เสียงธรรม สมาธิ กสิณ อภิญญา,คําสอน 200+ Hrs.หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 6 ตุลาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ลาพระโพธิญาณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ชุมพร บำเพ็ญ
    Published on Nov 3, 2014
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ *คำเตือนสำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักหลวงพ่อของผม** การนำคำสอน การฝึกมโนมยิทธิ เรื่องราวที่ท่านเล่าเรื่องประวัติคณาจารย์ ประวัติศาสตร์ คาถาและพิธีกรรมต่างๆมาประมวลไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อประโยชน์ของบรรดาศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั้งหลายที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโรมหาเถระ) โดยเฉพาะ ถ้าท่านไม่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ และบังเอิญมาอ่านพบเข้า ขอให้ทำใจเป็นอุเบกขา หรือให้ข้ามไปเสีย อย่าดูอย่าฟัง ถ้าท่านอยากดูและเมื่อได้ดูแล้วก็ไม่เชื่อไม่เลื่อมใส ก็ขอให้วางใจเป็นกลางอย่าได้ประมาทปรามาสล่วงเกินเข้าจะเป็นโทษ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    กรรมฐานใหญ่..กายคตานุสติกรรมฐาน ธรรมะเทศนาโดย..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    นายพิชิต กิมขาว
    Published on Mar 27, 2018
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ลักษณะของบุคคลที่จะได้บรรลุธรรม พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)

    ธรรมะ วัดป่า
    Published on Apr 12, 2018
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่า คนนั้นชั่วคนนี้ดี แสดงว่าเราเลวมาก เราควรจะดูใจของเราต่างหากว่า เรามันดี หรือ เรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้า ก็เรื่องของเขา ถ้าเราดีแล้ว ก็หาคนเลวไม่ได้
    รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    ท่านสอนให้ยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา วางทุกข์เสีย ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรา มีอยู่ในโลกเท่านี้เอง

    หลักสูตรในพระพุทธศาสนานี้ ไม่มีอะไร เบื้องสูงลงมา ท่านสอนตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงฝ่าเท้า เบื้องต่ำขึ้นไป ท่านสอนตั้งแต่ปลายเท้าถึงปลายผม มีแค่นี้

    εïз
    ถ้าเราไปเพ่งเล็งคนอื่นว่า คนนั้นชั่วคนนี้ดี แสดงว่าเราเลวมาก เราควรจะดูใจของเราต่างหาก ว่า เรามันดี หรือเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียว ใครเขาจะเลวร้อยแปดพันเก้า ก็เรื่องของเขา ถ้าเราดีแล้ว ก็หาคนเลวไม่ได้

    เพราะเรารู้เรื่องของคน คนมาจากอบายภูมิก็มี คนมาจากสัตว์เดรัจฉานก็มี คนมาจากมนุษย์ก็มี มาจากเทวดาก็มี มาจากพรหมก็มี มันจะเสมอกันไม่ได้ ถ้าพวกมาจากอบายภูมิ สอนยากป่วยการสอน

    εïз
    คนใดก็ตามที่ประกาศตนเป็นอาจารย์พระพุทธเจ้า รู้ดีเกินพระพุทธเจ้า ที่บอกของพระพุทธเจ้าไม่ดีไม่ทันสมัย เอาอย่างโน้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า ผมไม่คบด้วย พวกจัญไรนี่ไม่คบ คบยังไง มันจะไปไหน ไอ้พวกนี้ โน่น อเวจีมหานรก

    เพราะทำคนทั้งหลายที่มีเจตนาดี ให้มีมิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติผิด ฟังความเห็นผิด กรรมมันมาก

    εïз
    ของสงฆ์ที่ตากแดดตากฝนอยู่ ถ้าจะเกิดความเสียหาย ถ้าพระองค์ใดหรือว่าหลายองค์เดินหลีกไป ไม่เก็บของที่ควรจะเก็บ ปรับอาบัติทุกเที่ยวที่ผ่าน อาบัติที่ปรับนี่ ไม่ต้องรอพิพากษานะ มันล่อเลย ผ่านไปแบบไม่แยแส ไม่สนใจ เป็นโทษทันที

    นี่ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์ เห็นของอะไรก็โยนทิ้ง ๆ ไม่ใช่ ท่านรักษากำลังใจของคนอื่นที่มีศรัทธา ยิ่งกว่ากำลังใจของท่าน เพราะวัตถุทุกอย่างจะพึงมีได้ ก็ต้องอาศัยชาวบ้าน ชาวบ้านกว่าจะได้มาแต่ละชิ้น ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ฉะนั้น พระต้องรักษาทรัพย์สินของชาวบ้าน ให้ยิ่งกว่าชาวบ้านรักษาทรัพย์

    εïз
    อภิธรรมที่พระสารีบุตร ท่านเทศน์ทั้ง ๗ ประการ มีนิดเดียว ที่เขาสอนกันนี่มีหลายร้อยหน้า แล้วก็ ๘ หน้ายก ผมว่ามันเลอะเทอะเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตำหนิคนศึกษา เพราะสนใจธรรมก็เป็นเรื่องน่าโมทนา แต่ว่าทำกันมากเกินไป มันก็สร้างความยาก การบรรลุเข้าก็ถึงช้า

    เพราะในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตุริตะ ตุริตัง สีฆะ สีฆัง เร็วๆ ไวๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีการเนิ่นช้า จำไว้ให้ดีนะ อย่าประมาทในชีวิต
    εïз
    การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีความห่วงอยู่อย่างเดียว คือ ความดับไม่มีเชื้อ ถ้าบวชตามประเพณี เขาเรียกว่า บวชซื้อนรก

    พระนี่แค่กินข้าว ไม่พิจารณาให้เป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา หลงในรสอาหาร กินเพื่อความอ้วนพี กินเพื่อความผ่องใส อย่างนี้ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่า กินก้อนเหล็กที่เผาจนแดงโชนดีกว่า

    εïз
    บุคคลใดเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาแล้ว มีศรัทธา-ความเชื่อ ปสาทะ-ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีจิตน้อมไปในกุศล แสดงว่าบุคคลนั้นมีบารมี เข้าถึงปรมัตถบารมี สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    εïз
    เนกขัมมบารมี จริง ๆ ก็คือ จิตระงับนิวรณ์ ๕ ถ้าบวชแล้ว จิตระงับนิวรณ์ ๕ ไม่ได้ ท่านไม่ถือว่าเป็นอันบวชนะ ยังไม่เรียกสมมุติสงฆ์

    ถ้าระงับนิวรณ์ ๕ ได้ ท่านเรียกสมมุติสงฆ์ ถ้าระงับนิวรณ์ ๕ ไม่ได้ ท่านเรียกเปรตในเครื่องห่มผ้าเหลือง เพราะจิตมันจุ้นจ้าน

    จิตของเรา ถ้าหากนิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งเมื่อไร มันก็เป็นฌานเมื่อนั้น นี่มันก็ไม่มีอะไรยาก ถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็ง จะไม่ยอมเชื่อไอ้ตัวร้ายนิวรณ์นี่

    ทีนี้ในเมื่อเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น ขณะพิจารณาก็มองดูแต่ขันธ์ ๕ อย่างเดียว และภาวนาก็จับเฉพาะลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนาว่า พุทโธ อันนี้นิวรณ์มันไม่กวนจิต เข้าถึงปฐมฌานทันที

    ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ถึงปฐมฌาน ผลแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณของท่านทั้งหลาย จะไม่มีผลตามต้องการ เพราะจิตมีกำลังไม่พอที่จะทำลายกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหานได้

    εïз
    การเจริญพระกรรมฐาน ไม่ได้หมายความว่า ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไป ถ้าเราใช้แต่เวลาที่นั่งสมาธิ มีเวลาสงัด จิตใจของเราจึงจะกำหนดถึงพระกรรมฐาน อย่างนี้ใช้ไม่ได้

    เนื้อแท้การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้ นึกถึงกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า ท่านเข้าถึงพระกรรมฐาน และพระกรรมฐานเข้าถึงท่าน

    เวลาที่ปฏิบัติน่ะ ไม่ใช่มานั่งเงียบๆ นะ กลางวันก็ทำงานก่อสร้างด้วย เรียนหนังสือด้วย นุงนังจิปาถะ ไม่ใช่นั่งเฉพาะไม่มีงานมีการ แบบนี้พระพุทธเจ้าไม่ใช้

    แบบที่เข้ากุฏิเจริญพระกรรมฐาน กินข้าวก็มีคนไปส่งข้าว ล้างชามไม่ได้ แบบนี้ไม่ใช่พระ พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ล้างบาตรเอง เช็ดบาตรเอง ทำความสะอาดพื้นที่เอง ทำแบบนั้นก็ดีเกินพระพุทธเจ้า ก็ไปชนเอาพระเทวทัตเข้านะซิ ไม่เป็นเรื่อง เรื่องของพระนี่ สำรวยไม่ดี ต้องทำได้ทุกอย่าง

    εïз
    ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปนิพพาน เป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบว่า คำว่า อยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่อ อยากไปนิพพาน ก็แสดงว่า เป็นตัณหาเหมือนกัน

    ก็เลยบอกว่า นี่แกเทศน์ แล้วแกเดินลงนรกไปเลยนะ แกเทศน์แบบนี้ แกเลิกเทศน์แล้ว ก็เดินย่องไปนรกเลย สบายไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก

    ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการทรงไว้ซึ่งความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก

    εïз
    อารมณ์พระกรรมฐาน กับ อารมณ์ชาวโลก ไม่เหมือนกัน มันกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไอ้การงานของชาวโลกนี่ ถ้าขยันมาก มุมานะมาก ผลงานมันสูงแล้วก็ดี

    แต่การเจริญพระกรรมฐาน มุมานะมาก ถอยหลัง แทนที่จะก้าวหน้า มันกลับลงต่ำ ใช้ไม่ได้ เพราะว่าการปฎิบัติความดีเพื่อการบรรลุในพุทธศาสนา ต้องละส่วนสุดสองอย่าง คือ

    หนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนที่ เรียกว่าขยันเกินไป

    สอง กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทรงสมาธิ หรือพิจารณาวิปัสสนาญาณ มีตัวอยากประกอบไปด้วย อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะถึงอย่างนี้ อยากจะได้ตอนโน้น

    อีตอนนี้มันเจ๊งทั้งสองทาง ที่ถูกคือ จะต้องวางใจเฉยๆ ปล่อยอารมณ์ให้มันไปตามสบายๆ

    εïз
    การบำเพ็ญบารมีใด ๆ หรือ สร้างความดีใด ๆ เราจะตั้งมโนปณิธาน ความปรารถนา หรือไม่ก็ตาม ถ้าทำความดีมากครั้งเข้า ในที่สุดความชั่วก็สลายตัวไป เราก็เข้าถึงพระนิพพาน ตามเจตนา หรือไม่เจตนา ก็จะต้องเข้าถึง

    ในเมื่อความชั่วถูกตัดเป็นสมุจเฉทปหาน แต่ทว่าถ้าปราศจาก อธิษฐานบารมี กว่าจะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็รู้สึกว่า มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือไม่ค่อยจะตรงนัก

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้มี อธิษฐานบารมี ในการนี้ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจกล่าววาจาว่า

    อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ แปลเป็นใจความว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นี่ก็หมายความว่า เราจะเอาชีวิตของเรา เข้าแลกกับความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงแนะนำไว้ อย่างนี้ อาศัยเจตนาและความตั้งใจ จัดว่าเป็น อธิษฐานบารมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะเข้าถึงความดีด้วยความรวดเร็ว อย่างคาดไม่ถึง

    εïз
    ถ้าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทรงความดีของจิต ในวันหนึ่ง ๓ นาที ก็คิดว่า ๑๐ วัน มันก็ ๓๐ นาที ๑๐๐ วัน มันก็ ๓๐๐ นาที ความดี มันสะสมตัว

    เมื่อเวลาใกล้จะตาย อารมณ์จิต ที่เราทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้ดีบ้าง ไม่ได้ดีบ้าง ในระยะต้น มันจะเข้าไปรวมตัวกันตอนนั้น จนกลายเป็น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

    เมื่อเวลาจะตาย จิตใจจะน้อมไปในกุศล ถ้าตายจากความเป็นคน อย่างเลวก็เป็นเทวดา ถ้าจิตสามารถควบคุมอารมณ์ใจได้ถึงฌาน ก็จะเป็นพรหม

    εïз
    อริยสัจ เขาสอน ๒ อย่างเท่านั้น สำหรับอีกสองอย่างไม่มีใครเขาสอนหรอก

    อย่าง นิโรธะ แปลว่า ดับ อันนี้มันตัวผล ไม่ต้องสอน มันถึงเอง
    มรรค คือ ปฏิปทาเข้าถึงความดับทุกข์ มันก็ทรงอยู่แล้ว คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    นี่ อริยสัจ เขาตัดสองตัว คือ ทุกข์ กับ สมุทัย นี่เท่านั้น

    εïз
    ไอ้เรื่องการเข้าฌานนี่ มันต้องคล่อง เหมือนกับเราเขียนหนังสือคล่องแคล่ว จะเขียนเมื่อไรเราก็เขียนได้ ไม่ใช่เขาบอกว่า เอ้าเข้าฌานซิ มานั่งตั้งท่า ขัดสมาธิ มันก็เสร็จแล้ว มันไม่ทัน เวลาเราจะตายจริง ไปตั้งท่าได้เมื่อไร มันต้องคล่อง

    การจะทำให้คล่อง มันก็มีอยู่ว่า ต้นๆ ถ้าจิตมันเข้าถึงอารมณ์สมาธิ ตอนไหนก็ตาม พยายามทรงสมาธินั้นไว้ และพยายามทรงสมาธิให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้ ใหม่ๆ มันก็อึดอัด ไม่ช้าก็เกิดอาการชิน มันชินเสียจนช้าไม่เป็น

    เวลาจะตาย เขาเข้าฌานตายกัน คนที่เข้าฌานตาย มันไม่ตายเหมือนชาวบ้านเขา อาการตายเหมือนกัน แต่ความหนักใจของบุคคลผู้ทรงฌานไม่มี ทั้งนี้เพราะ ถ้าจิตทรงฌาน อารมณ์ก็เป็นทิพย์

    เมื่ออารมณ์เป็นทิพย์แล้ว ก็สามารถจะเห็นในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ ในเมื่อเราเห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เราก็รู้สภาวะความเป็นทิพย์ของเราได้

    คนที่เขาเข้าฌานตาย นี่เขาเลือกไปตามอัธยาศัยว่า เขาจะไปจากร่างกายอันนี้ เขาจะไปอยู่ที่ใหม่ เขาจะไปอยู่ที่ไหน นี่รู้ก่อน คนที่ทรงฌานจริงๆ สถานที่ที่จะพึงอยู่ได้คือ พรหมโลก ถ้าหากว่าเราไม่อยากอยู่พรหม อยากจะอยู่สวรรค์ ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมา อันนี้ก็เลือกได้

    εïз
    เวลาไหนที่เราฝึกหัดอิริยาบถ เดินไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง ไม่ต้องไปยกๆ ย่องๆ ทำแบบไอ้โรคสันนิบาต ไม่ใช่นะ แบบเดินธรรมดา อิริยาบถนี่ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างเดียว

    อย่างเราเดินไปบิณฑบาต เดินไปทำธุระ ทำกิจการงานทุกอย่าง ให้รู้อยู่ว่า เวลานี้เราทำอะไร อย่าไปฝึกอย่างค่อยๆ ยกนิด ย่างหน่อย อันนี้ใช้ไม่ได้

    ให้ถืออารมณ์ปกติ เราเดินธรรมดา นี่เราก้าวเท้าซ้าย เราก้าวเท้าขวา ก้าวไปข้างหน้า หรือ ถอยมาข้างหลัง เหลียวซ้าย หรือเหลียวขวา ใช้สติเข้าควบคุม

    εïз
    ทีนี้ก็อย่าลืมนะ เราต้องมี โพชฌงค์ ประจำใจ แล้วก็มี อานาปานุสสติ ประจำอยู่ตลอดเวลา อย่าทิ้งนะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทิ้ง ถ้าพวกคุณทิ้ง อานาปานุสสติ แสดงว่าพวกคุณดีกว่าพระพุทธเจ้า ไปอยู่กับเทวทัตนะ

    นักเจริญ มหาสติปัฏฐาน เขาต้องดูอารมณ์ อารมณ์ตัวใดมันเกิด ตัดตัวนั้นทันที ไม่ได้ไปนั่งไล่เบี้ย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ถึง ๑๓ จบ เป็นอรหันต์ ถ้าคิดแบบนี้ ลงนรกมานับไม่ถ้วนแล้ว เขาต้องรวบรวมกำลัง มหาสติปัฏฐาน ทั้งหมดทุกบรรพ เข้ามาใช้ ในขณะอารมณ์นั้นเกิด ทันที

    ไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้ได้แล้ว ก็ทิ้งอย่างนั้น ไปจับขั้นต่อไป ต่อไปพอใจสบาย ก็ทิ้งอย่างนี้ ไปจับตัวโน้น อย่างนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วน เพราะว่าไม่เข้าถึงความเป็นจริง ตกอยู่ในเขตของความประมาท

    εïз
    ท่านผู้ใดปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าไม่สามารถจะทำจิตปลงให้ตกในด้าน กายคตานุสสติกรรมฐาน ทำจิตเป็น เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อย่างเดียว เห็นว่าร่างกายของเราก็สกปรก ร่างกายคนอื่นก็สกปรก เป็นของไม่น่ารัก ถ้าไม่สามารถผ่านกรรมฐานบทนี้ไปได้ ความเป็นพระอนาคามี ไม่ปรากฏแก่ท่านแน่ๆ

    εïз
    ผมบอกจุดสำคัญไว้ให้ก็ได้ว่า ทุกท่านที่บรรลุมรรคผล หรือ แม้แต่ทรงฌานโลกีย์ เขาใช้ จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เป็นประจำทุกวัน

    พวกคุณอย่าทิ้งเชียวนะตัวนี้ ตัวที่บรรลุจริง ๆ อยู่ตรงนี้ นักปฏิบัติทุกองค์ที่บรรลุก็จับนี่เป็นเนติ เนติ แปลว่า แบบแผน ถือว่าเป็นตัวอย่าง ถือว่า เป็นครูใหญ่ ใช้ดูอารมณ์ใจ ไม่ต้องไปดูอะไร เพราะว่าไอ้กิเลสมันเกิดที่ใจ เอาอารมณ์ใจเข้ามาดู สติคุม ธัมมวิจยะ พิจารณา

    εïз
    ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่ มันรู้สึกว่า ง่ายบอกไม่ถูก เมื่อถ้าฌาน ๔ เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสสนาญาณ ก็ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ

    เราจะต้องตัดตัวไหนล่ะ ตัดราคะ ความรักสวยรักงาม เราก็ยก อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ ยก กายคตานุสสติกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ เปรียบเทียบกันว่า ไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาด หรือมันสกปรก

    กำลังของฌาน ๔ นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัดพอ ตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ

    รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊บ ไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อ สีสัน วรรณะ ขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้

    εïз
    พระพุทธเจ้า จึงได้บอกว่า คนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และรู้จักใช้อารมณ์ของฌาน ๔ ควบคุมวิปัสสนาญาณได้

    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    มีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ ปี

    บารมี เขาแปลว่า กำลังใจ

    มีบารมีแก่กล้า คือ มีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน

    แต่ว่าถ้าบารมี มันเข้มบ้างไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่จริงบ้าง ย่อ ๆ หย่อน ๆ ตึงบ้างหย่อนบ้าง อย่างนี้ท่านบอกภายใน ๗ เดือน

    ทีนี้บารมีย่อหย่อนเปาะแปะ ๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างตามอารมณ์ อย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี

    นี่ผมพูดถึงคนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน ๔ ควบวิปัสสนาญาณ ถ้าโง่ละก็ ดักดานอยู่นั่นแหละ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นอรหันต์

    εïз
    ไอ้ตัว สงบ นี่ ต้องระวังให้ดีนะ มันไม่ใช่ ว่าง คำว่า สงบ นี่ไม่ใช่ว่าง จิตของคนนี่มันไม่ว่าง คือว่า มันต้องเกาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้ามันละอกุศลมัน ก็ไปเกาะกุศล

    ไอ้จิตที่เรียกว่าสงบ ก็เพราะว่า สงบจากกรรมที่เป็นอกุศล คือ อารมณ์ที่เป็นอกุศล อารมณ์ชั่ว สงบความปรารถนาในการเกิด

    อารมณ์สงบ คือ ไม่คิดว่าเราต้องการความเกิดอีก และจิตก็มีความสงบ เห็นว่า สภาพร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    ไอ้ตัว คิดว่าเรา ว่าของเรา นี่ สงบไป สงบตัวยึดถือวัตถุก็ตาม สิ่งมีชีวิตก็ตาม ว่าเป็นเรา เป็นของเรา นี่ตัว สงบ ตัวนี้นะ

    มีอารมณ์เป็นปกติอยู่เสมอ คิดว่า อัตภาพร่างกายนี้ ไม่มีเรา ไม่มีของเรา และมันก็ไม่มีอะไรเป็นเราอีก หาตัวเราในนั้นไม่ได้

    εïз
    พยายามเพียรทรงตัวไว้ ทำใจว่าจะไม่ฝืนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เพียรทรงไว้แต่ความดี เพียรละความชั่วอยู่ตลอดเวลา กรรมอะไรก็ตาม อารมณ์ใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอารมณ์ของความชั่ว ต้องเพียรต่อต้านมันนะ

    แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา หาความเป็นจริงให้พบ เมื่อพบความเป็นจริงแล้ว ก็เพียรถือมันเข้าไว้ คือ ทรงความเป็นจริงไว้ในใจ ยอมรับนับถือตามความเป็นจริง คิดไว้เสมอว่า ไม่มีที่ใดที่จะดีไปกว่า พระนิพพาน นะ

    εïз
    ความจริงคนเราทุกคน ไม่ต้องกลัวตาย กลัวเกิดดีกว่า ถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว มันจะตายอย่างไรให้มันรู้ไป ถ้าไม่เกิด ให้มันตายที

    ทีนี้เราเกิดมา เพราะ ตาเราเห็นรูป เรา พอใจ ในรูป หูได้ยินเสียง พอใจ ในเสียง เป็นต้น ความพอใจ ไอ้ตัวจริง ๆ ที่เป็นตัวร้าย

    ที่เราจะต้องตัดคือใจ ตัดอารมณ์ของใจเสีย อย่าให้ใจมันโง่ แนะนำมัน บอกว่า นี่แกไปหลงใหลใฝ่ฝันในรูป รูปนี้สวยทรวดทรงดี ถามมันดูซิว่า มีรูปอะไรที่มีการทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่มีการทรุดโทรม ไม่มีการเสื่อม มันมีบ้างไหม ถามใจมันดู

    εïз
    การเป็นพระอรหันต์ ไม่เห็นยาก คือ

    ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก

    ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการ คือ พระนิพพาน

    มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอยู่เป็นปกติ คือว่า ไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด

    εïз
    ถ้าคนจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่า

    ไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้งรูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจแต่คิดแต่เพียงว่า นี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี

    ตัวมานะ ถือว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ไม่มี

    และ อารมณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศล ไม่มี

    และตัวสุดท้าย ก็เห็นว่า โลกทั้ง ๓ โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา

    เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ ทั้ง ๓ โลก มันเป็นแกนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุด คือ พระนิพพาน

    อันนี้ถ้าเป็น สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นแดนของความสุขจริง แม้ท่านจะไม่เห็น

    หากว่า วิชชา ๓ ก็ดี อภิญญา ๖ ก็ดี ปฎิสัมภิทาญาณ ก็ดี นี่เขาไปที่นิพพานได้เลย จะสามารถเห็น พระนิพพาน ได้เท่าๆ กับ เห็นของที่มองอยู่ข้างหน้า
    แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพาน ไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้

    คัดลอกจาก หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ
    ของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วีระ ถาวโรมหาเถร เล่ม ๑
    :- http://buddhasattha.com/2010/03/รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ/
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ฝึกกสิณ ๑๐ อย่าง รู้อย่างชัดแจ้งละเอียด หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

    ธรรมะ วัดป่า
    Published on Apr 18, 2018
    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เกิด 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 มรณภาพ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 อายุ 76 อุปสมบท 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 พรรษา 56 วัด วัดจันทาราม (ท่าซุง) ท้องที่ อุทัยธานี สังกัด มหานิกาย วุฒิการศึกษา เปรียญธรรม 4 ประโยค นักธรรมชั้นเอก ตำแหน่ง ทางคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง )
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018


    นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้ว ดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่า ทุกลมหายใจเข้า ออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัย เพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่ง สังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขาร นี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญา ความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วย จะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้ว นั้นเราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้ว เอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมาก เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารัก ได้เลย
    ๖. มุญจิตุกัมมยตาญาณ ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้ว จากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติ เป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บจนเกิดความเบื่อหน่าย เพราะหาความเที่ยง ความแน่นอนไม่ได้ ท่าน ให้พยายามหาทางพ้นต่อไปด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มี สังขารแล้ว ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย การที่หาทางเบื่อหน่าย ท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิดดังต่อไปนี้
    ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย เป็นต้น มีขึ้นได้เพราะชาติ คือ ความเกิด ชาติ ความเกิดมีได้เพราะ
    ภพ คือความเป็นอยู่ ภพ คือภาวะความเป็นอยู่ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อุปาทาน ความยึดมั่น
    อุปาทาน ความยึดมั่นมีขึ้นได้ เพราะอาศัย ตัณหา คือความทะยานอยาก คือ อยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ
    ตัณหา มีได้ เพราะอาศัย เวทนา คือ อารมณ์ที่รู้สึกสุข ทุกข์ และเฉยๆ
    เวทนา มีขึ้นได้ เพราะอาศัย ผัสสะ คือ การกระทบกระทั่ง
    ผัสสะ มีขึ้นได้ เพราะอาศัย อายตนะ ๖ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกสูดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ
    อายตนะ ๖ มีขึ้นได้เพราะอาศัย นามและรูป คือ ขันธ์ ๕ สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายเรียกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม ท่านรวมเรียกทั้งรูปทั้ง นามว่า นามรูป
    นามรูป มีขึ้นได้เพราะอาศัย วิญญาณปฏิสนธิ คือ เข้ามาเกิด วิญญาณ ในที่นี้ท่านหมายเอาจิต ไม่ได้หมายเอาวิญญาณในขันธ์ ๕
    วิญญาณ มีขึ้นได้เพราะ มีสังขาร
    สังขาร มีได้เพราะอาศัย อวิชชา คือ ความโง่เขลาหลงงมงาย มีความรัก ความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ
    รวมความแล้ว ความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้น จนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัยอวิชชา ความโง่เป็นสมุฏฐาน ฉะนั้น การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออก ด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอนจึงจะพ้นสังขาร นี้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ คือเห็นว่า สังขารที่เป็นแดน ของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่า สังขารมีทุกข์ประจำ เป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่า เห็นทุกขสัจจะเป็นอริยสัจที่ ๑ พิจารณาเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็น อยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓ นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับ คือนิโรธเสียได้ จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิ เป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสีย ได้ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔ ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิต ครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔ แต่อย่าเพ่อพอ หรือคิดว่าดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้ว นั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    บุคคลตัวอย่างในสมัยพุทธกาล 07 กีสาโคตมีเถรี หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    online dhamma
    Published on Apr 26, 2018
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ฝึก ฌาณ สมาบัติ ๑- ๘ # ตอนที่ ๑ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ฝึก ฌาณ สมาบัติ จากขั้น ๑ - ๘ # ตอนที่ ๒ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    ฝึก ฌาณ สมาบัติ ๑ - ๘ # ตอนที่ ๓ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ธรรมะ วัดป่า
    Published on Apr 26, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2018
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    การเจริญสมาธิกรรมฐานให้ได้ผลเร็ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    นายพิชิต กิมขาว
    Published on Nov 29, 2017
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    สูตรยาแก้โรคมะเร็ง พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมญาณเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณมาตั้งแต่ยังไม่ บวช หลังจากบวชแล้วก็ได้เป็นผู้ช่วยหลวงปู่ปานรักษาคนไข้ และได้วิชาแพทย์จากท่านที่มีอทิสสมานกายอีกมาก วิชาเหล่านี้ต่อมาจากท่านทิ้งหมด จนกระทั้งเริ่มรับลูกศิษย์ และเห็นทุกขเวทนาของศิษย์บางคน จึงได้บอกยาต่าง ๆ ให้ ดังจะอธิบายตัวอย่างพอสังเขปดังนี้

    ยาแก้โรคมะเร็งและโรคอักเสบภายใน
    ตัวยา ขมิ้นชัน ๑ กำมือ กับหญ้าแพรก ๑ กำมือ โขลกให้ละเอียดคั้นกับน้ำปูนใส (ปูนกินกับหมาก) แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง วิธีใช้ รับ ประทานครั้งละประมาณ ๑ ถ้วยชา หรือประมาณ ๓๐ ซี.ซี รับประทานวันละ ๑ ครั้ง ก่อนอาหารเช้า ๓๐ นาที หรือ ๑๕ นาที เป็นอย่างน้อย
    รักษาโรคมะเร็ง และโรคอักเสบต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ฯ ล ฯ
    ถ้าโรคเบาหวาน ขณะที่กินยา ห้ามกินกะปิกับของแสลง คือของหวานในช่วงกินยา ๓ วันหาย
    ประวัติของยานี้หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ยานี้ท่านหมอ โกมารภัจมาบอกหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า
    “ ยานี้คือยารักษาโรคมะเร็ง โรคเบาหวานเพียงแค่พื้น ๆ โรคกระเพาะ โรคตับนี้รักษาง่าย ท่านบอกว่า แต่อย่าไปรับรองชาวบ้านเขานะ ห้ามรับรองชาวบ้านเขา ฝีในท้องกิน ๓ ระยะ ๆ ๓ วัน เว้น ๗ วันหาย
    บอกว่าถ้าหัวฝีแตกยิ่งดีใหญ่ โรคไต ๓ ถ้วยหายโรคอักเสบทั้งหมดรักษาได้ทุกอย่าง โรคเบาหวานห้ามกินกะปิ และของหวานในช่วงเวลาที่กินยา คนไข้คนไหนไม่เว้นของแสลง ไม่ควรสงสาร เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่รัก แล้วเราจะไปรักทำไมต้องถือคตินี้นะ
    ประวัติ ความเป็นมา
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตอนนั้นอยู่ชัยนาท คุณสมศรี เธอเป็นโรคมะเร็งในมดลูก รักษาตัวมาเป็นเดือนหมดเงินเป็นหมื่น มะเร็งระยะสองไม่หาย เธอมาปรารภอาการป่วยให้ฟัง ยาฉันก็ไม่มี ฉันไม่รู้จะไปหาที่ไหน นั่งนึกถึง ท่านโกมารภัจ ท่านก็มาท่านบอกให้แม่มันไป ตลาดโพธิ์นางดำ ไปถามหมอโบราณที่นั่น หมอชื่ออะไร รูปร่างอย่างไร ท่านก็ไม่บอก บอกไปเถอะไปเจอใครเขาบอกยาองเขารักษาหาย ให้เอามารักษาจะหาย ไม่ใหม่ประวัติความเป็นมาจำไว้นะ
    แล้ว แกก็ไปหาทันที ไปรอลงเรือที่ ประตูน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ก็ไปรอลงเรือ
    ไอ้ท่าเรือก็มีผู้ชายคนหนึ่งผอมโปร่งผิวขาว แต่งตัวเรียบร้อยไม่พูดไม่จากับใคร
    นั่งเฉยหัว ก็ขาวโพลน นั่งเฉยคอยเรือเกือบชั่วโมงไม่พูดกับใครเลย
    เวลาลงเรือหางยาวบังเอิญ นั่งคู่กันไป เรือวิ่งไปประมาณ ๑ กิโลเมตร แกหันมาถามว่าหนูจะไปไหน บอกจะไป ตลาดโพธิ์นางดำ ถามไปทำไม บอกลูกสาวประจำเดือนออกไม่หยุด หมอบอกเป็นมะเร็งที่มดลูก
    ชายคนนั้น แกถามต่อไปว่า แล้วนี่จะไปไหน บอกไปหาหมอ ถามหมอชื่ออะไร แกบอกไม่รู้ บอกไม่รู้ไปอย่างไร
    บอกว่าพระท่านบอกถ้าไปเจอหมอที่ โพธิ์นางดำ ท่านเป็นหมอโบราณ
    ถ้าท่านบอกยารักษาหายให้นำมาเลย บอกถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไป ยาที่ฉันมีพอเรือหางยางสวนมาแกกวักมือบอกกลับได้แล้ว ปรากฏว่าวันหลังไปถามเรือหางยาวคนนั้นว่า คนรูปร่างแบบนั้นขึ้นที่ไหน ไอ้เรือหางยาวเขารู้จักกันบอกเวลานั่งมาเห็น เลาขึ้นไม่เห็นตอนขึ้นเขาเก็บสตางค์ ไม่เห็นโดดน้ำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
    แกทำกินไม่ถึงถ้วยชา แคครึ่งถ้วยชา ถ้วยเดียวหาย แต่ท่านบอกว่าให้กิน ๓ ถ้วย แล้วจะหายสนิทมะเร็งนี่นะ ไอ้โรคเบาหวานเรื่องเล็ก ๆ เล็ดหมดเลย เบาหวานขนาดม้า มะเร็งขนาดช้าง ท่านเลยบอกว่าหาย ไอ้โรควัณโรคนานหน่อยนะ กิน ๓ วันติด ๆ กัน เว้น ไป ๗ วัน ๓ ระยะ เท่ากับกิน ๙ ถ้วยหาย
    ท่านก็เลยสรุปอักเสบทั้งหมดใช้ได้หมดเลย เดี๋ยวลองถามท่านกินบ่อย ๆ จะได้ไหม ท่านบอกว่าป้องกันโรคต่าง ๆ ปีละงวด ๓ ถ้วย กิน ๓ วัน ถ้ากินป้องกันร่างกายทรุดโทรม ๖ เดือนงวด จะไปกินเร็วกว่านั้นไม่ได้ ๖ เดือนกิน ๓ ถ้วย
    แต่ท่านบอกว่าอย่าไปรับรองใครเขานะ บอกเราเคยกินหายมาแล้ว เราอย่าไปรับรองผล ถ้าบังเอิญมันเป็นระยะปลาย และคนนั้นจะต้องตายมีอยู่ อย่าไปรับรองเขา แล้วท่านบอกว่า หญ้าแพรกทำให้เย็น ขมิ้นรักษา และน้ำปูนใสทำให้อย่างแห้งเร็ว
    หมายเหตุ ก่อนกินยานี้ให้นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ ขอพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้โรคหายไปจากร่างกาย ขอพรท่านโกมารภัจเจ้าของยา ขอให้ท่านช่วยให้ยานี้มีฤทธิ์ทำลายโรคให้หมดไป ขอพรท่านแม่ศรีช่วยด้วย ขอให้โรคทั้งหลายสลายตัวไปให้หมด นับตั้งแต่กินยานี้เข้าไปแล้ว ยานี้ใช้ได้ผลเฉพาะบุคคลที่มีความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เท่านั้น


    **************************
    พระพุทธคาถาแก้รักษาโรคมะเร็ง

    วันพระ 15 ค่ำ ทรงศีล 8 บวงสรวงโดยใช้คำบวงสรวงของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ
    แต่งชุดขาว อธิษฐานภาวนาด้วยพระคาถารักษาโรค
    พุทธังทลาย ธัมมังหาย สังฆังสูญ
    พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา
    แล้วสูดลมกลั้นหายใจ 1 อึด
    และภาวนาตามลมหายใจเข้าออกนึกในใจว่า
    สัมพุทโธมะอะอิ ระโชหะระนัง ระชังหะระติ
    ที่มา:http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    อานิสงส์การบวชเณร และ ถวายสังฆทาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    สุดท้ายทางธรรม สงบร่มเย็น
    Published on Jun 20, 2017
    อานิสงส์ถวายสัพพทาน ...... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ
    ๑. ให้ของที่สะอาด
    ๒. ให้ของประณีต
    ๓. ให้ถูกกาล
    ๔. ให้ของที่สมควร
    ๕. เลือกให้
    ๖. ให้เสมอ ๆ
    ๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
    ๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ
    สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา
    ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ ๆ นครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นมีพระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ ก็เอา ประธูปประทีปคันธรสของหอมแล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่ง จึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังรือพระเจ้าข้า “ภควา” อันว่าองค์ ... สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลาย ๆ ชนิดเป็นต้นว่า
    สร้างพระพุทธรูปก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
    สร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป
    ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป
    ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป
    ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
    ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป
    ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
    ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทรายก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป
    ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
    ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็น ทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป
    ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป
    ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป
    ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป
    ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป
    บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จะได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
    ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป
    ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป
    สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    นางบัวคลี่เมียของขุนแผน / หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    Dhamma Buddha 1
    Published on Jan 1, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    การตัด กามฉันทะ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    วิธีการละความชอบใจในกามของพระอนาคามีบุคคล/ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    Buddhism Channel
    Published on Jun 8, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    บวชพระอย่าให้ติดหนี้สงฆ์/ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    Hanaka man
    Published on Jul 3, 2017
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่องพระอรหันต์

    พระอรหันต์ปลอมมาลองภูมิ หลวงพ่อ/ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    FungKhorKid
    Published on Mar 26, 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,440
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าเรื่อง | หญิงแก่ขวางทาง

    FungKhorKid
    Published on Feb 23, 2017



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2023

แชร์หน้านี้

Loading...