สวรรค์ นรก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย timetime, 10 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ตรีทศเคราะห์เทวา (๑)
    บทนำเรื่อง
    ********************
    ตรีทศเคราะห์เทวา คือ เรื่องราวของเทพยดาประจำดาวพระเคราะห์ที่ใช้ในโหราศาสตร์แผนใหม่ในระบบพลูหลวง (เกษตรเรือนเดียว,ไม่มีตนุเศษ ฯลฯ) ซึ่งในปัจจุบัน มีการนำเอาดาวพระเคราะห์ที่ค้นพบใหม่เพิ่มเติมจากโหราศาสตร์ดั้งเดิม (ก่อนรัชกาลที่ ๔) ที่มีเพียง ๙ ดวง (นพเคราะห์) คือ อาทิตย์ (๑) , จันทร์ (๒), อังคาร (๓) , พุธ (๔) , พฤหัสบดี (๕) , ศุกร์ (๖) , เสาร์ (๗), ราหู (๘) และ เกตุ (๙) เพิ่มเติมเข้าไปอีก ๔ ดวง ได้แก่ มฤตยู (๐) , เนปจูน (น) , พลูโต (พ) และ แบคคัส (บ) รวมแล้วจึงมีด้วยกันทั้งสิ้น ๑๓ ดวง (ตรีทศเคราะห์) มาใช้ในการพยากรณ์
    เป็นความเชื่อของคนโบราณ ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด ล้วนเชื่อว่า เทพยดาทั้งหลายมีจริง และสถิตอยู่ในที่ที่สูงกว่ามนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่า อยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่า
     
  2. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
  3. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ตรีทศเคราะห์เทวา (๕๒)
    อันพญามัจจุราช นั้น ท่านเป็นเทพองค์หนึ่ง
    ที่อยู่ในภพภูมิเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ตามนัยของความเชื่อทางพระพุทธศาสนา อาจจะเป็นเทพองค์เดียวกันกับ ท่านท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร ที่เป็นโลกบาล ประจำทิศอุดร เป็นนายใหญ่ ปกครอง พวกยักษ์ มาร ภูติผี ปีศาจ ทั้งหลายก็เป็นได้ เรื่องนี้ จริงเท็จประการใด เชื่อหรือไม่ ขอให้อยู่ในดุลพินิจของท่านผู้อ่าน เพราะความเชื่อในจุดนี้ อาจจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของหลายท่าน ที่เชื่อว่า พญามัจจุราชนั้น คือ พญายม หรือ ผู้เป็นใหญ่ในขุมนรก เหตุที่เชื่อเช่นนั้น เพราะในทางพุทธศาสนานั้น ได้แยกภพภูมิต่าง ๆ ออกจากกันโดยสิ้นเชิง การที่จะให้พญามัจจุราช ที่มีหน้าที่คร่าวิญญาณมนุษย์ และสรรพสัตว์ ทั้งหลาย ไปอยู่ในขุมนรกนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ของท่าน ที่ทำหน้าที่ตัดสินวิญญาณคนตาย ว่า จะไปอยู่ในนรก สวรรค์ หรือ ให้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ด้วยแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า ท่านไม่ได้อยู่ในนรกแน่ เพราะวิญญาณที่ตาย และไปพบท่านเพื่อให้ท่านตัดสินนั้น ย่อมมีทั้งวิญญาณที่ดี และวิญญาณร้าย เมื่อตายไป แล้วต้องไปพบท่าน เพื่อให้ท่านตัดสิน นั่นย่อมหมายความว่า ยังไม่ได้ไปอยู่ในนรก สวรรค์ หรือ ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ มาว่ากันต่อถึงบทบาทหน้าที่ของท่านพญามัจจุราช เทพเจ้าแห่งความตาย เป็นนายแห่งภูติผีปีศาจ ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งผมได้เปรียบเทียบให้ตรงกับ ท่านท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร โลกบาลประจำทิศเหนือ หรือ ทิศอุดร ว่าท่านทั้งสองน่าจะเป็นเทพองค์เดียวกัน อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ที่ใกล้เคียงกับภพภูมิมนุษย์ มากกว่าที่จะไปอยู่ในขุมนรก ที่อยู่ห่างไกล โดยที่ขุมนรกนั้น ท่านผู้เป็นใหญ่ น่าจะเป็นเทพอีกองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พญายมราช หรือ พระยม มีหน้าที่ลงโทษสัตว์นรก ตามคำตัดสินของท่านพญามัจจุราช ถ้าจะเปรียบให้เห็นจริงเทียบเคียงกับโลกมนุษย์ล่ะก็ ท่านพญามัจจุราช นั้น มีหน้าที่ตัดสิน เป็นผู้พิพากษา ส่วนท่านพญายมราช นั้น มีหน้าที่ลงโทษ หรือ เปรียบได้กับ อธิบดีกรมราชทัณฑ์นั่นเอง ดังนั้น เรื่องของบทบาทและหน้าที่ ตลอดจนถิ่นที่อยู่ของท่านทั้งสอง ผมเชื่อแน่ว่า ท่านทั้งสอง ไม่ใช่เทพองค์เดียวกันอย่างแน่นอน
    คนรุ่นเก่า สมัยเมื่อผมยังเป็นเด็ก คือ รุ่นที่มีอายุตั้งแต่ ๔๐ ปี ขึ้นไป คงจะเคยได้ยิน และได้ดูละครโทรทัศน์เรื่อง พิภพมัจจุราช นำแสดงโดย คุณสิงห์ มิลินทราศรัย เป็นพญามัจจุราช โดยมีคุณเทียว ธารา เล่นเป็นยมทูต และคุณอดินันท์ สิงหิรัญ เล่นเป็นสุวาร ส่วนคนที่เล่นเป็นสุวรรณ ชื่ออะไร ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ นึกไม่ออกจริง ๆ ละครเรื่องนี้ เป็นละครที่ดีมากเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้เด็กอย่างผม เชื่อในเรื่องของนรก สวรรค์ ความดี ความชั่ว ไม่ก่อกรรมทำชั่วมาจนทุกวันนี้ พอถึงวันที่ละครจะฉายทางจอทีวี ผมจะไม่เคยพลาดสักตอน ยิ่งเพลงประกอบละครด้วยแล้ว ผมจำติดใจ ร้องได้แม่นยำเลยทีเดียว มาอ่านเนื้อเพลงกันหน่อยไหม ?
    พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาต ดับชีวี สุวรรณ ตรวจดูบัญชี ใครทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว พระยมว่าไง ต้องส่งลงไป นรกโลกันต์ น่ะสิ ต้นงิ้ว กะทะทองแดง เอาหอกแหลมแทง ทุกวัน ๆ
    พญายม (เสียงหัวเราะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ) สุวรรณ (เสียงหัวเราะ ฮ่ะ ฮ่ะ) สุวาร (เสียงหัวเราะ ฮ่า ฮ่า) ถ้าไม่อยากเจอฉัน ให้ทำดี ทำดี โจ๊ะทิง โจ๊ะทิง เท่งทิง โจ๊ะ ทิง ทิง ๆ ๆ
    เป็นไงครับ เนื้อเพลง บ่งบอกอะไรบ้าง พอจะวาดภาพของพิภพมัจจุราช หรือ ถิ่นที่อยู่ ของพญามัจจุราช ตลอดจนบทบาทหน้าที่ของท่านออกไหม ในเพลงบอกว่า หากใครถึงฆาต หรือ วาระต้องตายแล้วล่ะก็ ท่านยมทูต ก็จะไปรับวิญญาณ มายังถิ่นที่อยู่ของพญามัจจุราช โดยมีเลขา ๒ ท่าน คือ สุวรรณ หรือ ในละครเรื่อง “เงา” เรียกชื่อว่า “สิริ” ทำหน้าที่ตรวจดูบัญชีบุญ และ สุวาร หรือ ในละครเรื่องเงา เรียกชื่อว่า “ภุมมะ” ทำหน้าที่ตรวจบัญชีบาป เมื่อตรวจดูแล้ว หากเห็นว่า ทำบุญมากกว่าทำบาป ก็จะส่งขึ้นไปสวรรค์ เพื่อรับผลบุญ หมดบุญแล้ว ค่อยมารับผลบาปในโลกมนุษย์ หรือ อาจจะต้องตกนรกก็ได้ หากบาปนั้นหนักหนาสาหัส หากเห็นว่า ทำบาป มากกว่าทำบุญ ก็จะตัดสินให้ลงนรกขุมต่าง ๆ ตามกรรมที่ก่อ เมื่อพ้นกรรมจากนรกแล้ว ถึงจะมีโอกาสได้รับผลบุญ หากทำบุญมากพอ ก็จะส่งให้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดา นางฟ้า แต่ถ้าผลบุญไม่เพียงพอ ก็จะส่งมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ และรับผลบุญนั้นในโลกมนุษย์ต่อไป
    นี่เป็นบทบาท และหน้าที่สำคัญของท่านพญามัจจุราช และเหล่าบริวาร ซึ่งหน้าที่คร่าวิญญาณมนุษย์ และสัตว์ ตลอดจนทำหน้าที่ตัดสินลงโทษ ก็เหนื่อยหนักไม่น้อยอยู่แล้ว คงไม่มีเวลาไปทำหน้าที่ลงโทษสัตว์โลกในนรก อย่างที่หลายท่านเข้าใจ คงปล่อยหน้าที่นี้ให้เป็นหน้าที่ของ พญายมราช และเหล่านายนิรยบาล เขากำกับดูแล เหมือนกับส่งตัวขึ้นสวรรค์ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ กำกับดูแล นี่คือหน้าที่ใคร หน้าที่มัน ไม่ปะปนกัน อย่างที่หลายท่านเคยเข้าใจมาก่อน
    ในเพลงละครเรื่อง “เงา” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ “โรสลาเรน” อันเป็นนามปากกาหนึ่งของ “ทมยันตี” ได้บรรยายเพลงเอาไว้ว่า
    “คนเกิดมา สร้างปัญหากันทุกวัน คนบาปหนา เกิดมาทำไมกัน ไม่เกรงกลัวนรก ไม่กลัวยมบาล ยมบาล....ศีลธรรม เสื่อมทรามลงทุกวัน รับแต่เงิน โลกีย์ การพนัน ไม่เกรงกลัวนรก ไม่กลัวยมบาล.......
    ทำดีไปอยู่ที่เท้า เอาตัวไปส่งสวรรค์ ทำชั่วไปรอที่หัว เอาตัวไปลงโลกันต์
    ตอนท้ายของเพลง หมายความว่า หากบุคคลใดทำกรรมดีเอาไว้ เมื่อถึงเวลาตาย ท่านพญามัจจุราช ท่านยมทูต หรือ ท่านเทวทูต (ขึ้นอยู่กับกรณีของผู้ตายว่าเป็นคนดี หรือ คนเลว) จะมารับวิญญาณ หากเป็นวิญญาณบุญ ที่สร้างสมบุญบารมีเอาไว้มาก ท่านพญามัจจุราช ท่านจะให้เกียรติ เสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พร้อมเหล่าเทวทูตบนสรวงสวรรค์ และการเสด็จมารับของพระองค์นั้น พระองค์จะเสด็จประทับอยู่ทางเบื้องเท้า หรือ ปลายเท้า ของผู้ตาย ห่างออกไปราว ๒ วา พอให้ผู้ตายเห็นได้ ก็จะบังเกิดความปลื้มปีติ จิตวิญญาณก็จะไปสู่สวรรค์โดยง่าย
    แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ตายนั้น เป็นคนเลวร้าย เป็นเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล เป็นมือปืน ฆ่าคนไม่น้อย เป็นโจรร้าย ใจดำอำมหิต ฯลฯ ท่านพญามัจจุราช ก็จะให้เกียรติมารับด้วยตนเองเช่นกัน พร้อมกับเหล่ายมทูต ที่มีหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว นุ่งโจงกระเบน หรือ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง มีหอก แหลน หลาว ครบมือ มายืนอยู่เบื้องหัว ยืนค้ำศีรษะ เพื่อฉุดกระชาก คร่าวิญญาณที่ชั่วร้ายนั้นไปลงนรก เพื่อลงโทษ ซึ่งเรื่องนี้ จะเห็นได้บ่อยครั้ง ถึงคนใกล้ตาย ที่มีตาเหลือกกลัว มองไปเบื้องบน บางทีก็ร้องเอะอะโวยวาย กว่าจะสิ้นลมหายใจไปได้ ทุกข์ทรมานน่าดู ก็คงเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง
    จากละครทั้งสองเรื่อง จะเห็นได้ว่า บทบาทหน้าที่ของพญามัจจุราช และเหล่าบริวารนั้น ทำหน้าที่ฉุดคร่าวิญญาณทั้งดีและร้าย ถ้าทำดี ก็ตัดสิน ส่งไปรับผลบุญในสรวงสวรรค์ หากทำชั่ว ก็จะตัดสิน หรือ ส่งไปรับกรรมชั่วในขุมนรก ดังที่กล่าวมาแล้ว
    ความเชื่อในเรื่องของการตัดสินโทษแก่วิญญาณผู้ตายนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น แม้แต่ศาสนาคริสต์ ก็มีความเชื่อเช่นกัน อย่างพวกกรีก และ โรมัน ดั้งเดิมนั้น เชื่อว่า เมื่อคนตายไปแล้ว จะถูกนำไปพิพากษา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง อยู่ระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ และ นรก โดยเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาโอลิมปัส และเทพอื่น ๆ จำนวนทั้งสิ้น ๔๒ พระองค์ ด้วยการตั้งคำถามต่าง ๆ ให้ตอบ ว่า ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ ได้ทำดีอะไรไว้บ้าง หรือ ทำชั่วอะไรไว้บ้าง เมื่อตอบทุกคำถามแล้ว ก็จะนำหัวใจของผู้ตาย มาชั่งน้ำหนัก บนตราชั่ง โดยด้านหนึ่ง วางหัวใจผู้ตาย อีกด้านหนึ่งของตราชั่ง วางขนนกแห่งความจริง เอาไว้ หากว่า ตราชั่งทั้งสอง มีน้ำหนักเท่ากัน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็ถือว่า วิญญาณผู้ตายนั้น พูดความจริงทั้งหมด เชื่อถือได้ ก็จะตัดสินให้ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าหากว่า ตราชั่งนั้น เอียงไปทางด้านขนนก หรือ ขนนกหนักกว่าหัวใจ ซึ่งปกติแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ก็แสดงว่า วิญญาณผู้ตายนั้น พูดโกหก ทำชั่วแล้วไม่รับสารภาพ ไม่พูดความจริงทั้งหมด ก็จะตัดสินให้ลงนรก หรือไปอยู่ในภพภูมิอื่น ไม่มีโอกาสได้ล่วงสู่แดนสวรรค์ รายละเอียดเรื่องนี้ ผมก็อ่านจากนิยายเรื่อง กฤติยา และเคยนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์หลายปีมาแล้ว ถ้าจำไม่ผิด คนแต่งก็คือ คุณทมยันตี เจ้าเก่า สนใจก็ลองหาอ่านกันเอง ส่วนละครนั้น คงหาดูได้ยากแล้วกระมัง
    ในศาสนาคริสต์ หรือ พวกกรีก โรมัน นั้น เมื่อได้รับการตัดสินแล้ว หากทำความดี ก็จะไปอยู่บนสรวงสวรรค์ กับเหล่าเทพเจ้า บนเทือกเขาโอลิมปัส โดยมีเทพจูปีเตอร์ เป็นใหญ่ แต่ถ้าหากทำความชั่ว หรือ ความเลวร้ายแล้วล่ะก็ จะถูกส่งไปอยู่ในขุมนรก ที่เรียกว่า “ตาตาร์รัส” โดยมี เทพเจ้าพลูโต ทำหน้าที่ปกครองดูแล และลงโทษแก่สัตว์นรกตนนั้น นี่ก็เป็นความเชื่อที่ตรงกับที่ผมบอกเอาไว้ว่า หน้าที่ตัดสินโทษ กับ หน้าที่ลงโทษ หรือ ให้คุณแก่วิญญาณที่ดีงาม นั้น มีเทพแต่ละองค์รับผิดชอบดูแล ไม่ได้เป็นหน้าที่ของเทพองค์ใดองค์หนึ่ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ
    ในหน่วยงานของพญามัจจุราชนั้น น่าจะมีเทพชั้นรอง ๆ ลงมา เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือ เพราะโลกมนุษย์เรานั้น กว้างขวาง มีสัตว์โลกอุบัติขึ้นมามากมาย ในแต่ละศาสนา และลัทธิความเชื่อ ย่อมมีเทพเจ้า หรือ เหล่าบริวารต่าง ๆ ร่วมกันรับผิดชอบ อย่างของไทยเรานั้น มีเทพองค์หนึ่ง ที่ทำหน้าที่คร่าวิญญาณมนุษย์ เทพองค์นั้นคือ พระกาฬไชยศรี มีพาหนะเป็นนกแขวก ท่านจะขี่พาหนะนกแขวกของท่าน บินไปมายามราตรีกาล เพื่อตรวจตราดูว่า มีใครชะตาถึงฆาตบ้าง เมื่อพบก็จะใช้บ่วงบาศก์ เกี่ยววิญญาณผู้นั้น นำไปส่งให้กับท่านพญามัจจุราช เพื่อตัดสินลงโทษต่อไป ดูแล้วหน้าที่ของท่าน ก็ไม่ต่างกับท่านยมทูต หรือ เทวทูตนัก
    เรื่องของการตั้งคำถาม เพื่อให้วิญญาณผู้ตายตอบนั้น ไม่ใช่มีเฉพาะในศาสนาคริสต์ พวกกรีก หรือ โรมันเท่านั้น แม้แต่ในพระพุทธศาสนา ในหนังสือพระมาลัย ก็ยังมีการกล่าวถึงการตั้งคำถามของพญามัจจุราช ต่อวิญญาณผู้ตายนั้นว่า ในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์อยู่นั้น ท่านเคยพบเห็นเทวทูตทั้ง ๕ บ้างหรือไม่ ? ถ้าเคยเห็น เห็นที่ไหน เมื่อไร ? ถ้าสัตว์โลกตอบว่า ไม่เคยเห็นเลยสักนิดในสมัยที่มีชีวิตอยู่ล่ะก็ ท่านก็จะตัดสินลงโทษให้ตกนรกหมกไหม้เอาง่าย ๆ แต่ถ้าบอกว่า เคยเห็น และอธิบายอย่างถูกต้องเป็นจริง พญามัจจุราชท่านก็จะสรรเสริญว่า วิญญาณผู้นั้นในสมัยที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และสร้างสมความดี ก็จะอนุโมทนา และส่งวิญญาณผู้นั้น สู่สรวงสวรรค์
    ย้อนกลับมาพิจารณาเรื่องราวที่ว่า ท่านท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร ท่านจะเป็นองค์เดียวกัน กับท่านพญามัจจุราช หรือไม่ หรือ เป็นองค์ละองค์กัน เรื่องนี้ น่าสนใจนะครับ บางทีท่านอาจจะเป็นองค์เดียวกันก็ได้ หรือ บางทีอาจจะเป็นคนละองค์กัน อันท่านท้าวเวสสุวัณนั้น ท่านเป็นโลกบาล หรือ ผู้พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์ ทางด้านทิศเหนือ ท่านเป็นนายของยักษ์ มาร ภูติผีปีศาจร้ายโดยตรง ซึ่งไม่ต่างกับพญามัจจุราชสักเท่าไร เพราะเป็นนายของภูติผี ปีศาจร้าย เช่นกัน มีพระคาถาอยู่ ๒ บท เกี่ยวกับพญามัจจุราช ท่านท้าวเวสสุวัณ และ พญายม โดยตรง ผมมักใช้คาถานี้ ภาวนาเพื่อการเดินทางขับรถตอนกลางคืน ในที่เปลี่ยว เพื่อให้ท่านคุ้มครองภัย จากการเดินทาง และภูติผีปีศาจ พระคาถาที่ว่า มีดังนี้
    “อิติปิโส ภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มอระณัง สุขัง อะระหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ” ซึ่งพระคาถาบทนี้ เป็นคาถาบทหนึ่ง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพ ฯ เป็นคาถาที่แปลแล้ว ถอดความว่า ขอเคารพนบนอบ ท่านท้าวเวสสุวัณ และ ท่านพญายมราช เทพเจ้าแห่งขุมนรก ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์
    “สังสิมิมะ สัพพัญญิโก โลมามิ พระยายมราชา ธัมมาจุติ มะ อะ อุ กาโร ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธกันติ” บทนี้เป็นพระคาถาของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ ท่านจะกล่าวถึงพระนามของพระยายมราช และท่านท้าวเวสสุวัณ ดุจเดียวกัน เป็นการผูกพระคาถา เพื่ออัญเชิญบารมีของท่านมาปกป้องคุ้มครอง ให้ปราศจากอันตราย จากภัยของสิ่งชั่วร้าย ภูติผีปีศาจทั้งปวง
    จากพระคาถาทั้งสองบทนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านพญายมราช หรือ เทพเจ้าแห่งขุมนรก กับ ท่านท้าวเวสสุวัณ น่าจะเป็นเทพคนละองค์กัน แต่เพราะท่านทั้งสอง ล้วนมีหน้าที่ และบทบาท เกี่ยวกับวิญญาณผู้ตาย ทำหน้าที่สอดคล้อง ต่อเนื่องกัน ท่านจึงผูกพระคาถาเอาไว้ เพื่อบูชาท่านทั้งสองร่วมกัน ดังนั้น บทสรุปในเรื่องนี้ก็คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ กับ ท่านพญามัจจุราช จะต้องเป็นเทพองค์เดียวกัน และเป็นเทพคนละองค์กับท่านพญายมราช เทพเจ้าแห่งขุมนรก แน่นอน
    เมื่อเราท่านทั้งหลาย รับทราบว่า ท่านท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร หรือ อีกนัยหนึ่ง ท่านพญามัจจุราช เป็นเทพเจ้าองค์เดียวกัน ก็น่าจะได้เรียนรู้ ประวัติความเป็นมาของท่านสักหน่อย ซึ่งเรื่องราวของท่านนั้น ได้มีการบันทึกเอาไว้ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์ไม่น้อย กำเนิดของท่านนั้นเป็นยักษ์ ซึ่งยักษ์นั้น ถือว่า เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่อุบัติขึ้นในภพภูมิของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ที่เรียกว่า สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จะเรียกว่า เทวดายักษ์ก็ได้ ไม่ใช่ยักษ์ที่กินคนในภพภูมิมนุษย์ อย่างที่เราท่านเข้าใจนะครับ ถึงแม้ท่านจะเป็นยักษ์ แต่ก็เป็นยักษ์ที่มีคุณธรรม มีบารมีธรรมสูงถึงขั้นพระอริยบุคคลชั้นที่หนึ่ง คือ สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ท่านมีรูปกายแบ่งออกเป็น ๒ ภาค คือ ภาคที่เป็นยักษ์ กับ ภาคที่เป็นเทวดา ในภาคที่เป็นเทวดานั้น ท่านมีพระนามว่า “ท่านท้าวกุเวร” เป็นพระธนบดี หรือ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกภาคหนึ่งที่เป็นยักษ์นั้น ท่านมีพระนามว่า ท่านท้าวเวสสุวัณ” เป็นเทพเจ้าแห่งภูติผีปีศาจ ยักษ์มาร ทั้งหลายทั้งปวง รายละเอียดเกี่ยวกับชาติกำเนิด และบทบาทของพระองค์ท่านที่มีต่อมวลมนุษย์ นอกเหนือไปจากการคร่าวิญญาณ และตัดสินความดีความชั่วของวิญญาณ จะมีอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไปในสัปดาห์หน้า สำหรับสัปดาห์นี้ จากกันด้วยคำอวยพรที่ว่า สุขสันต์วันคริสต์มาส ทุกท่าน ครับ
     
  4. timetime

    timetime เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ตรีทศเคราะห์เทวา (๕๓)
    พระเกตุ จอมวิปริต อาเพท (๓)
    ********************
    ท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร นั้น ศาสนาพราหมณ์ถือว่าเป็นเทพองค์เดียวกัน โดยที่ศาสนาพราหมณ์นั้นได้กล่าวถึงเทพผู้พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์ หรือ ท้าวโลกบาลประจำทิศต่าง ๆ ด้วยกัน ๘ ทิศ คือ พระอินทร์ ประจำทิศบูรพา (ตะวันออก) พระเพลิง ประจำทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) พระยม ประจำทิศทักษิณ (ใต้) พระอาทิตย์ ประจำทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) พระพิรุณ ประจำทิศประจิม (ตะวันตก) พระพาย ประจำทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงใต้) พระจันทร์ ประจำทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) และ ท้าวกุเวร ประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ)
    ก่อนจะว่ากันต่อไปถึงประวัติความเป็นมาของท่านท้าวกุเวร ต้องมาตกลงทำความเข้าใจกันก่อนในเรื่องของลัทธิความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาพุทธ อย่างกรณีของเรื่องท้าวโลกบาลนั้น จะเห็นว่า พุทธศาสนาของเรานั้น กล่าวถึงท้าวโลกบาลเพียง ๔ ทิศ ที่เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ อันได้แก่ ท่านท้าวกุเวร เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ดุจเดียวกับพราหมณ์ ท่านท้าวธตรฐ เป็นโลกบาลประจำทิศบูรพา (ตะวันออก) ต่างจากพราหมณ์ ที่ให้พระอินทร์ อยู่ในทิศนี้ ท่านท้าววิรุฬหก ประจำทิศทักษิณ (ใต้) ต่างจากพราหมณ์ ที่ให้พระยม ประจำทิศนี้ และท่านท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศประจิม (ตะวันตก) ต่างจากพราหมณ์ที่ให้พระพิรุณ ประจำทิศนี้
    [​IMG]
    ถ้าเราไม่แยกแยะในเรื่องของ ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์กับพุทธออกจากกัน โดยเฉพาะในเรื่องของภพภูมิต่าง ๆ สวรรค์ ชั้นต่าง ๆ เราก็อาจจะสับสนปนเปกันวุ่นไปหมด อย่างพราหมณ์ที่เขาจัดให้พระอินทร์ เป็นท้าวจตุโลกบาลนั้น ด้วยเหตุที่พราหมณ์นั้น ไม่ได้มีการแบ่งแยกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ออกจากกัน แม้กระทั่งจัดให้พระยม เทพเจ้าแห่งขุมนรก เป็นท้าวจตุโลกบาล ประจำทิศใต้ ก็ดุจเดียวกัน พราหมณ์นั้นไม่ได้แยกภพภูมิ เป็นไตรภูมิอย่างพุทธศาสนา ดังนั้น สวรรค์ของพราหมณ์ ก็คือ เทพเทวดาต่าง ๆ โดยทั่วไป แม้แต่พระพรหม ก็อยู่บนสวรรค์ โดยถือเป็นเทวดาที่มีศักดิ์สูงเป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวงเท่านั้น อย่างพระยมนั้น ท่านก็ให้เป็นเทวดา แต่ไปปกครองนรก หรือ ดินแดนที่มีแต่ความเสื่อมโทรม ทารุณโหดร้าย หรือ พระพิรุณ เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร และสายฝน ก็ให้ไปปกครองเมืองบาดาล ถือเป็นเทพองค์หนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนสรวงสวรรค์
    แต่ในทางพุทธศาสนานั้น แยกภพภูมิออกจากกันอย่างชัดเจน พระอินทร์นั้น เป็นเทวราช หรือ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นที่สอง หรือ ดาวดึงส์ ย่อมอยู่เหนือกว่า หรือสูงศักดิ์กว่า ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ที่จัดให้เป็นใหญ่ในทิศต่าง ๆ ทั้งสี่ทิศ อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ที่เรียกว่า สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยที่สวรรค์ชั้นนี้ นอกจากมีเทวดาชั้นต่ำ เช่น พระภูมิ เจ้าที่ รุกขเทวดา อากาศเทวดา ฯลฯ แล้ว ยังมีอมนุษย์ต่าง ๆ อยู่ในภพภูมินี้อีกหลายประเภท เช่น ยักษ์ ถือเป็นเทวดาพวกหนึ่ง ที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว ตาพองโต จมูกบาน มีเขี้ยวโง้ง ร่างกายใหญ่โต มีกระบอง เป็นอาวุธ บรรดายักษ์เหล่านี้ อยู่ในความดูแล หรือ ภายใต้การปกครองของท่านท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ซึ่งถือกำเนิดเป็นยักษ์เช่นกัน
    นอกจากยักษ์แล้ว ยังมีพวกคนธรรพ์ ที่หลายท่านเข้าใจว่า เป็นพวกกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา มีหน้าที่ขับร้องฟ้อนรำ หรือมีความสามารถในด้านดนตรี แท้ที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาอย่างที่เข้าใจกัน เหมือนพวกกินนร (กึ่งนกกึ่งคน คือ ตัวเป็นคน มีท่อนล่างเป็นนก มีปีกแบบนก) หรือ พวกครุฑ (ที่เป็นพวกกึ่งนก กึ่งเทวดา) หรือ อมนุษย์อื่น ๆ แต่ท่านเป็นเทวดาชั้นต่ำ มีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ เสวยสมบัติทิพย์ ดุจปวงเทพเทวดาทั่วไป มีความสามารถในด้านการขับร้อง ฟ้อนรำ เพียงแต่ไม่มีวิมานเป็นที่อยู่ของตนเอง จะอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ในขอบเขตของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก ที่อยู่ในความปกครองดูแลของท่านท้าวธตรฐ ที่กำเนิดของท่านเป็นคนธรรพ์เช่นกัน ไม่ได้เป็นยักษ์อย่างที่บางตำราบอกเอาไว้
    อมนุษย์ในชั้นนี้ นอกจากยักษ์ คนธรรพ์แล้ว ยังมีพวกนาค ซึ่งถือว่าเป็นเทวดาเช่นกัน เพียงแต่เป็นเทวดาชั้นต่ำ ที่มีรูปร่างปกติเป็นงูที่มีหงอน หรือ งูใหญ่ เป็นเจ้าแห่งงู หรือ พญางู แต่เวลาที่อยู่ในเมืองของตนแล้ว จะจำแลงกายดุจเหมือนคนทั่วไป มีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ ดุจเดียวกับเทวดา แต่ไม่มีวิมานอยู่ อยู่ในเมืองด้านทิศตะวันตก ในความปกครองดูแลของท่านท้าววิรูปักษ์ ที่ถือกำเนิดเป็นนาคเช่นกัน บ้างก็ว่า นาคนั้นมีฤทธิ์เดชมาก เพราะเพียงแค่พิษของนาคถูกต้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็สามารถตัดเอาผิวหนังของบุคคลนั้นและทำให้ถึงแก่ความตายได้ในพริบตา พวกนาครู้จักเนรมิตตนเป็น มนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ตามอัธยาศัยอย่างสุขสำราญ
    หากบุคคลใดได้ยินได้ฟังมาว่าพวกนาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความสุขมาก ทำให้ชอบใจ แล้วทำคุณงามความดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมทั้งปรารถนาไปเกิดเป็นนาค บุคคลนั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมได้ไปเกิดเป็นนาคในชาติต่อไปสมความปรารถนา
    อีกพวกหนึ่งที่สำคัญในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งก็คือ พวกกุมภัณฑ์ ซึ่งหลายคนเอาไปปะปนกับพวกยักษ์ให้วุ่นไปหมด แท้ที่จริงแล้ว พวกกุมภัณฑ์นี้ เป็นเทวดาชั้นต่ำ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนก็คือ มีลูกอัณฑะ ที่ใหญ่เท่าหม้อ นี่เขาแปลตามรากศัพท์นะครับ แท้ที่จริงแล้ว เทวดาจำพวกนี้ ไม่ได้มีลูกอัณฑ์ใหญ่เท่าหม้ออย่างที่เข้าใจกัน แต่มีรูปร่างอ้วนเตี้ย พุงป่อง เหมือนหม้อต่างหาก เทวดาพวกนี้จะอยู่ในเมืองดุจเดียวกับเทวดาอื่น ๆ ในชั้นเดียวกัน แต่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีท่านท้าววิรุฬหก ซึ่งถือกำเนิดเป็นกุมภัณฑ์เช่นกัน เป็นผู้ปกครอง
    อันเทวดาทั้งสี่จำพวก คือ ยักษ์ คนธรรพ์ นาค กุมภัณฑ์ นั้น ปกติร่างกายของท่าน ก็จะเป็นรูปลักษณ์แยกออกไปตามลักษณะของชาติกำเนิด แต่แท้ที่จริงแล้ว เวลาอยู่ในเมืองสวรรค์ ที่เป็นทิพย์ ท่านก็อาจจะเนรมิตกายให้สวยสดงดงามดุจเดียวกันก็ได้ คงไม่มีเทวดาตนใดที่อยากมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวหรอกครับ ไม่งั้น บรรดานางฟ้า นางสวรรค์ คงไม่ชายหางตาแลแน่นอน
    ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนี้ นอกจากเทวดาทั้งสี่จำพวก ที่อยู่ในความปกครองดูแลของท่านท้าวมหาราชทั้งสี่แล้ว ยังมีอมนุษย์ที่ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นกึ่งเทวดา อยู่โดยรอบของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง หรือ อยู่ปลายแดนสวรรค์ก็ได้ ถิ่นที่อยู่ของพวกนี้มักจะอยู่ในเขตที่เรียกว่า ป่าหิมพานต์ หรือ มหานทีสีทันดร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อนที่จะถึงเมืองสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั่นเอง อันได้แก่ พวกกินนร,ครุฑ,รากษส ฯลฯ เป็นพวกที่กึ่งคนกึ่งนก (กินนร), กึ่งเทวดากึ่งนก (ครุฑ),กึ่งยักษ์กึ่งสัตว์ (รากษส พวกนี้กินสัตว์ และมนุษย์เป็นอาหาร เหมือน ผีเสื้อสมุทร) และบรรดาภูติผีปีศาจร้าย ที่มีฤทธิ์อำนาจ เป็นพวกกึ่งเปรตกึ่งเทวดา หรือ ก็เป็นเปรตจำพวกมหิทธิกาเปรต หรือ เวมาณิกเปรต พวกนี้กลางวันเป็นเทวดามีวิมานอยู่ กลางคืนต้องรับกรรม กลายร่างเป็นเปรต ได้รับทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ฯลฯ ส่วนพวกอสูรนั้น ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนะครับ แต่อยู่นอกเขตสวรรค์ชั้นที่สอง เพราะถูกขับออกมา ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว และมีศักดิ์สูงกว่าเทวดาในชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำไป
    อนึ่งท่านท้าวจตุโลกบาลนี้ บางตำรากล่าวไว้ว่า ท่านอยู่ภายใต้บังคับบัญชา หรือ ได้รับมอบหมายจาก “สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า” หรือ พระอินทร์ ให้เป็นผู้ปกปักคุ้มครองดูแลทุกข์สุขต่าง ๆ ของมวลมนุษย์ พิทักษ์รักษาโลกให้ปลอดภัย ไม่ให้มีสิ่งเลวร้ายใด ๆ มาทำลายความสงบสุขได้ นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่บัญชาคนทำบัญชี และจดบันทึกการทำบุญ การทำบาป ของคนในมนุษย์โลก โดยท้าวโลกบาลทั้งสี่ จะดูแลตามทิศของตน ๆ เช่น
    ท่านท้าวธตรฐ ก็จะสั่งให้เหล่าคนธรรพ์ ไปดำเนินการ, ท่านท้าววิรุฬหก ก็จะสั่งให้เหล่ากุมภัณฑ์ ไปดำเนินการ, ท่านท้าววิรูปักษ์ ก็จะสั่งให้เหล่าพญานาค ไปดำเนินการ,ท่านท้าวกุเวร ก็จะสั่งให้เหล่ายักษ์มาร ไปดำเนินการ
    หลังจากได้รับบัญชีบุญ –บาป แล้ว ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ก็จะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายให้แก่พระอินทร์ ด้วยตนเอง เพื่อพิจารณาอีกทีหนึ่ง
    มีผู้รู้บางท่านยังได้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับภาระหน้าที่ในการตรวจดูการทำบุญ ทำบาป ของสัตว์โลก แยกออกไปอีกตามวาระดังนี้คือ
    วัน ๘ ค่ำ อำมาตย์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก ,วัน ๑๕ ค่ำ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก, ส่วนในวัน ๑๕ ค่ำ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลกเองว่า พวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา และสมณพราหมณ์ เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถศีลและทำบุญกุศลเป็นจำนวนมากหรือไม่ ครั้นตรวจดูแล้วก็จะไปบอกพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ซึ่งมาประชุมกันในสุธรรมาเทวสภา ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันน้อย พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจหดหู่ เพราะทิพยกายจะลดถอย อสุรกายจะเพิ่มพูน แต่ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจชื่นบาน เพราะทิพยกายจะเพิ่มพูน อสุรกายจะลดถอย
    มาถึงตรงนี้แล้ว จะได้ข้อคิดอะไรอย่างหนึ่งก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ ? ที่ท่านพญามัจจุราช หรือ เทพแห่งความตายนั้น คือ ท่านท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวัณ เพราะท่านเป็นเทพที่ปกครองพวกยักษ์มาร ภูติผีปีศาจร้ายทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลายของคนตาย ที่ยังคงเร่ร่อนหาที่ไปเกิดยังภพภูมิใหม่ไม่ได้ ซึ่งเราเรียกว่า พวกสัมภเวสี ทีนี้ โดยปกติทั่วไป เมื่อคนใดตายแล้ว จิตวิญญาณก็จะเข้าสู่สภาแห่งความตาย เพื่อตัดสินชำระโทษ โดยมีท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นประธาน โดยมีเทพทั้งสามท่านที่เหลือ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท้าววรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ เป็นผู้ร่วมพิจารณา โดยตัดสินพิจารณาจากบัญชีบุญ และ บัญชี บาป ที่บรรดาเหล่าบริวารของท่านเหล่านั้นนำมาเสนอ ถ้าทำดี ก็จะนำบัญชี และวิญญาณบุญนั้น ขึ้นทูลเกล้าถวายพระอินทร์ ในทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ของทุกเดือน ที่มีการประชุมเทวสภาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่ออนุโมทนาและรับตัวเข้าสู่สรวงสวรรค์ แต่ถ้าทำชั่ว ก็จะนำบัญชี และวิญญาณบาปนั้น ส่งไปยังยมโลก ให้ท่านพญายม ทำหน้าที่ลงโทษ ตามที่ได้รับการพิพากษาโทษต่อไป
    ในบรรดาเทพที่ทำหน้าที่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ในทางพุทธศาสนานั้น มีเพียงท่านเดียวเท่านั้น คือ ท่านท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ที่ทางศาสนาพราหมณ์ยอมรับอย่างตรงกันว่า เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร และได้มีประวัติเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่านบันทึกเอาไว้มากมายหลายคัมภีร์ แต่เทพที่เป็นโลกบาลอีกสามทิศที่เหลือ พวกพราหมณ์เขาไม่ยอมรับ และไม่รู้จักด้วยซ้ำ ดังนั้น เรื่องราวประวัติต่าง ๆ จึงไม่ค่อยปรากฎ เห็นทีจะต้องนำเรื่องราวประวัติและบทบาทของท่านมาเสนอซะที หลังจากอารัมภบทซะยืดยาว
    ท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวัณ นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่ามหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวัณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียนในภายหลัง
    ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวัณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพนับถือว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ ในหนังสือ “เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย” ของ ส.พลายน้อย ได้กล่าวไว้ว่า
    คนในสมัยโบราณนั้น ถ้าพูดกันถึงเรื่องรักเด็กรักลูกแล้ว ดูเขารักกันอย่างแน่นแฟ้นจริงจัง มีสิ่งไรที่ป้องกันหรือแก้ไขให้เด็กรอดพ้นจากอันตรายได้แล้ว เขาก็ทำทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเกิดธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เกี่ยวกับทารก หรือ ความเชื่อถือในเรื่องผีสางเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อมีการคลอดบุตรก็ต้องมียันต์ตรีนิสิงเห และทำรูปท้าวเวสสุวัณแขวนไว้ที่เปลเด็ก ถือเป็นธรรมเนียมมาช้านานทีเดียว
    ด้วยเหตุที่ว่า ท้าวเวสสุวัณ เป็นนายพวกยักษ์ และ รากษส เป็นใหญ่ในบรรดาผีปีศาจทั้งหลาย จึงนิยมทำรูปท้าวเวสสุวัณแขวนไว้ที่เปลเด็ก เพื่อป้องกันปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็ก โดยมักเขียนลงบนผ้าขาวม้า แขวนไว้ที่เปลเด็ก โดยเหตุที่เขียนลงบนผ้าขาวม้า ก็เพราะว่า ท้าวเวสสุวัณ มีพาหนะเป็นม้า จึงสมมุติว่า ผ้าขาวม้าเป็นพาหนะ “ม้า” ของท้าวเวสสุวัณ
     
  5. ponpon

    ponpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +492
    ขอบคุณค่ะ

    ได้อ่านแล้วก็ไม่กล้าทำบาป
    กลัวโดนจดลงบัญชี
     
  6. นายศุขเล็ก

    นายศุขเล็ก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +101
    ทราบว่าตัวเองทำบาปมามาก
    แต่จิตยังจำนงค์ตรงต่อพระนิพพานอยู่ทุกลมหายใจ...
    ขออนุโมทาสาธุด้วยขอรับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...