สองคนเพื่อนตาย...พระธรรมสิงหบุราจารย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 17 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    การปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ครูสอบอารมณ์ อาจารย์จะไม่บอกล่วงหน้าว่านี่มันญาณอะไร เขาจะไม่บอก เพียงแต่ถามดูเฉยๆ เขาบอกเอาตามสภาวธรรม ครูอาจารย์เขาก็รู้ว่าเราได้ญาณอะไร ทั้งๆ ที่เรานึกว่าทำแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว มันได้เรื่องล่ะแต่ไม่รู้ตัวว่าได้เรื่อง บางคนบอกทำสบายเดินจงกรมสบาย นั้งสบายไม่มีเวทนา แสดงว่าไม่ได้เรื่อง ไม่ได้อะไรเลย ถ้าเรามีทุกข์ปวดเมื่อยแสนสาหัส แล้วกำหนดไว้ให้ได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันก็จะได้แยกแยะเวทนาออกไป สภาวะก็จะได้อัดเข้าไว้ จิตมันไม่มีตัวตนที่จะคลำ

    ...ถ้าบอกว่าจิตอยู่ที่หัวใจ ต่างประเทศเขาเปลี่ยนหัวใจกัน เอาหัวใจคนโน้นมาใส่หัวใจคนนี้แล้ว ทำไมคนนี้ถึงไม่เป็นคนนั้น มันเป็นเพียงอวัยวะๆ ส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่จิตนี้มันไม่มีตัวตน เพราะว่าจิตไม่ตาย เมื่อร่างกายสังสารเราถึงแก่กรรมไปแล้ว สังขารทั้งหลายก็ต้องเสื่อมและก็ต้องเน่าไปตามสภาวะ แต่จิตเน่าไม่ได้ จิตไม่ตายมันก็เดินทางต่อไป จิตนี้มีอายุเป็นหมื่นๆ ปี เหมือนอย่งเราเมื่อชาติก่อนเคยเป็นอะไรอยู่ที่ไหน จิตดวงนี้มันจะมีกระแสจิตถึง ๑๒๑ อารมณ์มันบอกชัดเจนอย่างนั้นเราถึงได้รู้ ถ้าหากว่าจิตดวงไหนมันหมุนเข้าไป หมุนเข้าไป เหมือนเทปเปิดมาปั๊บ ทำสมาธิมันก็ระลึกชาติได้ว่าเราเคยไปที่ไหน ที่มักจะฝันเรื่องนั้น เรื่องในเทปนี่มันออกมา ฝันว่าไปป่าหิมพานต์ ฝันว่าไปโน่น ข้อเท็จจริงมันก็ไปมันถึงมาฝัน

    ...ความฝันนี้ไม่ใช่หมายความว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ฝันที่มันเป็นจิตเลเพลาดพาด อารมณ์ไม่ดี ธาตุทั้ง ๔ ขาดไป มันก็ฝันเหมือนกัน แต่ฝันไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าฝันเรื่องจริงคือมันออกมาจากเทป เทปที่มันอัดไว้ในชาติก่อนๆ ก็มันอยู่ในจิตดวงนั้น แต่ทุกคนไม่ทราบ ถ้าเราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานถึงขั้นจะรู้หลายๆ อย่าง ญาติโยมมา ๒-๓ วันนี้มาต้องรู้บ้าง รู้ขั้นแรกคือเวทนา ขั้นที่ ๒ คือจิตหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะ มันจะไม่คงที่คงวาคงศอกแต่ประการใด มันหมุนเวียนเดี๋ยวก็นั่งเท่านี้ ได้เท่านี้ ไปนั่งใหม่มันก็ได้ใหม่อีก มันหมุนเวียน

    ...ถ้าจิตเราจับไป กำหนดได้ มีสติครบแล้ว สภาพก็จะเกิดขึ้น เราถึงจะจับได้ว่า อ๋อนี่มันหมุนเวียนไม่แน่นอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาความแน่นอนไม่ได้เลย นี่มันปวดมากโยมอดทนหน่อยนะ กำหนดให้ได้ อย่าไปเปลี่ยนอิริยาบถนั้น กำหนดไป นี่แหละประสบการณ์ อาตมาประสบมันเป็นเรื่องเล็กไปเลยนะ รถชนแสนจะสาหัส แต่มานึกต่อเวทนาที่เราประสบมา เป็นเวลาหลายๆ ปี มันมารวมอยู่ มันก็สู้ได้

    ...เวทนาคอหักนี่มันปวดก้นและทรมานที่สุด ต้องใส่เฝือกและก็คันเกาไม่ได้ ลุกนั่งไม่ได้ นี่แหละมันแสนสาหัส แต่เรามีสติครบ สติที่เรารวมเอาไว้ มันจะออกมาช่วยเลย ออกมาให้เราบรรเทาเรื่องเวทนา แยกออกไป เวทนานั้นก็หาย มันมีประโยชน์ต่อตอนโน้น แต่การทำเราไม่รู้หรอกว่า เราจะเจ็บและเวทนาเจ็บระทวยป่วยไข้ จะเป็นโรคร้ายโรคดี จะทนทานต่อโรคนั้นได้ไหม

    ...พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดแล้วต้องแก่ แก่ก็ต้องเจ็บเป็นของธรรมดา แล้วก็ต้องตาย พลัดพรากจากของรักของชอบในแน่นอน เราต้องแก่ทุกคน มีใครบ้างไม่แก่ และต้องเจ็บด้วย เจ็บนี่คือเจ็บแบบไหน แบบทรมานหรือแบบอัมพาตหรืออัมพฤกษ์ หรือเป็นโรคร้ายต้องต่อสายยางกันรุ่มร่าม อะไรต่างๆ มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราทำดีเรามีพระกรรมฐานอยู่ในใจ และเรากำหนดจิตอย่าให้อารมณ์เสียเท่านี้เอง ถ้าอารมณ์ไม่เสีย อารมณ์ดีเสมอต้นเสมอปลาย โยมจะไม่เป็นโรคร้าย ถ้าจะตายก็สบายมาก ไม่มีอะไรจะต้องสกัดกั้นความทุกข์ยากของตัวเองแต่ประการใด

    ...อาตมาประสบแล้ว ที่สลบลงไปเรียกว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย เราได้สองคนเพื่อนตายก็คือพระกรรมฐาน สติและสัมปชัญญะเป็นเพื่อนตายแน่นอน ที่เรากำหนดนะ เป็นเพื่อนของเรา แต่เราหารู้ไม่ว่าเพื่อนอยู่ตรงไหน นึกเข้าใจว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงเพื่อนผู้ชาย เข้าใจอย่างนั้น ข้อเท็จจริงไม่ใช่ มันเป็นเพื่อนประจำตัวเรา ติดตัวไปติดตัวมา ลำบากแสนจะลำบากอย่างไรก็ตาม สามารถจะช่วยเราได้แน่นอน

    ...ตอนที่อาตมากลับจากยุโรป ว่าจะลงโบสถ์ ลุกขึ้นมาชนฝาเลยสลบลงไปเลย เป็นลมแล้วนอนพับไป ไม่มีใครรู้หรอก ตัวสติออกมาก่อน แล้วกำหนดรู้หนอเองโดยอัตโนมัติ แล้วสติก็ดีขึ้น ค่อยๆ ขยับตัวตะกายข้างฝา แล้วก็ลุกขึ้นมา อาตมาถึงได้รู้ว่า อ้อ ตายมันเป็นอย่างนี้ ความตายมันจะมาถึงเรา มันเป็นอย่างนี้วูบลงไป เวยไม่รู้สึกตัว แต่สังขารทั้งหลายมันก็แยกแยะออกไป อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ตัวสตินี้ก็ออกมาทำให้เราใจหวิวหายไป กลับร้ายกลายดี และทำให้เราตะเกียกตะกายเกาะข้างฝาลุกขึ้นได้ คือตัวสัมปชัญญะ นี่คือเพื่อนสอน คนเดียวหัวหาย สองคนคือตัวสติ คือพระกรรมฐาน ตั้งใจทำเสียนะ อาตมาก็มองไม่เห็นใครที่จะช่วยเหลือเราได้ นอกจากพระกรรมฐาน พ่อแม่ก็ช่วยเราไม่ได้ ลูกก็ช่วยโยมไม่ได้ ไม่ว่าลูกจะจบปริญญาไหนก็ตาม ก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น สามีภรรยาช่วยได้ต่อเมื่อยกหาม ให้ช่วยเก็บข้าวเก็บของได้ แต่ช่วยสำหรับชีวิตส่วนตัวในชีวิตของเราเป็นกฎแห่งกรรมนั้น ลูกก็ช่วยไม่ได้

    ...พ่อแม่เราก็นับวันจะตายจากไป สามีภรรยาจะช่วยกันอย่างนี้ไม่ได้แน่ ให้รอดจากชีวิตได้ไหม ก็ช่วยกันยามยากยามลำบาก ยามทุกข์ยากไปหาหมอเท่านั้นเองนะ แต่หมอเขาจะผ่าตัดเรา สามีภรรยาก็ช่วยเราไม่ได้ ต้องผ่าตัดคนเดียว ต้องป่วยคนเดียว ฉันใดก็ฉันนั้น พระกรรมฐานเท่านั้นจึงช่วยได้มาก โยมอย่าเข้าใจผิดว่าทำไปไม่เห็นมันได้อะไรเลย มันมีแต่ปวดเมื่อยก็พูดอย่างนี้หลายคน แต่ข้อเท็จจริงนั้นความปวดเมื่อยเป็นการช่วยเรา ทำให้เรารู้เห็นของจริงในตัวเอง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บอกไว้ชัด

    ...เราเกิดมาเป็นของธรรมดาก็ต้องพลัดพรากจากของเป็นที่รักของที่ชอบใจ แต่เจ็บตายไม่มีใครหนีพ้น เพราะฉะนั้นรีบสนใจสร้างความดีให้กับตัวเอง ช่วยกันไม่ได้หรอกนะ ถ้าจะให้นั่งเจริญพระกรรมฐานไปให้คนหนึ่ง แต่ให้แผ่เมตตาได้ แผ่เมตตาให้เขามีความสุข เหมือนเขามาบ้านเราเลี้ยงข้าวเขาเป็นเวลาเดียว แต่ไม่สามารถจะไปเลี้ยงเขาได้ทุกวัน แบบนี้ไม่ใช่เราแผ่ปั๊บเขาจะมีความสุขเหมือนเราเสมอ ไม่ใช่อย่างนั้น ขอให้บิดามารดามีความสุข ขอให้ลูกมีความสุข ขอให้อุปัชฌาย์อาจารย์มีความสุข ปราศจากทุกข์ ก็เป็นการแผ่การให้เท่านั้น แต่การที่เป็นเรื่องส่วนตัว ให้ไม่ได้ก็ขอให้รับรู้ไว้ด้วย และเราทำดีแล้วแผ่ให้พ่อแม่หายโรคหายภัย แต่กุศลมันไม่เพียงพอที่จะให้ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้

    ...เพราะฉะนั้น การปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานจึงมีประโยชน์มาก ขอให้ทราบไว้ด้วย เช่น มีเวทนานี้มันจะหนัก ยิ่งทำยิ่งหนัก จะปวดเมื่อยทั่วสกลกาย ทำอะไรมันต้องปวด ไม่ปวดนะทำอะไรมันจะไม่ได้ผล เหมือนอย่างคนเป็นอัมพาต ถ้าจะหายมันต้องปวด ถ้ามันไม่หายก็จะเฉยเพราะเนื้อมันตายหมดแล้ว ถ้ามันจะหายลมมันจะเดิน พอลมเดินแล้วปวดน้ำตาร่วง เดินไปถึงไหนปวดไปถึงนั่น ทำให้หายจากโรคอัมพาตได้ มีตัวอย่างมากมาย เวทนาที่เกิดขึ้นหายอย่างน่าอนุโมทนา ฉะนั้นโยมอย่าท้อใจ อย่าท้อ อาตมานี่ต่ออายุมาได้ ๒๒ ปีแล้ว และปีหน้าจะต่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ถ้าต่อได้ก็คงจะอยู่ต่อไป ถ้าต่อไม่ได้ก็คงตายแน่ ไม่มีใครหรอกนะรอดจากความตายไปได้

    ...การต่ออายุ อย่งที่พูดเรื่องต่อสัญญา อาตมาก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว ตอนอายุ ๕๐ ปี หมดอายุไปแล้ว พระกรรมฐานบอกได้ สติที่เรารวมบอกได้ว่าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ท่านต้องมรณภาพ และต้องหมดอายุช่วยไม่ได้ บอกชัดเจนมาก

    ...ทำไมอาตมาจึงรอดได้ ก็เพราะอาตมาภาวนาอยู่ตลอดนะโยมนะช่วยได้ ช่วยให้เราต่อรูปต่อนาม โยมยังไม่เข้าใจว่ารูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เรามีรูปนาม รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๔ อันนี้รวมเป็นรูปนาม รูปก็คงเป็นรูป ก็คือรูปนาม ต่อไปนี้ขันธ์ห้าก็คือ ๕ และก็รูปนาม ๔ มันเป็นตัวนาม และรูปมันคงเป็นรูปตามเดิม รูปมันผันแปรได้ กลับกลอกได้

    ...แต่ ๔ อย่างผันแปรไม่ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเป็นตัวนาม ตัวนามนี้มันเกิดเวทนา ถ้าเราไม่มีรูปนาม มันก็ไม่เกิดเวทนา อยู่ในนี้รวมกัน ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ ก็มีรูปและนาม ตัวนามก็คือจิตที่ประกอบไปด้วยเวทนา สัญญาคือความจำ สังขารคือการปรุงแต่ง คือจิตมันปรุงแต่งให้เกิดนั่น นี่อะไรหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นรวมว่ารูปก็คงเป็นรูป นามก็คงเป็นนาม ๔ อย่างนี้เป็นนาม รวมกันเป็นนาม เวทนาเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวตนเลย แต่มันปวดขึ้นมาได้ ปวดทีน้ำตาจะหล่น ปวดแสนจะปวด แล้วก็ตัวนาม ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์

    ...อารมณ์คือจิต พออยู่ในอารมณ์แล้ว เรามีสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ๔ อยู่ในอารมณ์แล้ว เวทนามันก็หายไป ตัวนามก็บันทึกของดีไว้ในจิตใจ เรียกว่า รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ใส่ไว้ในจิตโดยไม่รู้ตัว ขอฝากไว้ด้วยนี่สำคัญมาก แต่เราทำมันก็เกิดเวทนาจะมากหรือน้อย บางคนปวดจะเป็นจะตายแต่แล้วมันก็หาย หายเสร็จแล้วไปเจ็บระทวยป่วยไข้

    ...อาตมาถึงพูดให้โยมฟังว่า ไปวัดกระซิบบอกเบาๆ ฟังเขาสอน ชีวิตเราเกิดมาไม่ถาวร จะมัวนอนหลงเล่นไม่เป็นการ ไฟสามกองเผาเราเสมอ อย่าเลินเล่อ ควรเจริญพระกรรมฐาน ไฟสามกอง คือ ราคะ โทสะ โมหะ นี่ไฟเผาเราตลอดทุกวัน อย่าประมาท ควรเจริญพระกรรมฐาน เราเกิดมาไหนๆ ต้องตายนะโยมโปรดจำไว้ จะตายเร็วหรือตายช้า เวลาจะตายมีญาติมิตรบอกให้คิดถึงพระอรหัง เรารู้ยากที่สุด คุณพระพุทธัง เพราะกำลังเวทนาทุกกล้าเอย

    ...ถ้าเราเจริญพระกรรมฐานแล้วมีเวทนากำหนดได้ ไม่ต้องมีใครมาบอกหนทางให้เราหรอก ไม่ต้องบอกอรหังหรอก เราจะกำหนดเวทนาได้....

    www.jurun.org
     

แชร์หน้านี้

Loading...