"สติมีอยู่กิเลสจะไม่เพ่นพ่าน" (โดยหลวงปู่มหาบัว 9 พย.49 )

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 10 พฤศจิกายน 2006.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- / icon and title --><!-- message -->
    <TABLE class=tborder id=post373144 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_373144 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">
    คลิ๊กเลยครับ [​IMG]

    วิทยุหลวงตามหาบัว เทศนาว่าการ
    --------------------------------------------------




    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR align=middle><TD>สติมีอยู่กิเลสจะไม่เพ่นพ่าน</TD></TR><TR><TD bgColor=#339900>[​IMG]</TD></TR><TR align=middle><TD>วันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 เวลา 8:20 น.
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR align=right><TD>[​IMG] | [​IMG] | </SELECT><TABLE borderColor=#993300 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" align=center bgColor=#ffcc99 border=0><TBODY><TR><TD>
    ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
    ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙


    สติมีอยู่กิเลสจะไม่เพ่นพ่าน

    ก่อนจังหัน


    พระวัดนี้ให้มีแต่การประกอบความเพียรอย่างเดียวนะ อย่ามีงานนั้นยุ่งงานนี้ยุ่ง นั่นงานของโลกงานสกปรก งานสะอาดเป็นงานของธรรม คือการชำระจิตใจของตน เอาให้ดี อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ กิจวัตรทำตามเวล่ำเวลา สิ่งที่ควรทำตามเวลาก็ทำ เช่นปัดกวาดเช็ดถูพร้อมเพรียงกันก็เรียบร้อยมาโดยตลอดแล้ว แต่การประกอบความเพียรภายในจิตใจนี้สำคัญมาก ตั้งใจทำให้ดี
    พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลทรงนิพพาน อยู่กับหัวใจของท่านผู้มีความเพียร อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่มาทำลายได้ถ้าเจ้าของไม่ทำลายเจ้าของเสียเองด้วยความขี้เกียจขี้คร้านไม่เอาไหนเสียเท่านั้น ธรรมพระพุทธเจ้านี้สอนอย่างแม่นยำๆ เลย เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ คือความแม่นยำ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดี
    การประกอบความเพียรผมไม่เคยไปแตะต้องนะพระแต่ไหนแต่ไรมา มีการมีงานอะไรก็ตามให้ทำอยู่ข้างนอก สำหรับพระผู้ประกอบความพากเพียรไม่ให้เข้าไปยุ่งท่าน แม้ที่สุดที่พักก็ไม่ให้คนเข้าไป ให้ท่านประกอบด้วยความสะดวกสบาย การฆ่ากิเลสเป็นเรื่องง่ายเมื่อไร เอะอะกิเลสจะออกก่อนๆ ธรรมะอืดอาดๆ ในเวลาที่อืดอาดๆ ในเวลาที่คล่องตัวก็คล่อง เหมือนกันกับกิเลสคล่องตัว ตั้งใจปฏิบัติให้ดี
    ทำอะไรด้วยความพินิจพิจารณา อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สุขุมละเอียดเลิศเลอไม่มีอะไรเสมอในโลก เข้ามาสวมในตัวของเราให้เป็นผู้มีความละเอียดสุขุม คิดอ่านไตร่ตรองก่อนจะแสดงกิริยาอาการใดออกมา ให้คิดให้เรียบร้อยๆ อย่าพล่ามๆ พูดสุ่มสี่สุ่มห้า ปากเปราะปากบอนใช้ไม่ได้นะ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีความสุขุมอยู่ภายใน เก็บความรู้สึกไว้ได้ดี กลั่นกรองเรียบร้อยแล้ว อะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ให้ออกตามที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า ปากเปราะปากบอนใช้ไม่ได้นะ
    ในครัวนี้มีเยอะพวกปากเปราะปากบอน เราได้ทราบเสมอ แต่ไม่ค่อยทราบชัดเจน ถ้าเราทราบชัดเจนไม่ยากอะไรเลย การปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ขาดสะบั้นไปเลยกับเรา มาตอแยไม่ได้นะกับเราพูดจริงๆ เราคือธรรม เราปฏิบัติโดยธรรมทั้งนั้น อยู่ข้างในมันมีนะตัวแสบๆ ให้ออกมา ถ้าไม่กล้าที่จะออกมาอย่างโจ่งแจ้งได้ก็ให้มากระซิบเรา ตัวไหนตัวแสบๆ อยู่ในครัว มันมีอยู่แทรกอยู่เรื่อยๆ พวกเปรตพวกผีอยู่ในครัวเงียบๆ มันกัดมันฉีกมันอิจฉาตาร้อนมันอยู่ภายใน ให้มากระซิบเรา นี้จะไม่มีที่ลับที่แจ้ง ธรรมจะเปิดเผยตลอดเวลา ให้ออกมาบอก ไม่ว่าฝ่ายไหนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่รอบๆ ที่กำแพงข้างนอกวัดก็เหมือนกัน ถ้าดูอาการไม่ดีแล้วให้หนี อย่าเข้ามายุ่งนี้นะ มันมีพวกปลอมแปลง แล้วพวกปลอมแปลงนี้พิษมันมาด้วยนะ อยู่ข้างนอกกำแพงนั้นก็มี อยู่ข้างในนี้ก็มี
    สำหรับพระในวัดเรานี้เราได้ชมเชยตลอดมา ไม่ปรากฏว่ามี เพราะท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเอาจริงเอาจังกับธรรมทั้งหลาย ท่านจะไปสนใจอะไรกับโทษซึ่งเป็นของสกปรก ท่านมาชำระโทษต่างหาก เราก็ชมมาตลอด สำหรับพระไม่ค่อยได้ว่าอะไรแหละ แต่นอกจากนั้นไปได้ว่าบ่อยๆ ไม่ได้หาเรื่องหาราวนะ พินิจพิจารณาได้เหตุได้ผลแล้วนำมาพูด ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
    ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เลิศเลอ ให้นำไปประดับกายวาจาใจ ความประพฤติ หน้าที่การงานทุกอย่าง ถ้านำศาสนาเข้าไปประดับตัวแล้วจะไม่ค่อยผิดพลาดคนเรา ส่วนมากมีแต่เรื่องกิเลส กิเลสนี้มันเร็ว เรื่องตะกละตะกลามก็คือกิเลส ลุกลี้ลุกลนก็คือกิเลส ดังพวกที่เป็นบ้ายศอยู่ทุกวันนี้ หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ ได้ยศนั้นมายศนี้มา ดูแล้วเป็นบ้าไปเลย พระเป็นบ้าดูไม่ได้นะ ประชาชนเขาธรรมดาเป็นบ้าเป็นอย่างหนึ่ง ไอ้พระเราเป็นบ้านี่ซิ ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นบ้า ยิ่งเป็นสมเด็จแล้วสมเด็จบ้าว่างั้นเลย
    เราเคยพูดให้ถอดออกสมเด็จน่ะ ไม่ใช่ของคู่ควรกัน นี่ละพวกตะกละตะกลาม พวกลุกลี้ลุกลน บวชเข้ามาไม่ได้สนใจในธรรม สนใจแต่มูตรแต่คูถ ยศถาบรรดาศักดิ์ใครตั้งก็ได้ยากอะไร มันขวางหูขวางตาขวางใจขวางศาสนามาตลอด เราพูดตามหลักความจริงไม่ได้หาเรื่องต่อผู้ใดเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตรงไปตรงมาอย่างนี้ตลอด เพราะธรรมเปิดเผยตลอดเวลา ซุบๆ ซิบๆ ลูบหน้าปะจมูกนี่ตัวกิเลส ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา หน้าไหว้หลังหลอกไม่มีอะไรเกินกิเลส ธรรมไม่มี เปิดเผยๆ ตลอดเวลา พากันจำเอานะ ให้พร<O:p</O:p

    หลังจังหัน
    (คุณชายรายงานเรื่องทองคำครับ นำทองคำ ๙๙.๙๙%ไปหลอมเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ได้ ๒ แท่ง รวมน้ำหนัก ๒๕ กิโลกรัม และเหลือเศษจากที่หลอม ๗ กิโลกรัมกว่า ได้ทั้งสิ้น ๑๑ ตัน ๓๘๒ กิโลกรัม เข้าไปแล้ว ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง ได้ใหม่ ๓๓๗ กิโลครึ่งครับ ที่ได้ไว้ใหม่ยังไม่เข้าคลัง) เราพยายามทุกทางที่จะให้ชาติบ้านเมืองของเรามีความแน่นหนามั่นคง ทองคำเป็นอันดับหนึ่ง เราพยายามที่สุด นี้ได้ ๑๑ ตันกว่าแล้ว ๑๑ ตันกับ ๓๘๒ กิโล โรงพยาบาลนี้ห่วงหลายอย่าง อาหารสำหรับคนไข้ก็ห่วง แล้วหยูกยา เครื่องมือแพทย์ หลายอย่างห่วง โรงพยาบาลจึงรู้สึกว่าช่วยมากกว่าเพื่อน ทั่วประเทศไทยทางไหนบกพร่องบอกมาๆ ขอมา เราก็ส่งให้ๆ อนุญาตไปเรื่อยๆ เรียกว่าทั่วประเทศโรงพยาบาล
    วัดนี้เป็นวัดภาวนา ผู้ใดมาก็ให้สนใจภาวนาคือดูหัวใจตัวเอง หัวใจเป็นฟืนเป็นไฟมันแสดงเปลวตลอดเวลา จะไม่มีอะไรดับได้ มีธรรมเท่านั้นเป็นน้ำดับไฟ ด้วยการภาวนา อย่างอื่นดับไม่ลง กิเลสกลัวแต่ธรรมเท่านั้น ไฟก็กลัวแต่น้ำ กิเลสเป็นของร้อน น้ำเป็นของเย็น คือธรรม ดูใจตัวเองแล้วมันจะค่อยสงบลงๆ ถ้าดูด้วยความมีสติแล้วนั้นกิเลสจะมีมากน้อยเกิดไม่ได้ สตินี้สำคัญมากทีเดียว กิเลสมีมากน้อยมันก็ดันขึ้นมาๆ สติครอบๆ ตลอด ขึ้นไม่ได้ พอเผลอพับออกพุ่งแล้วเอาไฟมาเผาเรา สติเป็นสำคัญมากการประกอบความพากเพียร<O:p</O:p
    การกล่าวทั้งนี้เราได้ผ่านมาหมดแล้วทุกอย่าง จึงแน่ใจว่าสอนนี้ไม่ผิด อย่างที่ว่าตั้งสตินี้ต้นเหตุมันก็คือเจริญแล้วเสื่อม จิตเรามาจากโคราชนี้ แหม เหมือนหินเชียวแน่นปึ๋งเลย ทำกลดหลังหนึ่งไม่เสร็จ เข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง คือสงบบ้างไม่สงบบ้าง อ้าวแปลกแล้วจิตนี้ ออก ทิ้งกลด เอาเลยฟัดกัน ปีกับห้าเดือนที่มันเจริญแล้วเสื่อมๆ ถูไถกัน ๑๔-๑๕ วัน ถึงขั้นนี้แล้วอยู่ได้สองคืนพุ่งขาดสะบั้นลงไปเลย ไม่มีอะไรห้ามอยู่ เสื่อม ยังเหลือแต่อีตาบัว <O:p</O:p
    คิดไปคิดมามันเป็นอย่างไรน้า จิตเสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกาถึงเดือนเมษาปีหน้า เรียกว่าปีกับห้าเดือน พิจารณาทดสอบ มันจะเป็นเพราะขาดสติละมัง คือเราไม่มีคำบริกรรม มีแต่ตั้งสติจ่อกับความรู้ เผลอได้ สงสัยตัวเอง เอ้า คราวนี้จะเอาคำบริกรรมติด ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรม นิสัยเราชอบพุทโธ ทีนี้ลงใจแล้ว ทีนี้เอาแบบนี้ มันเจริญจะเสื่อมไปไหนปล่อย ไม่สนใจ ที่สนใจที่สุดก็คือว่าพุทโธกับสตินี้จะเผลอกันไม่ได้ พรากจากกันไม่ได้ เอา เอาตรงนี้แหละ ตัดสินใจ<O:p</O:p
    แต่นิสัยเรารู้สึกจะผิดกับใครอยู่มาก ว่าอะไรมันจริงทุกอย่าง ถ้าลงใจแล้วปึ๋งเลยเชียว นี่ก็ลงใจแล้ว เอ้า ทีนี้สติกับพุทโธให้ติดกันเลย มันจะเสื่อมไปไหนให้เสื่อม มันเคยเสื่อมพอแล้ว ทีนี้จะเอาพุทโธกับสติติดกันเลย พอตั้งกึ๊กลงไปแล้วพุทโธนี้ไม่ให้เผลอ ทั้งวันไม่ให้เผลอเลย สติอยู่กับพุทโธๆ วันแรก แหม เหมือนหัวอกจะแตกมันดัน กิเลสมันดัน มันจะออกไปตามสังขารคือความคิด <O:p</O:p
    ทีนี้เมื่อสติดีอยู่แล้ว สังขารก็เป็นสังขารฝ่ายมรรคเสีย เช่นพุทโธเป็นฝ่ายมรรค ทางระงับกิเลสเสีย สติติดอยู่นั้นไม่ให้เผลอ วันแรกเหมือนอกจะแตก เอาเป็นอย่างไรเป็นกัน ไม่ให้เผลอ พอวันต่อมาค่อยเบาลงๆ เบาลงจนกระทั่งโล่งไปหมดเลย พอถึงที่แล้วอยู่ได้สองคืนสามคืนเสื่อม เอาๆ เสื่อม บอกเลย เปิดให้เลย แต่เรื่องสติกับพุทโธจะไม่พรากจากกัน เอา จิตจะเสื่อมไปไหนเสื่อม ปล่อย ปล่อยเลย พอถึงนั่นแล้วเอาๆ เสื่อม บอกเลย เปิดทางให้เลย ไม่เสื่อม เรื่อยๆ ๆ <O:p</O:p
    จนกระทั่งเป็นที่แน่ใจ อ๋อ ที่จิตของเราเจริญแล้วเสื่อมๆ มาเป็นปีกับห้าเดือนนี้เพราะขาดสติ นั่นจับได้แล้ว ทีนี้สติติดแนบตลอดเลย นี่ตั้งตัวได้เพราะสติ จากนั้นก็ฟาดขึ้นนั่งหามรุ่งหามค่ำ เพราะสติ พุ่งเลย ไม่เคยเสื่อมอีกนะ สติจึงเป็นสำคัญมาก การประกอบความเพียรอยู่ที่สติ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนถ้ามีสติอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด ขณะที่มีสติกิเลสจะไม่เกิด เผลอเมื่อไรกิเลสเกิด เกิดก็เอาไฟเผาเรา ให้พากันจำเอาไว้ <O:p</O:p
    คือทุกอย่างเราได้ทดลองมาแล้ว ทดลองมาเป็นที่แน่ใจ ที่ว่าจิตเสื่อม เสื่อมนี้เพราะขาดคำบริกรรมและขาดสติ พอสติติดกับคำบริกรรมแนบกันเข้าไป ปล่อย เรื่องมันจะเจริญหรือเสื่อม ให้เจริญไปเสื่อมไป อันนี้จะไม่ปล่อยเลย ไม่ปล่อยมันก็ขึ้นเรื่อย จนขึ้นได้แล้วไม่เคยเสื่อมอีกเลยนะ ให้พากันจำเอาไว้ ความเพียรอยู่ที่สติ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ถ้าใครสติดีแล้ววันนั้นกิเลสจะไม่ออกลวดลาย สติครอบมันไว้ ถ้าสติดีเท่าไรๆ กิเลสก็ค่อยหมอบลงๆ ธรรมสง่าผ่าเผยขึ้นมา ความสงบร่มเย็นความสง่าผ่าเผยจะขึ้นกับใจที่มีสตินี้แหละ ตั้งให้ดี<O:p</O:p
    จึงได้ยกขึ้นพูดว่าสติเป็นที่หนึ่งการประกอบความเพียร ถ้าเผลอสติเมื่อไรนั่นเรียกว่าขาดความเพียร เดินจงกรมก็ไม่มีความหมาย ถ้าลงสติได้ขาด ถ้าสติไม่ขาดติดกันอยู่ตลอดเวลา นั้นละคือความเพียรติดกัน พากันจำเอาไว้ ที่มาสอนนี้เราผ่านมาหมด คือกลั่นกรองทดสอบ บวกลบคูณหารเรียบร้อยแล้วเป็นที่แน่ใจแล้ว เจ้าของก็แน่ใจ ได้รับผลเป็นที่พอใจแล้วมาสอนคนอื่น จึงสอนเป็นที่แน่ใจ <O:p</O:p
    เวลามันผาดโผนผาดโผนจริงๆ ใครรู้ไหมว่าคำว่ากิเลสๆ คือความดีดความดิ้นของจิต ธรรมชาติอันนั้นมันมีพลังของมันอยู่ในใจ มันครอบธรรมเอาไว้ ไม่ให้ธรรมแสดงออก มีแต่กิเลสออกลวดลายๆ จึงมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวอกตลอดเวลา ทีนี้เวลาเอาธรรมออกคือสติธรรมเป็นสำคัญ ติดเข้าไปๆ อันนั้นแสดงออกมาไม่ได้ บังคับๆ ก็เลยพูดได้ว่ากิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะ ขอให้สติติดกับตัวเองกิเลสจะเกิดไม่ได้ มีอยู่ก็ออกไม่ได้ ถ้าสติดีอยู่แล้ว พอเผลอเมื่อไรออกๆ เราจึงได้สอนเรื่องสติเป็นสำคัญ <O:p</O:p
    ได้ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ เวลาเราฝึกนานเข้าๆ สติกับปัญญานี้จะกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกัน พอถึงขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติแล้วมันเหมือนกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัตินั้นแหละ โลกทั้งโลกมีแต่กิเลสทำลาย เพราะจิตนี้ไม่สูญไม่ฉิบหาย ถูกทำลายยอมรับ ทุกข์มากน้อยยอมรับว่าทุกข์แต่จิตไม่ยอมฉิบหาย <O:p</O:p
    ทีนี้เมื่อฟื้นตัวขึ้นด้วยอำนาจของธรรมแล้วจิตก็ค่อยฟื้นตัวขึ้นมาๆ กิเลสตัวทำลายก็สงบลงๆ ธรรมเสริมขึ้นๆ สุดท้ายกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือสติปัญญาอัตโนมัตินี้เป็นเองตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนพับจับติดปุ๊บเลย ติดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้กระทั่งหลับ นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้ง..เป็นเอง เสาะแสวงฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ คุ้ยเขี่ยขุดค้นฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกิเลสทำลายเราแต่ก่อนเป็นอัตโนมัติของมัน <O:p</O:p
    แต่ก่อนเราไม่รู้นะว่ากิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกให้ได้รับความบอบช้ำ มันเป็นอัตโนมัติ เราไม่คิด แต่เวลาธรรมได้แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสอัตโนมัติจึงได้ทราบชัดเจนว่า อ๋อ เวลาธรรมมีกำลังแล้วมันก็ฆ่ากิเลสด้วยอัตโนมัติเหมือนกัน เมื่อถึงขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติแล้วรอไม่ได้เลย ไม่มีรอ พุ่งๆๆ ตลอด งานหนักงานมากที่สุด งานละเอียดที่สุดคืองานสติปัญญาอัตโนมัติกับกิเลสฟัดกัน ลงได้ลงทางจงกรมแล้วนี้ไม่รู้เวล่ำเวลาออกนะ<O:p</O:p
    คือมันหมุนอยู่ภายใน ไม่ได้ออกข้างนอกนะ มันหมุนอยู่ภายใน กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายใน บางทีเดินจงกรมเข้าป่าโครมครามก็มี คือจิตมันไม่ออก มันหมุนอยู่นี้ ตาก็ฝ้าก็ฟาง บางทีโครมครามเข้าป่า ถอยออกมาปั๊บไปๆ คืออันนี้มันไม่ถอยกัน ถ้าลงได้เข้าทางจงกรม จนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก นั่นเป็นเครื่องตัดสินกัน มันเพลียเสียพอจะก้าวขอไม่ออก เออ เอาละหยุด มันหยุดตอนก้าวขาไม่ออก ที่จะให้หยุดเพราะได้เวลาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี ถ้าลงสติปัญญาอัตโนมัติได้ฆ่ากิเลสแล้วไม่มีอะไรเข้ามาเป็นอุปสรรค <O:p</O:p
    ก็มาทราบได้ที่ว่าก้าวขาไม่ออก เพลียพอแล้ว ไปไม่ไหวแล้วพัก เอาตรงนี้ละ ถ้าลงได้ลงแล้วไม่ว่ากลางคืนกลางวันเป็นอย่างนั้น มันไม่คิดถึงเวล่ำเวลา เหมือนนักมวยเข้าวงในกัน ต่อยกันในวงในกันนี้เป็นแบบเดียวกัน กิเลสกับธรรมฟัดกัน ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสไม่หยุดไม่ถอย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราชเธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาอันเป็นก้างขวางคอนี้ออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอย่างนี้ <O:p</O:p
    จิตเวลามันเข้าแบบเดียวกันแล้วมันก็เป็นโมฆราชเหมือนกันหมด ทุกองค์เป็นโมฆราชได้เหมือนกันหมด เมื่อถึงขั้นว่างมันว่างเหมือนกันจะว่าไง แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระโมฆราชโดยเอกเทศเท่านั้น เรานำมาใช้สำหรับเราเมื่อธรรมของเราแก่กล้าสามารถขึ้นไป จนกระทั่งถึงเป็นเหมือนพระโมฆราชมันก็เป็นแบบเดียวกัน พากันจำเอานะ<O:p</O:p
    พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่ทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพานโดยสมบูรณ์ มีแต่กิเลสมันไปกลบเอาไว้ มันปิดเอาไว้ไม่ให้ธรรมโผล่ขึ้นมา จนกระทั่งว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มีแต่กิเลสอุตรินะ ไม่ใช่ของจริง มันอุตริเฉยๆ ธรรมพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้อย่างไรมีตามแสดง นั้นละธรรมพระพุทธเจ้าพูดตามหลักความจริง พากันจำ การประกอบความพากเพียรสติเป็นสำคัญ ถ้าเผลอสติไม่ได้เรื่องละ ถ้าสติมีอยู่กิเลสจะไม่เพ่นพ่าน จะสงบๆ จิตใจก็จะค่อยสว่างไสวเข้าไปเรื่อยๆ สติสำคัญมากทีเดียว เอาละทีนี้ให้พร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่<O:p</O:p
    www.Luangta.comหรือwww.Luangta.or.th
    <O:p</O:p
    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

    <O:p</O:p
    FM 103.25 MHz [​IMG]<O:p</O:p
    </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE borderColor=#993300 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=1><TBODY><TR><TD bgColor=#fffff0>** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>​

     

แชร์หน้านี้

Loading...