สมเด็จโตช่วยเหลือศิษย์ในการสอบ (ตอน 2-จบ)

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 23 ธันวาคม 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ที่หลับที่นอนก็เป็นไปตามพระวินัยทุกประการ ท่านใช้ผ้าจีวรเก่าผืนเดียวเย็บเป็นที่นอน และใช้ผ้าเก่าๆ ทำเป็นหมอนหนุนนอน นับเป็นพระเถระที่ทรงพระวินัย ทรงความรู้ในพระพุทธศาสนาที่น่าบูชานับถืออย่างยิ่ง

    หลังจากพระมหาวิสุทธิ์สิ้นบุญประมาณ 5-6 ปี น้องชายของท่านคนหนึ่งซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส คือท่านบัญญัติ จันทนเสนะ ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์

    วันหนึ่งพระมหาทรงธรรม์ได้เรียกบรรดาเด็กวัดในกุฏิธรรมนิวาสมาประชุมพร้อมกัน แล้วว่าให้ทุกคนไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับพระมหาวิสุทธิ์ เพราะในปีหน้าท่านจะออกธุดงค์เพื่อหาวิเวกสุขตามรอยพระบาทของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และจะไม่กลับมาอีก ในการนี้จะมอบหมายให้พระมหาวิสุทธิ์มาครองกุฏิธรรมนิวาสต่อไป หากได้คุ้นเคยกันไว้ก่อนก็จะสามารถอยู่ร่วมกันต่อไปได้

    ผมได้ฟังดังนั้นก็ใจหาย เพราะปีกว่าที่มาอาศัยอยู่กับพระมหาทรงธรรม์นั้น ได้พบได้เห็นวัตรปฏิบัติที่น่านับถือศรัทธา เป็นแต่ว่าออกจะตึงและฟุ้งมากไปสักหน่อยตามแนวทางของผู้ที่เรียนรู้ทฤษฎีทางพระอภิธรรม

    ท่านเจ้าคุณพุทธทาสได้ติงไว้ในชั้นหลังว่าพระอภิธรรมนั้นเป็นการรวบรวมขึ้นในภายหลัง ไม่มีที่มาจากพระโอษฐ์ของพระบรมศาสดาโดยตรง ซึ่งสังเกตได้จากพระอภิธรรมปิฎกว่าทุกบททุกตอนไม่ได้ขึ้นด้วยบทพระบาลีว่า “เอวัมเมสุตตัง เอกังสะมะยังภะคะวา” ซึ่งเป็นคำกล่าวของพระอานนท์ว่าได้ยินได้ฟังพระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนเรื่องอะไรไว้กับใครที่ไหนและสอนว่าอย่างไรดังที่ปรากฏในพระสูตร จึงมีส่วนเกินปะปนอยู่มาก ส่วนเกินนี้ท่านเจ้าคุณพุทธทาสกล่าวว่าเป็นความจำเป็นและเหมาะสมที่มีไว้สำหรับการโต้วาที คือเพื่อการตอบโต้กับเหล่านักปราชญ์ บัณฑิต และสมณะพราหมณ์อื่นในยุคนั้น

    ท่านเจ้าคุณพุทธทาสได้ยืนยันว่ามนุษย์เรามีชีวิตไม่ยืนยาวเท่าใดนัก หากจะศึกษาทุกเรื่องทุกราวก็จะไม่ทันกับเวลาที่มีอยู่ ดังนั้นจึงพึงศึกษาเฉพาะเรื่องที่จำเป็นแก่ชีวิตให้ดี โดยเฉพาะคือในส่วนที่จำเป็นต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นให้ศึกษาได้จากพระสูตรก็เป็นการเพียงพอแล้ว

    ผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ติดตราพระเกี้ยวที่หน้าอก มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอันมาก ในขณะที่มนูญผลก็ได้แต่งชุดนักเรียนเตรียมทหารซึ่งออกจะโก้หรู เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในขณะนั้น

    หลังเปิดเรียนได้ไม่นานผมได้ถือโอกาสไปเยี่ยมลูกผู้พี่ที่อยู่หอพักของอาจารย์โรงเรียนสวนกุหลาบ ความตั้งใจจริงก็คือต้องการไปบอกให้เจ้าของหอพักได้รู้ว่าเด็กนักเรียนบ้านนอกที่เคยถูกดูหมิ่นดูแคลนว่าเรียนไม่เก่ง โง่เขลาเบาปัญญา บัดนี้สามารถสอบเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้แล้ว

    และได้พบกับท่านอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของหอพักจริงๆ พอทักทายกันตามธรรมเนียมแล้วผมสังเกตเห็นว่าอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของหอพักนั้นคงจะทราบจากการแต่งชุดนักเรียนของผมได้เป็นอย่างดีว่าผมเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคงเข้าใจเช่นเดียวกับที่ผมตั้งใจมาเหมือนกัน ดังนั้นท่าทีของเจ้าของหอพักในวันนี้จึงมีอาการไม่ค่อยเต็มใจที่จะทักทายและไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก หลังจากปฏิสันถารกันแบบขัดไม่ได้แล้วท่านก็พาลเดินกลับเข้าไปข้างในบ้านเสียดื้อๆ

    คนแบบนี้เห็นประจักษ์ชัดว่าไม่มีพรหมวิหารสี่อยู่กับใจ ในใจไม่มีความเมตตากรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อคนอื่น เพราะนอกจากชอบดูหมิ่นถิ่นแคลนคนอื่นแล้วยังเป็นคนมีจิตใจกระด้าง เห็นผู้น้อยประสพความสำเร็จบ้างก็ยอมรับไม่ได้ ในใจจริงคงต้องการให้คนอื่นโง่เขลาเบาปัญญาตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง คนเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นคนชั้นต่ำ คือมีภูมิธรรมในใจอันต่ำ ไม่ควรที่จะเป็นครูเลย เพราะหากเมื่อแม่แบบไม่มีธรรมประจำอยู่ในใจ ที่ไหนเลยจะอบรมบ่มเพาะสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนดีมีจิตใจที่งดงามได้

    มาถึงวันนี้ผมได้หวนทวนคิดถึงเหตุการณ์คราวนั้นแล้ว ก็รู้สึกเสียใจและเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องเอาเสียเลย เพราะการทำเช่นนั้นก็คือการอวดดี ซึ่งมีแต่จะเป็นโทษภัยแก่ตัว เนื่องจากความอวดดีไม่เป็นที่รักของใครๆ มีแต่เป็นที่ขุ่นเคืองใจของคนอื่น อย่างน้อยก็เป็นเหตุให้หมั่นไส้ ซึ่งที่ถูกแล้วควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตนจะดีกว่า

    ชีวิตการเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาผิดไปจากชีวิตนักเรียนของโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์อย่างลิบลับ ผมแทบจะหาเพื่อนจริงๆ จังๆ ไม่ได้เลย เพราะจะพูดจะจากับใครก็ไม่มีใครสนใจจะพูดจากัน จะชวนไปเที่ยวเตร่เฮฮาก็ไม่มีใครสนใจ ต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจจะเรียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกค่อนข้างจะผิดหวัง อึดอัด และรู้สึกว้าเหว่อย่างไรชอบกล

    เพราะชีวิตในวัยเรียนของผมก่อนหน้านี้เป็นชีวิตที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวา มีเพื่อนฝูงพูดคุยเที่ยวเตร่เฮฮาตามประสาเด็กๆ แต่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานี้ไม่มีบรรยากาศเช่นว่านั้นอยู่เลย

    ใครที่เคยผ่านชีวิตนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามาแล้วก็คงจะมีความรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่าวันเวลาที่ได้ร่วมเรียนหนังสือกันนั้นมีแต่เพื่อนเรียน แทบจะหาเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจที่คบหากันฉันท์สหายไม่ได้เลย แต่จะว่าไปก็ไม่ได้เพราะใครที่มาเข้าเรียนที่นี่ก็ย่อมเป็นที่รู้แก่ใจดีว่ามีความปรารถนามุ่งมั่นในการเรียนเป็นหลัก จึงยากนักที่จะหาใครสนใจเรื่องอื่นๆ นอกจากการเรียน ยิ่งคนที่สนใจเรื่องอื่นๆ มากๆ อย่างผมด้วยแล้วก็ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นธรรมดา

    ดูเหมือนว่าเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นของผมและห้องอื่นๆ ล้วนเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล มั่งมีศรีสุขเสียเป็นส่วนใหญ่ ทุกเช้าเย็นมีรถมาส่งมารับแน่นขนัด แต่ละคนพอโรงเรียนเลิกแล้วก็มีคนขับรถมารับไปจากโรงเรียน ไม่ยอมเถลไถลไปไหนมาไหน เหมือนกับบรรยากาศที่เคยเห็นเคยเป็นเมื่อครั้งที่เรียนหนังสืออยู่ที่บ้านเดิมหรือที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์เลย

    ดังนั้นทุกวันเมื่อเลิกเรียนแล้ว หาเพื่อนไปเที่ยวเถลไถลไม่ได้ ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนจึงจำใจต้องกลับวัด ชีวิตในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาของผมเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปีการศึกษานั้น

    ทางโรงเรียนคงจะเห็นถึงความเป็นไปในลักษณะนี้ว่าขาดลักษณะร่วม ดังนั้นจึงมีการจัดตั้งกีฬาสี แบ่งกลุ่มนักเรียนทั้งปีหนึ่งและปีสองให้สังกัดกลุ่มสีต่างๆ จำได้ว่ามีอยู่เจ็ดสี ผมถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหรือคณะสีเหลือง

    ทางโรงเรียนจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสีภายในหลายชนิด และทุกคนก็จะต้องเลือกเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นกรีฑา หรือกีฬากลางแจ้ง หรือกีฬาในร่มก็ได้ตามใจถนัด

    ผมไม่ถนัดทั้งกรีฑาหรือกีฬากลางแจ้ง ทั้งรักที่จะเล่นหมากฮอส จึงสมัครเป็นนักกีฬาหมากฮอสของคณะสีเหลือง เมื่อสมัครเป็นนักกีฬาหมากฮอสของคณะสีเหลืองแล้วก็จะต้องแข่งขันกับผู้สมัครภายในคณะสีของตนเองก่อน แล้วคัดเอาผู้ชนะเลิศลำดับที่ 1, 2 และ 3 ไปแข่งกับผู้ชนะเลิศลำดับที่ 1, 2 และ 3 ของสีอื่นๆ จนครบทุกสีเพื่อคัดหาผู้ชนะเลิศและรองชนะเลิศต่อไป.

     

แชร์หน้านี้

Loading...