ศีล พระราชธรรมสุธี (พวง สุขินทริโย)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 14 กรกฎาคม 2011.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ศีล


    พระราชธรรมสุธี (พวง สุขินทริโย)


    วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม (ก.ม. 17) ต. กระจาย อ. ป่าติ้ว จ. ยโสธร


    บัดนี้ เป็นโอกาสที่ดี ที่เรามาพบกัน เพื่อที่จะได้รับธรรมะ ธรรมซึ่งจะให้ต่อไปนี้เป็นธรรมง่าย ๆ เป็นธรรมที่มีประจำอยู่แล้วก็คือ ศีล ศีลที่เราสมาทานไปก็คือ ศีล 5 ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว เราจะยกระดับตัวของเราให้สูงขึ้น หรือว่าทำตัวของเราให้ดีขึ้น จึงมีคำกล่าวไว้ว่า "คนมีศีลเหมือนดินมีน้ำ คนขาดศีลเหมือนดินขาดน้ำ"


    คนมีศีลเหมือนดินมีน้ำนั้น เราจะเห็นได้ว่า ถ้าคนมีศีลนั้น บ้านเมืองของเรานั้นก็ชุ่มเย็น เยือกเย็น ไม่เดือดร้อน เหมือนดินที่มีน้ำ ดินที่มีน้ำในเวลาฝนตกลงมาในฤดูฝน เราจะเห็นได้ว่าตามทุ่งไร่ ทุ่งนา จะมีข้าวกล้าเขียวชอุ่มทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ต้นไม้ก็ผลิดอกออกผลดูไปที่ไหนเขียวชอุ่มไปหมด หญ้าลดาวัลย์ก็เกิดขึ้น เราไม่ต้องไปบังคับเขาให้เขาเกิดเขาก็เกิดขึ้นนี้แสดงว่า ดินถูกน้ำแล้วมันก็ชุ่มเย็น สิ่งที่ไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น สิ่งที่ดีอยู่แล้วก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้น คนมีศีลจึงทำให้บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุข ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตำรวจ ทหาร มีโรง มีศาล มีคุก มีตาราง ถ้าคนมีศีลอย่างพระ พระสงฆ์ไม่เคยติดคุก ติดตาราง ไม่เคยถูกจับกุมคุมขัง เว้นไว้แต่คนที่ขาดศีล จะเป็นพระเป็นโยมเป็นใครก็ตาม ถ้าขาดศีลแล้วก็จะมีโทษ อาจจะต้องติดคุกติดตาราง


    อำนาจของศีลนั้น จะมีกิตติศัพท์ กิตติคุณฟุ้งขจรกันไปในทิศทั้งสี่ เหมือนบาลีที่ท่านกล่าวไว้ว่า "ศีล ปัญโท อนุตโร" ศีลมีกลิ่นหอมหวน ทวนลม หวนหอมไปทั้งสารทิศ ไม่เหมือนหอมกลิ่นจันทร์ กลิ่นน้ำมัน กลิ่นน้ำหอมต่าง ๆ นั้นจะหอมไปตามลมเท่านั้น หาหอมหวนทวนลมเหมือนกลิ่นศีลไม่ ดังนั้น ผู้ที่ถือศาสนาพุทธนั้น จึงแสวงหาผู้มีศีล แม้แต่ท่านจะอยู่ไกลสักปานใดก็ตาม อยู่ในดงในป่า อยู่ในถ้ำในเหว ถ้าท่านมีศีลแล้วก็อยากจะไปกราบไปไหว้


    อันนี้จะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราที่เป็นชาวพุทธนิยมบวชลูก บวชหลาน เมื่อลูกหลานบวชเป็นพระก็ตาม บวชเป็นเณรก็ตาม ถ้าบวชเข้ามาอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล แม้แต่บิดามารดาก็ต้องมากราบ กราบลูกของตนที่บวชนั่น ที่อยู่ในผ้าเหลืองนั่น นี่แสดงให้เห็นว่าผู้มีศีลนั้น มีคุณงามความดี หรือว่าศีลนี้มีอำนาจวาสนา แม้แต่นายร้อย นายพล นายพัน พระราชา มหากษัตริย์ ก็มากราบผู้มีศีล จะอยู่ในวรรณะไหนก็ตาม ถ้ามาบวชแล้วถือว่าเป็นวรรณะที่สูง เป็นคนที่มีลาภ มียศ สูงกว่าพระมหากษัตริย์ อันนี้แหละคือศีล


    ทีนี้ถ้าใครขาดศีล "คนขาดศีลเหมือนดินขาดน้ำ" ซึ่งตรงกันข้าม คนขาดศีลเดือดร้อนบ้านเมือง อย่างศีล 5 ที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท ดื่มสุรา เมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความฉิบหาย ถ้าคนขาดศีลแล้ว จะเป็นอย่างไร บ้านเมืองเดือนร้อนไหม มีแต่โจรผู้ร้าย ปล้นจี้สะดม ลักขโมย หรือตีชิงวิ่งราว เป็นคน มีมายา ต้มตุ๋น ดื่มเหล้า เมาสุรา ไปทั่วทุกสารทิศ บ้านเมืองจะไม่มีขื่อ ไม่มีแป เดือดร้อน


    คนขาดศีล เหมือนดินขาดน้ำ ดินขาดน้ำเหมือนอย่างทุกวันนี้ พวกเราพากันบ่นว่าร้อน เพราะอะไร เพราะดินฟ้าอากาศขาดน้ำ แตกระแหง ตามท้องไร่ ท้องนา เห็นไหมข้าวกล้า เคยเขียวชอุ่มก็แห้งกรอบ มิหนำซ้ำยังเอาไฟสุม เผาตามทุ่งไร่ ทุ่งนา ต้นไม้ก็ตาย เคยมีข่าวมาบ่อย ๆ ว่าคนเอาไฟสุมป่า มีข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้ป่าที่ผ่านมา ที่จังหวัดนครพนมชาวบ้านเอาไฟเผาป่าที่อำเภอบ้านแพง ไฟไหม้ป่าหมดเป็นหลาย ๆ หมื่นไร่ หรืออย่างอินโดนีเซียที่เราได้ยินข่าวที่ผ่านมาแล้ว เมื่อปีที่แล้วหลายหมื่นหลายแสนไร่ ไฟไหม้มันเดือดร้อน เดือดร้อนแม้กระทั่งประเทศไทยของเราอยู่ห่างไกลก็ยังเดือดร้อนเพราะควัน ควันมลพิษมันพุ่งมาถึงประเทศไทยของเรานี้ นี่แสดงให้เห็นว่าความเดือดร้อนจากคนไม่มีศีลกับดินไม่มีน้ำ เดือดร้อนแค่ไหน


    ดังนั้น ศีล 5 ข้อนี้ จึงเป็นศีลมาตรฐาน เป็นศีลพื้นฐาน เมื่อพื้นฐานดีเราก็ดี พื้นฐานเหมือนอย่างสร้างอาคารนี้ ช่างเขาต้องสร้างพื้นฐานให้มั่นคง คือตอกเสาเข็ม วางตะแกรง วางคานให้มั่นคง จึงสร้างอาคาร ถ้าวางฐานไม่ดีอาคารก็ชำรุด ทรุดพังลงได้ง่าย ๆ ดังนั้น ช่างเขาจึงคำนวณว่า อาคารหลังนี้จะมีน้ำหนักเท่าไร สร้างกี่ชั้น จะต้องใช้เหล็กเท่าไรใช้ปูนเท่าไร ใช้ตะแกรงหนาเท่าไร คำนวณดูน้ำหนักของอาคาร เรียกว่าวางพื้นฐานให้ดี ถ้าวางพื้นฐานดี เมื่อก่อสร้างอาคารก็ไม่ชำรุดทรุดพังง่าย ที่ชำรุดทรุดพังลงได้ง่าย ๆ ก็เพราะพื้นฐานไม่ดี เราจะเห็นได้อย่างเขาสร้างถนน เขาอัด บดดิน คืออัดดินให้แน่น อัดลูกรังให้แน่น เทคอนกรีตแล้วอัดให้แน่น แล้วลาดยางแล้วอัดให้แน่น ถ้าถนนสายใดทำไม่ได้มาตรฐาน อัดดินไม่ดี อัดหินไม่ดีหรือเทลาดยางแล้ว อัดไม่ดี หรือเทคอนกรีต อัดไม่ดี ไม่แน่น ไม่มาตรฐาน รถก็วิ่งไม่นานเท่าไรก็เกิดหลุมเกิดบ่อ เมื่อถนนเกิดหลุมเกิดบ่อนั่นแหละ เรียกว่าถนนมีปัญหา เวลาเรานั่งรถไปนั้น จะตกหลุม ตกบ่อไม่สบาย ถ้าถนนสายใด ทำได้มาตรฐาน ไม่มีหลุมไม่มีบ่อ เวลาเรานั่งรถไปนั้น นิ่งหรือหลับไป นี่แสดงว่าถนนสร้างได้มาตรฐาน ไม่มีปัญหา อันนี้วิถีชีวิตของเรา


    ถ้าเรามีศีล เราจะปลอดภัย คนมีศีล 5 เป็นนิจ เรียกว่าปลอดจากเอดส์ ปลอดจากยาเสพติด ถ้าใครอยากปลอดภัยต้องรักษาศีล 5 ให้มีศีล 5 ในตัว ถ้ามีศีล 5 ในตัวแล้วก็เรียกว่า เรามีพื้นฐานดี ศีล 5 ข้อนี้ จะบอกตัวศีล 5 ให้ รักษาไม่ยาก การรักษาศีล 5 นั้น ก็คือ รักษาตัวของเราเอง ขาสอง แขนสอง ศีรษะอันหนึ่ง รวมเป็น 5


    ทำไมจึงต้องรักษาที่ตรงนี้ เพราะอันนี้เป็นต้นของศีล ศีลเกิดจากที่นี่ ท่านให้รักษากาย ให้รักษาวาจา ให้รักษาสำรวมใจ ถ้าเรารักษาต้นศีลไม่ได้ ไม่จำเป็นที่จะไปรักษาอย่างอื่น


    อย่างเราปลูกต้นไม้เราก็รักษาลำต้นมัน หรือรักษาโคนมัน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ก็รักษาที่โคนมันเท่านั้น เราไม่ได้ไปรดกิ่งหรือใบ เรารดที่โคนต้นของมัน รักษาที่โคนต้นของมัน มันก็ให้ดอกให้ผล อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเรารักษาต้นของศีลก็คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะอันหนึ่ง อันนี้จะอธิบายให้กว้างขวางออกไปว่า ขาของเราทำไมจึงต้องรักษาขาของเรา มันเดินได้ มันวิ่งได้ มันอาจจะเดินไป


    สมมุติว่าเดินไปลักไปขโมย เดินไปฆ่าคนอื่นเอามือไปฆ่าไปตีเขา ท่านเลยว่ารักษากาย กายกรรม 3 วจีกรรม 4 กายกรรม 3 นั่นก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า รักษาขาสอง แขนสอง ส่วนหัวนั้นก็คือปาก ปากของเรามันอยู่ส่วนของหัว ปากของเรามีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง หนึ่งเอาเข้า สองเอาออก ที่เอาเข้านั่นก็คือเรารับประทาน การรับประทานก็ต้องเอาเข้าทางปาก การรับประทานนี้ก็ต้องเลือก เลือกสิ่งที่ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย สิ่งไหนที่มันเป็นโทษ เป็นพิษเป็นภัยนั่นเราไม่เอาเข้าไป ถ้าเอาเข้าไปแล้ว มันเป็นพิษเป็นภัย มันให้โทษ


    ทีนี้การเอาออกคือ การพูดจาปราศรัย ก่อนที่เราจะเอาออกนั้นเราต้องเลือก เลือกหาคำที่มันไพเราะที่มันเป็นประโยชน์ มิใช่ว่าเราจะเอาออกมา โดยกิเลสบังคับหรือกิเลสสั่ง อย่างคนบางคนนั้นเกิดโทโสโมโหขึ้นมา พูดออกมา เปล่งออกมา พูดไม่ไพเราะ พูดด่าว่ากัน พูดเสียดแทงเสียดสีกัน เมื่อความหลงเกิดขึ้นมา เราก็พูดบ้า ๆ บอ ๆ ไม่มีสาระประโยชน์ อันนี้จึงต้องรักษา ปากของเรา "ปากเป็นเอก เลขเป็นตรี ดีชั่วเป็นตรา" ปากเดี๋ยวนี้มีหน้าที่อยู่ 2 อย่างดังที่กล่าวแล้ว เหตุนั้น ปากของเรานี้ลมมันแรง จึงต้องสร้างกำแพงไว้ 2 ชั้น กำแพงชั้นนอกก็คือริมฝีปาก กำแพงชั้นในนั้นก็คือ ฟัน เพื่อต้านลมปากของเรา


    ถึงกระนั้น มันก็ยังทะลุออกมาได้ เมื่อเวลามันเกิดโทโสโมโห ลมมันทะลุกำแพงออกมา เหตุนั้นจึงให้สำรวม สำรวมวาจาของเราให้อยู่ในขอบเขต ไม่ให้พูดโกหก มีมายา ถ้าเราไม่พูดโกหกมีมายานั้น ก็เรียกว่า เราพูดถูก ให้เป็น สุภาษิตา ชยา วาจา การพูดจาเป็นสุภาษิต การพูดจาที่ดีมีประโยชน์นั่น จึงจะถือว่าเราพูดมีศีล หรือพูดมีศิลปะ ปากของเรานี้ พูดให้คนเชื่อถือก็ได้ พูดให้คนรักก็ได้ พูดให้คนชังก็ได้ พูดเอาเงินก็ได้ พูดให้เสียเงินเสียทองก็ได้ พูดให้คนร้องไห้ก็ได้ พูดให้คนหัวเราะก็ได้ พูดให้คนเกลียดชังก็ได้ นี้ปากของเรานี่ เหตุดังนั้น การรักษาศีลนี่จึงต้องรักษาที่ตรงนี้ คือขาสอง แขนสอง และก็ปาก ปากมันอยู่ส่วนของหัว


    เมื่อรักษาอันนี้ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรักษาที่ ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นั้นเป็นอาการหรือเป็นขั้นแยกออกเป็นข้อ ๆ ท่านเรียกว่า โทษ เวรมณี คือ ละเว้นโทษ ที่เรารับไปแล้วนั่นคือ ท่านบอกการละเว้น ชี้ว่า สิ่งนั้นเป็นโทษ สิ่งนี้เป็นโทษ ท่านให้ละเว้นโทษ


    เมื่อเรามีศีลอยู่ในตัวแล้ว ศีลนั้นจะยังความ สุขมาให้ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในตอนท้ายว่า สีเล นสุขติง ยันติ บุคคลที่จะมีความสุขก็เพราะศีล สีเล นโภค สัมปทา บุคคลที่จะมีโภคสมบัติก็เพราะศีล สีเล นนิพพุติง ยันติ บุคคลที่จะไปสู่สวรรค์ นิพพานก็เพราะศีล ศีลจึงเป็นสิ่งที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่เรา หรือแก่ทุกคนที่รักษาศีลบริสุทธิ์ ดังนั้น ศีล จึงเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐาน


    ศีลที่พระบรมศาสดาจารย์ทรงบัญญัติมานานถึง 2000 ปีเศษมาแล้ว ยังไม่ล้าสมัย ยังทันสมัยอยู่ทุกยุคทุกสมัย นำมาใช้ได้ ไม่มีใครที่จะแก้ไข ไม่มีใครที่จะลบล้างออกไปได้ ไม่เหมือนกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองนั้น แต่ละรัฐบาลนั้นจะต้องมาล้างกฎหมาย ล้างระเบียบ ทุกยุคทุกสมัย ไม่เหมือนศีล ศีลนี้แม้บัญญัติมาถึง 2000 ปีเศษมาแล้ว ไม่มีใครมาลบล้างออกได้ จึงถือว่าเป็นศีลที่ทันสมัย


    เมื่อกล่าวถึงศีลแล้ว ให้เราระวังภัย ภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวของเรานั้น ภัยที่มนุษย์จะต้องประสบพบอยู่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ทุก ๆ คนจะต้องประสบภัยใดภัยหนึ่ง ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภัยใหญ่ ๆ นั้นมีอยู่ถึง 9 อย่าง คือ


    1. ราชภัย พระราชาเป็นภัย


    2. โจรภัย โจรผู้ร้ายเป็นภัย


    3. อัคคีภัย ไฟไหม้


    4. อุทกภัย น้ำท่วม


    5. ทุพภิกขภัย แห้งแล้ง


    6. วาตะภัย ลม


    7. ปีศาจภัย ภูตผีปีศาจ


    8. มรณภัย ความตาย


    9. มหันตภัย ภัยสงครามหรือภัยยาเสพติด เรียกว่า มหันตภัย คือภัยใหญ่ ภัยกระจายไปทั่วโลก ไม่สามารถต้านทานหรือห้ามปราม ต้องลงทุนลงแรงมาก


    ภัย 9 อย่างนี้ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บางคนนั้นก็สงสัยข้อแรกที่ว่า ราชภัย พระราชาเป็นภัยนั้น พระราชาจะเป็นภัยอย่างไร อันนี้ขอย้อนอธิบายว่าพระราชานั้น พระองค์จะเสด็จไปที่ไหนนั้น ย่อมมีเมตตากรุณาแก่พสกนิกรทุกหนทุกแห่ง ไปแจกสิ่งของไปเยี่ยมเยียน บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่พสกนิกร อันนี้จริง แต่ส่วนที่เป็นภัยนั้นก็คือ ถ้าพระราชาเสด็จไปที่ไหน ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ต้องไปเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยเสียก่อน


    ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งคิดอิจฉา พยาบาท คิดประทุษร้าย พระราชาถูกประทุษร้าย เจ้าหน้าที่ที่ไปอารักขานั้น ไม่รอบคอบ หรือว่าไม่ให้ความปลอดภัย เจ้าหน้าที่นั่นแหละจะต้องได้รับภัย คือจะต้องลงโทษอย่างหนัก จำเป็นพระราชาจะเสด็จแห่งไหนต้องไปเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยให้ปลอดภัย เป็นหน้าที่ของเสนาอำมาตย์ ราชบริวาร ตำรวจ ทหาร จะต้องไปอารักขาให้ความปลอดภัย นอกจากให้อารักขาความปลอดภัยแล้ว ถ้าพระราชาดำรัส ตรัสสั่งจะมีใครที่จะสามารถขัดคำสั่งได้ไหม ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของพระราชาได้ต้องปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่ทำตามก็เรียกว่า ขัดคำสั่ง ขัดถ้วยโถโอจานนั้น ขัดเท่าไรยิ่งใส ยิ่งสะอาด แต่ขัดคำสั่งนี้อันตราย ขัดคอคนก็อันตราย สองอย่างนี้อันตราย ขัดคำสั่งกับขัดคอคน อันนี้แหละ พระราชาจึงเป็นภัย นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีแก้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ยกตัวอย่างเช่นว่า กฎหมายเกี่ยวกับการเก็บค่าภาษีอากร เมื่อแก้เสร็จแล้วเอามาถวายให้พระราชาพิจารณา ถ้าพระองค์เห็นชอบก็จะลงพระปรมาภิไธยเห็นชอบ ถ้ากฎหมายข้อไหนไม่เห็นชอบก็ให้ไปแก้ไขใหม่ ถ้าแก้ไขใหม่เห็นชอบ พระองค์ก็จะลงพระปรมาภิไธยรับรองว่าใช้ได้ เมื่อกฎหมายฉบับนั้นใช้ได้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตาม เก็บภาษีอากร ผู้มีรายได้ต่าง ๆ ก็ต้องเสียค่าภาษีอากร ไม่มีใครที่จะขัดคำสั่งนี้ได้ ถ้าหากมีคนขัดคำสั่งก็จะถูกลงโทษ จึงเป็นภัยอย่างนี้ นอกจากนั้น ถ้าใครคิดประทุษร้ายแก่พระราชานั้นมีโทษต้องจำคุก หรือประหารชีวิต อันนี้พระราชาจึงนับเอาข้อหนึ่งว่า ราชภัย พระราชาเป็นภัย


    ภัยอื่นนอกจากนั้น ทุกคนก็คงจะไม่มีความสงสัย อัคคีภัย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเกิดภัยแล้ง วาตภัย ลม ปีศาจภัย ภูตผีปีศาจ มรณภัย ความตาย ความตายนั้นครอบงำพวกเราอยู่ เราจะไปที่ไหนก็ครอบงำอยู่ ความตายนั้นแม้จะดำดินบินวนอยู่ เดินเท้าอยู่ในผืนแผ่นดินนี้ ไม่มีใครที่จะพ้นความตายไปได้ แม้แต่ขึ้นเครื่องบินอยู่บนฟ้าบนอากาศ ก็ต้องตกลงมาสู่ดิน


    ภาษาอิสานเรียกว่า "แมงเม่าบินอยู่บนฟ้า บ่อม่ม (ไม่พ้น) ปากอึ่งยาง" แมงเม่ามันจะมีปีกบินได้ เวลาฝนตกบินอยู่อึ่งไม่มีปีกบินไม่ได้ เวลาฝนตกแมงเม่าชอบมาตอมไฟ เห็นไฟสว่างไสวดีใจบินไปตอมไฟ บินไปบินมาปีกหล่นตกลงมา อึ่งยางกระโดดอยู่ข้างล่างบินไม่ได้ คอยท่าเอาเวลาแมงเม่าตก ตกลงมาก็เลียปั๊บ ๆ แสดงว่า "แมงเม่าบินอยู่ฟ้า บ่ม่ม (ไม่พ้น) ปากอึ่งยาง" คนเราก็เหมือนกัน แม้จะดำดิน บินบนได้ ขึ้นเรือเหาะ บินไปบนอากาศก็ยังตกลงมาสู่ผืนแผ่นดิน อันนี้ คือความตาย อึ่งอ่างก็เหมือนกับความตายนี่ ความตายนี้ครอบงำเราอยู่


    ภัยข้อสุดท้ายเรียกว่า มหันตภัย มหาภัยนั้น ภัยใหญ่ ภัยสงคราม ถ้าสงครามเกิดขึ้นที่ประเทศใด ประเทศนั้นก็จะร้อนระอุไปทุกหนทุกแห่ง ประชาชนคนทั้งหลายไม่มีที่จะอยู่จะกิน หนีภัยที่ไหนมันร่มเย็นพอที่จะรอดพ้นจากความตายนั้นก็ต้องไป ค่ำไม่ได้ยืนคืนไม่ได้อยู่ เห็นไหมประเทศเขมร ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้ ตามที่เราได้ยินข่าวนั้น คนตายกี่ล้านคนจากภัยสงคราม คนที่ไม่ตายก็มาพึ่งโพธิสมภาร คือมาพึ่งประเทศไทยเรานี้ ทะลักเข้ามาเขตไทยของเรา มาพึ่งคนไทย เรียกว่า หนีตาย ทิ้งบ้าน ทิ้งช่อง ทิ้งทรัพย์สมบัติมา เอาชีวิต เอาตัวรอดมา อันนี้เรียกว่าภัยสงคราม เขาฆ่ากันด้วยศาสตราอาวุธ


    ภัยอันหนึ่งที่เราประสบอยู่ในขณะนี้ คือภัยยาเสพติด ภัยยาเสพติดนี้เห็นไหมที่เขียนขึ้นป้ายไว้ทุกหนทุกแห่ง ทุกบ้านทุกเมืองนี้ ป้ายใหญ่ ๆ เขียนว่า "รักในหลวง ห่วงลูกหลาน ต้านยาเสพติด" ป้ายใหญ่ ใครเคยอ่านบ้าง เคยอ่านไหม เออ นี่แสดงว่าเคยเห็นไม่ใช่เห็นแต่หลวงตาคนเดียว ลูกหลานก็เห็น เห็นทุกคน นี่เป็นภัย สมัยนี้เป็นสมัยที่สร้างสงครามเย็น


    สงครามเย็นนี้ก็คือสงครามยาเสพติด ไม่ได้สร้างศาสตราวุธอย่างอื่น ไม่ต้องสร้างระเบิด ไม่ต้องสร้างปืน ไม่ต้องสร้างลงแรงอย่างอื่น สร้างอาวุธเล็ก ๆ นี่แหละเป็นเม็ด เป็นเม็ดมาหว่านให้เรา อันนี้เรียกว่าสงครามเย็น เมื่อเราเอาอันนี้มาสูบมาเสพ มาฉีด มาดม มากินเข้า ก็เรียกว่า เราฆ่าตัวของเราผ่อนส่ง ฆ่าตัวเองเป็นการผ่อนส่ง


    นอกจากฆ่าตัวเองแล้วยังไปปล้น ปล้นอะไร ปล้นพ่อ ปล้นแม่ ปล้นเอาเงิน เอาทองจากพ่อ จากแม่ จากพี่ จากน้อง แทนที่เราจะเอาเงินเอาทองมาศึกษา เล่าเรียน ให้มีความรู้ความฉลาด เรายังเอาเงิน เอาทองมาซื้ออาวุธชนิดนี้มาใช้มาบริโภค เรียกว่า เราเป็นทาสของยาเสพติด อันนี้เป็นภัย


    ถ้าใครติดอันนี้ก็ให้ถอนตัว ถ้าไม่ถอนตัวก็เรียกว่า เราเป็นภัย เรารับเอาภัยสงครามเข้ามาครอบงำตัวของเรา เหตุดังนั้นจึงควรที่จะถอนตัวออกจากภัยอันนี้ ถ้าใครถอนไม่ได้ก็ตายอย่างเดียว หรือทำให้คนเสียคน เสียการเสียงาน เสียความเจริญของบ้านเมือง อันนี้ที่ติดอาวุธอย่างนี้ไม่ใช่แต่พวกเรารวมทั้งประเทศนี้ หลายล้านคนที่เป็นทาสของยาเสพติด หรือว่าติดภัยอย่างนี้ เหตุดังนั้นให้เราควรที่จะรำลึกนึกถึงอุดมคติที่ได้กล่าวมาว่า รักเคารพในหลวง คือในหลวง เป็นห่วงเป็นห่วงลูกหลานไม่ต้องการให้ลูกหลานของเราไปมอมเมาในสิ่งนี้ แม้แต่คนที่ติดสุรา ติดการพนัน ก็ยังทำลายทรัพย์สมบัติของตนเองให้พินาศฉิบหาย


    จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง มีเศรษฐีคนหนึ่งมีเงินสมัยก่อนนั้นเป็น 80 ล้าน ถ้าใครมีเงินถึง 80 ล้านในสมัยก่อนถือว่าเป็นมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีคนนั้นได้หม้อวิเศษจากเทวดา เศรษฐีคนนั้นเป็นคนมีศีล มีธรรม เทวดาเกิดความรักใคร่ เอาหม้อวิเศษมามองให้เศรษฐีคนนั้น เศรษฐีคนนั้น ก็เอาหม้อมา กราบไหว้ อธิษฐานเวลาต้องการทรัพย์สมบัติ ถ้าหากทรัพย์สมบัติมันขาดเขินแกก็จะไปอธิษฐานยกหม้อขึ้นอธิษฐาน ทรัพย์สมบัติก็จะไหลมาเทมา สิ่งที่ไม่เคยมีก็จะมี ไม่ใช่ว่าทรัพย์มันไหลมาเต็มหม้อ เมื่ออธิษฐานแล้วทรัพย์มา โดยที่แกมีการค้าขายติดต่อคนก็เอามาขายได้กำไรทวีคูณขึ้น เงินไหลนองทองไหลมา โดยที่อธิษฐานจากหม้อวิเศษนั้น


    ครั้นต่อมาเศรษฐีคนนั้นมีลูกชายคนหนึ่ง ครั้นมีลูกชาย ลูกชายก็ไม่ได้หาทรัพย์สมบัติ อาศัยมหาสมบัติจากพ่อ พ่อเป็นคนมีศีลธรรม แต่ลูกเป็นคนเกเร เป็นคนเล่นการพนัน เป็นคนกินเหล้าเมาสุรา เอาทรัพย์เอาสมบัติจากพ่อไปเล่นการพนัน เล่นโบกเล่นไพ่ พนันทุกอย่าง เอาไปซื้อเหล้าแจกหมู่คณะแจกเพื่อน ๆ ขนเอาทรัพย์ที่พ่อหามาได้นั่นแหละ ถ้าทรัพย์พร่องลงไป พ่อก็อธิษฐาน ทรัพย์ก็มา แต่ลูกไม่เห็นว่าทรัพย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คือลูกไม่ได้หาเอง มาด้วยบุญวาสนาของพ่อ ครั้นต่อมาพ่อเขาตายแล้ว ลูกก็มาครองสมบัติ


    เมื่อมาครองสมบัติเห็นว่าพ่อมีหม้อวิเศษ ถ้าทรัพย์สมบัติเอาไปเล่นกินเหล้าเมาสุรา ทรัพย์สมบัติมันก็หมดไป ๆ แต่อธิษฐานทรัพย์ก็จะไหลมา คือถือปฏิบัติเพียงว่าให้อธิษฐานหม้อวิเศษนั้น ทรัพย์ก็ไหลมา ต่อมาอีกแกไปเล่นการพนันหมดเงินหมดทอง ก็ชวนให้พรรคพวกมาเล่นในบ้าน ตั้งวงเล่นการพนันอยู่ที่บ้านลูกชายเศรษฐี พอกินเหล้าเมาแล้วก็พูดโอ้อวดว่าอย่ากลัวหมดเลย ฉันมีของดี มีหม้อวิเศษ ถ้าฉันหมดเงินหมดทองแล้ว ก็จะเอาหม้อที่พ่อของฉันมอบให้มาอธิษฐานแล้ง เงินทองก็จะไหลมาเทมา


    พรรคพวกก็อยากเห็นหม้อวิเศษ ก็ให้ลูกเศรษฐีนำหม้อวิเศษมาให้ดู ทีแรกก็นั่งถือหม้อเมื่อกินเหล้าเมา พรรคพวกที่นั่งอยู่ข้างหลังก็มองไม่เห็นก็โยนหม้อวิเศษขึ้นสูง ๆ ให้เพื่อน ๆ เห็น โยนครั้งที่ 1 ก็รับได้ โยนครั้งที่ 2 ก็รับได้ โยนครั้งที่ 3 มันเมารับไม่ได้ หม้อวิเศษตกลงถูกพื้นแตก พอหม้อแตกไปอธิษฐานแล้ว เงินทองก็ไม่มาผลที่สุดแกก็ฝ่าฝืน ขืนกินเหล้า เมาสุรา เล่นการพนัน เอาทรัพย์สมบัติที่ยังเหลืออยู่นี้ เล่นจนหมด บ้านก็เอาไปจำนำ จำนำหมดแล้วไม่มีทรัพย์ ไม่มีสมบัติเป็นหนี้เขา ผลที่สุดบ้านหลังนั้นเขาก็ยึด ลูกเศรษฐีก็ซัดเซพเนจร ไม่มีทรัพย์ ไม่มีสมบัติ เพื่อน ๆ ก็แตกสลายออกไป คือไม่มาคบ หมดเงิน หมดทองแล้ว อันนี้เรียกว่า สุราพาเพ เรื่องนี้คือ สุราพาเพ ภาษาอีสานว่า เพ (มาล้าง มาทำลาย) ทำให้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายพังทลาย ถ้าเป็นภาษาอิสาน เรียกว่า สุราพาเพ ก็คือ สุรานี้ทำให้ทรัพย์สมบัติมันแตกสลาย


    จึงสรุปได้ว่าคนไม่มีศีลนั้น รักษาทรัพย์ไม่ได้ ขาดสัตย์ขาดศีล ขาดทรัพย์สิน ทรัพย์มันอยู่ได้ด้วยศีล ถ้าไม่มีศีลทรัพย์มันอยู่ไม่ได้ อยู่ได้ด้วยศีล ถ้าไม่มีศีล ทรัพย์มันอยู่ไม่ได้ อันนี้พวกเราทั้งหลายที่เป็นลูกหลาน เราห่วงบิดามารดา บิดามารดาของเรานั้นท่านหาทรัพย์มาให้เรา ให้สงสารบิดามารดาของเรา ท่านได้สนับสนุนสงเคราะห์พวกเราได้รับการศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อว่าอยากจะให้หาวิชาความรู้ ถ้าใครมีวิชาความรู้สูงก็มีทรัพย์สูง เห็นไหม ใครมีวุฒิสูง ๆ ก็มีเงินเดือนสูงมีรายได้สูง ถ้าใครมีวุฒิต่ำก็ได้เงินเดือนต่ำ


    พ่อแม่ของเราบางคนนั้นก็เป็นชาวไร่ชาวนา หาเช้ากินค่ำ แล้วตรากตรำลำบาก คิดถึงบิดามารดาของเรา เราเป็นหนี้ เรายืมทรัพย์สมบัติจากพ่อจากแม่ของเรามา ศึกษาเล่าเรียนนี่ยืมนะ เรียกว่าเราเป็นลูกหนี้ เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ เหตุดังนั้น ทำอย่างไร เราจึงจะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ คือเป็นลูกที่กตัญญูกตเวที ต้องประพฤติตนให้เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี พ่อแม่ก็ดีใจ เป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ที่เรายืมมานั้นพ่อแม่ไม่ได้ติดใจ พ่อแม่นั้นยินดีที่จะเสียสละเพื่อลูก หรือหามาเพื่อลูก ต้องการอยากให้ลูกเป็นคนดีของพ่อแม่ เป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีของประเทศชาติบ้านเมือง


    ท้ายที่สุด การบรรยายธรรมะมาวันนี้ ก็เห็นสมควรแก่เวลา ก็ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงมาปกปักรักษาอภิบาลให้พวกลูกหลานทั้งหลาย มีความสุขกาย สบายใจ ปราศจากทุกข์ โศก โรคภัย ให้ประสบพบแต่อายุ วรรณะ สุขะ พละ จงทุกประการ ดังได้แสดงมาพอสมควรแก่เวลา ก็สมมุติยุติลงแต่เพียงเท่านี้



    คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-puang/lp-puang_03.htm
     
  2. tyoukerd@hotmail.com

    tyoukerd@hotmail.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +293
    ไม่มีโอกาสไปกราบตอนที่ท่านยังดำรงธาตุขันธ์ เพราะยังไม่รู้จักท่านเลยจริง ๆ ตอนนั้น แต่ได้ไปกราบขอขมาสรีระหลวงตาพวง และอยู่ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เสด็จเป็นประธานในพิธี และได้อยู่ร่วมพิธีสามหาบในเช้าวันอาทิตย์ถัดมา จำได้ว่าวันนั้น แม่งานผู้ทุ่มเททั้งร่างกาย จิตใจและกำลังทรัพย์ ในงานนี้ ชื่อคุณอมรา พวงชมพู (ถ้าจำชื่อ หรือ นามสกุลผิด ผมกราบขออภัยด้วยครับ แต่ก็ยังได้ถ่ายรูปท่านมาและได้เข้าไปกราบที่มือและกล่าวขอร่วมอนุโมทนาในกุศลจิตทุก ๆ อย่างของท่านด้วยความจริงใจ) คุณอมรา ท่านกล่าวด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ท่ามกลางคนจำนวนมากที่อยู่ในพิธีสามหาบในวันอาทิตย์ว่า เป็นวาสนาบารมีของพวกเราชาวยโสธร เพราะได้มีพระอริยสงฆ์อีก 1 รูปในจังหวัดของเรา โดยท่านเล่าให้ฟังว่า หลังพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงตา ในคืนวันเสาร์ ประมาณ ตี 1 -2 เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าไปเก็บอัฐิ ได้ปรากฏมีอัฐิบางชิ้นเปลี่ยนสภาพเป็นผลึกสีเขียว สีเหลือง สีชมพู ทันทีเลย ทำให้พวกเราปลื้มปิติใจกันมาก อย่างน้อยก็ได้ไปกราบขออโหสิกรรมเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ทราบว่าหลวงตาท่านมีน้องชายอีก 1 รูปครับ คือหลวงปู่สรวง ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์ที่ยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ครับ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...