สมองมนุษย์ อวัยวะมหัศจรรย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pongsiri, 11 เมษายน 2005.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    เรื่อง จักรพันธุ์ กังวาฬ
    ภาพ ฝ่ายภาพสารคดี


    [​IMG]
    โดยลักษณะทางกายภาพ สมองมนุษย์มีขนาดใกล้เคียงผลส้มโอ น้ำหนักประมาณ ๑.๓ กิโลกรัมเท่านั้น เป็นก้อนเนื้อที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก
    ทว่านับพันปีจากยุคกรีกโบราณที่มนุษย์ทุ่มเทศึกษาสมองของเผ่าพันธุ์ตนเอง จนถึงปัจจุบันที่เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ก้าวหน้าขั้นสุดยอด ความพยายามของเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักประสาทวิทยาที่จะไขปริศนากลไกอันสลับซับซ้อนของสมอง ก็คืบหน้าไปเพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้น และยิ่งศึกษามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งค้นพบความมหัศจรรย์ไม่จบสิ้น
    อวัยวะเช่นแขน ขา อาจขาดหายไปโดยเรายังมีชีวิตอยู่ได้ อวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น หัวใจหรือไต ก็สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายได้ แต่เราไม่มีทางผ่าตัดย้ายสมองคนหนึ่งมาใส่ในหัวของอีกคนหนึ่ง หรือแม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์สูงล้ำจนสามารถทำได้จริง แต่ใครจะกล้าแน่ใจได้ว่าเราจะยังเป็นคนเดิมอีกต่อไป
    นี่คือตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญสูงสุด เพราะนอกจากทำหน้าที่ควบคุมอวัยวะทุกส่วนของร่างกายแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางของความคิดและความทรงจำทั้งมวลของตัวเรา สมองเป็นอวัยวะที่ทำให้เราเป็นเรา และที่สำคัญ...ทำให้เราเป็นมนุษย์

    ๑.สัตว์ในสมองมนุษย์

    "เคยได้ยินคำว่าคนแก่ตัณหากลับไหม"
    นายแพทย์วีรพล อุณหรัศมี จิตแพทย์ประจำสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ที่ผมไปขอสัมภาษณ์ เปิดประเด็น
    "หรือคนแก่ที่ทำอะไรแปลก ๆ ยกตัวอย่างเมื่อ ๔-๕ ปีที่แล้วเคยมีข่าวพระที่จังหวัดนครปฐมข่มขืนสุนัข พระรูปนี้อายุตั้ง ๖๐-๗๐ พรรษา คำถามก็คือ พระที่เคยมีวัตรปฏิบัติดี ๆ ทำไมทำแบบนั้น หรือคนแก่ที่เคยใช้ชีวิตปรกติ ดูแลลูกหลาน ทำไมอยู่ดี ๆ เที่ยวไล่ลวนลามผู้หญิง คำตอบคือ มีโอกาสอย่างมากที่สมองบางส่วน โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมการใช้เหตุผล หรือความยับยั้งชั่งใจ จะเสียหายหรือทำงานผิดปรกติ แต่สมองส่วนดึกดำบรรพ์ซึ่งควบคุมสัญชาตญาณทางเพศยังทำงานดีอยู่ ผลคือคนที่มีปัญหาในส่วนนี้จึงใช้ชีวิตแบบสัตว์ กินอยู่หลับนอนแบบสัตว์ มีอารมณ์ทางเพศก็ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจสภาพแวดล้อม"
    เป็นดังที่คุณหมอวีรพลกล่าวไว้ว่า สมองมนุษย์มีทั้งส่วนดึกดำบรรพ์ และส่วนที่วิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจเปรียบสมองมนุษย์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของสัตว์โลกย้อนหลังสืบเนื่องไปได้หลายร้อยล้านปี
    หลักฐานก็คือส่วนที่เรียกว่า "ก้านสมอง" (brain stem) ซึ่งเป็นส่วนพื้นฐานที่สุด และอยู่ในตำแหน่งด้านล่างตรงส่วนหลังของสมองมนุษย์ ที่เชื่อมต่อกับเส้นประสาทไขสันหลัง มีลักษณะเป็นก้านกลมในแนวตั้ง ส่วนบนป่องออกดูเป็นก้อนนูน ก้านสมองเป็นส่วนที่ดึกดำบรรพ์ที่สุดของสมองมนุษย์ เพราะมันวิวัฒนาการขึ้นมากว่า ๓๐๐ ล้านปีมาแล้ว ถูกแล้ว-ก้านสมองก็คือสมองของสัตว์เลื้อยคลานที่ยังคงรูปอยู่ในสมองมนุษย์ทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อพูดถึงก้านสมอง เราอาจนึกเห็นภาพบรรดาจิ้งเหลน งู ตะกวด และเหี้ย แลบลิ้นแผล็บ ๆ อยู่ในหัวของเรา

    [​IMG]
    แม้เป็น "โบราณวัตถุ" และมิได้มีไว้เพื่อการคิดที่ซับซ้อน แต่ก้านสมองก็มีความสำคัญต่อคนเรามาก เพราะมันทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอด ควบคุมการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และสัญชาตญาณตอบสนอง ทุกครั้งที่เราต้องต่อสู้หรือตกใจหลบหนี ก้านสมองจะทำหน้าที่ควบคุมร่างกายเราในการตอบสนองต่อสิ่งนั้น
    กระทั่งราว ๒๐๐ ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้วิวัฒนาการขึ้นมาในโลก พร้อมสมองที่พัฒนาไปมากกว่าสมองของสัตว์เลื้อยคลาน มีส่วนที่กำเนิดอารมณ์ ความผูกพัน และส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ปรากฏร่องรอยในสมองมนุษย์ส่วนที่เรียกว่า "ระบบลิมบิก" (limbic system) หรือเรียกอีกอย่างว่า "สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม" เพราะมันมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสมองส่วนที่พัฒนาขึ้นสูงสุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

    ตำแหน่งของระบบลิมบิกอยู่เหนือก้านสมอง และฝังอยู่ใจกลางของก้อนสมองมนุษย์ บางคนจึงเรียกว่าสมองชั้นใน มันเป็นกลุ่มเนื้อเยื่อสมองที่ประกอบกันแล้วดูคล้ายงานประติมากรรมนามธรรม แผ่นแบนตรงศูนย์กลางคือ "ไฮโปทาลามัส" (hypothalamus) เล็กราวเมล็ดถั่ว น้ำหนักเพียง ๔ กรัมเท่านั้น แต่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบลิมบิก มันทำหน้าที่ควบคุมความหิวกระหาย การนอนหลับ พฤติกรรมทางเพศ และอารมณ์ของคนเรา อีกส่วนที่เป็นก้านยื่นเป็นวงโค้งออกมาจากไฮโปทาลามัส ก็คือ "ฮิปโปแคมปัส" (hippocampus-มาจากภาษากรีกหมายถึง ม้าน้ำ บางคนบอกว่าฮิปโปแคมปัสรูปร่างคล้ายม้าน้ำ แต่บางคนบอกว่าคล้ายผลกล้วยหอม) มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ บริเวณปลายของฮิปโปแคมปัส คือ "อะมิกดาลา"(amygdala) เป็นเม็ดกลมคล้ายเม็ดอัลมอนด์ มันคือศูนย์กลางแห่งความกลัวและความกระวนกระวายใจ

    นอกจากนั้นยังมีส่วนที่เรียกว่า "ทาลามัส" (thalamus) ลักษณะเป็นก้อนคล้ายรูปไข่ วางตัวอยู่เหนือไฮโปทาลามัส ใต้แนวโค้งของฮิปโปแคมปัส ทาลามัสทำหน้าที่เสมือนเป็น "ชุมทางข้อมูล" เพราะข้อมูลจากประสาทสัมผัสทั่วร่างกายจะถูกส่งผ่านก้านสมองมายังทาลามัส ซึ่งจะทำหน้าที่จัดสรรและแบ่งประเภทข้อมูลต่าง ๆ ก่อนส่งไปยังสมองส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
    หากจะกล่าวโดยรวม ระบบลิมบิกก็คือศูนย์กลางทางอารมณ์ความรู้สึกของคนเรา ทั้งความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความเศร้า ความเหงา ความอยาก และอารมณ์ทางเพศ ล้วนมีบ่อเกิดที่นี่

    [​IMG]
    ในขณะที่ก้านสมองเป็นตัวแทนของ "สมองของสัตว์เลื้อยคลาน" และระบบลิมบิกคือ "สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม" แล้วสมองส่วนไหนล่ะที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ และแยกเราออกจากสัตว์ทั้งหลาย ? สมองส่วนไหนที่เป็นบ่อเกิดของภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ศาสนา วิทยาศาสตร์ และทำให้มนุษย์ก่อร่างสร้างอารยธรรมอันเจริญรุ่งเรือง ?

    คำตอบก็คือ สมองใหญ่หรือซีรีบรัม (cerebrum) ซึ่งก็คือสมองส่วนบนที่ห่อหุ้มระบบลิมบิกและส่วนบนของก้านสมองเอาไว้ด้านใน มีรูปทรงคล้ายโดมครึ่งวงกลม โดยเฉพาะส่วนนอกสุดของมัน คือ เปลือกสมอง (cortex-คอร์เท็กซ์) เป็นส่วนที่มีการทำงานสลับซับซ้อนที่สุด เพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิด การวางแผน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การตัดสินใจ การใช้เหตุผล และความยับยั้งชั่งใจ เป็นสมองส่วนสำคัญที่เราใช้ในการศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งเป็นคลังเก็บความทรงจำของเราด้วย
    "ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย ไม่ว่า แมว สุนัข หรือคน สมองส่วนลิมบิกจะมีรูปร่างค่อนข้างคงที่ ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ขณะที่สมองส่วนคอร์เท็กซ์ของคนได้พัฒนาไปมากกว่าสัตว์อื่นๆ ทุกชนิด"

    ผู้ที่ให้ความรู้แก่ผมก็คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัมพาพร พรคุณธรรม อาจารย์ด้านกายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และยังเป็นหัวหน้าพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์คองดอน โรงพยาบาลศิริราช ที่ซึ่งจัดแสดงอวัยวะส่วนต่าง ๆ นับพันชิ้นที่ชำแหละจากร่างกายมนุษย์
    แม้ลักษณะทางกายภาพ สมองใหญ่เป็นส่วนที่หุ้มห่อระบบลิมบิก แต่อาจารย์อัมพาพรกล่าวว่า บางครั้งในชีวิตจริงของคนเรา ระบบลิมบิกกลับเป็นฝ่ายที่ "ครอบงำ" คอร์เท็กซ์เสียเอง
    "อย่างคนที่โกรธมาก ๆ บางคนขว้างปาข้าวของแตกกระจาย การกระทำแบบนี้มันออกมาจากลิมบิก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เวลาคนที่โมโหจัดจนระงับไม่อยู่ แสดงว่าลิมบิกกำลังครอบงำคอร์เท็กซ์อยู่"

    กล่าวได้ว่าส่วนของ "คน" และ "สัตว์" ที่อยู่ภายในสมองของมนุษย์นั้นประจันหน้ากันอยู่ตลอดเวลา ต่างก็เฝ้ามองกัน ต่อรองกัน (บางคนเวลาโกรธแล้วเขวี้ยงถ้วยพลาสติก แทนที่จะเขวี้ยงจานกระเบื้อง) และผลัดกันครอบงำอีกฝ่าย นักประสาทวิทยาพบว่า เมื่อใดที่คนเรามีอารมณ์โกรธ เกลียด พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ส่วนสมองของมนุษย์อันชาญฉลาดจะถูกตัดวูบหายเหมือนไฟดับ เมื่อนั้นสัตว์ร้ายที่ออกอาละวาดย่อมทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตามมา...
    ลองนึกถึงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หัวสีที่พบบ่อย ๆ ผัวหึงโหดกระหน่ำยิงเมียคบชู้ดับคาเตียง นักเรียนนักเลงยกพวกตะลุมบอนเลือดสาด หรือการเข่นฆ่าอันโหดเหี้ยม "ผิดมนุษย์" ในสงคราม
    ผมและอาจารย์อัมพาพรยังคงนั่งคุยเรื่องสมองกันต่อ บนโต๊ะเบื้องหน้าเรามีถาดอะลูมิเนียมวางอยู่สองถาด ในถาดบรรจุสมองมนุษย์วางเรียงอยู่หลายก้อน...

    ๒.ออกสำรวจลอนสมอง

    "อวัยวะใดในร่างกายมีความสำคัญ ดูได้จากว่ามันได้รับการปกป้องมากแค่ไหน ลองนึกถึงหัวใจและปอดที่มีแนวกระดูกซี่โครงกั้นไว้ ขณะที่ลำไส้มีแค่ผนังหน้าท้องกั้นเท่านั้น แล้วเห็นไหมว่าสมองอยู่ที่ไหน-อยู่ในกะโหลกศีรษะ มีแผ่นกะโหลกแข็งปิดล้อมทุกด้าน แทบไม่มีทางเข้าถึงได้เลย" อาจารย์อัมพาพรกล่าว
    อวัยวะที่ได้รับการปกป้องเข้มแข็งรัดกุมที่สุดของร่างกาย-ที่วางอยู่ในถาดอะลูมิเนียมเบื้องหน้าผมขณะนี้ ก็คือสมองที่ถูกผ่าออกจากกะโหลกศีรษะของ "อาจารย์ใหญ่" หรือผู้ที่บริจาคร่างกายตนเองหลังเสียชีวิตให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา อาจารย์อัมพาพรกำลังจะอธิบายกายวิภาคสมองมนุษย์ให้ผมฟังโดยใช้ตัวอย่างของจริง จึงเท่ากับว่า "อาจารย์ใหญ่" เป็นอาจารย์ผู้ให้ความรู้แก่ผมด้วย

    สมองที่เรียงรายในถาด มีทั้งที่ถูกมีดฝานออกเป็นก้อนเป็นชิ้น, สมองที่ถูกผ่าแบ่งครึ่งซีกตามแนวยาว และสมองที่อยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งก้อน อาจารย์อัมพาพรใช้ฝ่ามือช้อนประคองสมองก้อนที่สมบูรณ์ขึ้นมาให้ดู กลิ่นเอียน ๆ ของฟอร์มาลินอวลมาปะทะจมูกผม
    "ปรกติสมองของคนเราจะอ่อนนุ่มนิ่มคล้ายก้อนเต้าหู้ แต่สมองเหล่านี้ถูกนำไปดองในฟอร์มาลินเพื่อรักษาสภาพ เนื้อจึงแน่นขึ้นพอจะหยิบจับได้"

    [​IMG]
    สมองก้อนกลมนั้นใหญ่ล้นฝ่ามือเดียวของอาจารย์อัมพาพร มีสีออกเทาปนชมพู มองเห็นลอนนูนและร่องพับเป็นรอยหยักขดอยู่แน่นทั่วเปลือกผิว ส่วนก้านสมองลักษณะเป็นก้านกลมประมาณข้อนิ้วก้อย โผล่พ้นส่วนล่างของสมองใหญ่ออกมาราว ๔-๕ เซนติเมตร และมีส่วนที่เรายังไม่ได้เอ่ยถึง คือสมองน้อยหรือซีรีเบลลัม (cerebellum) ขนาดประมาณผลท้อเล็ก ๆ แนบติดก้านสมองและด้านใต้ส่วนหลังของสมองใหญ่
    "ที่เขาบอกว่าคนที่สมองมีรอยหยักเยอะ จะยิ่งฉลาด จริงไหมครับ ?" ผมถามตามที่เคยได้ยินมาตอนเป็นนักเรียน
    "อาจจะจริงส่วนหนึ่ง เพราะรอยหยักหมายถึงเนื้อที่สมองที่เพิ่มมากขึ้น"
    อาจารย์อัมพาพรอธิบายว่า ลอนนูนบนเปลือกสมองหรือที่เรียกว่าไจรัส (gyrus) และร่องพับหรือซัลคัส (sulcus) ซึ่งเรียกรวมกันว่าคอนโวลูชัน (convolution) เกิดจากสมองของมนุษย์เราได้พัฒนาจนมีเซลล์ประสาทจำนวนมหาศาล และเจริญเติบโตขึ้นมากกว่าสมองของสัตว์ทุกประเภท จนเปลือกสมองต้องพับเข้าเป็นร่อง และโป่งออกเป็นลอนนูนเพื่อเพิ่มเนื้อที่สมอง ขณะที่เปลือกสมองของสัตว์ต่างๆ เช่น หมา แมว นก จะค่อนข้างเรียบ ไม่มีรอยหยักเท่าสมองมนุษย์

    เมื่อมองจากด้านบน จะเห็นร่องพาดตามยาวบนเปลือกสมองเป็นแนวจากหน้าไปหลัง แบ่งสมองใหญ่ออกเป็นซีกซ้ายและขวา สมองทั้งสองซีก (hemisphere) เชื่อมกันด้วยกลุ่มเส้นใยประสาทที่มัดรวมกันแน่น ซึ่งเรียกว่า คอร์พัส คัลโลซัม (corpus callosum)
    หลายคนอาจรู้แล้วว่าสมองใหญ่ซีกขวาควบคุมร่างกายซีกซ้าย สมองใหญ่ซีกซ้ายควบคุมร่างกายซีกขวา นอกจากนั้นสมองทั้งสองซีกยังมีความสามารถต่างกัน ซีกซ้ายถนัดในเรื่องรูปธรรม คณิตศาสตร์ ความคิดเชิงเหตุผล การวิเคราะห์ จัดลำดับก่อนหลัง รวมทั้งภาษาและการพูด ส่วนซีกขวาหรือ "สมองศิลปิน" มีบทบาทในเรื่องนามธรรม ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ งานศิลปะ ดนตรี ลางสังหรณ์
    สมองใหญ่แต่ละซีกยังแบ่งออกเป็นกลีบต่าง ๆ อาจเปรียบนักประสาทวิทยาเป็นดั่งนักสำรวจ ที่ดั้นด้นไปตามรอยหยักอันวกวนของภูมิประเทศแห่งเปลือกสมอง เพื่อศึกษาว่าลอนสมองแต่ละลอน หรือร่องแต่ละร่อง ทำหน้าที่อะไร คราวนี้เราจะลองออกเดินทางตามรอยพวกเขากัน
    เริ่มจากกลีบหน้าผาก (frontal lobe) ในบริเวณส่วนหน้าของกลีบหน้าผาก (prefrontal area) เป็นที่ตั้งของสติปัญญา ทั้งความคิด การวิเคราะห์ การวางแผน การใช้เหตุผลของคนเรา ล้วนเกิดขึ้นในบริเวณนี้ อีกทั้งมันยังเป็นศูนย์กลางของบุคลิกภาพและความยับยั้งชั่งใจของเราด้วย

    ส่วนหลังของกลีบหน้าผาก คือเปลือกสมองมอเตอร์ (motor cortex) ลักษณะเป็นแถบลอนสมองแคบ ๆ ที่พาดตามแนวขวางบนเปลือกสมอง ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ดังนั้นไม่ว่าเราจะขยับ กระดิก กระดก พลิก กำ แบ ยืด งอ พับ เบ่ง อวัยวะส่วนไหน "คำสั่ง" ย่อมเดินทางมาจากเปลือกสมองส่วนนี้
    แถบลอนสมองที่มีขนาดใกล้เคียงและพาดขนานติดกับลอนเปลือกสมองมอเตอร์ ก็คือส่วนเปลือกสมองโซมาติกเซนซอรี (somatic sensory cortex) ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากทุกส่วนของร่างกายเรา
    และหากเปรียบร่างกายคือประเทศ นายกรัฐมนตรีของไทยบางคนชักทำตัวเป็น "มันสมองของชาติ"มากขึ้นทุกที ด้วยการรวบอำนาจตัดสินใจ การสั่งการ ความคิด ความเห็น การตีความ ฯลฯ รวมศูนย์ไว้ที่ตนเพียงผู้เดียว ไม่เชื่อลองดูบทบาทของกลีบสมองที่เรายังไม่ได้เอ่ยถึง

    เมื่อนิ้วมือโดนเปลวเทียน นักประสาทวิทยาอาจบอกว่าเขาร้อนที่สมอง เพราะประสาทสัมผัสที่ผิวหนังจะส่งสัญญาณประสาทมาถึงเปลือกสมองโซมาติกเซนซอรี ซึ่งจะทำงานร่วมกับสมองกลีบขม่อม (parietal lobe) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้สัมผัส แปลสัญญาณว่าเรารู้สึกร้อน
    เช่นเดียวกับการมองเห็น เราไม่ได้ "เห็นด้วยตา" เพียงอย่างเดียว แต่ดวงตารับภาพ (คลื่นแสง) จากโลกภายนอกแล้วส่งข้อมูลไปยังศูนย์การมองเห็นขั้นต้น (primary visual cortex) ที่กลีบท้ายทอย (occipital lobe) ของสมอง ซึ่งจะทำงานร่วมกับสมองส่วนอื่น ๆ เพื่อแปรสัญญาณข้อมูลให้เป็นภาพ จึงกล่าวได้ว่าเราเห็นภาพในสมองต่างหาก ถ้าสมองส่วนนี้ถูกผ่าออกหรือถูกทำลาย แม้ดวงตาจะยังปรกติ แต่เราจะมองไม่เห็นภาพอีกต่อไป
    รวมทั้งการได้ยิน หูรับสัญญาณเสียงแล้วส่งไปยังสมอง สู่บริเวณศูนย์รับเสียงที่กลีบขมับ (temporal lobe) เพื่อจะรู้ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงอะไร หรือตีความคำพูดที่ได้ยิน ร่วมกับสมองส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าใจภาษา

    [​IMG]
    "ลอนสมองมอเตอร์คอร์เท็กซ์ของคนนี้ใหญ่มาก" อาจารย์อัมพาพรใช้ปากคีบโลหะชี้ตรงลอนมอเตอร์ฯ ของก้อนสมองที่ถืออยู่ในมืออีกข้าง แล้วเลื่อนปากคีบไปอีกบริเวณ "ถ้าบริเวณที่เกี่ยวกับการพูดมีพื้นที่แคบ ลอนสมองเล็ก แล้วสมองกลีบหน้าผากก็ค่อนข้างแคบ เจ้าของสมองอาจทำงานที่เกี่ยวกับการใช้แรงงานเป็นหลัก เปรียบเทียบสมองอีกก้อนที่อยู่ในถาด จะเห็นว่าลอนมอเตอร์ฯ กับโซมาติกเซนซอรีฯ มีขนาดเท่ากัน และสมองกลีบหน้าผากก็กว้างกว่า"
    "แต่ถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคาดคะเน เราไม่มีอะไรยืนยันได้" อาจารย์อัมพาพรกล่าว
    ถึงแม้รอยหยักทุกส่วนของสมองมนุษย์จะถูกศึกษาจนรู้เกือบหมดแล้วว่ามันทำงาน "อะไร" แต่สิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้เพียงน้อยนิดก็คือ สมองทำงาน "อย่างไร" ต่างหาก กลไกอันมหัศจรรย์อยู่ลึกลงไปใต้ส่วนเปลือกสมองที่บรรจุเซลล์ประสาทจำนวนมหาศาล และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายสุดสลับซับซ้อน
    หากเราอยากค้นหาความมหัศจรรย์ที่ว่านั้น เราควรเชื่อคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ (ผู้ซึ่งแม้เสียชีวิตแล้วสมองของเขายังถูกนำไปศึกษา) ที่ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพื่อที่ผมและคุณผู้อ่านจะสามารถเข้าไปในร่างของทารกในครรภ์มารดา เฝ้าดูการก่อกำเนิดสมองมนุษย์และการเชื่อมโยงเครือข่ายใยประสาทอันน่าตื่นตาตื่นใจ

    ๓.เมื่อหลอดไฟสมองสว่าง

    ขณะทารกในครรภ์ยังเป็นตัวอ่อน (embryo) อายุราว ๓ สัปดาห์ จะมีเซลล์บาง ๆ ในร่างกายที่ม้วนตัวขึ้นเป็นกระบอกที่ชื่อว่าท่อประสาท (neural tube) หลังจากนั้นเซลล์ที่อยู่ในท่อนี้จะเริ่มแบ่งตัวอย่างรวดเร็วในอัตราถึง ๒๕๐,๐๐๐ เซลล์ต่อนาที เพื่อเสริมสร้างเป็นสมองและประสาทไขสันหลัง
    กระทั่งทารกในครรภ์อายุราว ๑๐ สัปดาห์ เซลล์ประสาทในสมองจะเริ่มส่งสายใยประสาทเชื่อมต่อถึงกัน
    บทความของนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ พฤกษาพงษ์ ในนิตยสารใกล้หมอ ฉบับที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๓ กล่าวถึงการก่อกำเนิดสมองมนุษย์อย่างชวนให้เห็นภาพว่า
    ถ้าสามารถเข้าไปดักฟังการก่อสร้างสมอง ในทารกอายุ ๑๐ สัปดาห์แล้ว จะได้ยินเสียงครึกโครมเหมือนโรงงานขนาดใหญ่กำลังผลิตสินค้าเต็มกำลัง ด้วยการสร้างเซลล์ประสาทขึ้นมามากมายจนเต็มพื้นที่ แล้วเริ่มส่งสัญญาณ ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงคล้ายๆ เด็กวัยรุ่นนับแสนนับล้านคนที่ต่างใช้โทรศัพท์มือถือโทรหากันและกัน สัญญาณที่ส่งออกจากเซลล์ประสาทนั้น เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาเป็นห้วงๆ แต่มีเป้าหมาย และประสานสัมพันธ์ราวกับคลื่นในทะเล

    [​IMG]
    เพราะว่าพื้นฐานการทำงานของสมอง ในยามที่เราคิด วางแผน เรียนรู้ ใช้ความจำ หรือเคลื่อนไหวร่างกาย เกิดจากเซลล์ประสาทรับ-ส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างกัน ดังนั้นยิ่งเซลล์ประสาทสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อ "ติดต่อสื่อสาร" กันได้มากเพียงใด สมองของเรายิ่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉับไวขึ้นเท่านั้น
    หน้าตาเซลล์ประสาทอาจมองดูคล้ายสัตว์ประหลาด ตัว (cell body) ค่อนข้างกลม มีแขนงสายใยประสาทรับข้อมูล (dendrites-เดนไดรต์) งอกออกไปโดยรอบ ส่วนปลายสายใยยังแตกกิ่งก้านสาขาออกไปยุ่บยั่บเหมือนรากไม้ จากตัวเซลล์มีสายใยประสาทส่งข้อมูล (axon-แอกซอน) ยื่นออกไปยาวเหยียด มีเยื่อไขมัน (myelin) หุ้มอยู่เป็นฉนวนกันไฟฟ้า (มองดูคล้ายไส้กรอกอีสานมัดติดกันเป็นสายยาว) เซลล์ประสาทตัวหนึ่งมีแอกซอนเพียงสายเดียว แต่ตรงปลายแอกซอนยังแตกแขนงเป็นหลายกิ่ง เพื่อจับกับแขนงเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทตัวอื่น สร้างเป็นเครือข่ายเซลล์ประสาทในสมอง

    เมื่อทารกคลอดจากท้องแม่ ในสมองจะมีเซลล์ประสาทประมาณแสนล้านเซลล์ ซึ่งมากพอ ๆ กับจำนวนของดวงดาวในกาแล็กซีทางช้างเผือก ! แต่จุดเชื่อมต่อของสายใยประสาทยังมีมากกว่านั้นอีก
    เซลล์ประสาทในสมองแต่ละเซลล์ จะติดต่อเชื่อมโยงกับเซลล์ตัวอื่น ๆ กว่า ๑ หมื่นเซลล์ นักประสาทวิทยาประมาณไว้ว่า ในสมองของคนเรามีจุดเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านล้านจุด (๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ จุด) สายใยประสาทที่เชื่อมกันจึงเป็นเครือข่ายร่างแหที่ยิบย่อยระโยงระยาง สลับซับซ้อนสุดพรรณนา แล้วลองคิดดูว่าข้อมูลที่แต่ละเซลล์ส่งสัญญาณหากันผ่านไปตามเครือข่าย จากเซลล์นั้นไปเซลล์นี้ แล้ววิ่งต่อไปเซลล์โน้น จะขวักไขว่พลุกพล่านวกเวียนขนาดไหน ว่ากันว่าแต่ละเซลล์สามารถรับข้อมูลได้ ๕ แสนข้อมูลต่อนาที
    การทำงานร่วมกันของเซลล์ประสาทแสนล้านเซลล์ จัดสรรการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ที่มีรูปแบบไม่รู้จบในเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนให้สมองทำงานในสภาวการณ์ต่าง ๆ คือสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยอมรับว่าสมองเป็นอวัยวะสุดแสนมหัศจรรย์ซึ่งไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดที่มนุษย์สร้างขึ้นสามารถเทียบได้ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นที่มีเทคโนโลยีสูงสุดยอดในปัจจุบันอาจเป็นเพียงของเด็กเล่นเท่านั้น เมื่อเทียบกับความซับซ้อนของสมองมนุษย์
    นับจากทารกคลอดจากท้องแม่ เซลล์ประสาทในสมองจะคงจำนวนเท่าเดิมไปตลอดชีวิต แม้มีเซลล์ถูกทำลายหรือตายไปก็ไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน แต่การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในช่วงปลายอายุขัยของคนเรา

    ในทารกแรกคลอด สมองจะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายเซลล์ประสาทไว้เพียงคร่าว ๆ เท่านั้น ให้ทารกพอจะมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น และตอบสนองการสัมผัสได้บ้าง สมองส่วนสำคัญที่ต้องทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงนี้คือก้านสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจ ปอด ทว่าหลังจากนั้นเด็กทารกจะเริ่มพัฒนาจุดเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ประสาทนับล้าน ๆ จะยื่นแอกซอนของมันออกไปเพื่อเชื่อมต่อกับเดนไดรต์ จุดเชื่อมอาจเปรียบได้เป็นชุมสาย และเมื่อแต่ละเซลล์เริ่มส่งสัญญาณหากันแล้ว ระบบประสาทที่กำลังพัฒนาในสมองเด็กทารกขวบปีแรกยังจะต้องจัดสรรประสานสัมพันธ์ให้รู้ว่า ชุมสายไหนควรส่งสัญญาณต่อไปยังส่วนใด
    ในช่วง ๒ ปีแรก สมองของเด็กทารกจะมีอัตราการเจริญเติบโตและการสร้างสายใยประสาทมากที่สุด เด็กจะพัฒนาการเคลื่อนไหว การมองเห็น และการได้ยินเสียงก่อนอย่างอื่น พอถึงอายุ ๒ ขวบ สมองจะมีจุดเชื่อมต่อมากกว่าเมื่อแรกเกิดถึงสองเท่า และต้องการพลังงานมากเป็นสองเท่าของผู้ใหญ่ หลังจากนั้นการสร้างใยประสาทจะลดลงบ้าง กระทั่งเด็กถึงวัย ๑๐ ขวบ การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของสมองก็จะหยุดลง บรรดาจุดเชื่อมต่อในสมองที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกกำจัดหมดสิ้น เหลือแต่สมองและจิตสำนึกที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน และภายหลังจากอายุ ๑๐ ขวบจนถึงวัยชรา การสร้างสายใยและจุดเชื่อมต่อจะเพิ่มขึ้นน้อยมาก แต่ยังคงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับการกระตุ้นและการใช้งานสมองบ่อย ๆ

    [​IMG]
    สมองควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นไปอย่างสมดุลราบรื่น
    เชียร์ลีดเดอร์จึงกระโดดได้ดังใจ และโยนรับเพื่อนร่วมทีมได้ไม่ผิดพลาด

    พันโท แพทย์หญิงกมลพรรณ ชีวพันธุศรี ประธานเครือข่าย พ่อ แม่ เยาวชน เพื่อการปฏิรูปการศึกษา และเป็นผู้เขียนหนังสือสมองกับการเรียนรู้ อธิบายให้ผมฟังว่า

    "ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงประมาณ ๖ ขวบ สมองของคนเราจะเติบโตมากที่สุด จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญมากที่ผู้ปกครองต้องดูแลบุตรหลานให้ดีที่สุด"

    คุณหมอกมลพรรณกล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้สมองของเด็กมีพัฒนาการได้ดี พ่อแม่ต้องดูแลให้ลูกได้อาหารครบ ๕ หมู่ โดยเฉพาะวิตามินต่าง ๆ ได้เล่นกับเพื่อน ๆ ได้ออกกำลังกาย รู้จักช่วยเหลือตนเองตามวัย การได้เล่นดนตรี เรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่ถูกบังคับ และการฝึกเด็กให้รู้จักคิด แก้ปัญหา ได้ใช้จินตนาการ ล้วนเป็นการ "กระตุ้น" ให้สมองสร้างสายใยประสาทและจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่เด็กได้รับความรัก ความอบอุ่น ได้รับการโอบกอดและสัมผัสอ่อนโยนจากพ่อแม่และผู้เป็นที่รักด้วย
    มีงานวิจัยในต่างประเทศ ที่ผู้วิจัยทำการศึกษาสมองของเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกทอดทิ้ง เปรียบเทียบกับเด็กปรกติ โดยใช้เครื่องตรวจสมองที่เรียกว่า PET scan พบว่าสมองเด็กปรกติมีปฏิกิริยาไฟฟ้า-เคมีเกิดขึ้นทุกส่วน ขณะที่เด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้ง สมองส่วนที่ตอบสนองการสัมผัส อารมณ์ ความคิด แทบไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าสมองพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กเหล่านี้จะเรียนรู้ได้ช้า

    และหากเราลงลึกต่อไปอีก ก็จะพบว่าการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทนั้น ต้องอาศัยพลังงานสองชนิด คือพลังงานไฟฟ้าและพลังงานเคมี เมื่อเซลล์ประสาทรับข้อมูลจากเซลล์ตัวอื่นเข้ามา มันจะจัดระบบข้อมูลนั้นเสียก่อน แล้วค่อยส่งข้อมูลออกไปในรูปของกระแสประสาท (nerve impulse) ซึ่งจะเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าไปตามสายแอกซอน ทว่าส่วนปลายแอกซอนไม่ได้ติดกับเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทตัวอื่นโดยตรง แต่มีช่องว่างความกว้างประมาณหนึ่งในล้านของนิ้วคั่นอยู่ เรียกว่า ร่องแยกรอยประสานประสาท หรือ synaptic cleft เมื่อข้อมูลมาถึงร่องแยกรอยประสานประสาท พลังงานไฟฟ้าที่นำข้อมูลมาจะหยุดทำงาน ส่วนปลายแอกซอนจะหลั่งสารเคมีเรียกว่า "สารสื่อประสาท" (neurotransmitter-นิวโรทรานสมิตเตอร์) เป็นตัวนำข้อมูลข้ามร่องแยกรอยประสานประสาทไปสู่เดนไดรต์ของอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง สารเคมีจะกระตุ้นให้เกิดพลังงานไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ นำข้อมูลเดินทางต่อไปอีก
    ส่วนต่าง ๆ ของสมองสร้างสารเคมีสื่อประสาทที่ต่างกันหลายชนิด ปรกติสารสื่อประสาทนำส่งข้อมูลได้ช้ากว่าการส่งด้วยพลังงานไฟฟ้า แต่สารคาเฟอีนจะช่วยให้การส่งข้อมูลข้ามร่องแยกรอยประสานประสาทได้รวดเร็วยิ่งขึ้น (ถึงตอนนี้ผมชักสมองตื้อ-เขียนไม่ออก เลยต้องลุกไปชงกาแฟดื่มสักถ้วย เผื่อความคิดจะ "แล่น" มากกว่าเดิม)

    เราคงต้องเปรียบสายแอกซอนเป็นทางด่วน เพราะข้อมูลที่ส่งไปด้วยกระแสไฟฟ้านั้นวิ่งด้วยอัตราเร็วจัดถึง ๒๕๐ ไมล์ต่อชั่วโมง และในขณะที่สมองเราทำงาน มันจะมีกระแสไฟฟ้าส่งออกมาถึง ๒๕ วัตต์ ดังเช่นขณะที่คุณอ่านสารคดีเรื่องนี้อยู่ สิ่งที่เกิดในสมองก็คือ ข้อมูลที่วิ่งพล่านไปมาระหว่างเซลล์ประสาท พลังงานไฟฟ้าเกิดขึ้นตรงนั้นตรงนี้อย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณเคมี แล้วก็แปลงกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าอีก ขณะนี้สมองของคุณผู้อ่านเกิดกระแสไฟฟ้า ๒๕ วัตต์ ซึ่งมากพอจะทำให้หลอดไฟติดสว่างทั่วห้องขนาดย่อมทีเดียว
    ดังนั้น สำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาประสาทศัลยศาสตร์อย่างนายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล "สมองก็เหมือนวงจรไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยหลายวงจร เช่น วงจรควบคุมการขยับของกล้ามเนื้อ วงจรควบคุมการทำงานของการรับสัมผัสสัญญาณประสาท วงจรระบบประสาทอัตโนมัติ วงจรที่เกี่ยวกับการกระตุ้นการตื่นของสมอง สมมุติอยู่ ๆ ไฟที่บ้านเกิดดับ อาจเกิดจากฟิวส์ในครัวขาด หมอก็เรียนมาอย่างนี้ เช่นถ้าคนไข้มาด้วยอาการแขนซ้ายไม่มีแรง เราก็ต้องตรวจดูว่าส่วนไหนของวงจรสมองที่ควบคุมแขนซ้ายขัดข้อง"

    [​IMG]
    การร้องเพลง เล่นดนตรี หรือเรียนศิลปะโดยไม่ถูกบังคับ
    เป็นกิจกรรมที่ส่งผลให้สมองของเด็กเจริญเติบโตและพัฒนาได้ดี

    นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล แห่งโรงพยาบาลกรุงเทพ ต้องผ่าตัดสมองให้คนไข้แทบไม่เว้นแต่ละวัน ถึงตอนนี้หากผู้อ่านเป็นคนขวัญอ่อน ก็น่าจะกำชับอะมิกดาลาในสมองไม่ให้ตื่นตระหนกมากนัก เพราะเรากำลังจะเดินตามบุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ผ่านเข้าประตูห้องผ่าตัดที่เย็นเฉียบ...

    ๔.สมองเสีย...ซ่อมได้

    ประตูห้องผ่าตัดหมายเลข ๖ เปิดออกเมื่อเวลา ๑๕.๓๐ น. คนไข้บนเตียงที่ถูกเข็นเข้ามานั้นยังมีสติครบถ้วนทุกประการ
    ลุงพิชิตตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดสมองเพราะอยากทุเลาจากโรคพาร์กินสัน ซึ่งทำให้ขาและแขนของแกสั่นมาหลายปี จนแม้จะตักข้าวกินเองยังทำไม่ได้
    เป็นใครคงใจไม่ดีเมื่อรู้ว่าต้องถูกผ่าตัดสมอง แต่ลุงพิชิตในวัย ๖๙ ปี ยังคงดูไม่มีอาการหวาดหวั่น แม้คุณหมอดิตถพงษ์จะแจ้งล่วงหน้าแล้วว่า แกต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองโดยที่ไม่ถูกวางยาสลบ เพื่อจะได้ยกแขนขา หรือพูดจาตอบโต้กับแพทย์ได้ขณะกำลังได้รับการผ่าตัด
    พยาบาลโกนผมลุงพิชิตตั้งแต่ช่วงเช้า แล้วนำโครงโลหะไททาเนียมน้ำหนักเบา ลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมในแนวระนาบ ประกอบกับก้านโลหะแนวตั้ง มาครอบศีรษะเกลี้ยงเกลาของแก ลุงพิชิตถูกฉีดยาชาที่บริเวณเหนือคิ้วสองจุด และด้านหลังศีรษะบริเวณท้ายทอยอีกสองจุด จากนั้นแพทย์ขันหมุดแหลมของโครงโลหะปักยึดเข้ากับผิวหนังตรงจุดที่ฉีดยาชานั้น

    "ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก" ลุงพิชิตบอก
    ขณะนี้-ในห้องผ่าตัดที่สะอาดสะอ้าน ลุงพิชิตถูกย้ายจากเตียงรถเข็นไปนอนบนเตียงผ่าตัดกลางห้อง โครงโลหะที่ครอบศีรษะถูกยึดติดกับแกนโลหะหัวเตียงอีกที เพื่อไม่ให้ศีรษะลุงพิชิตเคลื่อนไหวในขณะผ่าตัด มีสายน้ำเกลือต่อเข้ากับแขนซ้าย เบื้องบนคือโคมไฟผ่าตัดรูปร่างคล้ายจานบินมนุษย์ต่างดาว ติดกับก้านที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ ด้านหลังหัวเตียงผ่าตัดตั้งโต๊ะปูผ้าเขียว วางถาดบรรจุเครื่องมือผ่าตัดเรียงราย เหล่าบุรุษพยาบาลและพยาบาลต่างอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวปลอดเชื้อ สวมหน้ากากและคลุมผม เดินไปมาเพื่อเตรียมเครื่องมือ
    ก่อนหน้านี้คุณหมอดิตถพงษ์อธิบายให้ผมฟังว่า โรคพาร์กินสันเกิดจากบางส่วนของสมองทำงานผิดปรกติ การผ่าตัดครั้งนี้จะเป็นการ "เปิดเล็ก" คือผ่าเปิดกะโหลกลุงพิชิตเป็นรูเล็ก ๆ เท่านั้น จากนั้นแหย่ก้านอิเล็กโตรดลงไปในรูนั้น จนถึงทาลามัสในสมอง แพทย์จะปล่อยกระแสไฟฟ้าลงไปตามก้านอิเล็กโตรด บอกให้คนไข้ยกแขน ยกขา เพื่อทดสอบ ระดับกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมจะทำให้แขนขาหยุดสั่น เป็นการรักษาโรคพาร์กินสันด้วยการจี้ไฟฟ้า

    [​IMG]
    ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้ชนะสมาชิกชมรมหมากรุกสวนลุมฯ
    ได้ประโยชน์จากการใช้ความคิดอยู่เสมอ ทำให้สมองของผู้สูงวัย
    ยังคงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์

    การผ่าตัดสมองต้องการความประณีตและแม่นยำในระดับสูงสุด หากพลาดเพียงนิดเดียวคนไข้อาจถึงกับพูดไม่ได้ หรือแขนขาใช้การไม่ได้ การผ่าตัดครั้งนี้ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า โดยอาศัยเครื่องนิวโรนาวิเกเตอร์ (neuronavigator) ซึ่งจะช่วยบอกตำแหน่งต่าง ๆ ของสมองในระหว่างผ่าตัดได้อย่างแม่นยำด้วยระบบคอมพิวเตอร์นำวิถี
    บนจอมอนิเตอร์ของเครื่องนิวโรนาวิเกเตอร์ ปรากฏภาพสามมิติโครงใบหน้าของลุงพิชิต และยังมองทะลุเข้าไปเห็นก้อนสมองอยู่ภายใน
    ภาพสามมิตินี้เกิดจากภาพสแกนสมองของลุงพิชิตที่ถ่ายด้วยเครื่อง MRI เมื่อช่วงเช้า ซึ่งเป็นชุดภาพสองมิติของสมองในระนาบตัดขวาง จากส่วนบนศีรษะเรียงลงมาเกือบถึงปลายคาง เครื่องนิวโรนาวิเกเตอร์จะอาศัยภาพสองมิติทั้งชุดมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นภาพโครงหน้าและสมองของลุงพิชิตถูกต้องตามสัดส่วนที่แท้จริง

    คุณหมอดิตถพงษ์ใช้ก้านโลหะที่เรียกว่า "โพรบ" (probe) แตะเบา ๆ ตามจุดต่าง ๆ บนศีรษะลุงพิชิต กล้องอินฟราเรดบนก้านยื่นขึ้นเหนือเครื่องนิวโรฯ จะรับทราบตำแหน่งที่โพรบจิ้ม แล้วปรากฏเป็นจุดในภาพสามมิติบนจอมอนิเตอร์ เป็นการ"ลงทะเบียน" หรือยืนยันตำแหน่งต่าง ๆ ของศีรษะลุงพิชิตให้ตรงกับภาพในเครื่อง จากนั้นคุณหมอดิตถพงษ์เลื่อนเมาส์ของเครื่องนิวโรฯ สายตาจ้องมองหน้าจอ ทำงานร่วมกับนักเทคนิคการแพทย์ที่ควบคุมเครื่อง เพื่อหาจุดที่จะเปิดกะโหลกศีรษะและเส้นทางปลอดภัยที่สุดที่จะแหย่อิเล็กโตรดลงไปสู่ทาลามัส ผมมองที่จอมอนิเตอร์ ในที่สุดก็เห็นเส้นแดงจากบริเวณหนึ่งของศีรษะลากลงไปสู่ใจกลางสมอง เมื่อคำนวณจนได้ตำแหน่งและเป้าหมายที่แน่นอนแล้ว การผ่าตัดจริงกำลังจะเริ่มขึ้น...
    คุณหมอดิตถพงษ์ใชปากกาเมจิกสีน้ำเงินขีดเส้นสั้น ๆ ที่หนังศีรษะลุงพิชิต บริเวณส่วนบนศีรษะค่อนมาทางด้านซ้าย ใช้โพรบแตะเทียบว่าตรงกับจุดกำหนดในภาพสามมิติบนจอมอนิเตอร์ แล้วจึงฉีดยาชาเข็มใหญ่ลงไป กระทั่งผิวหนังส่วนนั้นบวมขึ้นมาเป็นก้อนกลมเท่าลูกมะนาว

    "ไหนคุณลุงลองยกมือขึ้นสิครับ เอ้า ถือแก้วน้ำไว้ด้วย" คุณหมอดิตถพงษ์บอกคนไข้
    ลุงพิชิตทำตาม ยกมือที่ถือแก้วน้ำพลาสติกมีฝาปิด มือสั่นจนน้ำในแก้วกระฉอกไปมา ขาขวาแกก็สั่นด้วย
    พยาบาลเข้ามาฟอกทิงเจอร์บริเวณที่ฉีดยาชาจนชุ่มโชกเป็นฟองฟอด
    "คุณลุงลองนับเลขหนึ่งร้อยลบหนึ่งไปเรื่อย ๆ สิครับ" คุณหมอดิตถพงษ์บอก
    ลุงพิชิตเริ่มนับ หนึ่งร้อย...เก้าสิบเก้า...เก้าสิบแปด...ระหว่างนั้นคุณหมอดิตถพงษ์ยึดเฟรมโลหะครึ่งวงกลมอีกอันเข้ากับโครงโลหะครอบศีรษะลุงพิชิต
    คุณหมอดิตถพงษ์ลงมีดผ่าตัดคมกริบ กรีดหนังศีรษะลุงพิชิตบริเวณที่บวมปูดเป็นแนวจากบนลงล่างเพียง ๓ เซนติเมตร ใช้อุปกรณ์ถ่างปากแผลจนเห็นกะโหลกสีขาว ใช้ผ้ากอซซับเลือด-ขั้นตอนทั้งหมดนี้ทำอย่างรวดเร็ว
    "เจ็บไหมครับคุณลุง" คุณหมอถาม
    "ไม่เจ็บเลย" ลุงตอบ ผมขอขอบคุณยาชาที่ทำให้ลุงพิชิตยังมีสีหน้าเป็นปรกติ ไม่รับรู้สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

    สว่านเจาะกะโหลกถูกเลื่อนเข้ามา เครื่องมือนี้ประกอบด้วยขาตั้งล้อเลื่อน ตัวกล่องตั้งบนขาตั้ง และมีสายไฟสีดำเส้นใหญ่ต่อมายังก้านหัวสว่าน
    เสียงแหลมเสียดหูแผดลั่น ลากยาวหวีดหวิว คุณหมอดิตถพงษ์กดหัวสว่านที่หมุนเร็วจี๋เข้ากับเนื้อกะโหลกผ่านรูแผลเปิดนั้น แรงสั่นสะเทือนทำให้ลุงพิชิตหลับตาปี๋ กระทั่งเสียงสว่านหยุดลง ผมได้รู้ภายหลังว่าสว่านมีระบบหยุดอัตโนมัติเมื่อเจาะผ่านเนื้อกะโหลกเข้าไปแล้ว...
    และเพื่อไม่ให้หวาดเสียวจนเกินไป เราจะเปลี่ยนบรรยากาศโดยอาศัยวาทะของไอน์สไตน์อีกครั้ง--ใช้จินตนาการเข้าไปสำรวจสมองของแพทย์และเหล่าพยาบาลที่กำลังสาละวนทำงานอยู่ขณะนี้
    คุณหมอดิตถพงษ์กำลังคร่ำเคร่งอยู่เหนือรูเปิดกะโหลก ใช้ซักชัน (suction) ดูดเลือด สลับกับใช้ไบโพลา-หรือปากคีบไฟฟ้า จี้เส้นเลือดที่สมองให้ตีบ เลือดจะได้ไม่ไหล พยาบาลผู้ช่วยคอยส่งเครื่องมือผ่าตัดชิ้นต่าง ๆ ในถาดให้ถึงมือคุณหมอ การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วเหล่านี้ ไม่เพียงเกิดจากการทำงานของสมองใหญ่ส่วนมอเตอร์คอร์เท็กซ์ที่สั่งการให้แขนขาเคลื่อนไหว แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากสมองน้อย ที่คอยควบคุมการยืดหดของกล้ามเนื้อทั่วร่างให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปอย่างราบรื่น สมดุล
    หากปราศจากสมองน้อย ลองคิดดูว่าในห้องผ่าตัดแห่งนี้จะสับสนอลหม่านเพียงใด มือพยาบาลที่ยื่นส่งเครื่องมือจะส่ายเปะปะ เช่นเดียวกับมือแพทย์ที่ยื่นมารับผิดรับถูก พยาบาลบางคนเดินเก้งก้างซวนเซ ชนเข้ากับคนอื่นจนล้มไปทั้งคู่...
    กลับมาสู่ความเป็นจริง คุณหมอดิตถพงษ์ถามอีกครั้งว่าเจ็บหรือเปล่า ลุงพิชิตบอกว่าไม่เป็นไร
    "คุณลุงแข็งแรงจังเลยครับ"
    "สมัยเป็นหนุ่มผมเคยแบกกระสอบข้าวสาร" ลุงพิชิตตอบยิ้ม ๆ ดวงตายังแจ่มใส ทั้งที่ขณะนี้กะโหลกของแกถูกเจาะเป็นรูประมาณเหรียญบาท
    คุณหมอดิตถพงษ์ปรับปุ่มรูเสียบอิเล็กโตรดเลื่อนไปบนเฟรมครึ่งวงกลม กระทั่งได้ตำแหน่งทำมุมตรงกับบนจอมอนิเตอร์ของเครื่องนิวโรนาวิเกเตอร์ นำอิเล็กโตรดซึ่งเป็นก้านโลหะเรียวเล็ก เสียบเข้าในรูเสียบนั้น แล้วค่อย ๆ แหย่อิเล็กโตรดผ่านรูกะโหลกลงไปในเนื้อสมองลุงพิชิตอย่างเบามือ ก้านอิเล็กโตรดนี้ต่อสายมาจากเครื่องนิวโรเจเนอเรเตอร์(neurogenerator) ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมอง

    [​IMG]
    สมองส่วนที่ทำหน้าที่รับสัมผัสของคนตาบอด
    จะพัฒนามากกว่าคนตาดี

    ก้านอิเล็กโตรดถูกปรับให้อยู่ในตำแหน่งเหนือทาลามัส ๓ มิลลิเมตร คุณหมอดิตถพงษ์กดสวิตช์เครื่องนิวโรเจเนอเรเตอร์ ปล่อยกระแสไฟฟ้าครั้งแรก ๑.๕ มิลลิแอมแปร์ ปรากฏว่าแขนและขาลุงพิชิตยังไม่หายสั่น จึงแหย่อิเล็กโตรดลึกลงไปอีก ให้อยู่เหนือทาลามัส ๒ มิลลิเมตร ปล่อยกระแสไฟฟ้า ยังไม่เกิดผลเช่นเดิม
    คุณหมอดิตถพงษ์ลองปรับตำแหน่งอิเล็กโตรดเลื่อนขึ้นลง และปรับระดับกระแสไฟฟ้าอีกสองสามครั้ง กระทั่งครั้งที่อิเล็กโตรดอยู่เหนือทาลามัส ๑ มิลลิเมตร และใช้กระแสไฟฟ้า ๓ มิลลิแอมแปร์ คราวนี้แขนลุงพิชิตที่ยกอยู่หายสั่น ส่วนขายังคงสั่นเล็กน้อย
    "มีแววแล้วครับ" เสียงคุณหมอดิตถพงษ์กระตือรือร้น
    คุณหมอบอกให้ลุงพิชิตนับเลข และระหว่างที่คุณหมอดิตถพงษ์กำลังทดสอบตำแหน่งอิเล็กโตรดและระดับกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อไป เราจะลองไปสำรวจในสมองของลุงพิชิตกัน
    เสียงของคุณหมอดิตถพงษ์ซึ่งเป็นข้อมูลจากโลกภายนอก เมื่อผ่านอวัยวะรับเสียงคือหูของลุงพิชิตแล้ว จะแปรรูปเป็นสัญญาณประสาท วิ่งตามเส้นประสาทเข้าสู่สมองของลุงพิชิต โดยไปสู่กลีบขมับซึ่งเป็นศูนย์รับเสียง จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ทั่วเปลือกสมอง (กระแสประสาทวิ่งขวักไขว่ในเครือข่ายเซลล์ประสาท) สู่ส่วนที่เกี่ยวกับความเข้าใจภาษาพูด ความคิด ความจำ ส่วนที่ควบคุมการพูด ทุกส่วนจะทำงานประสานกัน
    "หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ..." ลุงพิชิตพูด

    กระทั่งเวลาทุ่มครึ่ง คุณหมอดิตถพงษ์กดสวิตช์เครื่องนิวโรเจเนอเรเตอร์ ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านอิเล็กโตรดที่อยู่ในตำแหน่งเหนือทาลามัส ๑ มิลลิเมตร เพื่อทำการรักษาจริง เครื่องนิวโรเจเนอเรเตอร์ส่งเสียงวิ้งแหลมใสดังต่อเนื่อง ระหว่างนั้นคุณหมอบอกให้ลุงพิชิตยกแขน ยกขา กำมือ แบมือ งอเข่า แกทำตามอย่างกระฉับกระเฉง อาการสั่นที่แขนขาหายเป็นปลิดทิ้ง
    "เรียบร้อยแล้วครับ" คุณหมอบอก ชักก้านอิเล็กโตรดออกจากศีรษะคนไข้
    หนึ่งทุ่มสี่สิบนาที แพทย์เย็บปิดแผลที่หนังศีรษะลุงพิชิต พยาบาลพันผ้าพันแผลรอบศีรษะจนเรียบร้อย สวมหมวกยางยืดทับให้อีกชั้นหนึ่ง
    "ผมต้องบอกให้คุณลุงทราบก่อนนะครับ" คุณหมอกล่าว "ถึงตอนนี้จะหายดีแล้ว แต่ในอนาคตโรคพาร์กินสันอาจกำเริบขึ้นมาใหม่ แขนคุณลุงอาจมีอาการสั่นอีก"
    "ขอยกความดีให้คุณหมอและผู้ช่วยทุก ๆ คน" ลุงพิชิตกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแช่มชื่น พลางจับมือคุณหมอดิตถพงษ์
    การผ่าตัดสมองครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่ลุงพิชิตนอนออกจากห้องผ่าตัด คุณหมอดิตถพงษ์เดินตามไปข้างเตียง เพื่อพาลุงไปพบลูกสาวที่รออยู่บริเวณส่วนพักคอย
    แต่จู่ ๆ ลุงพิชิตก็ยกศีรษะขึ้นจากหมอน ทำท่าจะพูดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้...

    ๕.เส้นทางแห่งความทรงจำ

    "คุณหมอครับ" ลุงพิชิตเรียก "คุณหมออุดรูกะโหลกให้ผมหรือยัง ?"
    คุณหมอดิตถพงษ์หัวเราะ "อุดให้แล้วครับ ใช้แผ่นโลหะไททาเนียมปิดสนิทอย่างดีเลย"
    ขนาดเพิ่งผ่าสมองมาหยก ๆ ลุงพิชิตยังไม่เบลอ อุตส่าห์ "นึกขึ้นได้" ว่ารูบนกะโหลกของแกควรได้รับการอุดให้เรียบร้อย
    แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ เมื่ออ่านสารคดีเรื่อง "สมองมนุษย์ อวัยวะมหัศจรรย์" มาถึงบรรทัดนี้แล้ว พอจะจำอะไรได้บ้าง ลองทำแบบทดสอบดูนะครับ
    ข้อ ๑. สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือชื่อเรียกสมองของมนุษย์ส่วนไหน ?
    ข้อ ๒. กลีบสมองส่วนไหนทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น ?
    ข้อ ๓. เซลล์ประสาทในสมองมนุษย์มีกี่ล้านเซลล์ ?
    ข้อ ๔. เครื่องปล่อยกระแสไฟฟ้าในการผ่าตัดสมองลุงพิชิต ชื่อเครื่องอะไร ?
    คุณผู้อ่านกำลังนึกหาคำตอบอยู่ใช่ไหม ? ติ๊กต่อก ๆๆ... แสดงว่าสมองกำลังเดินเครื่องเพื่อดึง "ความทรงจำ" ออกมา เคยสงสัยไหมว่าความทรงจำถูกบันทึกไว้ในสมองได้อย่างไร มันถูกเก็บไว้ที่ส่วนใดของสมอง และถูกเรียกออกมาได้อย่างไร ระหว่างนี้เราจะเข้าไปสำรวจสมองของคุณผู้อ่านขณะที่กำลังใช้ความจำเพื่อตอบแบบทดสอบ
    ตัวหนังสือของประโยคแบบทดสอบข้อ ๒. (ข้อ ๒. กลีบสมองส่วนไหนทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น ?) เมื่อผ่านสายตาของผู้อ่านเข้าไปแล้วก็แปรรูปเป็นสัญญาณประสาท วิ่งไปสู่สมองส่วนควบคุมการมองเห็นที่กลีบท้ายทอย (เผลอเฉลยแบบทดสอบข้อ ๒. ซะแล้ว !) ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังสมองกลีบขม่อม บริเวณที่เกี่ยวกับความเข้าใจภาษาพูดและภาษาเขียน เพื่อถอดรหัสข้อมูลเป็นความหมาย ทว่าสมองส่วนที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับความจำก็คือฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบลิมบิก-หรือที่เรียกว่าสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (เผลอเฉลยแบบทดสอบข้อ ๑. อีกแล้ว !)

    [​IMG]
    การกระทำบางอย่างสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของสมองได้
    นักวิจัยพบว่าการเล่นโยนบอล ทำให้สมองบริเวณที่เกี่ยวข้อง
    กับการประมวลผลและจดจำการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน มีขนาดเพิ่มขึ้น

    "ฮิปโปแคมปัสมีลักษณะคล้ายกล้วยหอมสองลูก โค้งอยู่ใจกลางสมอง ข้อมูลจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ ภาพที่เราเห็น เสียงที่ได้ยิน หรือหนังสือที่เราอ่าน จะวิ่งมาที่นี่หมด ฮิปโปแคมปัสจะจัดการข้อมูลทั้งหมดให้เกิดเป็นความจำขึ้น"
    ผู้ให้ความรู้กับผมคือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สิระ บุณยะรัตเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมสมองและประสาท ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกการผ่าตัดสมองของเมืองไทยตั้งแต่เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน ปัจจุบันยังเป็นอาจารย์สอนแพทย์ฝึกหัดและแพทย์ประจำบ้านหลายสถาบัน
    "ความจำจะต้องมีองค์ประกอบสามอย่าง คือ หนึ่ง-การได้มาซึ่งข้อมูล สอง-การเก็บข้อมูลนั้น สาม-การเรียกข้อมูลออกมาได้ตามที่ต้องการ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งจะไม่ใช่ความจำ"
    อาจารย์สิระอธิบายว่า ความจำแบ่งออกเป็น ความจำระยะสั้น (short term memory) และความจำระยะยาว (long term memory)

    "คุณกับเพื่อนห้าคนเข้าไปร้านก๋วยเตี๋ยว เด็กเข้ามารับออร์เดอร์ คนหนึ่งสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำ คนอื่นสั่งแห้ง เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ใส่ถั่วงอก ไม่ใส่ถั่วงอก เนื้อสด เนื้อเปื่อย ตอนนั้นเด็กจำได้หมดเลย พอไปสั่งและได้อาหารมาเสิร์ฟแล้ว เด็กก็จำไม่ได้อีก ความจำนั้นถูกโยนทิ้งไป นั่นคือความจำระยะสั้น หรือที่เรียกว่า ความจำสำหรับทำงาน (working memory)"
    ความจำระยะสั้นจะอยู่เท่าที่ยังเป็นประโยชน์ต่อเราเท่านั้น เมื่อหมดประโยชน์ก็จะถูกโยนทิ้งไปเพื่อจะได้มีที่เก็บความจำต่อไปอีก แต่ความจำระยะยาวอาจอยู่ได้หลายปีหรือตลอดชีวิต
    "ทีนี้หากเราเรียนอะไรสักอย่าง แล้วเห็นว่ามันสำคัญ เช่นคำศัพท์ในวิชาภาษาอังกฤษ เราก็จะบันทึกคำศัพท์เหล่านั้นไว้ในความจำระยะยาว ซึ่งมีสถานที่เก็บรักษาอยู่ที่เปลือกสมองหรือคอร์เท็กซ์"
    ฮิปโปแคมปัสมีบทบาทสำคัญในการถ่ายโอนข้อมูลที่สมองได้รับให้เป็นความจำระยะยาว เก็บรักษาไว้ที่เปลือกสมอง
    "ฉะนั้นฮิปโปแคมปัสจึงเปรียบเหมือนกับบรรณารักษ์ห้องสมุด พอได้หนังสือใหม่ (ข้อมูล) มาปุ๊บ เขารีบมาทำดัชนี แล้วเอาไปเก็บที่ตู้(เปลือกสมอง) ถ้าเราต้องการหนังสือเล่มนั้นก็ไปหยิบที่ตู้ได้" อาจารย์สิระอธิบาย

    วงการแพทย์ของต่างประเทศเคยบันทึกกรณีศึกษาของคนไข้ที่สมองส่วนฮิปโปแคมปัสทั้งสองข้างได้รับความเสียหาย ทำให้เขามีอาการสูญเสียความทรงจำแบบล่วงหน้า (anterograde) คือไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์ปัจจุบันไว้ในความทรงจำระยะยาว คนไข้ยังคงจดจำเหตุการณ์ในอดีต (ก่อนฮิปโปแคมปัสเสียหาย) ได้ทุกอย่าง สติปัญญาก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ แต่การใช้ชีวิตประจำวันของเขาจะยุ่งยากมาก เพราะเมื่อตื่นนอนในเช้าวันใหม่ เขาจะลืมเหตุการณ์วันวานจนหมดสิ้น เขาจะอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานซ้ำอีกอย่างอยากรู้อยากเห็น เพราะจำไม่ได้ว่าเคยอ่านไปแล้ว
    ความทรงจำแต่ละประเภท เช่น ความจำที่เป็นภาพ ความจำด้านภาษา-คำพูด ความจำตำแหน่ง-สถานที่ ความจำกระบวนการ-ขั้นตอน ความจำอัตโนมัติ หรือความจำทางอารมณ์ ต่างมีสถานที่เก็บรักษาแยกจากกันในสมองหลายส่วน ดังเช่นบางครั้งเราจำหน้าคนรู้จักได้ แต่นึกชื่อเขาไม่ออกสักที
    อาจารย์สิระอธิบายต่อว่า "จะเห็นว่าฮิปโปแคมปัสอยู่ในระบบลิมบิก และอยู่ใกล้กับอะมิกดาลา ซึ่งบริเวณเหล่านี้เป็นศูนย์ของอารมณ์ นอกจากนี้แล้ว ฆานประสาทหรือประสาทรับกลิ่นจะวิ่งมาที่อะมิกดาลาโดยตรง ดังนั้นเหตุการณ์อะไรก็ตามที่กระทบอารมณ์ เราจะจำได้ดีมาก หรือเมื่อได้กลิ่น จะทำให้เราระลึกถึงความหลัง"
    หลายคนคงนั่งตาค้างหน้าจอโทรทัศน์ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ ภาพข่าวตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกเครื่องบินโดยสารพุ่งชน เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ผู้คนปลิวว่อนกลางอากาศ ตึกยักษ์ทรุดถล่มลงกับตา เลือดและศพเพื่อนมนุษย์ท่ามกลางซากปรักหักพัง ความสยดสยองและพังพินาศอย่างมโหฬารครั้งนั้นตามหลอกหลอนความรู้สึกชาวโลกนานนับเดือน และมันอาจตรึงอยู่ในความทรงจำของเราไปตลอดชีวิต
    หรือวันหนึ่งเมื่อได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ รวยรื่นเข้าจมูก เราเกิดนึกได้ว่าเป็นกลิ่นเดียวกับเรือนผมของหญิงสาวที่เราแอบชอบสมัยยังเป็นนักเรียน
    ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน ลองคิดดูว่าเราต้องใช้ความจำสักเท่าไร ใบหน้ากี่ใบหน้าที่เราจดจำ คำกี่หมื่นกี่แสนคำในภาษาที่เราเรียนรู้ความหมาย เหตุการณ์หรือสถานที่ไม่รู้เท่าไรที่เราไม่ลืม ความจริงก็คือสมองมนุษย์สามารถเก็บข้อมูลเป็นความจำระยะยาวได้มากมายเหลือเชื่อประมาณ ๑๐๐ ล้านล้านรายการ ! ขณะที่คอมพิวเตอร์เก็บได้เพียง ๑ พันล้านรายการเท่านั้น

    ทว่าสิ่งที่ยังเป็นปริศนาลึกลับของนักวิทยาศาสตร์ก็คือ เซลล์ประสาทเก็บรักษาความทรงจำมหาศาลเอาไว้อย่างไร ? หรือความทรงจำปรากฏรูปอย่างไรในเครือข่ายเซลล์ประสาทแสนล้านเซลล์ในสมองมนุษย์ (ลืมตัวเฉลยแบบทดสอบข้อ ๓.อีกจนได้ !)
    เราไม่มีทางลืมแม่ของเราได้ ทว่าใบหน้าของแม่ เสียงของแม่ บุคลิกและความใจดีของแม่ เมื่ออยู่ในรูปของ "ความทรงจำ" ในสมอง จะมีลักษณะใดกัน ? ความทรงจำเกี่ยวกับแม่คงอยู่อย่างไรในเครือข่ายเซลล์ประสาทที่เต็มไปด้วยปฏิกิริยาไฟฟ้า-เคมี "แม่" ที่อยู่ในสมองของเราคือรูปแบบเฉพาะของการรับส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทหรือเปล่า ?
    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พอจะรู้ในวันนี้ก็คือ ความทรงจำมีส่วนเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาเคมีภายในสมอง

    [​IMG]
    ความฝันช่วยให้สมองได้กลั่นกรองและสร้างความหมายให้แก่ข้อมูล
    มากมายที่ได้รับในแต่ละวัน และคัดข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งไป

    "เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้น เซลล์นั้นจะเริ่มทำงาน มีสัญญาณประสาทส่งไปตามแอกซอน เมื่อสัญญาณวิ่งไปถึงปลายสาย ก็จะทำให้ส่วนปลายปล่อยสารเคมี (สารสื่อประสาท) ออกมา สารเคมีนี้มีหลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน โดปามีน และอื่น ๆ อีกมากมาย" อาจารย์สิระอธิบายอย่างช้า ๆ ให้ผมค่อย ๆ ทำความเข้าใจ "สารเคมีก็จะลอยออกมาในช่องว่างระหว่างเซลล์ (ร่องแยกรอยประสานประสาท) แล้วไปจับกับรีเซ็ปเตอร์ (ตัวรับ) บนพื้นผิวเดนไดรต์ของเซลล์อีกตัว"

    "ปรกติช่วงที่สารเคมีจากเซลล์ตัวหนึ่งจับกับรีเซ็ปเตอร์ของเซลล์อีกตัวเป็นเวลาไม่นานนัก สารเคมีจะถูกดูดกลับหรือไม่ก็ถูกทำลาย แต่ขณะนี้เรารู้ว่าถ้าเซลล์ประสาทตัวใดถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ ถี่ ๆ เช่นตอนที่เราท่องศัพท์ภาษาอังกฤษซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้ช่วงเวลาที่สารเคมีจับกับรีเซ็ปเตอร์ยาวนานขึ้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำให้สารแคลเซียมไหลเข้าไปในเซลล์ และจะทำให้เกิดมีปฏิกิริยาต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ซึ่งเราเชื่อว่ามันคือกลไกหนึ่งของความทรงจำ" อาจารย์สิระกล่าว
    แม้ขณะนี้ไม่มีใครสามารถตามรอยความทรงจำในสมองมนุษย์ไปได้สุดทาง แต่เมื่อได้ทำความเข้าใจกลไกแห่งความทรงจำอย่างคร่าว ๆ แล้ว คุณผู้อ่านพอจะนึกคำตอบแบบทดสอบข้อ ๔. ได้หรือยัง...เครื่องปล่อยกระแสไฟฟ้าในสมองลุงพิชิตชื่อเครื่องอะไร ?...(สมองของคุณผู้อ่านกำลังทำงาน เพื่อดึงความทรงจำออกมา)...เครื่องนิวโรเจเนอเรเตอร์นั่นเอง!(ถูกต้องแล้วคร้าบ !)
    ปรกติเมื่อเรานึกเรื่องอะไรได้ เหตุการณ์ต่อเนื่องอื่น ๆ อาจผุดขึ้นในใจตามมา เช่นขณะนี้เมื่อผมนึกถึงภาพการผ่าตัดสมองลุงพิชิต ผมยังเห็นภาพการผ่าตัดสมองคนไข้อีกรายหนึ่ง ที่เกิดขึ้นภายในห้องผ่าตัดเดียวกันแต่คนละช่วงเวลา...

    ๖.สารเคมีแห่งจิตใจ

    แพทย์กำลังคร่ำเคร่งอยู่เหนือร่างคนไข้ที่นอนสลบบนเตียง ร่างนั้นมีผ้าสีเขียวคลุมตลอดตัว โผล่แต่ส่วนหน้าผากซึ่งกะโหลกศีรษะถูกผ่าเปิดเป็นช่องรูปวงรี กว้างประมาณ ๗ เซนติเมตร สายตาของแพทย์แนบอยู่กับช่องมองภาพของกล้องไมโครสโคป (microscope) ซึ่งเป็นก้านยื่นยาวออกมาจากตัวแท่นเครื่องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านข้างเตียง ภาพขยายจากกล้องซึ่งช่วยให้แพทย์ผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ ถูกต่อสายสัญญาณมาฉายขึ้นจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่มุมหนึ่งของห้องผ่าตัด ภาพในจอมอนิเตอร์ขณะนั้นยังติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้
    รูเปิดบนกะโหลกถูกขยายใหญ่มีขนาดเกือบครึ่งจอมอนิเตอร์ มองเข้าไปเห็นเนื้อสมองสีเทามีรอยหยักและแขนงเส้นเลือดแผ่ปกคลุมเป็นร่างแห มันคือบริเวณฐานสมองกลีบหน้าผากซึ่งเป็นส่วนควบคุมความคิด เครื่องมือผ่าตัดที่เรียกว่าเบรนรีแทรกเตอร์ (brain retractor) ลักษณะเป็นแผ่นโลหะแบนยาว แทรกลงไปใต้ฐานสมอง แหวกรั้งเนื้อสมองขึ้นด้านบน ให้ฟอร์เซ็ปส์ (forceps) หรือปากคีบปลายเป็นกระเปาะแหย่ลงไปในหลืบ คีบและดึงให้เนื้องอกปลิ้นออกมาจากใต้ฐานสมอง หลอดโลหะของอัลตราโซนิกซักชัน (ultrasonic suction) ทำหน้าที่ดูดจนชิ้นเนื้องอกขาดจากกัน หรือไม่ก็ใช้ปากคีบไฟฟ้าจี้และตัดให้ขาด
    ผมไม่ละสายตาจากหน้าจอ เห็นเครื่องมือผ่าตัดแต่ละชนิดสลับกันแหย่ลงไปใต้ฐานสมอง เวลาผ่านไปจนแอ่งเลือดในกะโหลกชักจับตัวกันข้น เสียงลมดูดจากซักชันดังฟู่... ควันพวยพุ่งยามปากคีบปล่อยกระแสไฟฟ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เนื้องอกถูกดูดและตัดออกมา จนผมคิดว่าทำไมมันไม่หมดเสียที เนื้องอกบางชิ้นเล็ก บางชิ้นใหญ่จนชวนขนลุก ลักษณะเป็นพังผืดสีขาวคล้ายไขมัน เต็มไปด้วยปุ่มปมตะปุ่มตะป่ำ

    หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น เนื้องอกแต่ละชิ้นถูกนำมาวางเรียงบนผ้าขาวเพื่อถ่ายรูป ทั้งหมดมาจากเนื้องอกก้อนเดียวกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเห็นว่าเนื้องอกก้อนนี้มีขนาดพอ ๆ กับลูกปิงปองทีเดียว
    "คนไข้รายนี้มีอาการทางจิต" คุณหมอดิตถพงษ์บอกผม "แกเป็นผู้หญิง อายุมากแล้ว อยู่มาวันหนึ่งเกิดพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วชอบไปนั่งคุ้ยกองขยะ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ทีแรกลูกหลานพาไปโรงพยาบาลโรคจิต แต่ผลการเอกซเรย์สมองพบว่ามีก้อนเนื้องอกใต้ฐานสมองบริเวณหน้าผาก ญาติเลยส่งมาที่เรา"

    ผมนึกถึงข้อมูลที่วงการแพทย์ของไทยเคยบันทึกไว้อีกกรณีหนึ่งว่า มีคนไข้ผู้ชายอายุราว ๓๐ ปี ถูกยิงขณะนั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อน กระสุนเข้าที่ศีรษะ แพทย์สามารถผ่าตัดรักษาชีวิตเขาไว้ได้ แต่สมองด้านหน้าถูกตัดหายไปหมด จากเสาหลักของครอบครัวเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ละวันเอาแต่นั่งหน้าจอโทรทัศน์ กดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ดูแลตัวเองไม่ได้เลย แม่เขาต้องช่วยเหลือกระทั่งการแปรงฟัน อาบน้ำ
    นายแพทย์วีรพล อุณหรัศมี จิตแพทย์ประจำสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา อธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังว่า ในอดีตจิตแพทย์มุ่งรักษาคนไข้โดยอาศัยทฤษฎีเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันความรู้เรื่องสมองมีมากขึ้น มีความเข้าใจการทำงานของสมองมากขึ้น จึงพบว่าคนไข้บางรายที่มีอาการทางจิต ที่เคยคิดว่าเป็นโรคทางจิตเวช แท้จริงเกิดจากความผิดปรกติทางสมอง
    "สมองกลีบหน้าผาก หรือฟรอนทัลโลป มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความจำ การตัดสินใจ การวางแผน หากสมองส่วนนี้เสียหายหรือทำงานผิดปรกติไป เช่นมีก้อนเนื้องอก อาจทำให้คนนั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน เราเคยเจอคนไข้ที่สมองกลีบหน้าผากทำงานแย่ลง ที่เรียกว่าฟรอนทัลโลปซินโดรม เขาจะมีลักษณะเดินเซ ๆ ไม่สามารถควบคุมความยับยั้งชั่งใจได้ บางครั้งก้าวร้าว พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง"

    [​IMG]นอกจากนั้น สารเคมีในสมองหรือเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ซึ่งหลั่งในร่องแยกรอยประสานประสาท เพื่อนำข้อมูลจากเซลล์ประสาทตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสภาวะจิตใจของคนเรามาก
    จนถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีสารเคมีถึงกว่าร้อยชนิดที่ปฏิบัติการอยู่ในสมองมนุษย์ สารเคมีแต่ละชนิดต่างก็มีรีเซ็ปเตอร์หรือตัวรับเป็นของตนเอง ไม่สามารถไปจับกับจุดรับของสารชนิดอื่นได้ เปรียบเหมือนลูกกุญแจและแม่กุญแจที่มีลักษณะเฉพาะเข้ากันได้พอดี สารเคมีบางอย่าง เช่น โดปามีน มีรีเซ็ปเตอร์ของตนเองที่แตกต่างกัน ๘ รูปแบบ รีเซ็ปเตอร์แต่ละแบบต่างก็รับข้อมูลไม่เหมือนกัน และสารเคมีตัวเดียวกัน หากหลั่งในสมองคนละส่วนกัน ก็อาจส่งผลแตกต่างกันได้

    "การจัดระบบข้อมูลในสมองจึงมีลักษณะซับซ้อนมาก ซึ่งเราเชื่อว่ามันเป็นแหล่งที่มาของพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์ของคนเรา" คุณหมอวีรพลกล่าว
    หากระบบสารเคมีในสมองเกิดความผิดปรกติหรือเสียสมดุลขึ้นมา อาจชักนำให้คนผู้นั้นหลงเข้าไปอยู่ในโลกที่หลอกหลอน ดังเช่นผู้ตกเป็นเหยื่อของโรคจิตเภท (schizophrenia)
    "คนที่เป็นโรคจิตเภทจะมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งที่ความจริงไม่มีใคร บางคนเห็นภาพหลอน หรือหวาดระแวงว่ามีคนจะมาทำร้าย บางคนคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ในอดีตกลับชาติมาเกิด"
    โรคจิตเภทถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ ปัจจุบันประชากรโลกราว ๑ เปอร์เซ็นต์ทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ สาเหตุสำคัญของโรคจิตเภทเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองที่ชื่อโดปามีน (dopamine)
    เมื่อปี ๑๙๕๔ วงการแพทย์พบว่ายา chlorpromazine ช่วยทำให้คนไข้โรคจิตเภทมีอาการดีขึ้น จึงมีการศึกษาทางเภสัชวิทยาว่าตัวยานี้ทำปฏิกิริยาใดกับสมอง พบว่าสารเคมีของยาเข้าไปขัดขวางไม่ให้โดปามีนจับกับรีเซ็ปเตอร์ของมัน นำมาสู่ผลสรุปที่ว่า โรคจิตเภทเกิดจากการทำปฏิกิริยาที่มากเกินไปของสารโดปามีนในสมอง แต่ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่า เกิดจากสมองหลั่งโดปามีนมากไป หรือว่ามีรีเซ็ปเตอร์ของโดปามีนในสมองมากเกินไป
    สารเคมีในสมองที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือซีโรโทนิน (serotonin) หากมีน้อยเกินไปจะทำให้กลายเป็นคนหดหู่ซึมเศร้า หากมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดความก้าวร้าว
    ยาเสพติดบางประเภท เช่น ยาบ้า ยาอี เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะส่งผลต่อสมอง กระตุ้นให้เซลล์ประสาทหลั่งสารโดปามีนและซีโรโทนินจำนวนมาก ทำให้ผู้เสพเกิดอาการก้าวร้าวและประสาทหลอน

    คุณหมอวีรพลยังเล่าให้ฟังว่า "นักวิจัยที่ต่างประเทศเคยศึกษากุ้งชนิดหนึ่ง เขาพบว่าในกุ้งชนิดนี้จะมีทั้งกุ้งผู้ตามและกุ้งผู้นำ เหมือนกับคนเราที่มีทั้งผู้ตามและผู้นำ กุ้งทั้งสองประเภทนี้มันจะขยับหางต่างกัน เขาพบว่ากุ้งผู้นำจะมีระดับซีโรโทนินในสมองสูงกว่า ทีนี้เขาก็กำจัดกุ้งผู้นำออกไป ในที่สุดระบบสังคมก็ต้องยกใครขึ้นมาเป็นผู้นำ แล้วปรากฏว่ากุ้งตัวที่ขึ้นมาเป็นผู้นำก็มีระดับซีโรโทนินสูงขึ้น งานวิจัยนี้อาจบอกกับเราว่า ประสบการณ์การใช้ชีวิตในสังคม มันส่งผลต่อการทำงานของสมอง แล้วทำให้สมองมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้"
    นอกจากนั้นระบบสารเคมีในสมองเสียสมดุล ยังเป็นสาเหตุของอาการวิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ ตื่นตระหนก หรือทำให้ฟุ้งซ่าน
    ครั้งหนึ่ง ศาสตราจารย์ นายแพทย์จำลอง ดิษยวณิช แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจิตแพทย์ที่สนใจศึกษาเรื่องการทำงานของสมอง เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ U-Life ทางโทรทัศน์ว่า
    "การรักษาโรคทางจิตไม่ใช่กินยาเพียงอย่างเดียว ผมขอเน้นว่า เรื่องของสมองกับจิตใจสัมพันธ์กัน แม้แต่สารเคมีในสมองกับจิตใจก็สัมพันธ์กัน บางครั้งการรักษาทางด้านจิตใจที่ทำให้คนเราสบายใจ ความเครียดหรือความวิตกกังวลได้ระบายออกมา ทำให้สารเคมีในสมองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ในกรณีนี้ผมขอแนะนำการฝึกจิต ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย หรือจากประสบการณ์ของผมเอง ที่ได้แนะนำให้คนไข้บางรายลองนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน ปรากฏว่าหลายคนมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน บางรายสามารถที่จะหยุดยาได้เลย"
    การนั่งสมาธิอาจฟังดูเป็นเรื่องของปฏิบัติการทางจิต ทว่ามีนักวิทยาศาสตร์อเมริกันได้ทำการทดลองค้นหาปรากฏการณ์ทางสมองของผู้ที่กำลังทำสมาธิ งานศึกษานี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามตอบคำถามสำคัญที่คนเราอยากรู้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง...จิตและสมองของมนุษย์สัมพันธ์กันอย่างไร

    ๗.สมองพระและจิตมนุษย์

    "ขณะนั่งสมาธิจะรู้สึกสบาย สงบ และมีความสุข บางครั้งเห็นกลุ่มแสงสว่างในความมืด" โก๊หนุ่ย-เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นนักปฏิบัติธรรมเล่าให้ฟัง "หลังจากหัดทำสมาธิมาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง คือควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น รู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ถูกมันครอบงำเหมือนเมื่อก่อน"
    แต่หากนักวิทยาศาสตร์สนใจเรื่องการทำสมาธิล่ะ เขาจะเข้าหามันอย่างไร ?
    ดอกเตอร์แอนดรูว์ นิวเบิร์ก นักรังสีวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา คือผู้คิดการใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เจาะเข้าไปสำรวจโลกทางจิตวิญญาณ
    ดอกเตอร์แอนดรูว์ได้เชิญพระลามะทิเบตจำนวนหนึ่งมาทำสมาธิที่ห้องปฏิบัติการ เมื่อพระลามะเข้าสู่สมาธิระดับลึก พวกท่านถูกขอให้ดึงสายกลไกฉีดสารกัมมันตรังสีปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่ร่างกาย สารกัมมันตรังสีจะไหลตามกระแสเลือดไปสู่สมอง
    ทีมงานของดอกเตอร์แอนดรูว์ใช้เทคนิคที่เรียกว่า SPECT camera (SPECT-Single Photon Emission Computed Tomography) ตรวจวัดสารกัมมันตรังสีในกระแสเลือดที่สมองส่วนต่าง ๆ หากสมองส่วนไหนกำลังทำงาน จะมีเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนนั้นมาก

    [​IMG]
    สภาวะฟั่นเฟือนของบางคนอาจเกิดจากความผิดปกติของสมอง
    ส่วนที่ควบคุมความคิดและการยับยั้งชั่งใจ หรือระบบสารเคมีในสมองเสียสมดุล

    เมื่อเปรียบเทียบภาพสแกนสมองขณะอยู่ในสมาธิ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนกับสมองในภาวะปรกติ โดยสมองส่วนที่ทำงานมากขึ้น-หรือมีปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีเกิดขึ้นมากกว่าปรกติ ก็คือส่วนหน้าของสมองกลีบหน้าผาก ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อคนเราพุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนสมองที่ทำงานลดลงคือกลีบขม่อม ซึ่งมีหน้าที่รับความรู้สึกสัมผัส และกำหนดรู้ตำแหน่งทิศทาง
    "ในขณะทำสมาธิ คนเราจะสูญเสียการรับรู้เกี่ยวกับตัวตน และบ่อยครั้งที่มีประสบการณ์รับรู้ถึงความไร้สถานที่และกาลเวลา นี่คือสิ่งที่เราพบจากการทดลอง" ดอกเตอร์แอนดรูว์อธิบาย
    นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่สนใจปรากฏการณ์ทางสมองระหว่างการทำสมาธิ คือศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน นักประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เขาทำการทดลองสแกนสมองของทั้งผู้เชี่ยวชาญการทำสมาธิ และผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำสมาธิ
    อาสาสมัครที่เพิ่งหัดทำสมาธิมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับที่วงการแพทย์พบหลักฐานมานานแล้วว่า การนั่งสมาธิมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมันทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจลดลง และยังช่วยลดความเครียด
    สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ศาสตราจารย์ริชาร์ดพบว่า แม้ในกลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มทำสมาธิมาเป็นเวลา ๒ เดือน สมองยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน

    "สมองเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก มันถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากประสบการณ์ชีวิตที่คนเราได้รับ"
    สมองกลีบหน้าผากซีกซ้ายของอาสาสมัครที่เพิ่งหัดทำสมาธิมีการทำงานมากขึ้น สมองส่วนนี้มีบทบาทเกี่ยวกับความคิดในแง่ดี และช่วยลดความวิตกกังวล สิ่งเหล่านี้อาจช่วยอธิบายว่า เหตุใดคนที่ฝึกสมาธิจึงมักมีจิตใจแจ่มใส และควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น
    ...นั่นหมายความว่า สัตว์ในสมองมนุษย์ได้ถูกควบคุมไม่ให้ออกอาละวาดได้ง่ายนัก
    การทดลองของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองมีส่วนสอดคล้องกัน พวกเขาศึกษาปรากฏการณ์ทางจิตที่ส่งผลต่อสมอง หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า สมองคือสนามให้กิจกรรมทางจิตแสดงออกมา สอดคล้องกับที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์จำลองกล่าวในรายการ U-Life
    "คนเรามีส่วนประกอบที่สำคัญคือร่างกายและจิตใจ พูดให้ชัดก็คือ ส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ปัญหาต่อไปคือจิตอยู่ที่ไหน จิตไม่ได้อยู่ที่หัวใจครับ บางคนบอกว่าจิตอยู่ที่สมอง ซึ่งยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญก็คือว่า จิตจะทำงานได้ก็ต้องมีที่ทำงาน คือต้องมีออฟฟิศของเขา ออฟฟิศของจิตก็คือสมองนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า จิตจำเป็นต้องอาศัยสมอง สมองก็ต้องอาศัยจิต จะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้"

    คนที่ประสบอุบัติเหตุสมองได้รับความกระทบกระเทือนจนต้องนอนหมดสติกลายเป็นเจ้าชายนิทรา จิตของเขาสูญสลายไปแล้ว หรือมันได้พลัดพรากจากเจ้าของร่างไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือจิตยังคงอยู่ในร่างนั้นเอง แต่หาทางแสดงตัวออกมาไม่ได้ ? หรือแท้จริงแล้วจิตและสมองคือสิ่งเดียวกัน ?
    วันที่ไปคุยกับนายแพทย์วีรพล อุณหรัศมี ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ผมถามคุณหมอว่า อารมณ์ความรู้สึกของคนเรา ไม่ว่าความสุข ความเศร้า ความรัก ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ล้วนเกิดจากปฏิกิริยาไฟฟ้า-เคมีในสมองหรือ ?
    คุณหมอวีรพลตอบว่า "ตอนนี้คงไม่มีใครทราบ...ว่าอารมณ์ทั้งหมดเกิดจากไฟฟ้าเคมี เราเพียงแต่รู้ว่าปฏิกิริยาไฟฟ้า-เคมีในสมอง หรือการทำงานของสมอง มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและพฤติกรรมของคน
    "สิ่งสำคัญก็คือว่า ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจเข้าใจการทำงานของสมองทั้งหมด และยังไม่มีใครเข้าใจการทำงานของจิตใจทั้งหมด เราจึงไม่สามารถอธิบายได้ว่าจิตและสมองสัมพันธ์กันในรูปแบบอย่างไร อาจเป็นไปได้ว่า..."

    คุณหมอวีรพลใช้ปากกาน้ำเงินขีดวงกลมสองวงบนไวต์บอร์ด สมมุติว่าวงกลม A คือจิต และวงกลม B คือสมอง วงกลมทั้งสองถูกวาดให้สัมพันธ์กันหลายลักษณะ วงกลม A แยกขาดจากวงกลม B / วงกลมทั้งสองซ้อนทับเป็นวงเดียวกัน / วงกลมทั้งสองซ้อนเหลื่อมกันเพียงบางส่วน / วงกลม A บรรจุอยู่ในวงกลม B / และวงกลม B บรรจุในวงกลม A
    "ข้อสันนิษฐานอาจแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกบอกว่าไม่มีจิต มีแต่สมอง แล้วพอมันทำงานเป็นวงจร ก็เกิดสภาวะมีตัวตนขึ้นมา กับอีกกลุ่มเขามองว่า จิตใจกับสมองเป็นคนละส่วนกัน หมายถึงมี soul หนึ่ง แต่ soul นี้ไม่สามารถแสดงออกได้ เว้นแต่จะใช้สมองเป็นสื่อ"
    นายแพทย์ประสาน ต่างใจ แห่งโครงการจิตวิวัฒน์ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เป็นอีกผู้หนึ่งที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างสมองและจิต ท่านได้เขียนบทความ "คนยุค "สมัยใหม่" คิดว่าจิตคือสมอง" ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ซึ่งจะขอยกข้อความบางตอนมาให้อ่านดังนี้...
    นักประสาทวิทยาหรือนักวิทยาศาสตร์กายภาพแห่งความเป็น"สมัยใหม่" แต่ "เก่าเดิม" นั้น ไม่รู้จักคำว่าจิตวิญญาณหรือจิตทั้งแผงที่นักวิทยาศาสตร์ทางจิตยุคใหม่ใช้กัน (consciousness)
    การที่ผู้เขียนมักนำคำว่าจิตวิญญาณมาใช้ก็เพื่อให้แยกจากคำว่าจิตเฉยๆ ซึ่งในสายตาของนักวิทยาศาสตร์กายภาพหรือคนยุค "สมัยใหม่" เป็นสิ่งเดียวกับจิตใจ(มนัส) หรือจิตรู้ (mind or conscious mind) หรือสมองนั่นเอง

    วิลเดอร์ เพ็นฟิลด์ (ศัลยแพทย์ชาวแคนาดาที่มีชื่อเสียง) ถึงได้พูดกับ จอร์จ วอลด์ นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจากฮาร์วาร์ดไว้ก่อนตายว่า "อย่าไปหาจิตในสมองเลย มันไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก"
    ส่วนเซอร์จอห์น เอ็กเคิลส์ (ประสาทสรีรแพทย์รางวัลโนเบล) ก็พูดว่า จิตอยู่ในสนามจิตนอกสมองเท่า ๆ กับที่อยู่ในสมอง ซ้ำยังประกาศว่าตนเองได้ค้นพบตำแหน่งของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตกับกาย ว่าอยู่ที่กลีบปรีฟรอนตัล(prefrontal) ที่เรียกว่าเอสเอ็มเอ (SMA) แล้วอีกด้วย
    แต่กระทั่งวันนี้ กระบวนการทางประสาทสรีรวิทยาต่อการเกิดทางจิตแม้ในส่วนที่เป็นจิตรู้ก็ยังเหมือนเดิม คือ "ไม่รู้"
    เพราะความไม่รู้นั่นเอง ที่ผลักดันให้มนุษย์ยังต้องศึกษาค้นคว้าต่อไป ทั้งในเรื่องของจิต และเรื่องของสมอง

    ๘.สมองมนุษย์ อวัยวะมหัศจรรย์

    [​IMG]
    งานศึกษาสมองมนุษย์ที่วงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพูดถึงและจับตามองมากที่สุดอยู่ในขณะนี้ ก็คือโครงการสำรวจทำแผนที่สมอง (Brain Atlas) ของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางสมองแอลเลน (Allen Institute for Brain Science) ที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา
    สถาบันแห่งนี้ก่อตั้งด้วยเงินทุน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียว-คือพยายามศึกษาให้เข้าใจสภาพและการทำงานของสมองมนุษย์ โครงการหลักที่เรียกว่า Allen Brain Atlas มุ่งศึกษายีนทั้งหมดในสมอง โดยวิธีฝานแผ่นเนื้อเยื่อสมองบาง ๆ ออกมาแช่ในน้ำยาสารละลาย DNA และ RNA ต่าง ๆ กัน เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองและศึกษารายละเอียด ทั้งนี้เพื่อที่จะทำแผนที่สามมิติของยีนสมองว่า เซลล์ประสาทตัวใดส่งผ่านนิวโรทรานสมิตเตอร์ประเภทใด ไปที่ใด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร
    ยังไม่นับสถาบันทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกอย่าง Massachusetts Institute of Technology(MIT) หรือสถาบันอื่น ๆ ที่ต่างทำโครงการศึกษาสมองมนุษย์อย่างขะมักเขม้น
    ขณะที่งานศึกษาสมองมนุษย์ดูเหมือนกำลังเร่งรุดไปอย่างก้าวหน้า วันหนึ่งผมเรียนถามอาจารย์สิระ บุณยะรัตเวช ว่าปัจจุบันมนุษย์สามารถทำความเข้าใจสมองของตนเองได้มากน้อยแค่ไหน ท่านตอบว่า
    "น้อยมาก...ผมคิดว่าอาจไม่เกิน ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"
    (และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ สารคดี "สมองมนุษย์ อวัยวะมหัศจรรย์" เรื่องนี้ อาจเผยความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ได้ไม่ถึง ๐.๐๕ เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ)
    สมองมนุษย์ยังคงเป็นอวัยวะสุดมหัศจรรย์ เสมือนหลุมดำแห่งจักรวาลที่บรรจุความลึกลับไว้ไม่สิ้นสุด
    บางทีบทเรียนในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ที่ว่า มนุษย์ใช้ความสามารถของสมองได้เพียงร้อยละ ๑๕ ของศักยภาพทั้งหมดเท่านั้น อาจช่วยปลอบใจได้ว่า เหตุใดคนเราจึงทำความเข้าใจสมองในศีรษะตนเองได้เพียงน้อยนิด
    และมันยังให้ความหวังว่า สักวันข้างหน้ามนุษย์อาจใช้ความสามารถของสมองได้เต็มศักยภาพของมัน และหากความฝันนี้เป็นจริง มนุษย์และโลกจะเปลี่ยนโฉมไปเพียงใด ?
     
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ตรงนี้แหละเป็นประเด็นที่เราเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าสมองเก็บความทรงจำอยู่ในรูปไหน ถ้าเก็บอยู่ในรูปกระแสไฟฟ้าคงจะช็อตสมองตายเมื่อเราแก่ตัวเพราะสมองคงเก็บอะไรต่อมิอะไรไว้เยอะ

    แล้วอีกประเด็นนึงก็คือ เวลาคนเราระลึกชาตินั้นไม่ว่าจะวิธีทางไหนก็ตามที ความทรงจำในชาติที่แล้วมาได้ไง เพราะว่าเมื่อคนเราเกิดมาในสมองน่าจะไม่มีความทรงจำอะไรเลย แล้วก็เพิ่งมาเริ่มบันทึกเมื่อเราคลอดออกมา มันก็น่าจะเริ่มนับ 1 เมื่อตอนนั้น แล้วความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วติดมาจากไหนล่ะ ดังนั้นแล้วถ้าความทรงจำมากับวิญญาณแล้วส่วนที่บันทึกความจำจริงๆ มันอยู่ที่สมองหรือวิญญาณกันล่ะ
     
  3. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ทำไมของเรามันถึงมีแต่ขี้เลื่อยหว่า
     
  4. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,221
    ค่าพลัง:
    +939
    ก็ว่างั้น...
    น่าคิดไหมครับว่า ถ้าคนมีวิวัฒนาการจากลิงจริงๆ ทำไมคนเราไม่เกิดมาแล้วช่วยตัวเองได้เลยเหมือนลูกลิง ยังต้องนอนแบกับเบาะให้เลี้ยงอีกตั้งนาน
     
  5. NaCl

    NaCl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +289
    โห อย่างยาว ฝากไว้ก่อน เด๋วมาอ่านต่ออีก 3/4
     

แชร์หน้านี้

Loading...