สติ ธรรมะที่มีอุปการะมาก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 3 พฤษภาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    สติ ธรรมะที่มีอุปการะมาก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

    [​IMG]

    สติ ธรรมะที่มีอุปการะมาก

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    อันศีลสมาธิและปัญญานี้เป็นหลักปฏิบัติ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้โดยเป็นสิกขาคือศึกษา อันได้แก่เป็นข้อที่พึงศึกษา คือเรียนให้รู้ด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน ด้วยการเพ่งพินิจพิจารณา และทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และก็ศึกษาปฏิบัติต่อไป

    อันคำว่า สิกขา ซึ่งเป็นภาษาบาลี และสันสกฤตว่า ศิกฺษา มาเป็นภาษาไทยก็นำมาใช้ว่า ศึกษา และมักจะมีความเข้าใจว่าเป็นไปในภาคเล่าเรียน ซึ่งมักจะพูดต่อกันว่าศึกษาเล่าเรียน แต่ความหมายของคำนี้ในทางพระพุทธศาสนาหมายถึงการปฏิบัติ เป็นข้อหลักคือศึกษาปฏิบัติ แต่ก็ต้องเริ่มมาจากศึกษาเล่าเรียน เพราะถ้าไม่ศึกษาเล่าเรียนก็ไม่สามารถจะมาศึกษาปฏิบัติได้

    เพราะฉะนั้น คำนี้ในพุทธศาสนา คำว่า ศึกษา จึงหมายถึงเมื่อยังไม่รู้ก็เรียนให้รู้ และรู้แล้วก็ปฏิบัติ ซึ่งมุ่งถึงปฏิบัติเป็นข้อสำคัญของคำว่าศึกษา เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวว่าสิกขาหรือศึกษาในทางพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายดังกล่าว

    และในทางธรรมคือพุทธศาสนาก็ยังคงใช้คำว่าสิกขา อันเป็นภาษาบาลีดั้งเดิม ดังเรียกว่าไตรสิกขา สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา คือศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติให้เป็นศีลขึ้น ก็เรียกว่าสีลสิกขา ศึกษาคือเล่าเรียนปฏิบัติให้เป็นสมาธิขึ้น ก็เรียกว่าจิตตสิกขา ศึกษาปฏิบัติให้เป็นปัญญาขึ้นมา ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติให้เป็นปัญญาขึ้นมา ก็เรียกว่าปัญญาสิกขา


    ๏ สิกขาของพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ความสำเร็จศึกษา จึงอยู่ที่เล่าเรียนปฏิบัติ ให้เป็นศีลขึ้นมา ให้เป็นสมาธิขึ้นมา และให้เป็นปัญญาขึ้นมา แต่ว่าเพียงเท่านี้ก็ยังไม่จบศึกษาหรือสิกขาของพระพุทธเจ้า จะต้องได้ผล คือความที่จิตใจปล่อยวางจากความยึดถือเกี่ยวเกาะ มีความบริสุทธิ์ใจ มีความสะอาดทางใจ น้อยหรือมากตามควรแก่กำลังของศีลสมาธิปัญญา

    เมื่อได้ผลคือความพ้นอันหมายถึงปล่อยวาง ไม่ยึดถือเกี่ยวเกาะ มีความบริสุทธิ์สะอาดทางใจดั่งนี้แล้วจึงจะเป็นผลของการศึกษาหรือสิกขา และเมื่อยังปล่อยวางไม่หมด ยังสะอาดบริสุทธิ์ไม่หมด ก็ยังไม่จบศึกษา จะต้องปล่อยวางได้หมดสิ้น สะอาดบริสุทธิ์หมดสิ้น คือสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผู้สิ้นกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จึงจะเรียกว่าจบสิกขาหรือจบศึกษา


    ๏ เสขะ อเสขะ

    เพราะฉะนั้น ทางพระพุทธศาสนาจึงได้จัดเรียกบุคคลผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ หรือที่เรียกว่านักศึกษาต้องเป็นบุคคลตั้งแต่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป คือเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี คือเป็นอริยบุคคลผู้ละกิเลสได้บางส่วนยังไม่หมดว่าเป็น เสขะ แปลว่านักศึกษา และเมื่อละกิเลสและกองทุกข์ได้หมดสิ้นแล้วจึงจะเรียกว่า อเสขะ ที่แปลว่าผู้ไม่ต้องศึกษาต่อไป คือจบศึกษา เพราะฉะนั้นในเวลาบอก อนุสาสน์ ที่พระอุปัชฌาย์ได้บอกอนุสาสน์ จึงได้บอกไว้ในตอนท้ายว่า ให้ศึกษาในไตรสิกขา คือสีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าที่จะสิ้นกิเลสอาสวะ คือกิเลสที่ดองจิตสันดานได้หมดสิ้น อันหมายความว่าเมื่อปฏิบัติได้ถึงขั้นดังกล่าวนี้จึงจะจบศึกษา นี้เป็นศึกษาหรือสิกขาทางพระพุทธศาสนา

    เพราะฉะนั้น ทุกๆ บุคคลทั้งพระและทั้งคฤหัสถ์ เมื่อยังไม่สิ้นกิเลสและกองทุกข์ทั้งหมด ก็ต้องศึกษากันเรื่อยไป ศึกษาในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ปฏิบัติให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมา ตามภูมิตามชั้นของการปฏิบัติ ซึ่งสรุปเข้าในพระพุทธโอวาทที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นข้อที่พึงปฏิบัติเรื่อยไป


    ๏ อุปการธรรม

    และในการปฏิบัตินี้ต้องอาศัยอุปการธรรม คือธรรมะที่เป็นอุปการะในการปฏิบัติ เป็นต้นว่า สติ ขันติ สติก็คือความระลึกได้ ขันติก็คือความอดทน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงสติไว้ว่ามีอุปการะมาก พร้อมทั้งสัมปชัญญะคือความรู้ตัว ที่อยู่ในหมวด ๒ ในหนังสือนวโกวาท นำด้วยธรรมที่มีอุปการะมาก ๒ อย่าง

    สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว และ ขันติ คือความอดทน พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนไว้ในพระโอวาทที่เป็นหัวข้อใหญ่ เริ่มด้วยขันติคือความอดทน ที่ตรัสไว้ว่า ขันติคือความอดทนเป็นตบะ คือธรรมะเป็นเครื่องแผดเผากิเลสเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น สติกับขันติทั้ง ๒ นี้ จึงเป็นอุปการธรรมอันสำคัญ และนอกจากเป็นอุปการธรรมแล้ว ยังเป็นตัวธรรมปฏิบัติโดยตรงด้วย คือทุกคนจะต้องอบรมจิตใจของตัวให้มีสติ และให้มีขันติ ไม่ใช่ว่าสติและขันตินี้จะมามีขึ้นเฉยๆ โดยไม่ต้องปฏิบัติ แต่ว่าทุกคนก็ต้องมีสติ มีขันติ ที่เป็นภาคพื้นจิตใจของแต่ละคนอยู่แล้วเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่เพียงพอ จะต้องอบรมให้ยิ่งขึ้นไป


    ๏ การอบรมสติสัมปชัญญะ

    และการอบรมสตินั้น สติคือความระลึกได้ ก็ต้องอบรมด้วยการที่มาหัดนึก หัดกำหนดดูด้วยใจของตัวเอง ในข้อที่ควรกำหนดนึกกำหนดดูทั้งหลาย เช่นว่า กำหนดนึกถึงการที่ทำไว้แล้ว คำที่พูดไว้แล้วได้ ว่าได้เคยทำอะไรไว้ ได้เคยพูดอะไรไว้ และในข้อนี้ก็มีความหมายถึงความจำด้วย เช่นว่าวันนี้เมื่อเช้านี้ได้เรียนธรรมะเรื่องอะไร ได้ปฏิบัติธรรมะอะไร มาถึงตอนเย็นก็ระลึกนึกตรวจสอบดูจิตใจของตัวเอง ว่าเรียนอะไรไว้ ทำอะไรไว้ พูดอะไรไว้ การปฏิบัติดั่งนี้ก็เป็นการที่หัดทำให้เกิดความจำดี บางทีอาจจะนึกไม่ได้ ก็ต้องมีการจดเอาไว้ เมื่อจดเอาไว้ก็ต้องมาอ่านทบทวน และเมื่ออ่านทบทวนแล้วก็กำหนดจำไว้ให้ได้ที่ใจของตัวเอง

    หัดปฏิบัติอยู่ดั่งนี้เสมอจะทำให้มีสติคือความระลึกได้ ถึงการที่ทำคำที่พูดแม้นานได้ อันหมายตลอดถึงจำถึงข้อที่เราเรียนมาแม้นานได้ ทำให้มีความจำดีขึ้น

    เพราะฉะนั้นสตินี้ก็เป็นการที่ช่วยทำให้สัญญา คือความจำหมายในสิ่งต่างๆ ที่ประสบพบผ่าน อันเป็นข้อที่ควรกำหนดจดจำไว้ ทำให้กำหนดจดจำได้ กำหนดจดจำในสมุด แล้วก็มากำหนดจดจำในใจ ให้กำหนดจดจำไว้ได้ที่ใจของตัวเอง ดั่งนี้เป็นการหัดทำสติ และเมื่อหัดทำสติดั่งนี้ก็จะเป็นการหัดทำสัมปชัญญะคือความรู้ตัวไปพร้อมกัน เพราะว่าเมื่อมีสติความระลึก ความกำหนด ก็ย่อมจะมีความรู้ขึ้นมาในข้อที่กำหนดได้ระลึกได้นั้น


    ๏ สติ ธรรมะที่เป็นใหญ่

    เพราะฉะนั้น คำว่าสติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว จึงอาจที่จะกล่าวรวมกันว่าความระลึกรู้ ระลึกก็เป็นสติ สัมปชัญญะก็เป็นรู้ เพราะฉะนั้น ธรรมะคู่นี้จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กันประกอบกันดั่งนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะคู่นี้คือสติสัมปชัญญะ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือช่วยมาก และนอกจากนี้ยังตรัสยกไว้โดยเฉพาะสติ ว่าเป็นธรรมะที่เป็นกำลัง เป็นธรรมะที่เป็นใหญ่

    ทุกๆ คนที่สามารถพูดได้ เรียนรู้อะไรได้ ก็อาศัยสตินี้เอง เพราะว่าคำพูดที่พูดนี้เป็นภาษาที่พ่อแม่สอนมาตั้งแต่รู้เดียงสา คราวละคำสองคำก็หัดพูดขึ้นมา จนรู้เดียงสามากขึ้นก็พูดได้มากขึ้น ทำไมจึงพูดได้ ก็เพราะว่าระลึกได้ นึกได้ อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกได้ถึงภาษาที่จะพูด ว่าต้องพูดอย่างนี้ เช่นว่าจะไปก็นึกได้ว่าพูดว่าจะไป ดั่งนี้เป็นต้น

    ถ้าหากว่านึกไม่ได้ว่าพูดยังไง ก็ไม่สามารถจะพูดได้ เหมือนอย่างว่าไม่ได้หัดเรียนหัดพูดภาษาต่างประเทศ ก็พูดไม่ได้ หรือแม้ว่าภาษาของตนเองเมื่อไม่ได้พูดนานๆ ไม่ได้นึกถึง ลืมไป ก็พูดไม่ได้พูดไม่ถูกเหมือนกัน ทำไมจึงลืมก็เพราะว่าไม่ได้ใช้สติคือความระลึก หรือความนึกถึงอยู่บ่อยๆ ก็ลืมไปได้

    แม้ในการแสดงทางกิริยามารยาทต่างๆ ในการที่จะนุ่งจะห่ม จะทำอะไรต่างๆ ก็ต้องมีสติคือระลึกได้ว่าจะต้องเดินอย่างนี้ จะต้องนั่งอย่างนี้ จะต้องแสดงกิริยาอาการอย่างนี้ จึงทำได้ทำถูก ถ้าไม่มีสติระลึกได้แล้วก็ทำไม่ถูก เช่นเดียวกับพูดไม่ถูก

    เพราะฉะนั้นสติที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้จึงเป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก เป็นธรรมะที่เป็นกำลัง และก็เป็นใหญ่เหนือความลืม เพราะถ้าหากว่าไม่มีสติดั่งนี้อยู่ก็ทำอะไรไม่ถูก และหากไม่มีสติดั่งนี้อยู่ก็จะลืม เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นกำลังทำให้ทุกๆ คนสามารถทำได้พูดได้อยู่ในปัจจุบัน แสดงกิริยาอาการใดๆ ได้ถูกต้องอยู่ในปัจจุบันไม่ผิดพลาด และเป็นใหญ่เหนือความลืม คือทำให้ไม่ลืม สติจึงเป็นธรรมะอันสำคัญดั่งนี้


    ๏ สติสัมปชัญญะในปัจจุบัน

    และนอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังตรัสสอน ให้มีสติและสัมปชัญญะอยู่ในปัจจุบัน คือระลึกอยู่ถึงตนเองในปัจจุบัน เมื่อจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน ก็ระลึกนึกว่าเราจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน และก็รู้ตัวอยู่ว่าเรากำลังเดิน เรากำลังยืน เรากำลังนั่ง เรากำลังนอน คือมีสติรักษาตัวอยู่เสมอ

    และนอกจากนี้ยังมีสติรักษาใจ กล่าวคือเมื่อใจคิดอย่างไรก็มีสติระลึกได้ แล้วก็รู้อยู่ว่าเรากำลังคิดอย่างนี้ และก็ทำให้ระลึกได้ถึงข้อที่มารดาบิดาสั่งสอน พระสั่งสอน ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ตั้งแต่น้อยๆ ออกไปโดยลำดับ ดั่งที่พ่อแม่ ครูอาจารย์ พระ อบรมสั่งสอน ก็นึกได้ และเมื่อรู้ว่าเรากำลังคิดอย่างนี้ ก็มีสติรู้ได้ว่าคิดอย่างนี้ถูก คิดอย่างนี้ผิด นี่คือสติในปัจจุบันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ให้ทุกๆ คนมีความรู้ ตามดูอยู่ซึ่งความเป็นไปของกายของใจของตัวเองในปัจจุบัน


    สติปัฏฐาน

    จึงมาถึงสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ให้มีสติตามดู กายของตัวเอง ตามดู เวทนาของตัวเอง ตามดู จิตใจของตัวเอง ตามดู ธรรมะคือเรื่องในจิตใจของตัวเอง

    คือว่ามีสติตามดูกายของตัวเองนั้น ก็คือมีสติตามดูว่ากายของเราเป็นอย่างไร เมื่อมีสติคอยตามดูอยู่ดั่งนี้ ก็ย่อมจะเห็นว่ากายของเรานั้น กำลังเดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ในบัดนี้ก็กำลังนั่งอยู่ แล้วก็ไม่ใช่นั่งเปล่าๆ ยังหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ไม่มีเวลาหยุด ดูเข้ามาให้รู้ แล้วก็ดูใจของตัวเอง ว่าใจของตัวเองนั้นก็กำลังกำหนดดูกายอยู่อย่างนี้ และเมื่อดูกายพร้อมทั้งดูใจที่กำลังเป็นไปอยู่ในปัจจุบันดั่งนี้ ก็ย่อมจะดูเห็นถึงสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ของกายใจที่เป็นไปอยู่ตลอดเวลา และย่อมจะทำให้ตัวใจเองที่เป็นตัวสำคัญของบุคคลนั้นโผล่ขึ้นมาให้รู้ได้ ว่าใจตัวเป็นยังไง ใจปลอดโปร่ง หรือไม่ปลอดโปร่ง ใจกำลังชอบอะไร ใจกำลังไม่ชอบอะไร โกรธอะไร ใจกำลังหลงใหลอะไร ใจมีสมาธิหรือใจไม่มีสมาธิ ใจยึดอะไรหรือไม่ยึดอะไร ก็ย่อมรู้ใจของตัวเอง


    ๏ นี่แหละคือธรรมะ

    และเมื่อใจของตัวเองปรากฏขึ้น เรื่องในใจก็จะโผล่ขึ้นมา เพราะความเป็นไปในใจนั้นเนื่องอยู่กับเรื่องในใจที่บังเกิดขึ้น ที่ผุดขึ้นมา เป็นเรื่องนั่นบ้าง เรื่องนี่บ้าง เรื่องโน่นบ้าง พร้อมทั้งอาการของใจที่เป็นฝ่ายดีบ้าง ที่เป็นฝ่ายไม่ดีบ้าง เช่นว่า เป็นความโลภอยากได้บ้าง ความโกรธบ้าง ความหลงบ้าง เมื่อดูเข้ามาดั่งนี้แล้วอะไรโผล่ขึ้นมาก็จะมองเห็น ว่านี่โลภ นี่โกรธ นี่หลง ในใจของตัวเราเอง หรือว่าส่วนดีเช่นความเมตตาความกรุณา ความปสาทะความเลื่อมใส สติความระลึกได้ สมาธิความตั้งใจมั่น ความรู้อันถูกต้องปลอดโปร่ง ซึ่งแปลว่าเป็นส่วนดี

    ก็จะรู้ได้ ก็จะรู้ว่าใจของเรานี้กำลังมีเรื่องที่ดีอยู่ในใจ กำลังมีเรื่องที่ไม่ดีอยู่ในใจ เรื่องที่มีในใจนี่แหละคือธรรมะ ถ้าฝ่ายดีก็เป็นกุศลธรรม ฝ่ายชั่วก็เป็นอกุศลธรรม ต้องใช้สติความระลึกกำหนดดูที่กายก่อน และเมื่อเห็นกายดังกล่าวก็จะเห็นเวทนา ก็จะเห็นใจเอง แล้วก็จะเห็นเรื่องในใจ ก็จะได้ความรู้ว่านี่เป็นกุศล นี่เป็นอกุศล และสติที่เป็นตัวกำหนดนี้ กำหนดก็รู้ รู้ตัวว่าเป็นยังไง


    ๏ สติสัมโพชฌงค์ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์

    กำหนดเป็นสติรู้ตัวนั่นก็เป็นสัมปชัญญะประกอบกันอยู่ดั่งนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็คือให้ใช้สติกำหนดเข้ามาดูที่ตัวเอง ก็จะพบกาย พบเวทนา พบจิต พบธรรม ในตัวเอง ดั่งนี้นั่นเอง นี่ก็เป็นสติปัฏฐาน

    และเมื่อได้สติปัฏฐานดั่งนี้แล้วก็จะได้ สติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้ คือสติที่ยิ่งขึ้นไป คือว่าสติที่กำหนดดู เข้ามารู้ที่ตัวเองให้รู้กายรู้ใจของตัวเองดั่งนี้ ก็เป็นทางแห่งความรู้ที่ยิ่งขึ้นไป คือเป็นความรู้ที่เรียกว่า ความรู้วิจัย วิจัยเรื่องในจิตของตัวเองนี่แหละ

    เพราะดังกล่าวแล้วว่าเมื่อสติระลึกกำหนดดูกาย ก็จะเห็นกาย ก็จะเห็นเวทนา ก็จะเห็นจิตใจ ก็จะเห็นธรรมะในจิตใจ คือเรื่องในจิตใจว่าเป็นอย่างไร สติที่กำหนดดั่งนี้เป็นตัวสติ และความรู้ที่จะได้ความรู้ ก็วิจัยเรื่องในใจของตัวเองนั่นเอง ว่าเรื่องในใจของตัวเรานี้ เรื่องอย่างนี้เป็นอกุศลธรรม เช่นว่าโลภอยากได้อะไรของเขาบ้าง โกรธเขาบ้าง หลงใหลอะไรบ้าง ก็เป็นอกุศลธรรม เรื่องอย่างนี้ในใจของตัวเองที่เป็นฝ่ายดีเช่น เป็นเมตตา เป็นกรุณา เป็นฉันทะความพอใจในการเล่าเรียนศึกษา ในการที่จะละชั่วทำดี อะไรเป็นต้นเหล่านี้ก็เป็นกุศลธรรม วิจัยแยกแยะเรื่องในใจของตัวเองได้ว่า นี่เป็นอกุศลธรรม นี่เป็นกุศลธรรม

    ฝ่ายอกุศลธรรมนั้นมีโทษ ก่อให้ความเดือดร้อน ส่วนฝ่ายที่เป็นกุศลธรรมนั้นเป็นคุณ ก่อให้เกิดความสุข ก็เป็นอันว่าได้ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือความจำแนกแจกธรรม ไม่ใช่ไปจำแนกแจกธรรมที่ไหน จำแนกแจกธรรมในจิตใจของตัวเองนี้เองให้รู้ ให้รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร และเมื่อได้ความรู้ที่เริ่มเป็นปัญญาขึ้นดั่งนี้แล้ว ก็จะทำให้เกิดวิริยะคือความเพียร เพียรที่จะละเสียซึ่งความชั่วต่างๆ ซึ่งอกุศลธรรมต่างๆ เพียรที่จะประกอบกระทำกุศลธรรมความดีต่างๆ ให้บังเกิดขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่นว่าถึงเวลาที่จะไปโรงเรียน ถึงเวลาที่จะทำงาน ถึงเวลาที่จะอ่านหนังสือ ดูหนังสือ ทบทวนการเรียน หรือว่าคิดอ่านการงานที่จะทำต่อไป ก็เกิดความเกียจคร้านขึ้นมา หรือไม่เช่นนั้นก็อยากไปเที่ยว เมื่อเป็นดั่งนี้ก็มีสติกำหนดเข้ามาดู ดูว่าให้รู้จักว่าในขณะที่มีความคิดดั่งนี้ ร่างกายเองก็กระสับกระส่าย และเวทนาก็ไม่เป็นสุข คือมีความกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข เป็นทุกข์ จิตใจเองก็กระวนกระวาย และเรื่องในใจเองนั้นก็เป็นความคิดที่เป็นความเกียจคร้าน ที่เป็นความอยากเที่ยว อะไรต่างๆ เหล่านี้ที่เป็นส่วนที่ไม่ถูกไม่ชอบ

    เมื่อหากมีสติกำหนดเข้ามาดูเสียดั่งนี้ มีความรู้ตัวว่ากำลังคิดอย่างนี้ ก็จะได้ปัญญาขึ้นมาว่านี่เป็นความคิดผิดเสียแล้ว คิดเที่ยวนี่คิดผิด เกียจคร้านก็ผิด เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะทำให้ความคิดที่ผิดนั้นหายไป เกิดเป็นความคิดที่ดีขึ้นแทน หรือว่าเร่งเร้าให้เกิดความคิดที่ดีขึ้นมา สติส่งเสริมให้เกิดความคิดที่ดีขึ้นมา คือว่าให้มีความขยันหมั่นเพียร ให้เล่าเรียน ให้ขยันเรียนให้ขยันทำงานตามหน้าที่ เหล่านี้เป็นต้น หรือว่าขยันหมั่นเพียรในการที่จะละชั่วทำดีต่างๆ อันเป็นความประพฤติธรรมะ เหล่านี้ก็เป็นวิริยะคือความเพียร จะบังเกิดขึ้นสืบต่อมาจากข้อธรรมวิจัย คือความที่วิจัยจำแนกแจกธรรมะในใจของตัวเองว่าให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แล้วจะเกิดความเพียรละส่วนที่ชั่ว ทำส่วนที่ดีให้บังเกิดขึ้น

    เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะได้รับผลเป็นตัวปีติคือความอิ่มใจ อิ่มใจในการที่ชำระจิตใจของตัวเองได้ ทำให้จิตใจที่ละชั่วทำดีนั้นเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น ความอิ่มใจก็บังเกิดขึ้น เหมือนอย่างร่างกายที่สกปรก อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้ว ก็สบาย จิตใจก็เหมือนกัน เมื่อชำระให้สะอาดจากส่วนที่ชั่ว มีส่วนที่ดีอยู่แล้ว ก็จะทำให้จิตใจนี้ผ่องใส เป็นความอิ่มใจ อิ่มเอิบ แล้วก็จะได้ความสงบ ใจก็จะตั้งมั่นในการที่จะทำดียิ่งขึ้น และใจเองก็จะปล่อยวางส่วนที่ชั่วได้ไปโดยลำดับมีความวางชั่วได้ เฉยต่อสิ่งยั่วเย้าที่ชั่วได้ สามารถที่จะเพ่งพินิจประกอบกระทำการเล่าเรียน ประกอบกระทำการงานให้ดียิ่งขึ้นไปได้ อันอยู่ในข้อว่าอุเบกขา

    เป็นอันว่าสตินี้เองทำให้เกิดโพชฌงค์ได้ทุกข้อ เพราะฉะนั้น สตินี้เองจึงเป็นธรรมะสำคัญมากในพุทธศาสนา ที่ทุกคนควรจะต้องอบรมให้บังเกิดมีขึ้น ก็จะได้สติที่เป็นอุปการะมาก สติที่เป็นกำลัง สติที่เป็นสติปัฏฐาน สติที่เป็นโพชฌงค์ ตลอดจนถึงสติที่จะเป็นตัวมรรคต่อไป ที่มีหน้าที่กำจัดกิเลสและกองทุกข์ได้ตามสมควรแก่ความปฏิบัติ แต่ทั้งนี้ต้องมีขันติความอดทนในการที่จะปฏิบัติในสติดังกล่าวนี้ได้ ถ้าไม่มีความอดทนต่อหนาวร้อนลำบากตรากตรำ ไม่สามารถจะอดทนต่ออารมณ์ และต่อกิเลสต่างๆ ต่อใจของตัวเองที่รุนแรงในทางไม่ดีได้แล้ว การปฏิบัติทำสติก็เป็นไปได้ยาก จึงต้องมีขันติความอดทนนี้สนับสนุนอยู่ตลอดเวลาคู่กันไป ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป




    คัดลอกมาจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4371
    เทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
    http://www.mahayana.in.th/tsavok/tsavok.html
     
  2. parapuda

    parapuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +250
    ขออนุโมทนาสาธุการด้วยครับ
    -------------------------------
    आपका बहुत बहुत धन्यवाद
     

แชร์หน้านี้

Loading...