนกันมีอิริยาบถใหญ่ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน เดินก็ดี นั่งก็ดี ก็คือ อวินิพโภครูป ๘ เป็นต้นนั่นแหละ เมื่ออยู่ในอาการหนี่งก็สมมุติเรียกกันว่าเดิน อยู่ในอาการหนึ่งก็สมมุติเรียกว่ายืน เป็นต้น
    วิญญัติรูป เป็นอสภาวรูป มี ๒ รูป คือ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ความหมายของเสียงนั้นเองเรียกว่าวจีวิญญัติ การกวักมือก็มีความหมาย ความหมายที่อยู่ในอาการที่กวักมือนั้นเองเรียกว่า กายวิญญัติ
    จบหลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถ ๔ ในอิริยาบถบรรพ (โดยสังเขป)
    ๑.๓ หลักการกาหนดอิริยาบถย่อยด้วยสติสัมปชัญญะ
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรใช้สติพิจารณาอิริยาบถย่อยด้วยสติสัมปชัญญะดังต่อไปนี้ ภิกษุควรก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรดูไปข้างหน้าและเหลียวดูรอบๆ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรทาการคู้เข้าและทาการเหยียดออก อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรทาการครองสังฆาฏิ อุ้มบาตร และห่มจีวร อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรทาการฉัน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรทาการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุควรทาการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การตื่น การพูด และการนิ่ง อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    ๑. การกาหนดอิริยาบถย่อยต่างๆ ผู้ปฏิบัติต้องมีสัมปชัญญะกากับลงไปด้วย เป็นการไม่กระทาไปตามอานาจความคิดที่เกิดขึ้นที่เดียว แต่เมื่อคิดจะก้าวไป ก็ต้องกาหนดผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นว่า การจะไปใน
    ที่นี้จะมีประโยชน์แก่เราหรือไม่มี เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ปราศจากโทษจึงก้าวไป อย่างนี้เรียกว่า สาตถกสัมปชัญญะ ๒. กาหนดความเป็นสัปปายะและอสัปปายะ (สัปปายะคือความสบายที่เป็นเหตุทาให้กุศลเกิด อสัปปายะ คือความไม่สบายที่เป็นเหตุทาให้กุศลไม่เจริญและอาจเป็นเหตุให้อกุศลเกิดขึ้นได้) การที่จะก้าวไป ถ้าไปในที่ใดก็ตามถึงแม้นจะเป็นประโยชน์แต่ในขณะนั้นไม่เป็นสัปปายะ ก็ให้มีสัมปชัญญะกาหนดรู้ว่าไม่ควรไป เช่น โดยปกติการได้เห็นพระเจดีย์เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์เพราะยังกุศลให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าในเวลานั้นบริเวณโดยรอบพระเจดีย์มีงานรื่นเริงต่างๆ ก็ไม่ควรไป เพราะจะเป็นเหตุให้อกุศลเกิดขึ้นได้ อย่างนี้เรียกว่า สัปปายสัมปชัญญะ ๓. การกาหนดกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจตลอดเวลาที่โคจรไปในที่ต่างๆ กาหนดโดยไม่หลงลืม กาหนดได้ดีไม่ละทิ้งกรรมฐานตลอดเวลาที่โคจรทั้งไปและกลับ อย่างนี้เรียกว่า โคจรสัมปชัญญะ ๔. การกาหนดโดยการไม่หลงลืม ในการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น หมายความว่า ผู้ปฏิบัติต้องไม่หลงลืมในขณะก้าวไปข้างหน้า ไม่หลงลืมไปว่าเป็นอัตตาตัวตนของเราเป็นผู้ก้าวไปข้างหน้า แต่ต้อง มีสติกาหนดระลึกรู้ได้อย่างถูกต้องว่า เมื่อมีจิตคิดว่าเราจะไม่หลงลืมก้าวไปข้างหน้า วาโยธาตุที่มีจิตเป็นเหตุเกิดก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยังให้เกิดกายวิญญัติรูปเกิดขึ้นด้วย และก็เกิดขึ้นพร้อมกับจิตดวงนั้นนั่นเอง โครงกระดูกที่สมมุติว่ากายนี้จะก้าวไปข้างหน้าตามอานาจของการแผ่ขยายไปแห่งวาโยธาตุที่เกิดจากจิตนั่นเอง ในการยกเท้าขึ้น ธาตุ ๒ ชนิด คือ ปฐวีธาตุและอาโปธาตุจะหย่อนจะอ่อนกาลังลง แต่เตโชธาตุและวาโยธาตุจะมีกาลังมากขึ้น ทาให้กายนี้เคลื่อนไปได้ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะก้าวก็ดับไปในขณะก้าวไม่เกิดสืบต่อไปถึงขณะคู้ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะคู้ก็ดับไปในขณะคู้นั่นเองไม่เกิดสืบต่อไปในขณะเหยียด เพราะวิญญัติรูปทั้งหลายนี้เกิดจากจิต จิตดวงอื่นดับไปพร้อมกับรูปที่ดับไปแล้ว ความเป็นไปของอิริยาบถในตอนนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะจิตคนละดวงกัน ไม่ใช่เกิดจากจิตดวงเดียวกัน เหมือนกระแสน้าที่ไหลติดต่อไปเป็นระลอกฉะนั้น ผู้ปฏิบัติต้องกาหนดโดยไม่หลงในการก้าวไป อย่างนี้เรียกว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ
    การกาหนดอิริยาบถย่อย ก็มีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป เช่นเดียวกันกับอิริยาบถใหญ่ ๔ แต่ต้องละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก เพราะต้องกาหนดรู้โดยสัมปชัญญะ ๔ อีกด้วย จบหลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถย่อยด้วยสัมปชัญญะ (โดยสังเขป)
    เอาแค่นี้ก่อนครับเดียวคราวหน้าจะเอาวิธีกำหนดสติแบบอื่นมาให้ครับ
    เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
    รักษาศีล อาราธนาศีล และตั้งใจว่าจะเจริญอาโปกสิน เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
    กับุณแม่เป็นเวลานาน ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
    ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน และศึกษาการรักษาโรค
    ผมกับคุณแม่ได้สวดมนต์ ฟังธรรมศึกษาธรรม
    และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง
    วันนี้ไปร่วมงานบวชพระ มีงานบวช 5 วัด
    มีนาคมาบวช วัดละ 1 องค์ รวมเป็น 5 องค์
    ได้ไปร่วมงานและอนุโมทนา
    และหลังจากนั้นไปร่วมเลี้ยงพระทั้งวัด
    อีก 1 วัด รวมเป็น 6 วัด ได้ถวายค่าน้ำไฟ
    ได้ร่วมถวายสังฆทาน 200-300 ชุด
    วัดนี้ถือว่าเดินทางไกลมากแต่อิ่มบุญครับ
    ที่ผ่านมาได้ไปร่วมบุญปิดทององค์พระและสักการะพระนอนใหญ่
    หลายเมตร ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
    ขอเชิญทำบุญกับวัดป่า พระปฎิบัติ แต่ขาดแคลนปัจจัย
    080-333 1399
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...