ศาสตร์แห่งการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งทางโลกและทางธรรม..หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย apichayo, 4 ตุลาคม 2012.

  1. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิชาภูติพระพุทธเจ้า_หลวงปู่ดู่


    [​IMG]

    การนำองค์พระมาใช้ในการภาวนาในการฝึกวิชาเปิดโลก(วิชาภูติพระพุทธเจ้าของหลวงปู่ดู่)

    ขอนำหนึ่งในวิชาที่หลวงปู่ ท่านได้เมตตาสอนไว้ให้ลูกศิษย์ซึ่งท่านได้รับวิชานี้มาจากเบื้องบน มาแนะนำกันครับ หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจากหลวงปู่ดู่อีกทีหนึง และเมตตานำมาสอนอยู่ในปัจจุบัน (ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือท่านหลวงตาม้า) โดยส่วนตัวผมเองนั้นโชคดีมากๆที่ได้มีบุญพบท่านและเรียนวิชานี้จากท่าน จึงอยากนำมาแบ่งปันผู้อื่นครับ

    เบื้องต้นเมื่อมีองค์พระแล้ว อาราธนามาไว้ในมือ แล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐานด้วยบทสรรเสริญพุทธคุณ บทอาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ บทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ

    จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบถที่เราถนัด กำพระไว้ในมือ น้อมนึกอาราธนากำลังจากองค์พระมาที่จิต เป็นการเพิ่มกำลังจิตในการภาวนาของเรา

    แล้วน้อมพลังงานพุทธคุณนี้มายังฐาน ที่เราใช้ในการทำสมาธิด้วย เช่นหากทำแนวอานาปานสติก็น้อมมาที่ลมหายใจ หรือถ้าเป็นแนวกำหนดสมาธิเฉพาะจุด(ที่เป็นสมถะ)เช่นที่หว่างคิ้ว ก็น้อมมารวมที่นั้น โดยนิมิตใดๆที่จะให้กำหนดต่อไปก็กำหนดไว้ที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิของเรา

    การบริกรรมใช้คำภาวนาพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือ ภาวนาไตรสรณาคมณ์ไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิมาใช้เป็นคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะจะได้ผลเร็วที่สุด (ควรท่องจำให้ขึ้นใจและในชีวิตประจำวันนึกได้เมื่อไรไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็บริกรรมสบายๆในจิตของเรา จะเป็นการทรงจิตเราให้เป็นทิพย์และเป็นกำแพงแก้วคุ้มตัวเราด้วย)

    การกำหนดนิมิตที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิ ให้กำหนดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ หรือจะเป็นหลวงปู่ทวด หรือ หลวงปู่ดู่ก็ได้ กำหนดนิมิตเบาๆ พร้อมไปกับการ ภาวนาคำบริกรรม เมื่อทำได้คืบหน้าแล้วจะรู้ที่จิตเอง โดยพลังงานของครูบาอาจารย์ที่คุมการภาวนาเราอยู่จะสื่อมาที่เรา (เพราะก่อนนั่งเราอัญเชิญท่านมาแล้ว) และพระท่านจะมาสอนเราในสมาธิได้ เมื่อสมาธิเราละเอียดเข้า หรือใจทรงความเป็นทิพย์ได้ดีขึ้น และวางอารมณ์ได้สบายๆ และหากถึงจุดๆหนึ่งจะทำให้สามารถสัมผัสโลกทิพย์ได้ ซึ่งมีประโยชน์ที่จะทำให้เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติได้

    สรุปย่อๆก็คือ เรานำพระมากำก็เพื่อเพิ่มกำลังจิตในการทำสมาธิของเรา และ หากเราไปแห่งหนตำบลใดหากต้องการแผ่บุญปรับภพปรับภูมิส่งวิญญาณ แก้ภูมิแถวนั้นให้กำหนดขอพลังจากองค์พระพร้อมบริกรรมบทพระจักรพรรดิ แล้วน้อมแผ่ออกไปจะเป็นการส่งวิญญาณภพภูมิแถวนั้น โดยวิชานี้ทำได้แม้ยังไม่เห็นภพภูมิก็ตาม ขอแค่จิตเราน้อมไปด้วยความเป็นบุญเมตตาและหวังดี (การแผ่บุญครอบบุญใช้กับคนที่เราหวังดีได้ด้วย เช่นกัน หรือแม้กระทั่งกับศัตรูเราให้เขามาเป็นมิตรกับเรา

    การนำองค์พระมากำเวลาสวดมนต์

    กำพระเวลาสวดมนต์จะเป็นการทำให้จิตเรามีกำลังเป็นอย่างยิ่งอานิสงค์เวลาเราแผ่บุญจากการสวด จะคลุมไปทั่วจักรวาลและสังเกตุว่าหากจิตเราสบายๆ องค์พระในมือจะดิ้น (พระเครื่องสายหลวงปู่ดู่ที่ใช้วิชาภูติพระพุทธเจ้าทำดิ้นได้ทุกองค์อันนี้หลวงปู่ท่านยืนยัน

    หมายเหตุ

    ทั้งนี้การทำกรรมฐานหลวงปุ่ดู่ทุกแบบ ต้องมีการสวดบทจักรพรรดิก่อน หรือ ขณะที่ทำกรรมฐาน เพราะบทจักรพรรดิที่หลวงปู่ท่านให้ไว้ ขณะที่สวดจิตเราจะทรงความเป็นทิพย์เป็นการเร่งการปฎิบัติ

    แนะนำให้ใช้คาถาบทพระมหาจักรพรรดิ ในการทำสมาธิสำหรับผู้ที่กำหนดนิมิตองค์พระไม่ออก เพราะคาถานี้เป็นคาถาเร่ง นิมิต และหากทำถึงจุดหนึงจะเปิด 3 โลกธาตุให้เห็นได้ เป็นขั้นๆไป และอย่าลืมว่า การกำหนดดูทุกแบบใช้ ใจ (จิต) ดู ไม่ใช่ตา เพราะลูกตาคนเราเป็นแค่ธาตุหยาบๆ ประกอบขึ้นจาก ดินน้ำลมไฟ ส่วนจิตเรานี้มีความละเอียด จึงย่อมสามารถฝึกให้เห็นความละเอียดได้เวลาปฏิบัติ

    นักปฎิบัติชอบสงสัยว่า ภาพจะเกิดที่ไหน อารมณ์กำหนดนั้นคล้ายการ นึกขึ้นมาในจิต แต่ไม่ใช่การนึกเดาเอาเอง เพราะเราได้ทำมาตามขั้นตอนเบื้องแรกแล้ว ทรงกำลัง นิมิตครูบาอาจารย์อยู่ในใจสบายๆ อธิษฐานจิตขอดูในสิ่งที่ต้องการกำหนด ทำบ่อยๆจะค่อยๆซึมซับและชิน ทำทุกวันจะคล่อง และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

    และอย่าลืมบทสวดพระมหาจักรพรรดิ ยืน เดิน นั่ง นอน ว่าง เมื่อไร ทรงในจิต ทันที ความเป็นทิพย์จะเกิด กายทิพย์จะสว่าง นึกน้อมขอบารมีพระทุกองค์บารมีหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด ครอบวิมานแก้วให้ตัวเราด้วย เพื่อเป็นกำลังในการดำเนินชีวิตป้องภัย และช่วยในการทรงกำลังใจ และอย่าลืมหมั่นแผ่บุญช่วยวิญญาณ

    หลวงปู่ท่านสอนเรื่องการใช้พลังงาน ศึกษาเรื่องพลังงานให้รู้จริงเรื่องภพภูมิ 3 แดนโลกธาตุ เพื่อให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ วิญญาณเร่รอน สัมภะเวสี โอปะปาติกะ โดยการแผ่บุญ ให้ภพภูมิ นั้นๆ โดยถือเป็นการสร้างบารมีอย่างหนึง และเป็นปัจจัยให้ถึงพร้อมสู่การได้มรรคผลนิพพาน เพราะมีบารมี และกำลังใจที่ฝึกมาดีแล้ว

    ขอบคุณข้อมูล..[http://www.ainews1.com/article531.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1123.jpg
      0.1123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      430.6 KB
      เปิดดู:
      2,165
    • _46_721.jpg
      _46_721.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.2 KB
      เปิดดู:
      23,968
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ตุลาคม 2012
  2. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิธีปฏิบัติสืบเนื่องจากบทสวดมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่

    เป็นบทสวดที่เรียบเรียงมาจาก'ชมพูปติสูตร' ในตอนที่พระพุทธเจ้า ทรงเนรมิตรพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์เพื่อกำราบทิฐิมานะ ของพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์

    <O:p[​IMG]


    โดยผู้ที่แต่งพระคาถาบทนี้คือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ คาถาจักรพรรดิ์ บทนี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ ใช้ในการรวมบารมีแผ่ช่วยเหลือภพภูมิ และใช้ในการอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน

    การสวดครั้งหนึ่ง มีอานิสงค์แผ่ไป ทั้งสามแดนโลกธาตุแผ่บุญไปทั่วถึงสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูง ครอบครัวเจ้ากรรมนายเวร

    บทสวดพระมหาจักรพรรดินี้ เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งหมด ตลอดจนถึงพระธรรมและพระโพธิสัตว์เจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งมวล รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยะเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิ์ทุกพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต มาอาราธนารวมเข้าที่กาย วาจา ใจ อัญเชิญเข้าตัวป้องกันภัย

    มีการกล่าวถึงพระสีวลี เป็นมหาโชคมหาลาภ และบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่ง ในการเจริญกรรมฐาน หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวที่ขัดข้อง ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง (เตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ 20.15 น.)


    [​IMG]

    ทุกๆวัน ในเวลา ๒๐.๓๐ น.หลวงตาม้า (ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่) และศิษย์ทั้งหมดจะร่วมสวดมนต์บทนี้ เพราะเป็นช่วงที่เปิดทั้งสามโลกธาตุให้สื่อถึงกันได้หมดเทพพรหมทั่วแสนโกฏิจักรวาล จะร่วมกันสวดบทนี้ ในช่วงนี้ แม้แต่ไฟนรกก็ดับชั่วคราว คำอัญเชิญภพภูมิ

    ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐานกราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวม หลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตา อาราธนาบารมีรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมเด็จพระบรมธรรมบิดา สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระมหาสาละพุทธเจ้า จนถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น

    ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดยทั่วทั้งหมื่นแสนโกฎิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่สหัมบดีพรหม ท่านปู่พระอินทร์ พระยายมราช เจ้าฟ้าท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง4 พร้อมด้วยบริวารทั้งหมด พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์วีรบุรุษ และวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม

    โอปะปาติกะทั้งหลายพระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองพระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคาพระเพลิง พระพาย พระพิรุณพระยายมราชพร้อมบริวารพญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบท มหาจักรพรรดิ์ พร้อมกันกับพวกข้าพเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

    บทบูชาพระ

    พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ

    กราบพระ ๖ครั้ง

    พุทธัง วันทามิ(กราบ) ธัมมัง วันทามิ(กราบ) สังฆัง วันทามิ(กราบ)

    ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ(กราบ) มาตาปิตุคุณังวันทามิ(กราบ) พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ(กราบ)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ

    ปาณาติปาตา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อทินนาทา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อพรัมจริยา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    มุสาวาทา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    สุราเมระยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณีสิกขาปะทังสมาธิยามิ

    อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ(๓ครั้ง)

    สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปทา

    สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย

    บทอาราธนาพระ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
    ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
    สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ

    คาถาหลวงปู่ทวด

    น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถาดังนี้
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ครั้ง)

    คาถาหลวงปู่ดู่

    น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วว่าคาถาดังนี้
    นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ครั้ง)

    บทขอขมาพระรัตนตรัย

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโตมะยา
    ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    บทสวดมหาจักรพรรดิ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง)

    (สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐)

    นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

    อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิสัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะปูเชมิ

    </O:p
    บทอัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส(สวด ๕ จบ)

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ

    (ให้อธิษฐานจิตแผ่บุญไปทั้งสามโลกธาตุ ภพภูมิทั้งหมดทั้งมวลบิดามารดา ญาติ เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ และส่งวิญญาณทั้งหลาย และขอเรื่องต่างๆที่เราต้องการความช่วยเหลือจากพระและหลวงปู่)

    คำอธิษฐาน ฝึกจิต เร่งสมาธิเร่งนิมิต

    ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิพระโพธิสัตว์และพระบรมมหาจักรพรรดิ ตั่งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุดขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง40 ทัศ พระปิติทั้ง5 และวิปัสสนาญาณทั้ง9 ขอพระกรรมฐานทั้ง40 ทัศ พระปิติทั้ง5 และวิปัสสนาญาณทั้ง9 จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวารในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ....ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    วิสัชนาจากหลวงปู่ดู่ สมมุติและวิมุติ

    ต้องอาศัยสมมุติขึ้นก่อนจึงจะเป็นวิมุติได้ เช่น การทำอสุภะหรือกสิณนั้น ต้องอาศัยสัญญาและสังขารน้อมนึกเป็นนิมิตรขึ้น ในขั้นนี้ไม่ควรสงสัยว่านิมิตนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม มาจากภายนอกหรือมาจากจิต เพราะเราจะอาศัยสมมุติตัวนี้ไปทำประโยชน์ต่อ คือยังจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ขึ้น แต่ก็อย่าสำคัญมั่นหมายว่าตนรู้เห็นแล้วหรือดีวิเศษแล้ว

    การน้อมจิตตั้งนิมิตเป็นองค์พระ เป็นสิ่งที่ดี ไม่ผิด เป็นศุภนิมิตคือนิมิตที่ดี เมื่อเห็นองค์พระ ให้ตั้งสติคุมเข้าไปตรงๆ (ไม่ปรุงแต่งหรืออยากโน้นนี่) ไม่ออกซ้าย ไม่ออกขวา ทำความเลื่อมใสเข้า เดินจิตให้แน่วแน่ สติละเอียดเข้า ต่อไปก็จะสามารถแยกแยะ หรือพิจารณานิมิตให้เป็นไตรลักษณ์จนเกิดปัญญา สามารถจะก้าวเข้าสู่วิมุติได้

    อานิสงส์การภาวนา

    'อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ' หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า

    อธิษฐานก่อนการถวายของที่หลวงปู่แนะนำ "การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น มีความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงพ่อตอบว่า "อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็ว่า สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ ต้องพบกับความดี มีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานยืดยาวหรอก"

    เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันวุ่นวาย หลวงพ่อบอกว่า"ใช้ น้ำใจ น้ำจิต ของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียก เขาเริ่มมาจากสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรต ญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือ หัวใจเปรตนั่นแหละ"หลวงพ่อท่านตอบเพื่อให้คลายกังวล สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น

    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า" แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เวลาเขามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้น

    ความรู้ที่ Joeyman เก็บมาเล่า : ทุกครั้งที่ท่าน พ.ธรรมรังสี ทำพิธีเสร็จท่านจะเดินทางไปที่วัดสะแก จ.อยุธยา ทุกครั้ง วัดสะแก..เป็นวัดที่หลวงปู่ดู่เคยจำพรรษาที่นั่นจนมรณะภาพ ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ที่นั่งรถกลับมาด้วยกันกับผมว่า ท่านจะไปสวดมนต์ นั่งสมาธิที่นั่นทุกครั้ง เพื่อขอบารมีหลวงปู่ดู่ เพราะที่นั่นหลวงปู่ดู่สร้างภูเขาบุญเอาไว้ หรือเรียกว่าเจดีย์ก็ได้ครับ ท่านเนรมิตรไว้สำหรับให้เทพยาดาทั้งหลายได้มาสักการะ

    ส่วนคนที่ใจบุญก็จะได้มาทำบุญเพิ่มบุญบารมีกันที่นั่น ท่าน พ. เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อท่านเดินเข้าไปที่วัดสะแกครั้งแรก พอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ท่านเห็นเจดีย์ใหญ่โตด้วยทองคำ ... สูงมหึมา...ปลายยอดแทงเสียดฟ้าขึ้นไปถึงบนสวรรค์ ...คนปกติที่ไม่ได้ญาณมองไม่เห็นครับ แต่ระลึกถึงได้

    ท่าน พ. เล่าให้ลูกศิษย์ว่าบนสวรรค์น่ะ เขาห่วงโลกมนุษย์ ประเทศไทยและพระศาสนามาก โดยเฉพาะยุคที่ศีลธรรมตกต่ำ จึงมีการประชุมกัน บ่อยๆเพื่อหาทางแก้ไข เพราะถ้าบ้านเมืองเป็นอะไรไปศาสนาพุทธก็จะอยู่ไม่ได้ บางทีเขาก็ส่งคนลงมาเกิดเพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนา มาเกิดเป็นพระบ้าง เป็นฆราวาสบ้าง แต่มีหน้าที่เหมือนกันคือช่วยเหลือพระศาสนาให้อยู่ครบ 5 พันปี

    ตามตำราที่ผมเคยอ่านบอกว่า...เมื่อถึง 5 พันปีครบแล้ว พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าจากทั่วโลกจะมารวมกันแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงปรากฏกาย ขึ้น จากนั้นจะทรงเทศนาสั่งสอนชาวโลกอยู 7 วัน 7 คืน เมื่อครบ 7 วันแล้ว กายนั้นก็จะสลายไป เป็นอันสิ้นสุดพระศาสนาของท่าน ครบ 5 พันปี

    บนสวรรค์นั้นเหล่าเทพทั้งหลายล้วนแต่เปลี่ยนมานับถือพระพุทธเจ้ากัน โดยเฉพาะเทพที่เรารู้จักกันดี ท่านนับถือพุทธกันหมดแล้ว อันนี้ผมก็อ่านมานะครับ เพราะลำพังผมคงขึ้นไปไม่ไหวล่ะ และในบรรดาคุรุผู้เป็นใหญ่คอยสั่งสอนเหล่าเทพและคอยแผ่บารมีช่วยเหลือสัตว์โลก ทั้งบนโลกเรารวมไปถึงในนรกจนสวรรค์ทุกชั้น ท่านนับถือให้หลวงปู่ทวดเป็นครูใหญ่แห่งโลกวิญญาณครับ

    หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว รอการมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อศาสนาของพระสมณะโคตมครบ 5 พันปี นั่นก็คือการมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป คือ พระศรีอริยเมตไตรนั่นเอง

    การที่ใครปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานนับอสงไขย ยากกว่าการเป็นพระอรหันต์มากมายนัก ท่านที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าเรียกอย่างหนึ่งว่า ท่านเหล่านี้ปรารถนาพุทธภูมิ...ก็มีหลายท่านเหมือนกันที่ต้องการเป็นพระพุทธเจ้า แต่ทนรอไม่ไหวก็ขอลาพุทธภูมิ จบกิจเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานเลย เพราะการที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า พระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือใคร....

    อย่างพระอชิตะในครั้งพุทธกาล ก็ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป..ส่วนพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ก็รอต่อคิวกันไปเรื่อยๆ บำเพ็ญบารมีกันต่อไป มีมากมายตามตำราครับที่ขอลาพุทธภูมิ อย่างท่านพ่อฤษี(ลิงดำ) วัดท่าซุง ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ขอลาพุทธภูมิ เพราะไม่อยากรอแล้ว ก็เสร็จกิจในชาตินี้ เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป

    ระหว่างทางกลับกรุงเทพฯผมได้รับคำตอบจากลูกศิษย์ของท่าน พ. มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องบอกไม่ได้เพราะบางคนไม่เชื่อแล้วคิดมากไปจะกลายเป็นบาปเปล่าๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับทราบวันนั้นก็คือ เขาบอกว่า หลวงปู่ดู่ก็คือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดนั่นเอง....บทสวดมหาจักรพรรดิ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    (สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖, จันทร์ ๑๕, อังคาร ๘, พุธ ๑๗, พฤหัส ๑๙, ศุกร์ ๒๑, เสาร์ ๑๐)

    นะ โมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะปูเชมิ ......

    หลวงปู่ดู่บอกว่า นี่คือสุดยอดของบทสวด มีคุณมหาศาล แนะนำให้ท่องและสวดให้ได้ครับ หลวงปู่เคยบอกว่า เมื่อก่อนท่านขัดสนเวลามีแขกมาหาไม่มีน้ำชาเลี้ยงแขก แต่พอท่านสวดบทนี้แล้ว ไม่ต้องหาซื้อน้ำชาเลย มีมาให้ท่านตลอด แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเชื่อก่อนนะครับ เชื่อในหลวงปู่ เชื่อในหลวงปู่ทวด สวดแล้วขอท่าน ระลึกถึงท่าน จะเป็นหลวงปู่ดู่ หรือหลวงปู่ทวดก็ได้ครับ

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม " ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น "

    คำแนะนำสวดพระคาถาจักรพรรดิ ..วัดถ้ำเมืองนะ วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ): หนังสือธรรมะปฎิบัติ


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article347.html


    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.1.jpg
      1.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      19,058
    • 1.3.jpg
      1.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.6 KB
      เปิดดู:
      18,579
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  3. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระในลูกแก้วหลวงปู่ดู่ ของหนุ่มน้อยเมืองสิงห์บุรี


    [​IMG]



    ...ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้และบอกว่า"ลูกเรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก"

    ผมได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตามร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มากเมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่าจะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้าพอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญบอกว่าผมขยันและอดทนดี

    ผลงานและหน่วยก้านแห่งความตั้งใจ นายจ้างจึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาทตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอมีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก็บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบ 'หลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก' ดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

    ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึง ก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้ว อย่างคุ้นเคยแสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามาก ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีและส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมวา 'กินซะน้ำมนต์'

    ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมดทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา จึงนึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนัก พอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็นวันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้าง สิบบาท ยี่สิบบาท ก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์

    <O:pหลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปหยอดตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตามเสียงหลวงพ่อพูดว่า 'เดี๋ยวก่อนมานี่'

    [​IMG]


    ผมหันไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็กๆสีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดี ในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี'

    ผมมองดูเม็ดกลม ๆเล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไรอย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์ ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า 'แกไปได้แล้ว' ผมรีบกราบท่านอีกครั้ง แล้วรีบวิ่งไปที่รถเพราะกลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า 'หลวงพ่อท่านเรียกทำไม' ผมบอกเขาว่า 'ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ

    [​IMG]
    <O:p
    เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก 'พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย' ผมรับคำว่า 'ครับพี่' หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวันเจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วยพอเขากลับมาวันรุ่งขึ้น ก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณังคัจฉามิ

    ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจ ผมเป็นเด็กจนๆ คนหนี่งคิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธาหลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมาผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา

    (คำภาวนาที่หลวงปู่ให้มา ทำให้ผู้ภาวนา จิตคิดถึงพระ ซึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า เราคิดถึงพระท่านครั้งหนึ่ง ท่านจะคิดถึงเรากลับมา 14 ครั้ง แล้วนี่เราคิดถึงพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ กี่แสนกี่ล้านองค์ที่ผ่านมา ทั้งในโลกเรานี้ และโลกอื่นๆที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น..
    <O:p
    ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดันไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน

    ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวัน ผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้าพอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบ ก็อธิษฐานว่า 'หลวงพ่อดู่ครับผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' (นั่นพระท่านกำลังคิดถึงเราอยู่พอดี)

    และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผมพอจำได้ว่านานๆ หลาย ๆเดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เพราะผมไม่ทันสังเกต ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า 'มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ' ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า 'ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ'

    เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม"ผมถามเขาว่า 'งานอะไรครับ' เขาบอกว่า 'งานอยู่เรือดูดแร่' เงินดีนะน้อง ผมถามต่อว่า 'ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ' เขาตอบทันทีว่า'เป็นหมื่น'พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียวผมเริ่มสนใจมาก

    ถามต่อว่า'ไปทำที่ไหนพี่'ชายผู้นั้นบอกว่า'จังหวัดภูเก็ต'ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ตและนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆรักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า'อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่' แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไปผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

    [​IMG]

    เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ตคืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กินแม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า'ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป'

    ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า 'เรื่องแค่นี้เองลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้' ผมบอกแม่ว่า 'อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆมาให้แม่กินครับ' แม่บอกว่า'ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ' แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า 'แม่รักลูกนะ ' ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า 'ผมก็รักแม่ครับ' และเราสองคนก็ร้องไห้

    วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวันพอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจพูดว่า 'อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ' ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมดเขาพูดเสียงดังว่า 'ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละจะไปเมื่อไหร่' ผมตอบว่า 'อีกสองสามวันครับ' เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับน่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า

    'เอาไปพี่ให้'ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า' ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่' 'เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกันเท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูกเงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน' ผมเกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญมีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีกผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา

    และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆวันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า 'คิดได้หรือยัง' ผมตอบว่า 'ไปครับ' เขาพูดว่า 'เออดีไม่เสียแรงที่ชวน' ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้วผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า 'ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน' ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ

    และในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่าใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทองแต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกันไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไปใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสนผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า

    (การที่ลูกตั้งใจและส่งเงินรายไดส่วนหนึ่งมาให้แม่ทุกเดือน เท่ากับลูกได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ในบ้านทุกๆวันนั่นเอง อานิสงส์ที่ลูกจะพึงได้รับคือความสุขความเจริญ)

    'เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมากหรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ'

    และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกัน บางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลางที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่ น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัวมองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงานเขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้าผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า

    'เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋' พี่โก๋ก็จะตอบว่า 'พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา' พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า 'พี่โก๋พาใครมาด้วยละ' พี่โก๋บอกว่า 'น้องชายมันชื่อตั้ม'

    ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า 'หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋' 'กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก' เสียงชายคนเก่าพูดว่า 'ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน' พี่โก๋พูด 'กูยังเหมือนเดิม' แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก 'มึงอยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียวห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะเดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง'

    เช้าของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมากมีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคนเข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขนใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นพี่โก๋ก็พูดว่า 'เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคนทำงานไม่ได้ดีเลยวะ'

    ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัว แต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่าทางใจดีอีกต่างหากชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า 'แล้วพาใครมาด้วยละ' แกตอบ 'น้องครับพี่ผมจะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ' 'รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋' 'พี่ก็ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้'

    เป็นอันว่าผมได้งานทำในห้องนั้น ที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคน มุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผมยิ้มตอบพี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พัก ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านาย อีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญดีกว่า เดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้ เพราะผมไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่

    คนอื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกัน แต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบที่นั้นมีทุกอย่างทั้งเหล้า การพนัน ผู้หญิง เพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ไปสิบห้าวันจะได้เงินประมาณสามหมื่น บางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่นแปดพัน หรือสองหมื่น คนที่ถือสายท่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมาก ก็จะได้เงินมากกว่าหน้าที่อื่นเป็นเท่าตัว

    มีคนมากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ฆ่ากันตายก็เยอะ ลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่างๆ ตายกันไปจนนับไม่ถ้วน ที่นั่นไม่มีใครสนใจใคร เพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมากพอตายตำรวจมาตรวจดูศพแล้วก็ไป โดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยใส่ใจ เพราะคนมาอยู่รวมกันมากๆ เป็นร้อยพ่อพันธุ์แม่ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย

    คนอื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรง เราออกเรือจะใช้เวลาไปกลับสิบห้าวัน เจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกัน เพระอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมไปพอแค่สิบห้าวันสิบห้าวัน ถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง 1,000 กิโล คนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาทคนฉีดน้ำบนเรือจะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ส่วนผมจะได้ 10,000 บาท

    แต่ต่อมาผมได้เงินมากกว่าคนอื่นเสียอีก ด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมาก เขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของเรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่าครั้งไหนที่ผมไม่สบาย และไม่ได้ไปด้วย ต้องไปนานจนครบสิบห้าวันทุกครั้งเลยแต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็ห้าวันก็มีบางหนสามวันยังมีเลย

    'พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่งเป็นเม็ดกลมๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะพี่นับถือ' ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงานไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า 'แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่าปกติตั้งเยอะ' ผมมาอยู่กับพี่เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อยแล้วคนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน 30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาทเลยทีเดียว

    ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขาว่าหรอก เพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า 'ขอให้ผมปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผมไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอเจ้าของเรือจึงรักผมมากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรืองคนแบบนี้หายากผมโชคดีทั้งเรื่องงานและความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ

    เธอก็มารักผมด้วยไม่เพียงแค่นั้นเพื่อนรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกันจึงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้งสามคนเป็นคนสวยและน่ารักมากผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัดสิงห์บุรีหลังเล็กเพราะครอบครัวของผมยากจนเธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงานกับพี่โก๋คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย

    ผมนึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนักพวกชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอแต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมีผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วนมากจะรวย ๆกันทั้งนั้น

    และ วันนั้นก็มาถึงผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียวผมออกเรือ ไปดูดแร่ตามปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้องไปทำ ออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละคืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า

    ผม ยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่ วันนี้เขาไม่ได้มาอย่างมิตรในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง ปั้งปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัด อย่างแม่นยำตัวผมกระเด็นตกจากเรือ

    ตอนนั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืดผมมองไม่เห็นตัวเอง ได้แต่เอามือลูบๆ ดูว่าแผลถูกยิงตรงไหนบ้างแต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้อง ลอยคออยู่ในทะเลจนถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่ง ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผม จ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำเดียวกับผม เป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล

    ตอนที่ผมถูกยิง ผมจำได้ว่าผมเห็นพระพุทธรูปเหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระ เมรุในพระอุโบสถ จำได้ดีว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมาลอยอยู่ข้างหน้าของผม กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ แล้วถึงมาโดนตัวผมด้วยอำนาจ ของพระพุทธคุณนี้เองจึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม (พลังแรงของลูกปืน ถูกพลังงานบุญบารมีของพระสลายไปหมด)

    ทำให้ผมนึกไปถึงตอนที่ 'หลวงพ่อดู่'ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกว่ามีพระอยู่ในนั้นหลายปีที่ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำสอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว (ที่หลวงปู่บอกให้ฟัง มันเป็นภาพจากอนาคตังสญาณ ที่แม่นยำของหลวงปู่นั่นเอง)

    (ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ จะได้เห็นความเมตตาของหลวงปู่ดู่ ที่มีญาณรู้คอยให้สติแก่ลูกศิษย์ตลอดเวลา)

    ผม รอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมาย ทั้งตำรวจก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผม หลายเดือนผ่านไป

    เมื่อเขารู้ว่ากระสุนปืนไม่อาจฆ่าผมได้จึงเปลี่ยนวิธิใหม่ เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขก เพราะพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมาก สามารถทำคุณไสย์ ให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน เพราะเวลาเดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมาเอารองเท้าของผม ไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ

    ช่วงนั้นผมคงกำลังดวงตก อยู่ๆ เชือกแขวนพระขาด เลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ ผมเก็บลูกกลมๆ ของหลวงพ่อดู่ไว้หัวนอน รุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วย เที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็ปวดท้องอย่างแรง จนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่าอย่าเลยพี่ เดี๋ยวนอนพักก็หาย แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมเริ่มปวดจากท้อง แต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา หนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวด คิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่า กลางคืนนอนก็ฝัน เห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิต

    บางครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝีแขกใส่หมวกแบบอิสลาม มาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอผมไม่ยอมทำตาม มันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัว ผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากันเป็นสิบๆตัว มันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตัวดำสูงใหญ่เข้ามาบีบคอ จนผมเริ่มหายใจไม่ออก ตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่ คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน

    มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่า เป็นเสียงของ หลวงพ่อดู่ ท่านพูดว่าพุทธังธัมมังสังฆัง พอผมได้ยินหลวงพ่อท่านบอก ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็มีรัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผม รอบตัวทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาจทุกตัว มันร้องอย่างเจ็บปวด แสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมด ละลายไปกับอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว

    (เมื่อมีเหตุปัจจัย สิ่งที่จะเกิดก็เกิด เมื่อจิตคิดถึงพระ พระท่านก็มาโปรดทันที)

    คืนนั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืน จนเช้าประมาณแปดโมงเช้า มีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้น ผมนอนอยู่ใต้ท้องเรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า 'น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย' แกรักและเป็นห่วงผมแบบน้องชาย

    พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพัก แทนที่จะไปหาหมอ ถึงห้องก็ไปที่หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ นึกถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบแล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ เท่านั้นผมอ๊วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้น สิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว พออ๊วกเสร็จ ผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่น เหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลยทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณาคมณ์ ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้

    ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลมๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ 'ลูกแก้วสารพัดนึก' ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าท่านุ่น

    สมัยนั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อน หรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยง แต่ผมก็รอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผม ครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีก ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตาโชคลาภทั้งทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน

    (ทั้งนี้ ด้วยได้คำแนะนำของหลวงปู่ดู่ และให้ลูกแก้วสารพัดนึก มาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้ที่ยังไม่อยู่บน ทางมรรค ตลอดเวลา ย่อมมีเวลาเผลอสติได้ การมีลูกแก้วติดตัวตลอดเวลา จึงช่วยช่องโหว่ของสติ)

    จะไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่น คนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อยได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูกๆ แต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมายหลายคน เงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมด เหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือนเท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆหลายปีผ่านไปเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็นเจ้าของเรือดูดแร่อีกหลายลำ แต่ผมไม่เคยลืมตัวยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา (เนื่องด้วย ความศรัทธา หลวงปู่ดู่ และเพียรระลึกถึง ทั้งสวดไตรสรณาคมณ์ทุกวัน แล้วอธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ เป็นประจำ และยังได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ คือแม่ของตนเองด้วยทุกวัน ด้วยเงินเดินส่วนใหญ่ที่ส่งไปให้แม่ได้ใช้จ่าย ...ลูกกตัญญู.. ขอโมทนาสาธุ...แล้วอย่างนี้ใครนึกอยากได้ลูกแก้วบ้าง ?)

    ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี' คำพูดของหลวงพ่อดู่ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็นจริงทุกคำผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมาก เคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดังๆ ที่มีราคาแพงมากๆ มันถามผมว่า 'มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมาย ทำไมเอาลูกอมกลมๆ มาแขวนคอลูกเดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์' ผมตอบมันว่า 'พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมีวาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง สำหรับกูลูกกลมๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะ ที่กูมีวันนี้ได้ก็เพราะลูกกลมๆนี้แหละ'...

    ...(ข้อมูลโดย คุณราชสีห์)

    เรื่องราวที่คุณราชสีห์ ได้เผชิญกับมันมา ทั้งร้ายและดี คงจะช่วยทำให้ท่านผู้ติดตาม มีความเข้าใจและเข้าถึง ลูกแก้วสารพัดนึก ของหลวงปู่ดู่ ได้มากยิ่งขึ้น ... และหลายๆท่านอาจมีคำถามว่า แล้วป่านนี้เราจะมีโอกาสเช่นนั้นบ้างไหม ..ลองแวะที่นี่ครับ ( www.watthummuangna.com )

    ปล. ได้อ่านประสพการณ์ชีวิต ของคุณราชสีห์แล้ว เดาว่าเหตุการณ์ผ่านมาแล้วพอสมควร 45 ปี ขึ้นไป ในช่วงปลายชีวิตของหลวงปู่ ได้แต่ง คาถาพระมหาจักรพรรดิ ขึ้นหลังจากคุณสำเภา มาขอสร้างองค์พระขึ้น ผู้ที่ได้ศึกษา คำแปล ที่หลวงตาม้าแปลเอาไว้ ใน 'หนังสือใครจะใหญ่เกินกรรม' แล้ว หลวงปู่ดู่ แนะนำการต่อยอดบุญกุศล เป็นประจำ สำหรับกัลยาณชนทั่วไป ที่ยังต้องอาศัยพลังงานบุญหุ้มห่อตนเองให้มีชีวิตที่ปรกติสุขบนโลก

    ก่อนก้าวเข้าไปสู่ 'ทาง' หรือ 'มรรค' ของแต่ละคน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไทยและของโลก ซึ่งพี่น้องชาวไทยเรียกว่าโชคดี อยู่ใกล้ตัว และไม่มีกำแพงภาษา ซึ่งหลวงปู่ดู่ เมตตาให้เครื่องมืออุปกรณ์ชีวิตเอาไว้พร้อมมูล ยังอยู่ที่ตัวเราจะเพิ่มความเข้าใจและความเพียรเข้าไป ก็จะประสบสิ่งที่หวัง อย่างรวดเร็ว ขอโอกาสนี้ขอบพระคุณ รายงานเรื่องของตนเองที่คุณราชสีห์ประสบความสำเร็จมาอย่างดี ตามที่หลวงปู่ดู่ ได้ลั่นวาจาบอกเอาไว้ตั้งแต่ต้น ที่จะยังประโยชน์ต่ออีกหลายๆชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ขอบุญกุศลในครั้งนี้ นำคุณราชสีห์ เข้าสู่ 'ทาง' ของตนได้อย่างง่ายดาย..
    </O:p
    ขอบคุณข้อมูล..

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.1.jpg
      1.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.8 KB
      เปิดดู:
      13,875
    • 2.2.jpg
      2.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      14,324
    • 2.3.jpg
      2.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      16,418
    • 2.1.1.jpg
      2.1.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.7 KB
      เปิดดู:
      13,475
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  4. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

    [​IMG]


    กล่าวโดยย่อคือ :
    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงสฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมา รวมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังพระโพธิญาณโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บุญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อน หรือระหว่างนั่งกรรมฐาน จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุม และคุมการปฏิบัติของเรา คลุมกายและจิตใจเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

    หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆ ที่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิดกำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวดพระคาถาครอบจักรวาล

    ปล.สำหรับนักปฏิบัติเบื้องต้นให้ใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว


    ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ

    พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้ามีพุทธคุณอย่างไร?

    พระผงจักรพรรดิมีประโยชน์มากโดยเป็นพระที่นำมาช่วยในการทำกรรมฐานและบูชาติดตัวเพื่อคุ้มครอง เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญ แก่ภพภูมิโดยรอบ

    หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่าพระรุ่นนี้ ที่มีผงจักรพรรดิของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้..

    พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐาน ให้ก้าวหน้าได้โดยไว โดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสารผงจจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ ที่ท่านหลวงตาม้าได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนตร์นั่งสมาธิสวดมนตร์ แผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้น

    ทั้งพระธาตุที่องค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์) หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุดนี้ เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณ และกำลังบารมี 10 เข้มข้น นำไปใช้ประโยชน์ด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า

    หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไปผ่านมา รับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย
    (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป)

    นอกจากนั้นยังมีพุทธคุณสูง สำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิ แล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระจะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้น เพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่องค์จิตด้วย จากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัด โดยเป้นวิการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้า ในปัจจุบัน และ

    หากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนตร์รักษาโรค หรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ โดยอธิษฐานเอาด้วยคาถาจักรพรรดิ

    อย่างไรก็ตามผู้ปฏิบัติตนก็ต้องตั้งตนให้อยู่ในความดีไว้ด้วย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และมีศีล 5 เป็นฐานจะช่วยให้เราทรงในความดี และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่


    กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่ท่านสอน

    หลักในการนั่งสมาธิ ให้ขาขวาทับขาซ่าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ผ่อนลมหายใจยาวๆ ลึกๆสัก 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ให้ภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 2 ภาวนาว่า ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 3 ภาวนาว่า สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยังไม่ต้องนึกคิดสิ่งใด ทำใจให้ว่างๆ วางอารมณ์ทั้งที่เป็นอดีต และอนาคต

    เมื่อลมหายใจเริ่มละเอียดและจิตใจเริ่มโปร่งเบาขึ้นบ้างแล้ว จึงค่อยเริ่มบริกรรมภาวนา โดยกำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก (เอาสติมาแตะรู้เบาๆ)แล้วตั้งใจภาวนาคาถาไตรสรณาคมณ์ดังนี้พุท ธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เมื่อภาวนาบริกรรมจบแล้ว ก็ให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่เช่นนี้เรื่อยไป

    มีสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมาก็คือ ขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่นั้น ให้มีสติระลึกอยู่กับคำภาวนา โดยไม่ต้องสนใจกับลมหายใจ คงปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกเป้นไปตามธรรมชาติ ปราศจากการควบคุมบังคับ ภาวนาด้วยใจที่สบายๆ และให้ยินดีกับองค์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในจิต เมื่อจิตมีความสงบสว่าง ก็น้อมแผ่เมตตาออกไป โดยว่า พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ แล้วตั้งใจภาวนาต่อไป เมื่อจิตถอนขึ้นจากความสงบ ให้ยกเอากายหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นพิจารณา โดยน้อมไปสู่พระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความทนได้ยาก) และอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนอันเที่ยงแท้)

    เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มซัดส่าย หรือขาดกำลังในการพิจารณา ก็ให้วกกลับมาภาวนาคาถาไตรสรณาคมน์อีก เพื่อดึงจิตให้เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทำสลับเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเลิก ก่อนจะเลิกให้อาราธนาพระเข้าตัวว่า สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ แล้วจึงแผ่เมตตาอีกครั้ง โดยว่าเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในตอนต้น อนึ่งการภาวนานั้น ท่านให้ทำได้ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า และชื่อว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท


    คำอธิษฐานฝึกจิตเร่งสมาธิเร่งนิมิต

    'ข้าพเจ้า...(นาม) ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ขอนอบน้อม และน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระบรมมหาจักรพรรดิ์ ทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐาน 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวารของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวะการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิตแต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด'

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    คำอธิษฐานรวมบุญ

    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดรวมกองบุญของข้าพเจ้า....(นาม) เพื่อเบิกมาใช้ให้มีความคล่องตัวในทุกๆเรื่อง อันใดติดขัดขอให้คล่องดังน้ำที่ไหลออกจากคนโทที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป โดยขึ้นชื่อว่า ความอด ความอยาก ความยาก ความไม่มี จงอย่าได้บังเกิดมีในข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้แห่งพระพุทธศาสนานับตั้งแต่กาลบัดเดี๋ยวนี้ตราบจนข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และโดยเฉพาะกาลนี้ขอให้คล่องตัวในเรื่อง'...(อธิษฐานพิเศษเอา)

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    คำอธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ

    'ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดส่งวิญญาณปรับภพปรับภูมิของ...ชื่อ นามสกุลหรือกลุ่มก็ได้ (หรือโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน ทุกคนทุกท่านก็ได้) ให้สู่สุคติด้วยเถิด' แล้วอัญเชิญพระเข้าตัว

    ให้หมั่นส่งวิญญาณแผ่ทั่วทั้ง 3 โลก พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่นรกโลก และทุกอบายภูมิ ผู้มีพระคุณ ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับข้าพเจ้า ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวาร เทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า เวลาทำบุญก็ให้เรียกกายทิพย์เข้ามารับบุญ

    ก่อนทานอาหารให้ส่งวิญญาณ กวาดมือเหนืออาหารมีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ กระแสบุญจะส่งถึงวิญญาณเอง

    อธิษฐานให้บุตร คนรัก หรือคนในปกครอง แม้กระทั่งเจ้านายละมิจฉาทิฐิอยู่ในโอวาทเป็นคนดีขึ้น จิตใจเยือกเย็นขึ้น

    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดกล่อมเกลาปรับสภาพร่างกายของ (ชื่อ...นาม....หรือกลุ่ม) ให้ดีขึ้น ขอให้ร่างกายแข็งแรงจิตใจเยือกเย็นเบิกบานมีหิริโอตตัปปะ มีจิตใจฝักไฝ่แต่ความดีเกลียดกลัวความชั่วทั้งปวงให้ว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท'

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    ใช้อธิษฐานทำน้ำมนตร์รักษาโรค

    ให้นำพระ (เลี่ยมก็ได้ไม่เลี่ยมก็ได้) มากำสวดคาถามหาจักรพรรดิ์ 7 จบ แล้วอธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด (อันนี้จำเป็นต้องขอบารมีท่านโดยตรง) ขอได้โปรดให้น้ำใดๆก็ตามไม่ว่าเล็กว่าน้อย หรือมากมายดังมหาสมุทรที่ถูกแช่ในพระผงกำลังพระจักรพรรดิ์นี้ จงมีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพเฉกเช่นเดียวกับหัวเชื้อน้ำมนตร์จักรพรรดิ์ทุกประการ เพื่อใช้ในการมงคลทั้งปวง เพื่อใช้ในการปรับธาตุทั้ง 4 และรักษาโรคภัยทุกประเภท ขอบารมีอันหาที่สุดมิได้ของหลวงปู่จงโปรดให้เป็นไปตามคำอธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด' จึงค่อยๆจุ่มพระลงในภาชนะใส่น้ำ แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    ใช้ทำน้ำมนตร์แก้และกันคุณไสย

    คำกล่าวอาราธนาบารมีว่าข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นับตั้งแต่ อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้, พระศรีอริยะเมตรัย ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการรักษาดรคอันเกิดแต่คุณไสยอวิชชานี้ด้วยเถิด....แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    การอธิษฐานครอบดวงแก้วให้แก่บ้านเพื่อป้องกันรังสีทั้งบ้านในกรณีที่เกิดภาวะสงครามที่มีการใช้กัมมันตรังสี ( เวลาที่เหมาะสม 20.30 น.)

    ตั้งจิตนน้อมถึงหลวงปู่ดู่ 'ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าขอถวายแล้วซึ่งร่างกายดวงวิญญาณถวายแล้วซึ่งขันธ์ทั้ง 5 กอง เพื่อบูชาคุณแห่งองค์พระตถาคตทศพล ขอบารมีแห่งพระองค์นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต จงสถิตยย์อยู่เหนือศรีษะของข้าพเจ้าทุกวันคืน ทั้งยามหลับยามตื่น ยามยืน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว ขอเดชะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดีด้วยใจก็ดี กรรมอันใดอันข้าพเจ้าล่วงเกินกระทำแล้วในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งรู้ตัวก็ดีมิรู้ตัวก็ดี โดยเจตนาก็ดี มิเจตนาก็ดี ทั้งชาตินี้ก็ดี ทั้งอดีตชาตินับสงไขยมิถ้วนก็ดี กรรมอันใดเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งไป ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงโปรดละซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการปราศจากเวรภัยแก่ตัวข้า และเพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป

    ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตโดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการป้องขจัดทำลายรังสี และพลังงานอันไม่ดีทั้งปวงที่เข้ามาในอาณาบริเวณเขตน้ำมนตร์แห่งนี้ ให้เกิดปรากฏเป็นปราการแก้วคุ้มครองเจ็ดชั้น ทั้ง 6 ทิศ คือเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน เบื้องล่าง ให้กระแสเย็นแห่งน้ำมนตร์นี้ จะเปล่งออกไปเป็นรัศมีเรืองรองคุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุมบ้านทั้งหลังของข้าพเจ้านี้ ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนี้ จงร่มเย็นปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด' จากนั้นจึงกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว

    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )


    การนำองค์พระมาช่วยในการภาวนา ในการฝึกวิชาเปิดโลก
    (วิชาภูมิของพระพุทธเจ้าของหลวงปู้ดู่ และการปรับภพปรับภูมิ)

    เมื่อมีองค์พระแล้ว ให้อาราธนามาไว้ในมือ แล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐาน ด้วยบทสรรเสริญพระพุทธคุณ บทอาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และบทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ์ จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบทที่เราถนัด กำพระไว้ในกำมือน้อมนึกอาราธนากำลังจากองค์พระมาที่จิตเป็นการเพิ่มพลังจิตในการภาวนาของเรา การบริกรรมใช้คำบริกรรมพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือภาวนาไตรสรณะคมน์ไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิ์ มาใช้แทนคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะได้ผลเร็วที่สุด

    นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้หัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนหน้าตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น กำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก เอาสติมาแตะรู้เบาๆ น้อมจิตเข้าหาพระ (นึกถึงหลวงปู่) แล้วตั้งใจภาวนาคาถา กำพระเบาๆ วางจิตเบาสบายๆ กายสบายๆ ขณะภาวนาให้หายใจเหมือนปกติ ไม่ต้องคำนึงถึงลมหายใจ เมื่อภาวนาจบแล้วให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนี้เรื่อยไป ระหว่างวันสวดคาถาจักรพรรดิ์ในจิตไว้ เป็นบุญใหญ่เป็นวิมานแก้วครอบเรา

    ให้ทุกคนอธิษฐานตั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เหนือหัว โดยมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ อยู่ด้านซ้ายขวา ของพระพุทธเจ้า เวลาไปฝึกกายวิเวกก็นั่งภาวนาหลับตาไปเรื่อยๆไม่ต้องกลัว เพราะเราตั้งพระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ไว้แล้ว ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้

    ให้คอยรู้กาย คอยรู้อย่างที่มันเป็น เพราะเราต้องการรู้ความจริงของกายของใจ เกิดปัญญาปล่อยวางการยึดถือกายใจได้ ทุกก้าวเดินถ้ามีความรู้สึกตัวเรียกว่าเดินจงกรมภาวนาไปรู้กายรู้ใจไป ละความเห็นผิดว่ากายใจนี้คือตัวเรา ปล่อยวางความยึดถือ รู้สบายๆกาบเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก ใจเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก รู้สึกไปตามธรรมชาติธรรมดาให้มีสติรู้สึกตัวสบายๆว่าเราสวดมนตร์

    'อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไป จนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ว่า สุทินนัง วะตะ เมทานัง อาสะวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ต้องพบกับความดี มีความสุข ไม่จำเป็นต้อง อธิษฐานยืดยาวหรอก'

    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า 'ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า' แล้วอธิษฐานบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ เวลามีพิธีอะไร เช่นเวลามีการปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆก็ได้ทั้งนั้น การสำรวม กาย วาจาใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อมีพิธีการทางสงฆ์ เพราะบ่อยครั้งขณะที่พระให้ศีล หรือให้พร ญาติโยมบางคนก็เริ่มคุยแข่งกับพระ เสียงโยมเมื่อรวมกันดังกว่าเสียงพระเสียอีก ตนเองไม่ได้บุญยังไม่พอแต่กลับไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นการขัดบุญที่ผู้อื่นจะพึงได้รับ หลวงปู่ดู่เคยพูดว่า 'ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเกิดเป็นตะเข้ขวางคลอง'


    คำอธิษฐานเพื่อตัดกระแสกรรมที่เกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรวิญญาณเกาะติดกาย

    ให้ผู้อธิษฐานนั่งต่อหน้ารูปปั้น หรือรูปภาพหลวงปู่ดู่ แล้วจับภาพหลวงปู่ดู่ไว้บนเหนือศรีษะของผู้อธิษฐาน ตั้งจิตนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษมเขมะโก พุทธังอาราธะนัง กะโรมิ ธัมมังอาราธะนัง กะโรมิ สังฆัง อาราธะนัง กะโรมิ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ (3ครั้ง) น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต พุทธะ พรหมะ ปัญโญ (3ครั้ง) ระลึกถึงหลวงพ่อเกษมเขมะโก แล้วว่าคาถา นโม เขมมะโกภิกขุ (3ครั้ง) แล้วนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก มาคลุมกายเรา

    แล้วตั้งจิต อธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม อดีตปัจจุบันอนาคต ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอตัดกระแสกรรมเกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่ อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวรที่ยึดครองร่างกายข้าพเจ้านี้ ให้ละจากบุพกรรมทั้งปวงเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตราบจากนี้ไป ข้าพเจ้าสร้างบุญกุศลที่ใด อย่างไรทั้งหมดทั้งมวล ขอให้ท่านอนุโมทนาร่วมกับข้าพเจ้าได้ ตั้งแต่บัดนี้ตราบชั่วชีวิตข้าพเจ้า สาธุฯ'

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก ขอหลวงปู่ หลวงพ่อ ได้แผ่บุญกุศลทั้งหมดให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ครองกายข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรที่เล่นงานข้าพเจ้า ขอหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม ได้เมตตาอาราธนาบุญกุศลบารมีรวมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์สาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลายทั้งปวงทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันอนาคต

    รวมทั้งบุญกุศลของข้าพเจ้าทุกภพชาติ ขอได้โปรดรวมบุญทั้งหมดเหล่านี้เป็นกองบุญรวม ส่งให้ถึงญาติ และที่ไม่ใช่ญาติข้าพเจ้าก็ดี เทวดาเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ที่คุ้มครองรักษา เชื้อโรค นายเวร โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ (หรือเจ้ากรรมนายเวรของใครก็ตามที่ต้องการอธิษฐานให้) ให้ได้รับบุญเสวยผลบุญตลอดวันตลอดคืน ตลอดจนเราทั้งหลายเข้าสู่นิพพานก็ยังได้รับบุญเสวยบุญตลอดไป

    เมื่อท่านทั้งหลายโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าได้รับบุญแล้ว เมื่อท่านได้รับบุญแล้ว ขอให้ท่านตามไปอยู่กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ที่เทวโลก ไปเสวยสุขเรียนธรรมกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และขอนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ได้โปรดเมตตามารับตัวรับดวงวิญญาณท่านทั้งหลาย วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงวิญญาณทุกชาติ ทุกภพ โดยเฉพาะที่ดวงจิตนี้ ที่กำลังเล่นงานข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้ ให้ได้อยู่ในอุปการะคุณของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ให้ได้รับบุญ เรียนธรรม เสวยสุขที่เทวโลก และได้รับการส่งวิญญาณปรับภพภูมิดวงวิญญาณกายทิพย์ให้ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไปตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดไปเทอญ สาธุ


    การอธิษฐานขอบารมีพระช่วยเหลือในกรณีพิเศษในเวลา 20.30 น. ของทุกวัน

    เตรียมตัวให้พร้อมพร้อมใจดีกว่าพร้อมกาย หรือสถานที่ 20.15 น. ควรพร้อมแล้วอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในห้องพระก็ได้

    กำพระในมือพร้อมทั้งอธิษฐานขอท่านตามปรารถนา

    สวดมนตร์ตามตำรับหลวงปู่ดู่ อธิษฐานซ้ำอีกครั้งหลังสวดมนตร์เสร็จ หากทำทุกวันจะย่งทำให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

    คาถารวมจิต
    </O:p
    เวลาภาวนาจิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ให้นึกขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาสงเคราะห์รวบรวมกำลังใจของเรา ให้ทรงตัวเร็ว แล้วภาวนาว่า 'อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง' จนกำลังใจสงบจนทรงตัวแล้ว ค่อยใช้คำภาวนาตามเดิม

    กำหนดจิตถามพระในเรื่องการปฏิบัติ และในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก

    ทำใจให้สบายๆ กำพระ กำหนดให้เห็นรูปหลวงปู่ แล้วก็ถามเอาดื้อๆเลยเช่น 'หลวงปู่ทำอย่างไรดี ผมจะทำสัญญาฉบับนี้ ทำแล้วลูกจะเสียเปรียบไหม' จากนั้นทำใจสบาย ไม่ต้องเงื่ยหูฟังว่าหลวงปู่จะตอบ บางทีหลวงปู่ไม่ตอบเป้นคำพูด ท่านจะตอบเป็นจิตรู้เลย หรือจะให้เห็นภาพเลย บางทีก็จะมีเหตุการณ์บางอยางให้รู้เอง คือท่านจะดลทั้งใจ ทั้งรูปการณ์ให้พร้อมเสร็จ


    การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่

    ให้นึกถึงหลวงปู่ (ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลก และทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่นับตั้งแต่นี้ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน


    คำแปลคาถาบูชาพระ (มหาจักรพรรดิ์)

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาต่อพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้ง 3 อันหมายถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ , อาสวักขยะญาณ มีมือถึงพันมือ หมายถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแจกแจงหลักธรรม คือพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระธรรมของพระพุทธเจ้า พระสาวกผู้ปฏิบัติตาม

    ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มากพร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ธูปเทียน ไฟ หรือแสงสว่างของหอมทั้งมวล

    ขอนมัสการพระสีวลเถระเจ้าผู้เป็นเลิศทางลาภสัการะ ขอนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนียสถาน เป้นต้น ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยเทอญ


    คำแปลบท อัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)

    ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหาล ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์เจ้ารักษา (พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์) ทั้งหมดทั้งมวลขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระธรรม ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์.....บทนี้ใช้ได้ทั้ง 2 อย่างแล้วแต่เราตั้งเป้า


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article351.html</O:p>

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0110.jpg
      0110.jpg
      ขนาดไฟล์:
      706.2 KB
      เปิดดู:
      18,886
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  5. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิธีดูกายทิพย์ ในวิชชาของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก



    [​IMG]


    เป็นข้อมูลจากเว็บเก่าของวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้นำมาลงในเว็บไซท์ปัจจุบัน ให้ผู้สนใจศึกษากัน

    ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจาก หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

    การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ

    ร่างกายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้ ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด

    กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ

    ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร


    กำหนดดูกายทิพย์

    หากกำหนดดู ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังหลวงปู่ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล

    นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ

    หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล อีกประมาณล้านปี มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด

    คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต จนกว่าลมหายใจจะหมดไป

    ประเภทของกายทิพย์

    ๑. กายสัตว์นรก

    เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไปตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถน้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมานให้ เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้ หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด

    ๒. กายในของสัตว์

    เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัยทำ ให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว จะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม

    ๓. กายมนุษย์

    มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป

    ๔. กายเทวดา

    คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ

    ๕. กายพรหม

    มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว

    ๖. จิตพรหมลูกฝัก

    ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    </O:p
    ๗. กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า

    มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่ ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่

    ๘. กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน

    เครื่องทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น<O:p></O:p>
    ก็เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ


    วิธีการทรงกายจักรพรรดิ

    [​IMG]

    ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปรกติ

    การบวชจิต-บวชใน

    หลวงปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช

    ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว " กายทิพย์ของเรานั้นหาก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะมีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก

    ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิบัติ

    การทรงกายจักรพรรดิ
    </O:p
    เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์ คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์

    ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลย เวลาไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง

    การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจนเป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปุ่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง


    คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ

    เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิ หลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว

    เราปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ

    ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

    จะอ่านไว้เป็นความรู้ หรือจะอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้ ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใดจุดสุดท้ายก็เหมือนกัน ทุกคนมีหลวงปู่ สุดท้ายสำคัญที่สุด อยู่ที่ความสบายของใจนั้นและธรรมรักษา


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article528.html<O:p>

    http://www.watthummuangna.com/home/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  6. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    กำหนดจิตถามพระในการปฏิบัติ


    และในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก




    [​IMG]

    ตอนหลวงตาม้าท่านออกธุดงค์ ก่อนออกธุดงค์นั้น หลวงปู่เรียกหลวงตาเข้าไปพบและมอบของสิ่งหนึ่งให้ .....สิ่งนั้นคือพระที่หลวงปู่ดู่สร้าง หลวงปู่ดู่บอกว่า " ....เอ็งเอาพระข้าไป ถ้าสงสัยอะไร เอ็งก็ถามพระเอาเอง ..."

    พระที่สร้างด้วยสูตรของหลวงปู่ พระองค์เดียวแม้เพียงขนาดปลายก้อย ก็เปรียบเสมอ Hard Disk ที่เก็บข้อมูลไว้ทุกอย่าง ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะพระโพธิสัตว์บางองค์เท่านั้นที่ทำได้ ไม่ต้องสงสัยอะไรมากครับ ว่าหลวงปู่ทำได้อย่างไร เอาเป็นว่า เมื่อเรารู้ว่าพระสูตรหลวงปู่ทุกองค์ไม่ว่าจะสร้างโดยใคร หากได้รับการถ่ายทอดโดยครูบาอาจารย์กันเป็นทอด ๆ เฉพาะบุคคลที่เหมาะสม มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันบางประการ และสร้างด้วยเจตนาบริสุทธ์ หลวงปู่ท่านคุม และรับรองครับ

    เหมือนกับที่หลวงปู่พูดว่า " เอ็งนึกถึงข้า ข้าก็นึกถึงเอ็ง เอ็งไม่นึกถึงข้า ข้าก็ยังนึกถึงเอ็ง..."

    บารมีหลวงปู่ยังไม่รวมตัว ยังอยู่ทุกอณูอากาศธาตุทั้ง 4 เนื่องเพราะท่านตาย-เกิดมานานแสนนาน การโน้มนำบารมี การต่อกระแสจิตถึงท่านจึงง่ายกว่า มีพระสูตรหลวงปู่หากสงสัยอะไรถามพระครับ หลวงปู่ท่านมีวิธีผ่านพลังงาน ผ่านกระแส และตอบคำถามต่าง ๆโดยวิธีการของท่านครับ

    วิธีการ

    ทำใจสบาย ๆ หลวงปู่เน้นที่ใจสบายๆ เบา ๆ ไม่เคร่งเกินไป คนยุคนี้ที่ฝึกแล้วไม่ไปไหนก็เพราะชอบเข้าใจว่า ของแบบนี้ต้องเคร่งมาก ๆ ประเภทหลับตาปี๋ไม่คุยกันใคร ไม่ยิ้มไม่พูด อันนี้พังครับสุดโต่งเกินไป แต่ต้องตั้งใจด้วยนะ ไม่ปล่อยให้สบายเกินไป และโปรดอย่าเข้าใจว่าวิชานี้ต้องยาก เราไปติดว่ายากมันก็จะยาก จริง ๆ กำลังที่ใช้ก็ประมาณอุปจารสมาธิเอง ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ๆกันทุกคนอยู่แล้ว

    กำพระผงจักรพรรดิแล้วกำหนดหลวงปู่หรือกำหนดให้เห็นรูปหลวงปู่ แล้วก็ถามเอาสบาย ๆไม่ต้องเคร่งอะไรมาก ไม่ต้องไปเงี่ยหูฟังว่าหลวงปู่จะตอบ บางทีหลวงปู่ไม่ตอบเป็นคำพูด ท่านจะตอบเป็นจิตรู้เลย หรือจะให้เห็นภาพเลย บางทีก็จะมีเหตุการณ์บางอย่าง ให้รู้เอง คือท่านจะดลทั้งใจ ทั้งรูปการณ์ให้พร้อมเสร็จ

    สำหรับลูกหลาน ผู้ที่มีบุญเนื่องด้วยหลวงปู่ดู่ ก็ดี หรือ ไม่รู้จักหลวงปู่ดู่ก็ตาม เมื่อได้ศึกษาหาความรู้ มากพอ เป้นที่เข้าใจ ในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ และเข้าถึงความเมตตาของหลวงปู่ และโดยเฉพาะที่ ฝากกายและจิตใจเอาไว้กับหลวงปู่ตราบเท่าเข้าสูนิพพานนั้น ก็จะมีพระผงจักรพรรดิ ของหลวงปู่หรือพระผงที่หลวงตาม้า สร้างแจก เอาไว้กับตัว

    (การระลึกถึงหลวงปู่ฯเสมอๆ และขอคำปรึกษาหารือเนืองๆ ในเรื่องต่างๆ ทั้งทางโลก และทางธรรมอยู่บ่อยๆ ย่อมจะเกิดความเคารพรัก และใกล้ชิดหลวงปู่มากยิ่งขึ้น และคำตอบต่างๆที่หลวงปู่ให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา แล้วเกิดผลสำเร็จแก่ตัวท่านไปโดยลำดับ ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้าใจว่า พระของหลวงปู่นั้นมีชีวิตจิตใจจริงๆ เป็นเรื่องทราบได้เฉพาะตน ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรม ให้ยิ่งๆขึ้น

    ส่วนผู้ที่กำลังเดินมรรค ก็จะช่วยท่านแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เข้าถึงทางระยะสุดท้ายได้สะดวกยิ่งขึ้น มีหลวงปู่ฯที่เรารักเคารพ ร่วมทางไปกับเราตลอดเวลา ช่วยให้เราไม่พลาดจากทาง หรือมรรค ที่กำลังปฏิบัติ และขอให้หลวงปู่ร่วมโมทนาบุญไปกับการปฏิบัติของเราไปตลอดเวลา ระยะทางที่เหลือให้ครบวงรอบของปฏิจจสมุปบาท ก็จะสั้นเข้า จบหลักสูตรในพระพุทธศาสนาในที่สุดในชาติปัจจุบัน)

    ขอบคุณ.. http://www.ainews1.com/article529.html<O:p>

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.6.jpg
      3.6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.8 KB
      เปิดดู:
      13,686
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  7. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    สิ่งดีๆในเวลา 20.30 น.ของหลวงปู่ดู่


    การอธิษฐานขอบารมีพระ ช่วยเหลือในกรณีพิเศษ ในเวลา 20.30 น. ของทุกวัน


    [​IMG]


    หลักการ

    ทุกวัน เวลา 20.30 น.ที่วัดถ้ำพรหมปัญโญของหลวงตาม้า หรือแม้กระทั่ง ศิษย์สายหลวงปู่ดู่ จะทำการสวดมนต์ตามรูปแบบของสายหลวงปู่ดู่ และเจริญคาถามหาจักรพรรดิ พร้อมอธิษฐานจิตแผ่ไปทั้ง 3 โลก นี่คือการทำสมาธิหมู่ครับ ท่านทำมาช้านานแล้ว

    การทำสมาธิหมู่นี่ไม่ได้ทำเฉพาะมนุษย์เท่านั้น เทพ-เทวดา แม้พญาครุฑ พญานาค ท่านก็มาด้วย มหาศาลมากครับ กล้องถ่ายติดดวงวิญญาณบ่อยมาก มีคำถามว่าทำไมต้องเป็น 20.30 น. คำตอบคือช่วงเวลานี้หลวงปู่เปิดทั้ง 3 โลกธาตุให้มองเห็นกัน การสวดมนต์ในช่วงนี้ ผลานิสงส์จึงมากมายกว่าสวดมนต์เวลาอื่นหลายเท่านักครับ

    เมื่อจบการทำสมาธิแล้ว ท่านจะแผ่บุญไปยัง 3 โลก และอธิษฐานจิตไปยังพระทุกองค์ที่สร้างด้วยสูตรหลวงปู่ดู่ นั่นหมายความว่าพระที่สร้างด้วยสูตรหลวงปู่ดู่ ยิ่งนานยิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งแจกไปได้มากเท่าไร กำลังพระจักรพรรดิจะเข้าปรับได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เหมือนการวางเครือข่ายสัญญาณมือถือนั่นเอง เราเรียกว่า การวางข่ายพระจักรพรรดิ อย่างบางท่าน นอน ๆอยู่พอ 20.30 น. พระที่คล้องอยู่เรืองแสงได้ เหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ (ก็ชั่งใจอยู่นานครับ ว่าจะลงเรื่องนี้ดีหรือไม่ แต่เห็นว่ามีประโยชน์มากกว่า ทั้งคนในที่นี้ก็เหมาะสมที่พอจะรับรู้เรื่องนี้ได้ จึงตัดสินใจเล่าให้ฟัง )

    ด้วยเหตุผลข้างต้น หากท่านมีเรื่องใดๆ ที่ต้องการกำลังพิเศษ เพื่อขอบารมีพระท่านช่วย หากเลือกเวลานี้จะมีผลชัดเจนและรวดเร็วขึ้น

    มีคำถามว่า “ ทำไมต้องเป็น 20.30 น.” เหตุผลประการหนึ่งนอกเหนือจากที่ว่าเป็นการทำสมาธิหมู่ พลังงานจะสูงกว่า ก็คือ เวลานี้หลวงปู่ท่านเปิดทั้ง 3 โลกให้มองเห็นกันครับ การติดต่อ การจูนคลื่น การอธิษฐานขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ท่านช่วยในเรื่องที่ไม่เกินวิสัยกฎแห่งกรรม หากทำในช่วงนี้จะดีกว่ามาก

    วิธีการ

    เตรียมตัวให้พร้อม (พร้อมใจ ให้สำคัญกว่าพร้อมกาย หรือพร้อมสถานที่ ) อย่างน้อยสัก 20.15 น.ควรพร้อมแล้ว
    อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในห้องพระก็ได้

    กำพระในมือพร้อมทั้งอธิษฐานขอท่านตามปรารถนาตามวิธีการที่ถ่ายทอดให้ข้างต้น

    สวดมนต์ตามตำรับหลวงปู่ดู่ (ดูที่หลวงตาม้าและลูกศิษย์สวดบทจักรพรรดิ์ )

    อธิษฐานซ้ำอีกครั้งหลังสวดมนต์เสร็จ

    หากทำได้ทุกวันจะยิ่งดี จะเป็นการเร่งรัดและทำให้คล่องตัวยิ่งขึ้น และควรอธิษฐานหลังรวมกองบุญ


    ขอบคุณ ..http://www.ainews1.com/article530.html<O:p>

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.4.jpg
      3.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      13,557
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  8. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลักการและความรู้เรื่องพลังงานภพภูมิ
    และการเชื่อมต่อ ทั้ง 3 โลกธาตุ
    l

    [​IMG]

    หลักการและความรู้เรื่องพลังงาน ภพภูมิ และการเชื่อมต่อ ทั้ง 3 โลกธาตุ (วิชาเปิดโลก_หลวงปู่ดู่)







    เรื่องพลังงานนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความเข้าใจ เป็นข้อหลักได้ดังนี้
    1. จักรวาลกว้างใหญ่ และมิได้มีเพียง 1 เดียว มีพลังงานมากมายกระจัดกระจายอยู่ บ้างก็เป็นพลังงาน บ้างก็เป็นธาตุ บ้างก็เป็นพลังงานกึ่งธาตุ ผู้รู้หลักการน้อมนำ จะนำพลังงานส่วนหนึ่งเหล่านั้นมาใช้ได้
    2. มนุษย์ก็มีพลังงานทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งวัดได้ ทั้งวัดไม่ได้ และมนุษย์ก็ยังพิเศษกว่าที่มีตัวเจตนา พลังเหตุเจตนา มีกำลังในการโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงานได้
    3. การโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน จะแรง และมหาศาลมากขึ้น หากมีผู้ที่มีกำลังมากกว่า มีบุญญาบารมี มีการอธิษฐาน และการสั่งสมมาเพื่อการนี้ มาเป็นผู้ต่อกระแส เพิ่มกระแส ชักนำกระแส แห่งการการโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน
    4. ธาตุหยาบต้องอาศัยธาตุละเอียดด้วย เพราะมีความคล่องตัวที่แตกต่างกัน ดังนั้นภพภูมิ ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ หากต่อกระแสกันได้ และเกื้อกูลกัน จะทำให้เกิดกำลัง และความคล่องตัวที่สูงยิ่ง
    5. มนุษย์อาศัยธาตุทั้งสี่เป็นกำลัง อาศัยเจตนา เป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ และทำลาย แต่เรื่องบางเรื่องเช่นเรื่องพลังงานละเอียด อมนุษย์ฝ่ายสุขคติภูมิย่อมมีกำลัง และภูมิความเข้าใจภูมิรู้มากกว่า ดังนั้น หากทั้งสองเกื้อกูลกัน สรรพกำลังจะบริบูรณ์
    6. อธิษฐานด้วยการเดินวิชาพระจักรพรรดิ สามารถเชื่อมต่อภพภูมิ ทั้ง 3 แดนโลกธาตุได้ ด้วยพลังงานเมตตาเป็นตัวต้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรียกกันว่า วิชาเปิดโลก ที่นาน ๆที่จะเกิดขึ้นในวาระหนึ่งเท่านั้น
    7. การเดินวิชาตามตำรานั้น องค์ประกอบความครบ เว้นแต่ผู้เข้าใจพลังงานอย่างถ่องแท้ ก็ตัดบางสิ่งบางอย่างออกได้ แต่ตัดหลักสำคัญไปไม่ได้
    8. องค์ประกอบ คือ
      8.1 พระผงจักรพรรดิ เป็นสื่อกลาง เสมือนจานรับสัญญาญ ดาวเทียม
      8.2 หลวงปู่ดู่ บารมีรวมหลวงปู่ เป็นต้นพลังงานพลังบุญที่จะรวมพลังงาน รวมกองบุญกองอื่น เป็นบารมีของมหาโพธิสัตว์ เสมือนแหล่งสัญญาณที่จะส่งภาพ โดยมีพระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นประธาน
      8.3 ตัวเรา ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 กอง เปรียบเสมือนเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์
      8.4 จิตอธิษฐานที่มีกำลัง และได้รับการปรับคลื่นพลังงานให้ตรงกันกับแหล่งพลังงานต้น ด้วยพระคาถามหาจักรพรรดิ เสมือนเสาอากาศ หากมีแต่เครื่องรับโทรทัศน์แต่ขาดเสาสัญญาณก็ไม่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ได้ ยิ่งกาลปัจจุบันคลื่นรบกวน คือมารกิเลสทั้งหลาย มีอยู่ทั่วทุกขณะทุกเวลา
      8.5 ความเข้าใจในหลักการโน้มนำ ชี้เส้นทางพลังงานอย่างกุศลและนอบน้อมในสิ่งที่มีคุณ-มีประโยชน์ เป็นหัวใจสำคัญยิ่ง เสมือนกระไฟฟ้าเลี้ยงเครื่องรับ ประการนี้ก็ขาดเสียมิได้
    9. ทุกวิชาหลวงปู่มีหลักที่ละไม่ได้คือ
      9.1. คาถาจักรพรรดิ์ (สร้างพลังงาน ติดต่อพลังงาน)
      9.2. คำอธิษฐาน(กำหนดเส้นทางพลังงาน)
      9. 3. บทสัพเพ (ส่งพลังงาน)
      9.4. จิตสบายที่สุดไร้ทุกข์ไร้กังวล (ความเป็นทิพย์ ที่มีกำลังสูง)
    10. โปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องภพภูมิ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ทั้งของฉบับเดิม และของที่อธิบายโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ความรู้ดังกล่าวจะทำให้เข้าใจในเรื่องภพภูมิได้พอสมควร
    คาถาหัวใจวิชา

    พระคาถามหาจักรพรรดิ


    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง
    อะหังวันทามิ ทูระโต
    อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
    คาถาอาราธนาพระเข้าตัว
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
    (สวด 3 จบ หรือ 5 จบได้)

    คำกำหนดอธิษฐานจิต

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
    แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ

    อธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ หรือป้องกันวิญญาณ

    หลักการ
    การปรับภพปรับภูมิ แผ่บุญ

    พลังของพระผงจักรพรรดิเป็นของสูง อานิสงค์ครอบจักรวาล หากฉลาดในการนำไปใช้ย่อมมีประโยชน์มหาศาล นำไปแผ่ให้ภพภูมิต่างๆ เขาไปเกิดเป็นเทวดา เขาจะจำเราได้ ย่อมจะช่วยเราในภายภาคหน้าที่มีวาระ เรียกว่ามาเป็นบริวารเรานั้นเอง บางครั้งเขาติดอยู่ในที่ๆหนึ่ง โดยที่ไปไหนไม่ได้ แล้วเราผ่านไปแล้วกำหนดแผ่บุญส่งวิญญาณให้เขา แทนที่เขาจะต้องติดอยู่ตรงนั้นไปอีกหลายพันหลายร้อยปี แต่เราช่วยเขา ดูสิว่ามีประโยชน์ขนาดไหน ผีที่พวกเล่นไสยดำเลี้ยงไว้เหมือนกัน คิดดูสิว่าผีโดนเจ้าพวกนี้ใช้ทรมาน ไม่ต่างอะไรจากทาส บุญก็ไม่อุทิศให้ เอาแต่อาหารคาวหยาบๆให้กิน หลอกล่อผีไปวันๆ แล้วเราไปแผ่ส่งวิญญาณเหล่านี้ไป คิดดูสิว่าเราช่วยพวกเขาได้มากขนาดไหน

    หาก เราไปแห่งหนตำบลใดหากต้องการแผ่บุญปรับภพปรับภูมิส่งวิญญาณแก้ภูมิแถว นั้น ให้กำหนดขอพลังจากองค์พระ พร้อมบริกรรมบทพระจักรพรรดิแล้วน้อมแผ่ออกไป จะเป็นการส่งวิญญาณภพภูมิแถวนั้น โดยวิชานี้ทำได้แม้ยังไม่เห็นภพภูมิก็ตาม ขอแค่จิตเราน้อมไปด้วยความเป็นบุญเมตตาและหวังดี (การแผ่บุญครอบบุญ ใช้กับคนที่เราหวังดีได้ด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งกับศัตรูเรา ให้เขามาเป็นมิตรกับเรา ใช้ได้แม้กระทั่งสัตว์ ให้นึกถึงหลวงปู่แล้วครอบบุญ เป็นวิมานแก้วครอบตัวเขาไว้ จะช่วยปรับเขาให้เป็นสัมมาทิถิขึ้น แต่ต้องครอบบ่อย ๆ เพราะมนุษย์นั้นหยาบ โปรดยากกว่าวิญญาณหลายเท่านัก เมื่อความดีเขาไม่ถึง คลื่นความดีไม่ตรงกัน ไม่นานวิมานก็หลุด การครอบวิมานนี้ดีมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ อย่างตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเทศน์ “ จิตมีดวงเดียวท่องเที่ยวไป จิตคิดดีก่อนตาย ไปสวรรค์ จิตคิดชั่วก่อนตาย ไปนรก “ หากผู้ที่เราขอหลวงปู่ให้ครอบวิมานให้แล้ววิมานยังอยู่ ตอนตายเขาจะเห็นวิมานครอบตัวเองไว้สวยงาม จิตจึงคิดดี แบบนี้เขาก็ไปสวรรค์ได้ ลองคิดดูนะวิชานี้ไว้ใช้ตอนเกิดภัยพิบัติ(หากมันเกิดขึ้น) จะช่วยสรรพสัตว์ได้ขนาดไหน)

    กำลังพุทธคุณของพระผงจักรพรรดิเรานำไป ใช้ในการปรับภพปรับภูมิเขาให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ โดยมิได้เป็นการใช้พุทธคุณในการเบียดเบียนเขา แต่เป็นการใช้กำลังเพื่อให้เขาโมทนาบุญซึ่งเรียกว่าการปรับภพปรับภูมิและเรา จะช่วยดวงวิญญาณได้จำนวนมาก การนำไปใช้ไม่ยากอาราธนาองค์พระกำไว้ในมือ สวดคาถาจักรพรรดิสัก 1 จบ (หากเราทรงกำลังพระจักรพรรดิมาตลอดด้วยการคลอ คาถามหาจักรพรรดิ ตลอดทุกอิริยาบถแล้ว ความเป็นทิพย์ของเรามีแล้ว ก็ไม่ต้องว่าคาถาอีก) ก็แล้วตามด้วยบทสัพเพ (บทนี้จำเป็นมากนับเป็นหัวใจของวิชาก็ว่าได้) แล้วก็นึกน้อมบุญนี้ให้แก่ดวงวิญญาณทั้งหลายที่เราต้องการแผ่บุญถึง นับได้ว่าพระผงจักรพรรดิใช้เพื่อการการแผ่บุญอย่างแท้จริง สงเคราะห์สัตว์โลกอย่างแท้จริง

    ลำพังกำลังของเราแต่ถ่ายเดียวยังมิ อาจครอบคลุม ในการส่งวิญญาณได้ทั่ว ได้ถึง และมากพอ ขอจงโปรดขอบารมีคุณพระท่านช่วยเหลือให้ ซึ่งควรจะเน้นไปที่บารมีรวมของพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็ม อันมีหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นต้น โดยมี พระกำลังพระจักรพรรดินี้เป็นสื่อกลาง มีบทสัพเพเป็นบทอัญเชิญน้อมนำบารมี

    วิธีการ
    ๑. กำพระในมือ จากนั้นโปรดกล่าวคำ อธิษฐานว่า
    ข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ นับตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด(หรืออาจจะเป็น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค , หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระศรีอาริยะเมตรัย ก็ได้ ตามจริต ด้วยเหตุผลที่ว่าการอัญเชิญพระบารมี หรือการโน้มนำพระบารมีของพระมหาโพธิสัตว์นี้จะง่ายกว่า การโน้มนำพระบารมีแห่งพระผู้เข้าพระนิพพานแล้ว เนื่องจาก บารมีท่านมหาโพธิสัตว์เหล่านี้ยังไม่รวมตัว ยังคงกระจัดกระจายอยู่ทุกอณูในโลก) ขอได้โปรดส่งวิญญาณ ปรับภพปรับภูมิดวงวิญญาณของ......ชื่อนาม หรือกลุ่มก็ได้.....ให้สู่สุขติด้วยเถิด

    ๒. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

    (ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบาๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกับแสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณที่จะปรับภพปรับภูมิให้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงที่จะรับบุญ บางวิญญาณที่มีมิจฉาทิฐิ หรือมีโมหะ คือ ไม่รู้เรื่องว่าโมทนาคืออะไร ก็จะยังไม่ได้รับ เราก็ต้องสัพเพฯ หลายๆรอบ จนบารพระท่านครอบกายทิพย์สว่างเย็นไปหมด ช่วยโน้มนำให้วิญญาณนั้นละพยศและความโง่นั้นได้สำเร็จ หรือบางทีต้องขอบารมีหลวงปู่ท่านแรงเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า แบบ ” พายุทอนาโด ” อัดตูมเข้าไปเลย)

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ

    ๓. การป้องกันวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะรอนแรมไปในที่แห่งใด ผู้ที่คล้องและทรงกำลังพระจักรพรรดิ รัศมีจะสว่าง จนดวงวิญญาณพากันมาดูด้วยความสงสัยว่า คืออะไร ตรงนี้ก็ให้ถือโอกาสแผ่บุญตามหลักการข้างต้น ผูกมิตรกับวิญญาณเจ้าถิ่นไว้ วิธีนี้ได้ประโยชน์มาก มีวิญญาณมากหลายอยู่มานับพันปีไม่มีที่ไป เราส่งวิญญาณให้เขา ต่อไปเมื่อมีวาระเขาจะกลับมาช่วยเรา วิชานี้ท่านโพธิสัตว์หรือพุทธภูมิทุกท่าน น่าจะศึกษาและปฏิบัติ เพราะเป็นวิชาสร้างบริวารอย่างหนึ่ง แต่ขอจงโปรดอย่าวางอารมณ์ว่าจะสร้างบริวารเลย ขอวางอารมณ์ด้วยเมตตาธรรม พรหมวิหารธรรมเถิด ขอโมทนา......

    ๔. ขอโปรด ส่งวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของท่านด้วย พระสูตรของหลวงปู่ท่านสร้างไว้อย่างฉลาดมาก ท่านสอนให้ปรับภพปรับภูมิอยู่เสมอ เพราะเป็นการส่งดวงวิญญาณทั้งทั่วไปและที่มาจองเวร ป้องกันความเดือดร้อนทั้งผู้สร้างและผู้รับพระไปบูชาติดตัว

    การนำไปใช้จริง
    ๑. ให้หมั่นส่งวิญญาณอยู่เสมอไม่ว่าจะเดินทางไปในที่แห่งไหนโดยเฉพาะเวลาไปจ่าย ตลาดในตลาดสด วิญญาณสัตว์ที่พึ่งตาย หรือที่ค้างอยู่มีมหาศาลทุก ๆวัน ตามป่าช้าหรือข้างทาง บางทีเวลาผมเดินทางไกล หลวงตาม้าบอกให้เปล่งกระแสบุญให้สว่างและให้ไกลมาก ๆ พร้อมทั้งอธิษฐานให้ทรงทั้งยามหลับยามตื่น เพราะเหล่าวิญญาณจะได้โมทนา บางทีก็ครอบให้เสร็จสรรพ แบบมัดมือให้เลย เดินทางไปต่างจังหวัดแต่ละทีก็เก็บได้มหาศาล

    ยิ่งทำบ่อยๆยิ่งคล่อง ครับ ถ้าทำคล่องแล้วต่อไปเวลากำหนดแผ่ก็กำพระแล้วน้อมกำลังบุญไปได้แค่กำหนดจิต ชั่วขณะโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ยังได้ ขอแค่ให้ใจทรงกำลังทั้งหมดที่อาราธนามาในขณะนั้นได้ก็พอ แล้วก็กำหนดแผ่ไปได้เลย ขณะกำพระ แต่ถ้าเป็นการอฐิษฐานใหญ่หรือการสวดมนต์ประจำวัน ก็อฐิษฐานใหญ่ตามเนื้อหาใน “ ตัวอย่างคำอธิษฐานจิตที่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ ” ซึ่งจัดพิมพ์ให้โหลดไว้พร้อมกันแล้ว แล้วก็แผ่ไปทั่ว 3 โลก ไม่ว่าพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่ต่างๆ นรกโลก และทุกๆอบายภูมิ ผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้า ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับข้าพเจ้าทุกๆคน ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวารข้าพเจ้าทั้งหมด เทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า <--- แผ่ไปให้ภพภูมิ เหล่านี้ครับเวลาอฐิษฐานใหญ่

    ๒. ก่อนทานอาหารหลวงตาแนะนำให้ส่งวิญญาณด้วย ให้ทำจนเป็นนิสัย เอาแบบให้กวาดมือเหนืออาหารทีเดียวให้ส่งให้หมด แม้แต่บะหมี่หมูสับก็ให้ส่งวิญญาณด้วย หลวงตาบอกว่าเนื้อไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเป็นชิ้นหรือเป็นน้ำก็มีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ ส่งให้เนื้อ กระแสบุญจะส่งถึงวิญาณเอง คนที่ชอบทานมังสะวิรัติ นอกจากไม่ทานเนื้อแล้วน่าจะทรงวิชานี้ด้วยนะครับ

    ขอบคุณข้อมูล : [http://www.ainews1.com/article542.html ]

    http://www.watthummuangna.com/home/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ตุลาคม 2012
  9. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่เมตตาพาวิญญาณเด็กหนุ่มกลับเข้าร่าง

    [​IMG]


    เรื่องนี้เล่าโดยพระสายหยุด ซึ่งทำหน้าที่รับสังฆทานจากเด็กหนุ่มที่รอดชีวิต

    เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ (หลวงปู่ดู่ มรณภาพล่วงไปแล้ว ๑๕ ปี) เป็นเรื่องที่ช่วยให้เห็นถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์ รวมทั้งยืนยันว่าท่านสามารถช่วยเหลือลูกศิษย์ได้แม้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ตาม น่าเสียดายที่ไม่อาจติดตามสอบถามชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากจะนำมาเรียบเรียงบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง
    <O:p
    เรื่องนี้เริ่มต้นที่ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ ขับรถยนต์ไปชนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง จนบาดเจ็บอาการสาหัสมาก เป็นตายเท่ากัน ลูกศิษย์ผู้นี้ก็กลุ้มใจมาก เพราะเกิดมาไม่ประสงค์จะทำบาปทำกรรมกับใคร อีกทั้งไม่อยากมีบาปกรรมอันเกิดจากปาณาติบาต เขาจึงมาบนหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่าให้ถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลย

    เด็กหนุ่มนั้น ครั้งแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU โรงพยาบาลในอยุธยา แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายหลังจู่ ๆ อาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ แล้วก็ได้มีโอกาสตามเพื่อนมาทำบุญที่วัดสะแก โดยที่ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน

    เด็กหนุ่มผู้นี้ มาทำบุญถวายสังฆทานที่กุฏิพระสายหยุด ครั้นเมื่อท่านได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้แล้ว จึงสามารถปะติดปะต่อ และเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เพราะท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทางฝั่งลูกศิษย์หลวงปู่ ผู้ที่เป็นคนขับรถยนต์ ชนเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

    เมื่อถวายสังฆทานเสร็จ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็เหลือบเห็นรูปภาพหลวงปู่ดู่ ที่ผนังกุฏิของพระสายหยุด เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่า หลวงปู่องค์นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง

    เขาเล่าว่าภายหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต แต่ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา ก็มีผู้ชายนุ่งจูงกระเบนด้วยผ้าสีแดง จะมาเอาตัวเขาไป ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้ หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งจูงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วย ๆ หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็หายไป

    หลวงปู่ถามเขาอีกว่า ไหนล่ะร่างแก เขาพยายามมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียงๆ หนึ่ง แล้วถามว่า นั่นใช่แกไหมล่ะ เขาเห็นแล้วก็จำได้ กราบเรียนท่านว่า ใช่ครับ จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก จึงได้มารู้ว่าที่แท้ หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือหลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง

    พระ สายหยุดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เสียดายที่ไม่รู้รายละเอียดของเด็กหนุ่มผู้นั้น ทราบเพียงคร่าว ๆ ว่าเขาเป็นคนอำเภอภาชี ประกอบกับท่านก็ยังไม่ได้พบกับลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถชนเด็กหนุ่ม นั้นอีก แต่ก็แปลกที่เรื่องราวของทั้ง ๒ ฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อเป็นเรื่องเดียวกันที่กุฏิของท่าน

    พระสายหยุด เล่าเรื่องนี้ด้วยความปลื้มปีติในพลังเมตตา บารมีของหลวงปู่ที่แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังคงรับทราบและช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์และสัตว์โลกที่ประสบทุกข์ทั้งหลาย

    หลายๆท่านคงยังจำได้หลวงปู่ฯเคย บอกกับลูกศิษย์เอาไว้ว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆ แกจำไว้และหลวงตาม้า ยังได้กล่าวเอาไว้ เมื่อตอบคำถามลูกศิษย์ที่ กทม. ว่า รูปของหลวงปู่มีชีวิต พูดคุยได้ทุกเรื่อง พลังแสง สี เสียง ของหลวงปู่ยังปรากฏชัดบริบูรณ์ แม้กายสังขารของหลวงปู่ไม่มีแล้วก็ตาม สัจจธรรมในมิติพลังงานต่างๆของหลวงปู่ดู่ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มข้างต้นนั้น เป้นเครื่องยืนยัน คำพูด ของหลวงปู่ได้เป็นอย่างดี ไม่มีมิติกาลเวลา มาทำให้จางหายไปแต่อย่างใด และแม้ไอน์สไตน์ ก้ได้ยืนยันไว้ว่าพลังงานไม่ได้สูญหายไปไหน ตรงกันข้ามเมื่อหลวงปู่ไม่มีกายเนื้อกลับทำให้หลวงปู่ทำภารกิจต่างๆ ได้คล่องตัวกว่าด้วยซ้ำไป

    ขอบคุณข้อมูล: http://www.ainews1.com/article513.html>

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _46_721.jpg
      _46_721.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.2 KB
      เปิดดู:
      23,375
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  10. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ฉลาดใช้อุเบกขาธรรม โดยหลวงปู่ดู่

    [​IMG]

    ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักพรหมวิหารธรรม กันเป็นอย่างดี ส่วนวิธีการใช้คุณธรรม แต่ละอย่าง อาจไม่ส่งผลดีต่อตัวผู้ใช้ ทั้งๆที่มีเจตนาดีก็ตาม พลอยได้รับโทษทุกข์ป่นปี้ไปด้วยก็ได้ หากใช้ เมตตา ก็ดี สงสารก็ดี มุทิตาจิตก็ดี ไม่ถูกกาละเทศะ และชอบด้วยคุณธรรม
    ถ้าหากใช้ผิดที่ผิดทางแล้ว จะเกิดผลเสียหายอย่างใด ลองแวะมาพิจารณาเหตุผลที่หลวงปู่ดู่ นำมาวิเคราะห์ อย่างลึกซึ้งให้แก่ผู้รับฟัง ดังนี้ :

    ทรรศนะต่างกัน

    การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้า ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า

    ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนัก หรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง

    อุเบกขาธรรม
    การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มากๆ โดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า ให้ ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อ แล้วเขาเป็นคนจุดไฟ บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาพาตกเหว


    หลวงปู่ได้ยกอุทาหรณ์ สอนต่อว่า
    เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่หนึ่งมีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่สองมีกรุณามาช่วยดึงอีก ก็ตกลงเหวอีก คนที่สามมีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่สี่สุดท้ายเป็นผู้มีอุเบกขาธรรม เห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่ จะช่วย ก็มิได้ทำประการใดทั้งๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตาม เพราะ อุเบกขาธรรมนี้แล

    เป็นอย่างไรครับ การวิเคราะห์พิจารณาธรรม ของหลวงปู่ ชัดเจนลึกซึ้ง ทั้งนี้หลวงปู่ต้องการเสริมสร้างสติปัญญา ในการใช้พรหมวิหาร 4 ให้แก่ลูกหลาน จะได้ไม่พลาด มีเจตนาดี แต่กลับต้องได้รับทุกข์โทษไปด้วย ถ้าหากเรายังมีสติสัมปชัญญะ ไม่รวดเร็วทันกับเหตุการณ์ แต่เราได้สร้างสติปัญญา จากหลวงปู่ดู่ เอาไว้ล่วงหน้า ในอนาคต หรือเวลาหนึ่งเวลาใด มีเหตุการณ์มาปรากฏตรงหน้า ในขณะนั้น เราจะบริหารจัดการช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังได้รับทุกข์ได้ถูกวิธี


    เกี่ยวกับการช่วยเหลือคนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ บนถนนหนทาง ในประเทศอิรัก กฏหมายของประเทศนี้จะห้ามมิให้ผู้ประสบเหตุที่มิใช่เจ้าหน้าที่เข้าไปทำการช่วยเหลือโดยเด็ดขาด สิ่งที่จะทำได้คือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงโดยเร็วที่สุด ให้ส่งเจ้าหน้าที่จำเพาะรู้วิธีช่วยเหลือผู้ป่วย มิให้ต้องได้รับการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น หากได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมมฝึกฝนมาก่อน และกฏหมายแบบในอิรัก ก็ยังใช้บังคับ กับในหลายๆประเทศ เมื่อชาวไทยเดินทางไปประเทศไหน ก็ลองศึกษากฏหมายของรัฐฯนั้นๆเอาไว้ด้วยก็ดี อาจแตกต่างจากประเทศของเราโดยสิ้นเชิง


    ขอบคุณข้อมูล: [http://www.ainews1.com/article511.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงตาม้าสอนอธิฐานในตอนเช้า และตอน 2 ทุ่ม ทุกวัน


    [​IMG]


    เริ่มต้นด้วยการสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิทันทีที่รู้สึกตัวตื่น จากนั้น ลุกขึ้นล้างหน้า และตั้งจิตสวดบทพระคาถามหา จักรพรรดิในตอนเช้า 1,3, 9 จบ หรือจะสวดตามกำลังวันก็ได้ หลังจากสวดเสร็จแล้วให้อธิษฐานแผ่บุญก่อน แล้วสัพเพฯ ไป 5 รอบ เวลาสัพเพฯ ให้นึกถึงคนที่เราต้องการจะแผ่บุญไปให้ครบ หากมีมาก จะสัพเพฯ มากกว่า 5 รอบก็ได้ หรือให้นึกภาพรวมของกลุ่มที่เราต้องการจะแผ่บุญไป อย่างเช่นเรานึกถึงแผนที่ประเทศไทย ก็จะได้ทั้งหมด แม้แต่เทวดาก็จะได้ด้วย จากนั้นให้อธิษฐานรวมบุญดังนี้

    (ก่อนเริ่มต้น...ให้หายใจเข้าลึกๆแล้วกลั้นไว้ 2-3 วินาที แล้วผ่อนลมหายใจออกจนหมดท้องแฟบ กลั้นไว้ แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ท้องป่องกลั้นไว้ ทำซัก 3 รอบ รอบที่ 4 หายใจเข้า พร้อมกับนึกเห็นไมโครชิพ ขนาดเท่าปลายเข็มหมุดที่ด้านท้ายทอย กลั้นไว้แล้วหายใจออกจนหมด แล้วหายใจเข้า เปล่งเสียงว่าจะสวดคาถามหาจักรพรรดิ แผ่กุศลและอธิษฐานจิตในเรื่องต่างๆให้หูเราได้ยิน แล้วจึงเริ่มต้นสวดพระคาถา และอธิษฐานในเรื่องต่างๆ)

    ...ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อชาติ ศาสนา ราชบัลลังก์ หมู่คณะ สัตว์ และมนุษย์ทั้งหมดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐานขอบารมีกำลังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ ถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ขอบารมีพระแก้วแดง พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ขอบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่เป็นที่สุด

    ขอได้โปรดเมตตารวมบุญบารมีที่ข้าพเจ้าเคยสะสม เคยอบรมมา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันชาติ ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา และทศบารมี เพื่อนำกำลังนี้มาใช้เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน...(อธิษฐานเอาตามปรารถนา)....เป็นประโยชน์กับชาติ พุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์

    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวล แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหมดมั้งมวล หลวงปู่ทวด หลวงปู้ดู่ พระศรีสยามเทวาธิราช หลวงตาม้า ผู้สวดคาถามหาจักรพรรดิทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตเทอญ

    ข้าพเจ้าขออธิษฐาน ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาสถิตย์เหนือเศียรเกล้าของข้าพเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่อยู่เบื้องซ้ายและขวา เสมือนข้าพเจ้าสวดพระคาถามหาจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลา ขอให้กายทิพย์ของข้าพเจ้าสวดพระคาถามหาจักรพรรดิตลอดเวลา และขอทุกลมหายใจเข้าออกของข้าพเจ้า เป็นการสัพเพฯ แผ่กุศลผลบุญไปทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุอย่างไม่มีประมาณ แผ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร และผู้เกี่ยวข้องทุกลมหายใจด้วยเทอญ

    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีหลวงปู่ดู่ สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย และใจ ขอข้าพเจ้ารู้ได้ตามสภาพความเป็นจริง

    ขอให้ข้าพเจ้าพบแต่ความดีตลอดไป ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเกิด ณ ที่แห่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ขอความขัดข้อง ความไม่มี อย่าได้เกิดกับข้าพเจ้าอีกเลย นับตั้งแต่บัดนี้ ตราบจนข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    ข้าพเจ้าขออธิษฐานต่อองค์พระศรีสยามเทวาธิราช โปรดเมตตาขจัดปัดเป่าปัญหาและอุปสรรคในชีวิตข้าพเจ้าให้หมดสิ้นไป

    ขออธิษฐานต่อองค์พระอุปคุต โปรดเมตตาช่วยให้การงาน การเงินของข้าพเจ้ามีความคล่องตัว ไม่มีอุปสรรคใดๆ

    ขออธิษฐานต่อองค์พระกาฬ โปรดเมตตาเลื่อนเวลาแห่งความดีงาม ความสำเร็จทั้งในทางโลกและทางธรรม เข้ามาสู่ชีวิตข้าพเจ้าโดยพลัน เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อชาติ พุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป...'

    สัพเพฯ 5 รอบ หรือมากกว่า เวลาสัพเพฯ ให้นึกถึงธุรกิจการงานต่างๆ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีมาก ให้นึกถึงภาพรวม

    'การสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิคือการชาร์จพลังงาน การสัพเพฯ คือการแผ่กระจายพลังงานออกไป'

    จากนั้นให้อธิษฐานขอหลวงปู่ท่านอีกครั้ง ขอท่านตรงๆ ง่ายๆ แต่ต้องขอในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และอธิษฐานว่า '...ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีหลวงปู่ดู่ ด้วยกำลังแห่งพระมหาจักรพรรดิ ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานนี้ สำเร็จเป็นจริงโดยฉับพลันทันใจทุกประการ ด้วยอิมังสัจจะวาจังอธิษฐามิ พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ...'

    <O:p</O:p
    การสร้างบุญกุศลของลูกๆต่อพระอรหันต์ภายในบ้าน

    อานิสงส์ที่ลูกๆทั้งหลาย เสียสละรายได้ส่วนหนึ่ง ให้แก่พ่อแม่ในทุกๆเดือน เป็นประจำนั้น เสมือนได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ภายในบ้านทุกๆวัน อานิสงส์ของบุญกุศล ที่เกิดกับลูกๆทุกๆวัน สามารถน้อมนำนึกถึงทุกๆวัน และนำพลังงานบุญส่วนนี้มาใช้ให้เกิดเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ร่วมในการอธิษฐานประจำวัน ที่หลวงตาม้า ได้สอนไว้ ทำให้ชีวิตของลูกๆเจริญงอกงามไพบูลย์ ยิ่งๆขึ้นไป พร้อมด้วยการตั้งใจอยู่ในศีล 5 อยู่เป็นนิจ เป็นธรรมชาติของทุกๆชีวิต มนุษย์ทั่วไป จะมีความปรกติสุข อยู่ได้ทุกๆวัน เนื่องมาจากพลังงานของบุญเก่าและบุญใหม่ที่หมั่นสร้างขึ้นต่อเนื่อง

    ส่วนมนุษย์อีกประเภทหนึ่ง จะเน้นที่การสร้างบุญกุศล จากการรักษาศีลเป็นปรกติ และภาวนา อันนี้เป็นขั้นต้นของการบำเพ็ญไปสู่ภาวะจิตเดิม ที่เรียกว่า 'ทาง' หรือ 'มรรค' เป็นภาวะของวิมุติ และเพียรรักษา ทางของตน ให้โล่งเตียนอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนเข้าถึงมรรค ที่สมบูรณ์ ประหารพลังงานที่เป็นอนุสัยกิเลสจนหมดสิ้น สิ้นสุดแล้วซึ่งอวิชชา 8 ประการ ถึงที่สุดของวิชาในพระพุทธศาสนา

    ส่วนปุถุชนคนทั่วไป ยังต้องอาศัยพลังงานบุญหล่อเลี้ยงชีวิต ให้เป็นปรกติสุข เป็นเกราะกำบังภัยอันตรายรอบด้านอยู่ตลอดเวลา เป็นเครื่องอยู่ของผู้ที่ไม่ประมาท

    ขอบคุณข้อมูล: [http://www.ainews1.com/article404.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.9.jpg
      3.9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.1 KB
      เปิดดู:
      14,058
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  12. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    วิชาครอบดวงแก้วกันสารพัดรังสีของหลวงปู่

    [​IMG]


    การอธิษฐาน ครอบดวงแก้ว หรือครอบวิมานให้แก่บ้าน (เพื่อป้องกันรังสี ทั้งบ้าน ในกรณีเกิดภาวะสงครามที่มีการใช้กัมมันตรังสี..ปัจจุบันมีการแพร่รังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่นับวันจะเกิดเหตุการณ์อย่างที่ฟูกูชิม่ามากขึ้นทั่วโลก หลังจากประสบแผ่นดินไหวรุนแรง ที่กัมมันตรังสีนิวเคลียร์จะแพร่ไปในอากาศด้วยกระแสลม และลงสู่น้ำอย่างรวดเร็ว ปกคลุมโลกในส่วนต่างๆ

    หลักการทำน้ำมนต์

    หลวงปู่ดู่ ท่านมองการณ์ไกลมาช้านานแล้ว ในเรื่องนี้ พระท่านหรือพระที่สร้างด้วยสูตรของท่าน จะกันรังสีได้ทุกองค์ (เฉกเช่นเดียวกับพระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำในยุคหลัง ๆ) สำหรับผู้ที่คล้องบูชา แต่หากต้องการให้ครอบคลุมทั้งบ้านประดุจมีดวงแก้วครอบบ้านทั้ง 6 ทิศ คือซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ควรอัญเชิญพระไว้ที่บ้าน 1 องค์ แล้วทำการอธิษฐานตามแบบอย่างข้างล่าง

    วิธีการ

    ๑. ให้อัญเชิญพระกำลังพระจักรพรรดิ หรือพระที่สร้างด้วยสูตรหลวงปู่ดู่มาอธิษฐานทำน้ำมนต์ โดยควรเลือกเวลา 20.30 น. เพราะต้องอาศัยกำลังใหญ่

    ๒. ให้ตั้งจิตอธิษฐานทำน้ำมนต์โดยนำพระแช่ในภาชนะอันควร อาจจะเป็นขันน้ำมนต์ก็ได้ ตามร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ราคาไม่แพงนักประมาณ 50-60 บาท โดยควรแช่พระไว้เช่นนั้นตลอด เพื่อจะได้เป็นหัวเชื้อน้ำมนต์ สำหรับใช้ในการอื่นๆ ได้อีก

    ๓. นำขันน้ำมนต์ที่แช่พระอยู่ ตั้งไว้ในที่อันควร ตั้งจิตดีๆ นึกน้อมถึงหลวงปู่ดู่ (นโมโพธิสัตว์โต พรหมปัญโญ) และกล่าวคำอธิษฐานตามตัวอย่าง

    ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าขอถวายแล้วซึ่งร่างกาย ดวงวิญญาณ ถวายแล้วซึ่งขันธ์ทั้ง ๕ กอง (มอบกายถวายตัวรับใช้ เข้าถึงพระไตรสรณคมณ์) เพื่อบูชาคุณแก่องค์พระตถาคตทศพล ขอบารมีแห่งพระองค์นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต จงสถิตย์อยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้าทุกวันคืน ทั้งยามหลับ ยามตื่น ยามยืน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว .....(อัญเชิญพระ)

    ขอขมาพระรัตนตรัย ตัดเวร

    โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    (การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป)

    โยโทโส โมหะจิตเต นะธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    (การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระธรรมเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป)

    โยโทโส โมหะจิตเต นะสังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ

    (การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระสงฆ์เจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวคำขอขมา เพื่อการบาปกรรมทั้งหลายทั้งปวงจงสูญสิ้นไป)

    ขอเดชะ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีกรรมอันใดอันข้าพเจ้า ล่วงเกินกระทำแล้วในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งรู้ตัวก็ดี มิรู้ตัวก็ดี โดยเจตนาก็ดี มิเจตนาก็ดี ทั้งชาตินี้ก็ดี ทั้งอดีตชาตินับอสงไขยมิถ้วนก็ดี กรรมอันใดเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งไป ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงโปรดละซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการปราศจากเวรภัยแก่ตัวข้าพเจ้า และเพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป

    อธิษฐาน ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการปกป้อง ขจัด ทำลาย รังสีและพลังงานอันไม่ดีทั้งปวง ที่เข้ามาในอาณาบริเวณเขตน้ำมนต์แห่งนี้ ให้เกิดเป็นปราการแก้วคุ้มครองเจ็ดชั้น ทั้ง 6 ทิศ คือเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน และเบื้องล่าง ให้กระแสเย็นแห่งน้ำมนต์นี้จงเปล่งออกไปเป็นรัศมีเรืองรอง คุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุมบ้านทั้งหลังของข้าพเจ้านี้ ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนี้ จงร่มเย็นปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด

    ๔. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

    (ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกับแสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังน้ำที่เราเราจัดเตรียมไว้ จากนั้นน้ำนั้นจะเปล่งรังสีออกทองหรือรุ้งครอบบ้านไว้ บางทีจะดูเหมือนพระอาทิตย์ทรงกลดครอบบ้านทั้งหลังเอาไว้ )

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ


    ๕. สวดมนต์ตาม ตำรับหลวงปู่ดู่

    ๖. ให้อธิษฐานซ้ำอีกครั้งตามข้อ ๓ และข้อ ๔

    ๗. จากนั้นให้นำน้ำไปรดรอบบ้านอีกรอบ เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกครั้ง แล้วนำน้ำมนต์นั้นไปตั้งไว้ในที่อันควร เพื่อใช้ในการต่างๆอีก และคอยหมั่นเติมน้ำอย่าให้แห้ง เป็นอันเสร็จ ส่วนพระก็แช่เป็นประธานป้องกันรังสีของบ้านไว้อย่างนั้น จะเป็นการดีครับ

    การครอบวิมานให้แก่คน สัตว์ วิญญาน ลักษณะ สำหรับผู้ที่ได้แล้วนั้น จะกำหนดกำลังบุญทรงวิชาคาถาจักรพรรดิอาราธนากำลัง หลวงปู่ดู่เป็นที่สุด กำหนดเป็นวิมานทิพย์ครอบลงไป คนสัตว์หรือวิญญานได้

    ในกรณีที่ เป็น สัตว์ หรือ คน เพราะยังมีธาตุขันธ์อยู่ จึงเป็นการครอบวิมานเอาไว้เฉยๆ ตราบใดที่สัตว์ หรือ คนๆนั้นตายไป จิตตอนตายเป็นจิตที่อ่อนมาก พอไม่รู้จะไปไหนเขาเห็นวิมานที่เราครอบให้เขาโดยการกำหนดจิตของเราใช้กำลัง จักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ เขาตามแสงนั้นไป ก็สามารถไปสู่สุขติภูมิได้

    แม้กระนั้น หากเขายังมีชีวิตอยู่ เราครอบวิมานให้เขาเรื่อยๆทุกวันๆจะเป็นการปรับทั้งกาย และใจเขาให้ดียิ่งๆขึ้น ส่วนในกรณีที่เป็นวิญญานการครอบวิมานจะให้ผลทันที โปรดดูเพิ่มเติมที่ อธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ หรือป้องกันวิญญาณขั้นสูง (เป็นการปิดทองหลังพระให้แก่ผู้ที่เราหวังดี)

    สำหรับผู้ที่เข้าใจวิชา และตรวจสอบวิชาเป็น คืออย่างน้อย สามารถครอบวิมานได้ มีความคล่องดี จะเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น

    เป็นวิชชาทางอภิญญาจิต ผู้ที่มีศรัทธาถึงหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ก็จะสงเคราะห์ให้ ตัวเราเป็นเพียงผู้ดำริการเท่านั้น เป็นประโยชน์ทั้งผู้อยู่ภายใน และสรรพสัตว์วิญญาณที่ผ่านมาเห็นเข้าได้โมทนาบุญ ส่วนบางจำพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมากหน่อย ก็ต้องเห็นบ่อยๆ หรือเห็นผลดีจากพวกอื่นๆเขามีมิติที่ดีขึ้น ตนเองก็ต้องการบ้าง เป็นธรรมดาของบัว 4 เหล่า อย่าไปคิดมากเลย ทำให้แล้วก็วางอุเบกขา

    ขอบคุณข้อมูล: [http://www.ainews1.com/article526.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.8.jpg
      3.8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.1 KB
      เปิดดู:
      15,472
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  13. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ที่มาของคาถาจักรพรรดิ

    [​IMG]


    โดย พี่สิทธิ์..

    หลังจากที่ผู้ เขียนสอบสัมภาษณ์ปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมานมัสการหลวงพ่อพร้อมกับรายงานผลเนื่องจากก่อนจะสอบ ผู้เขียนได้ขอบารมีหลวงพ่อดู่ให้ช่วยเหลือ ท่านพยักหน้ารับ ซึ่งในวันนั้นหลวงพ่อมีอารมรณ์แจ่มใสมาก ท่านพูดว่า

    "ข้า อธิษฐานบารมีพระ แผ่บุญกุศลไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาแกนั่นแหละ เอาบุญให้เขา เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา สามคนข้ารู้ชื่อแต่อีกคนไม่รู้ เลยขอให้สามคนถาม อีกคนคอยนั่งฟัง"

    ซึ่งก็เป็นจริงดังที่หลวงพ่อพูดไว้ ผู้เขียนได้สนทนากับท่านจนถึงเรื่อง 'คาถามหาจักรพรรดิ'

    ผู้เขียน "หลวงพ่อเป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ คาถามหาจักรพรรดิ ใช่มั้ยครับ"

    หลวงพ่อ "สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระก็เลยมานึกเอา เอง มันจะผิดอยู่หน่อยหนึ่งตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ แล้วก็ ยะธาพุทโมนะ หรือแกว่าไง"

    ผู้เขียน "ปกติ การตั้งองค์พระ การอธิษฐานให้เป็นพระ โบราณเขาใช้กันว่า นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังการที่หลวงพ่อกล่าวเช่นนี้ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหา จักรพรรดิใช่ไหมครับ"

    หลวงพ่อพยักหน้ารับพร้อมทั้งกล่าวว่า



    [​IMG]

    <O:p</O:p
    "คาถา บทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอกเพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสิวลีผู้เป็นเลิศทางลาภไว้ด้วย อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้น*

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆจะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติเสียก่อน ดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีใช้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหมของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี"

    หลวงพ่อหัวเราะ แล้วเสริมอีกว่า

    "คนเราต้องทำให้ดีเมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก

    ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"

    (ขอไขความลับตรงนี้นิดหนึ่ง ในคำสั่งที่หลวงปู่ดู่ท่านย้ำเอาไว้นั้น ต่อมาภายหลังมีลูกศิษย์นำไปสวด แล้วเห็นว่ากายทิพย์ทรงเครื่องเป็นมหาจักรพรรดิ และมีพลังงานขับเคลื่อนเป็นพิเศษทำนองนั้น จึงได้นำมากราบเรียนถามหลวงตาม้าในโอกาสที่หลวงตาลงมา กทม. วันหนึ่ง หลวงตาจึงไขความลับให้ฟังทั่วกันว่า ขณะที่สวดคาถามหาจักรพรรดินั้น ถ้าเทวดาผ่านมาก็จะเห็น หนู หมา แมว ก็สามารถเห็นมิตินี้ได้เช่นกัน

    ทุกอย่างที่หลวงปูตั้งใจรวบรวมเอาไว้ในพระคาถา ดังคำแปลที่หลวงตาได้แปลเอาไว้ จะมาปรากฏที่กายพลังงานของผู้สวดตลอดเวลาที่กำลังสวด ที่หลวงตาเรียกว่าจิตทำการบันทึกบุญเอาไว้ตลอดเวลา หรือหลังจากสวดแล้ว เจ้าตัวสามารถทรงอารมณ์นั้นเอาไว้ได้ กายพลังงานก็จะมีพลังงานต่างๆในพระคาถาปรากฏอยู่ พลังงานในพระคาถาเป็นอย่างนี้เอง หลวงปู่ดู่จึงได้เน้นย้ำเอาไว้ ให้ลูกหลานหมั่นสวดเป็นประจำ จะกินจะดื่ม จะอาบน้ำก็ดี หรือนึกขึ้นได้เมื่อใดสวดเมื่อนั้น ด้วยเกิดพลังงานบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่มหาศาล

    ที่หลวงปู่ไม่ได้แจงรายละเอียด รอเวลาเมื่อสิ่งเหล่านี้ได้มาปรากฏในผู้สวดแล้ว จึงนำมาถามถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนว่าเป็นสิ่งไรกันแน่....เป็นการพิสูจน์คุณวิเศษของพระคาถาที่มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ผู้ที่สวดช่วยทำให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ในที่สุด หลวงปู่ท่านพูดน้อยแต่แฝงเอาไว้ด้วยนัยแห่งคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่)

    หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังถึงการปลุกเสก หรือ อธิษฐานวัตถุมงคลของท่านว่า

    "นอกจากการมีพลังจิตแล้ว ที่ท่านใช้อยู่เสมอคือ บทสวดมนต์เจ็ดตำนาน"

    ท่านบอกว่า ดีกว่าคาถาอาคมมากมายนักเพราะเป็นเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชา บทที่ท่านทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี หรือที่เรียกว่า "ชมพูบดีสูตร" ซึ่งแสดงถึงอำนาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง แสดงถึง ธรรมที่ชนะอธรรมท่านเรียกบทนี้ว่า "มหาจักรพรรดิ" พญาชมพูบดีเป็นจักพรรดิ์มีอิทธิฤทธิ์มากแต่พ่ายแพ้ต่อบุญฤทธิ์

    ในที่สุดอุปสมบทได้สำเร็จอรหันตผล หลวงพ่อท่านกล่าวว่า

    "ข้าเป็นคนโลภมากทำอะไรก็อยากทำให้มากที่สุด ดีที่สุด เดี๋ยวนี้ใช้แค่บทนี้ทั้งนั้น

    ใครมานั่งคุมเล่าข้าเสกเขาก็รู้เองแหละว่าทำจริงหรือไม่จริง"

    ท่านเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นพระ ต่อมาท่านไม่มาหาหลวงพ่ออีกเนื่องจากหลวงพ่อพูดว่า "ยังไม่ไปนิพพานเพราะต้องโปรดคน" แต่พระองค์นี้ไปตีความไปว่าหลวงพ่อยังติดอยู่กับ ลาภยศ ชื่อเสียง ซึ่งความจริงแล้วหลวงพ่อมีเมตตาและบอกความปราถนาของท่านให้ทราบว่าท่านเป็น พระโพธิสัตว์

    ผู้เขียนคัดลอกเกี่ยวกับบท ชมพูบดีสูตร หรือบทมหาจักรพรรดิ์มาลงไว้เนื่องจากปัจจุบันขาดผู้สนใจ เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล แม้แต่พระบางองค์ท่านยังกล่าวว่าเกินความจริง โดยท่านลืมนึกถึงคำว่า "อจินไตย" คือสิ่งไม่ควรคิดเพราะไม่สามารถนำเหตุผลทางโลกหรือทางทฤษฎีมาทำให้เกิดความ กระจ่างได้ เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เอง ถ้าคิดมากอาจเป็นบ้า สิ่งเหล่านี้ได้แก่

    1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ทำไมท่านถึงตรัสรู้ได้ ท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์จริงหรือ

    2.วิสัยของกรรม เช่น ทำไมคนนั้นคนนี้รวย จน สมบูรณ์ กำพร้า

    3.วิสัยของพระอรหันต์ เช่น ท่านหมดโลภ โกรธ หลงหรือ

    4.วิสัยของโลก เช่น โลกเกิดมาได้อย่างไร

    5.วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น ลักษณะที่สงบเป็นอย่างไร สงบจริงหรือไม่

    ท่าน ผู้อ่านทั้งหลายลองคิดดู พระเจ้าแผ่นดินที่เกิดมาภายใต้เศวต ฉัตร ถ้าพระองค์ไม่มีบุญญาธิการแล้ว ท่านจะเป็นได้อย่างไรเพราะคนไทยมีเป็นตั้งหลายสิบล้านคน นั่นแสดงถึงวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลไม่เท่าเทียมกัน มีเหตุปัจจัยจากสิ่งที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาแตกต่างกัน โดนเฉพาะอย่างยิ่งบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีมากขนาดไหน จึงสามารถโปรดคนได้มากมายทั้งสามแดนโลกธาตุ


    บทสวดมหาจักรพรรดิ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    (ตั้ง3 จบในครั้งแรกภาวนารอบต่อไปไม่ต้องตั้งก็ได้)

    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะ มหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

    อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดา ประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร

    และหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน

    หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา

    คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

    หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าว

    จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

    ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

    *******************************************************************

    พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

    พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างไสวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วยบุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึงด้วย)

    ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย

    บรรดาลูกหลานที่เคารพศรัทธาหลวงปู่ดู่ เมื่อได้น้อมกราบที่ภาพหลวงปู่ฯแล้ว ให้ใช้จิตน้อมเอาแสงสว่างที่ ตรงกลางทรวงอกหลวงปู่ฯ เข้าสู่ไมโครชิพของตัวเรา ขอถ่ายทอดบุญบารมีที่หลวงปู่ฯได้บำเพ็ญมาแสนยาวนานยิ่งนัก เข้าไปเพิ่มความสว่างให้แก่ทุกๆเซลล์ทั่วร่างกายของเราทุกๆวัน รวมทั้งน้ำในร่างกายทุกๆอณู น้ำสามารถบันทึกความจำหรือพลังงานบุญกุศลได้มากมาย เมื่อตัวเราและจิตใจ แมโครชิพ อุดมด้วยทรัพยากรดีงามแล้ว ย่อมอธิษฐานจิตหรือตั้งเป้าในเรื่องใดๆให้สำเร็จก็จะสะดวกดายยิ่งขึ้น

    การคิดการนึกถึงหลวงปู่หลวงตา ถึงคาถามหาจักรพรรดิ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ไม่ต่างจากเรากำลังเปิดเครื่องเชื่อมต่อระบบของเราเข้ากับหลวงปู่ พระไตรสรณาคมน์ และพลังอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่ออกจากวาจาของเรา นำพลังงานอันมีคุณค่าสูงส่งมหาศาลมาสู่ระบบของเราหรือ ไมโครชิพ และจิตใจของเราในทางลัด ที่หลวงปู่และทุกๆท่านทุกๆพระองค์ได้สร้างสะสมมาเป็นเวลานาน

    ส่วนที่เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว ก็ไม่ได้นำพลังงานบุญติดไปกับท่าน ยังคงละเอาไว้ในจักรวาล พร้อมแสงสีเสียง เมื่อเราวางจิตได้เหมาะสมแล้ว จึงสามารถเข้าไปสัมผัสพลังงานอันทรงคุณค่าเหล่านั้นได้ นำมาสร้างคุณประโยชน์แก่เราทั้งทางโลก ทางธรรม ตามที่ปรารถนา หากเรามีเครื่อง ซีพียู ขนาดใหญ่ดีอย่างไรก็ตาม ไม่ได้เปิดใช้ ก็หาทำประโยชน์อันใดได้ไม่ เช่นเดียวกันที่เราหมั่นท่องบ่นคาถามหาจักรพรรดิ และมอบจิตของเราเอาไว้กับหลวงปู่ ช่วยนำพาให้เราเดินทางลัดในช่วงชีวิตที่มีโชคลาภได้มาพบหลวงปู่นั่นเอง

    แล้ว ทำไมต้องขอพลังงานจากหลวงปู่ฯทุกวัน... ตลอดวันที่เราใช้ชีวิต ต้องเผชิญสิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากมาย ถึงแม้ว่าเรามีน้ำสะอาดอยู่ก็ตามตราบใดที่ยังเป็นโลกียะทรัพย์อยู่ ย่อมถูกปนเปื้อนน้ำสกปรกได้อยู่เสมอ เราจึงต้องหมั่นเติมน้ำสะอาด หรือเติมบุญบารมีที่ขอจากหลวงปู่ฯทุกๆวันนั่นเอง..ถึงบางอ้อแล้วซินะ

    หลวงปู่ดู่ เคยให้อุบายธรรมแก่ลูกศิษย์ที่มาปรารภว่า นั่งไม่ค่อยสงบ หลวงปู่กล่าวว่า 'ในเวลากลางวัน หรือเวลาใดก็ตามให้ภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ให้ทำตลอดเวลา ถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่าพยายามเกลี่ยจิตให้เข้าที่ ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน'

    ส่วนท่านที่ได้พบ 'ทาง' ของตนหรือ มรรค แล้ว ก็สามารถนำแนวทางของหลวงปู่มาใช้ได้เช่นเดียวกัน จะต่างไปก็เพียง กำหนดให้จิตอยู่ในสภาวะจิตเดิม ในสภาพอารมณ์เดิม เช่นครั้งที่พบทาง ใหม่ๆอยู่อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง เมื่อสบโอกาสเมื่อไร ก็สามารถแช่คันเร่งได้เต็มที่ทันที ตราบใดที่ยังต้องทำภารกิจอื่นอยู่ ก็ต้องหมั่นระลึกถึงอุบายธรรมของหลวงปู่ในการปฏิบัติจนกว่าจะได้ดี

    เป็นบทสวดที่เรียบเรียงมาจาก“ชมพู ปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตรพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิ มานะของพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่แต่งพระคาถาบทนี้คือหลวงปู่ดู่พรหม ปัญโญ คาถาจักรพรรดิ บทนี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่ช่วยเหลือภพภูมิและ ใช้ในการอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั้งสามแดนโลกธาตุ แผ่บุญไปทั่วถึงสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูง ครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรบทสวดพระมหาจักรพรรดินี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้า ทั่วทั้งหมดตลอดจนถึงพระธรรมและพระโพธิสัตว์เจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งมวล รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยะเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิทุกพระองค์ พระมหาโพธิสัตว์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต มาอารธนารวมเข้าที่กายใจอัญเชิญเข้าตัวป้องกันภัยมีการกล่าวถึงพระสีวลีเป็น มหาโชคมหาลาภและบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญกรรมฐาน

    หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวที่ขัดข้องให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่งทุกวัน ในเวลา ๒๐.๓๐ น.หลวงตาม้า(ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่)และศิษย์ทั้งหมดจะ ร่วมสวดมนต์บทนี้ เพราะเป็นช่วงที่เปิดทั้งสามโลกธาตุให้สื่อถึงกันได้หมด เทพพรหมทั่วแสนโกฏิ จักรวาล จะร่วมกันสวดบทนี้ ในช่วงนี้แม้แต่ไฟนรกก็ดับชั่วคราว....(ศิษย์หลวงตาม้า)

    ขอบคุณข้อมูล : [http://www.ainews1.com/article312.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  14. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เมื่อคืนนั่งดู youtube เกี่ยวกับสาระคดีของถ้ำเมืองนะ และหลวงตาม้าอยู่ ก็ได้ความรู้มาเยอะเลย เช่น สวดบทพระจักรพรรดิ์แล้ว อย่าคิดไม่ดีกับใคร เกิดคนนั้นเป็นอะไรไป กรรมจะย้อนมาหาเราแรง และ การสวด สัพเพ (เชิญพระเข้าตัว หรือ แผ่เมตตา) สวด 3 ครั้ง ช่วงที่สวดก็นึกถึงบุคคลที่เราต้องการแผ่ไปถึง.. และยังมีอีกเยอะเลยค่ะ
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ สาธุ
     
  15. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    สุดยอดแห่งกำลังใจจากคำพูดของหลวงปู่ดู่ถึงศิษย์ทุกคน

    [​IMG]

    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก

    ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้

    ผู้ใดที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า
    เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เป็นลูกเป็นหลานสร้างบุญกุศลมากับข้ามา
    แม้ในชาตินี้ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า

    แต่พอพบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้า แล้วเกิดศรัทธา
    คนผู้นั้นแหละเคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า
    เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เป็นลูกเป็นหลานของข้า

    "ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้า
    ...ที่ไม่เจ็บปวดเลย
    ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้องไอซียูไปนานแล้ว"

    แต่หลวงปู่ก็ยังโปรดศิษย์จนวันสุดท้าย....

    ทุกวันนี้ แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก อยู่แล้ว
    ข้าอยู่กับแกตลอด
    หลวงตาม้าเขาก็ยังอยู่
    แกอยู่กับเขา ก็เหมือนแกอยู่กับข้า
    พระหรืออะไรที่เขาทำ ก็เหมือนกับข้าทำ
    เพราะข้าอยู่ด้วยตลอด
    หมั่นภาวนาและปฏิบัติต่อไป

    "ข้าไม่มีศิษย์เอก ไม่มีคนโปรด
    ข้ารักศิษย์ทุกคนเหมือนกันหมด
    ข้าอยู่กับทุกคน และช่วยเหลือเหมือนกัน
    อยู่ที่ใครจะเข้าถึงข้าได้หรือไม่
    หมั่นภาวนาเข้าไว้"

    ด้วยกำลังใจจากหลวงปู่ ที่ทุกคนหมั่นระลึกถึงไว้ ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่กำลังมีแฟน ยังไม่ได้แต่งงานกัน คือเห็นหน้าหลวงปู่เป็นประจำ แล้วเร่งภาวนา ให้ไปถึง ทาง ของตน หากจะติดตามหลวงปุ่ไปจนกระทั่งหลวงปู่ถึงรอบมาบำเพ็ญเพียรเพื่อตัสรู้ ก็ควรนำตนเอง ให้ไปถึงทางเป็นทุนเดิมเอาไว้ก่อน หรือภาวนาจนกระทั่งจิตแยกออกจากกาย จะได้รู้จักความทุกข์ และหมั่นระลึกหรือวางอารมณ์ให้อยู่บนทางนั้น ต่อๆไปเพื่อสะสมคลื่นพลังงานความถี่สูง จนไปถึงเชิงสะพาน แล้วแต่ยังไม่ข้ามไป จะรอคอยให้หลวงปู่ลงมาทำความเพียร แล้วมาให้หลวงปู่เทศน์โปรดสั้น ก็จะข้ามพ้นฝั่งไปในสมัยของหลวงปู่ หรือจะข้ามสะพานไปเลยก็ได้

    ส่วนใครจะถนัดใช้วิธีการให้คตนไปถึงทางแบบไหน ก็แล้วแต่ความถนัดของตนในอดีต ลองถามหลวงปู่ให้ช่วยชี้แนะก็ได้ หรือจะใช้มหาสติปัฏฐานสูตร กำหนดรู้เอาไว้ จูนจิตให้อยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่ง บวกและลบทั้งสองด้านก็ได้ รักษาอารมณืตรงกลางนั้นเอาไว้สักพักสะสมพลังงานเอาไว้ให้มากพอ จิตก็จะพลิกออกจากกายให้ปรากฏให้เห็นเอง

    สถานะนั้นจะจำได้ไม่รู้ลืมนั่นก็คือบัดนี้เราได้มาถึงทางของเราแล้ว ซึ่งยังจำเป็นต้องสะสมพลังงานเอาไว้ให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อใช้ประหารอนุศัยยที่จะค่อยๆโผล่หน้ามาให้จัดการ

    ส่วนระหว่างทางจะพบเห็นสิ่งใดบ้างนั้น ให้ท่านที่ถึงทางแล้ว ลองมาต่อยอดที่ลิ้งนี้ หากต้องการไปให้ถึงเชิงสะพานข้ามฝั่ง
    การนำตนเองให้ไปถึงทางก่อน เท่ากับเราจะได้ตุนสะเบียงเอาไว้เดินทางไปพบกับหลวงปู่ ในรอบที่หลวงปู่ถึงวาระมาเกิดเป้นมนุษย์ใหม่ เพื่อทำภารกิจ ที่ตั้งเป้าไว้ให้สัมฤทธิ์ผล เราก็จะสะดวกในการกลับมาเกิดในช่วงเวลานั้นพร้อมๆกับหลวงปู่ จะได้ไม่พลัดพรากกับหลวงปู่

    ขอบคุณข้อมูล : [http://www.ainews1.com/article514.htm]l
    http://www.watthummuangna.com/home/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  16. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้
    เถระอมตะวาจาของหลวงปู่ดู่


    [​IMG]

    หลวงพี่ท่านหนึ่งจากวัดพระราม 9 ได้โพสท์ความประทับจิตประทับใจ กับหลวงปู่ดู่ ดังเนื้อหาต่อไปนี้ :

    เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา อาตมามีความศรัทธาที่จะทำผอบทองคำ เพื่อที่จะบรรจุอัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่แต่มีปัญหาว่าจะหาอัฐิธาตุของหลวงปู่ได้ที่ไหน แล้วก็ไม่ทราบด้วยว่า ใครมีอัฐิธาตุของหลวงปู่ ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวจะขอจากรูปเหมือนของหลวงปู่ หล่อด้วยปูนซีเมนต์ ขนาด ๕ นิ้ว ซึ่งได้มาจากวัดสะแก

    ครั้งแรกที่ได้ไปกราบหลวงปู่ โดยโยมเป็นผู้ถวายให้มา เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ต่อมาเมื่อวัน อาทิตย์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๕๐ อาตมารู้สึกอยากไปวัดสะแก ไปกราบหลวงปู่ และตั้งใจจะไปถวายผ้าไตรจีวร และยารักษาโรคกับหลวงน้าสายหยุด อยากไปกราบท่านเพราะครั้งแรกที่ไป ไม่ได้ไปกราบท่าน อีกใจหนึ่งก็อยากไปขออัฐฐิธาตุหลวงปู่ที่วัด

    แต่ผอบทองคำที่สั่งทำก็ยังไม่เสร็จ ก็เลยคิดว่าจะเอาผอบพลาสติก (ทำจากเรซิน) ไปใส่อัฐฐิธาตุหลวงปู่ก่อน จำได้ว่าออกจากวัดพระราม ๙ ประมาณ ๑๐โมงเช้าโดยมีโยมพี่ชายเป็นคนขับรถให้ มีโยมแม่ พี่สาวและน้องสาวไปด้วย ระหว่างทางได้คุยกับโยมในรถ ว่าได้มีศรัทธาทำผอบทองคำแต่ยังทำไม่เสร็จ ตั้งใจว่าจะเอาผอบทองคำไปบรรจุในเจดีย์ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในอนาคต โดยอยากได้อัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่บรรจุลงในผอบทองคำ แล้วนำไปบรรจุในเจดีย์สืบต่อไป

    ก่อนถึงวัดสะแกแวะฉันภัตหารเพลที่ปั๊มน้ำมันใกล้วัดก่อนเพราะพระที่วัดท่านฉันเพลพอดี ถึงวัดสะแกประมาณ ๑๒.๑๐ นาที แวะกราบหลวงปู่ที่พิพิธภัณฑ์ และถ่ายรูปกับโยมเป็นที่ระลึกแล้วจึงไปที่ศาลา ที่มีพระศรีอริยเมตไตร รูปหล่อหลวงปู่ รูปหล่อหลวงปู่ทวด และเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ อาตมาเดินขึ้นไปบนศาลาเป็นคนแรก ผลักประตูกระจกเข้าไปในศาลา โดยมีโยมแม่ พี่และน้อง ตามหลังเข้ามาห่างๆ

    ในศาลา อาตมากวาดสายตาดูไปรอบๆศาลา มองไปข้างหน้าเป็นรูปพระศรีอริยเมตไตร ทางซ้ายและขวาเป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ ทางด้านขวามือสุดเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ มีพระสงฆ์ ๑ รูปกับโยมผู้ชาย ๓-๔ คนคอยให้ความสะดวกกับผู้ที่ต้องการบูชาวัตถุมงคล ส่วนทางด้านซ้ายมือสุดมีญาติโยมนั่งอยู่ ๓-๔ คนเช่นกัน แต่ในขณะที่อาตมาก้าวเดินเข้าไปในศาลาได้ ๓-๔ ก้าว สายตาของอาตมาก็ไปเห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อลายดอกไม้นุ่งผ้าถุงอายุ ประมาณ ๔๕ปี ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย มองมาที่อาตมา แล้วยิ้มให้เหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง พร้อมกับรีบคลานเข้ามาหาอาตมา

    อาตมารู้สึกว่าโยมผู้หญิงมีอะไรจะคุยด้วย เพราะอากัปกิริยาของโยมผู้หญิงที่กำลังคลานเข้ามาบอกเป็นนัยๆ อาตมาจึงคุกเข่าลงแล้วถามว่า โยมน้ามีอะไรกับอาตมารึเปล่า โยมกราบ ๓ ครั้ง แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้อาตมาต้องตกตะลึงว่า จะเอาพระธาตุมาถวายเจ้าค่ะ พระธาตุๆของใครอาตมาถาม เงียบ โยมน้าไม่ตอบ แต่กับพูดออกมาอีกประโยคหนึ่งซึ่งทำให้อาตมาต้องขนลุกด้วยความปิติว่า พระท่านบอกว่า ถ้ามีพระมาให้เอาพระธาตุถวายท่าน อาตมานิ่งไปชั่วขณะ มือล้วงลงในย่ามหยิบผ้ารับประเคน ออกมารับประเคนพระอัฐฐิธาตุจากโยมน้า

    อัฐิธาตุบรรจุอยู่ในผอบพลาสติก(เรซิน)ขนาดประมาณผลองุ่น อะไรกันนี่ หลวงปู่เมตตามอบให้ทันที่ทันใด โดยยังไม่ได้เอ่ยปากขอใครเลย ส่วนโยมน้าผู้หญิงถวายเสร็จกราบ ๓ ครั้งแล้วออกไปจากศาลาไม่กลับมาอีกเลย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากไม่เกิน ๑ นาทีด้วยซ้ำไป ทีแรกอาตมาคิดว่าสงสัยทางวัดคงจะแจกให้บุคคลทั่วไป อาตมาจึงเดินไปดูบริเวณ ที่โยมน้าผู้หญิงนั่งซึ่งอยู่ใกล้ๆประตูกระจกทางซ้ายมือ ที่จะออกไปเป็นกุ ฎิหลวงปู่ ไม่เห็นมีผอบที่บรรจุพระธาตุ เตรียมแจกบริเวณนั้นอยู่เลย และอีกอย่างหลวงปู่ท่านมรณภาพปี ๒๕๓๓ ถ้าจะแจกก็น่าจะแจกในปี ๒๕๓๔ เพราะพระราชทานเพลิงในปีนี้

    นี่ก็ปี ๒๕๕๐ แล้ว ไม่น่าจะมีการแจกในปีนี้ อีกประการหนึ่งเมื่อพระราชทานเพลิงแล้ว อัฐฐิธาตุก็จะเก็บที่วัดอาจจะมีการ แจกถวายพระเถระผู้ใหญ่ น่าเสียดายที่อาตมาไม่ได้ทันถามโยมน้าที่ว่า พระท่านให้มาถวาย คำว่า พระท่าน คือใคร หลวงปู่ หรือ พระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่อยู่ในวัดก็เป็นได้ ซึ่งท่านอาจทราบความประสงศ์ของ อาตมาแล้วไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวท่านจึงให้โยมน้าผู้หญิงมาถวายแทนท่าน หรือประการสุดท้ายหลวงปู่อาจจะบอกพระสงฆ์ให้นำมาให้ก็เป็นได้ ท่านผู้อ่านล่ะคิดว่าอย่างไร.

    (ลักษณะอาการโยมน้า แต่งตัวแบบคนโบราณ และดวงตาก็เป็นประกายพิเศษ ออกจะไม่ใช่มนุษย์เดินดิน และมาจากทางกุฏิหลวงปู่อีกด้วย ทำภารกิจ ที่พระสั่งมาเสร็จ ก็รีบหลบหายตัวไป ท่านนึกออกหรือยังว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เทวดาประจำวัดนี้นั่นเอง ที่หลวงปู่มอบหมายภารกิจสำคัญมา หากหลวงพี่จะสังเกตที่ดวงตาของโยมน้า น่าจะไม่กระพริบตา เหมือนเช่นคนทั่วไป...ขอโมทนาด้วยกับท่าน เทพธิดานะ ระหว่างพิมพ์ข้อความนี้ ยังส่งกลิ่นหอมมาแต๊ะจมูกอีกด้วย)

    อาตมาใช้เวลาอยู่ในวัดสะแกประมาณ๔ชั่วโมง ไม่พบโยมน้าผู้หญิงอีกเลยจนกระทั่งกลับเข้ากรุงเทพก็ได้เล่าเรื่องที่ได้อัฐ ฐิธาตุให้โยมแม่ พี่และน้องฟังขณะอยู่ในรถพร้อมหยิบผอบเรซิน ออกจากย่ามให้ดู น้องสาวยังบอกอาตมาว่าแปลกมากนึกว่ารู้จักกับโยมน้าเพราะเห็นคุยกัน

    มาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของหลวงปู่ พระกรุณาของพระท่านที่เมตตาให้ในสิ่งที่คิดว่าหาได้ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้และเกิดขึ้นแล้ว ทำให้หวลคิดถึง เถระอมตะวาจาที่ว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้ ต่อให้ร้อยภาษา ล้านตัวอักษร ก็ไม่อาจแทนใจของอาตมาที่มีต่อหลวงปู่ดู่ได้.

    เรื่องราวทั้งหมดของอาตมาก็มีด้วยประการฉะนี้.....หลวงตาม้าตอบปัญหา ให้ลูกศิษย์ ที่หลวงตาลงมาที่ กทม. ว่าภาพของหลวงปู่ดู่ มีชีวิต ให้ทำใจสบายๆ เราก็จะพูดคุยกับหลวงปู่ได้ทุกเรื่อง พลังงาน แสง สี เสียง ของหลวงปู่ดู่ ไม่ได้หายไปที่ไหน คงอยู่ใกล้ๆ ตัวของผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงปู่ อย่างแท้จริง ...


    ขอบคุณข้อมูล: [http://ainews1.com/article510.htm]

    http://www.watthummuangna.com/home/
    l
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    เหรียญยันต์ดวงหลวงปู่ดู่ วัดสะแก

    “ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง”


    [​IMG]

    <O:p</O:p


    ...ด้วยสติปัญญา ที่หลวงปู่ดู่ได้สะสมมานานแสนนาน ผ่านการสร้างบุญบารมีมากับพระพุทธเจ้า ในอดีต มาถึง 477,029 พระองค์ เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป พร้อมจะไปสู่สถานะพระวิริยาธิกะพุทธเจ้าอายุไขย 80,000 พรรษา ในอนาคต ต่อจากสมเด็จพระพุทธโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


    และด้วยความห่วงใยศิษย์อีกจำนวนหนึ่งที่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หรือตนยังเป็นที่พึ่งแห่งตนไม่ได้ หลวงปู่จึงได้จัดสร้าง เหรียญยันต์ดวงหลวงปู่ ซึ่งเป็นพระที่หลวงปู่รักมาก ดังรายละเอียด ที่เล่าสืบต่อมาจากลูกศิษย์ใกล้ชิดกับหลวงปู่ได้เล่าให้ฟัง:


    ตอนบ่ายวันหนึ่ง ประมาณเดือน มกราคม พ.ศ. 2525 ซึ่งยังคงอยู่ในฤดูหนาว เพราะพวกเราบางคนยังใส่เสื้อกันหนาวกันอยู่เลย ตอนเรานั่งรวมกันอยู่สิบกว่าคน บางคนก็อยู่ในห้องของหลวงปู่กำลังนั่งสมาธิ มีชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งมาหาหลวงปู่ พอจะเดินผ่านเราไป ชายผู้นั้นก้มหลังเล็กน้อยด้วยความสุภาพ พอถึงหลวงปู่เขาก็กราบหลวงปู่สามครั้ง หลวงปู่มองดูเขาด้วยความเมตตา และท่านก็พูดขึ้นว่า แกมาจากไหนล่ะ กระผมมาจากบางกอกครับ หลวงปู่ยิ้มรับ และส่งถ้วยน้ำชาให้กับชายผู้นั้น เขาท่าทางเกรงใจหลวงปู่ ทำท่าเหมือนกับไม่กล้ารับ หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า มีน้ำมนตร์ พอได้ยินว่ามีน้ำมนตร์ เขารับน้ำมนตร์จากหลวงปู่และกินจนหมดถ้วย กินเสร็จเขาก็ไหว้ท่านเป็นการขอบคุณ

    หลวงปู่ครับกระผมได้เคยได้ยินคนเขาพูดกัน ว่าหลวงปู่ดู่ วัดสะแกเก่งเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน วันนี้โอกาสดี กระผมว่าง จึงมากราบขอพรจากหลวงปู่ครับ

    หลวงปู่ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตา ท่านบอกว่า แกอย่าไปเชื่อเขามากนัก เขาก็พูดกับหลวงปู่ว่า ท่านต้องมีดีคนถึงได้กล่าวขานไปกันทั่ว

    พวกเราเห็นหลวงปู่มีแขกมาจากบางกอก เราทั้งหมดจึงออกมาคุยกันข้างนอก ซึ่งไม่ไกลจากหลวงปู่มากนัก ชายผู้นั้นถามข้อธรรมะจากหลวงปู่หลายข้อ นานเป็นชั่วโมง ถ้าธรรมะข้อไหนเขาไม่เข้าใจ ท่านจะอธิบายจนเขาเข้า ใจ ชายคนนั้นคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นชั่วโมงสักพักเขาก็เดินมาที่เรานั่งกันอยู่ และกล่าวทักทายพวกเราด้วยวาจาอันสุภาพ เราคุยกับชายผู้นั้นอยู่นานพอสมควร มีศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า ขอโทษครับพี่อยู่บางกอกทำงานอะไรครับ ชายผู้นั้นยิ้มและตอบว่า กระผมเป็นโหรอยู่ในวังครับ

    เราจึงปรึกษากันว่านาน ๆ จะมีโหรมากราบหลวงปู่ที โหรผู้นั้นอยู่ในวังความสามารถต้องไม่ธรรมดาแน่ เราลองนำดวงของหลวงปู่ให้เขาตรวจดูเห็นจะดี และเราก็นำดวงของหลวงปู่ให้ชายผู้นั้นตรวจดูแต่เขามองดูดวงของหลวงปู่อยู่ นานแล้วพูดว่า กระผมเรียนจากครูบาอาจารย์มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นดวงแบบนี้เลย กระผมมิกล้าทำนายหรอกครับ หลังจากท่านโหรลาหลวงปู่ แล้วเขาก็มาลาพวกเราว่า กระผมขอลาก่อนนะครับ ศิษย์ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่า แม้แต่โหรยังไม่กล้าทำนายดวงของหลวงปู่เลย พวกเราสมควรสร้างพระยันต์ดวงของหลวงปู่เห็นจะดีเป็นแน่ ปรึกษากันอยู่สักพักก็ตกลงกันว่าควรจะสร้างเหรียญด้านหน้าเป็นรูปองค์หลวงปู่ ด้านหลังเป็นดวงของท่าน
    </O:p
    ดังนั้นพวกเราทั้งหมด จึงไปกราบขออนุญาตหลวงปู่ โดยบอกท่าน พวกผมอยากจะสร้างพระเหรียญดวงหลวงปู่ เอาไว้ให้คนที่นับถือศรัทธาองค์หลวงปู่ไว้บูชาเพื่อเป็นศิริมงคล ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตาแล้วบอกว่า ข้าขออนุโมทนาบุญกับพวกแกด้วย ที่มีจิตเป็นกุศลเป็นบุญ และท่านได้มอบแผ่นจารยันต์ที่ท่านได้จารไว้ด้วยตัวของท่านเองและชนวน ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้พวกเรานำไปสร้างเหรียญดวง

    ในเรื่องของเงินทุนสร้างเหรียญ เราได้ช่วยกันร่วมสร้างบางคนก็บริจาค 500 บาท บางคนก็ 1,000 – 2,000 บาท แล้วแต่กำลังของแต่ละคน มีศิษย์คนหนึ่งบอกว่าที่เหลือทั้งหมดผมจะเป็นคนออกเอง ถ้าจำไม่ผิดศิษย์ผู้นั้นจะเป็นเจ้าของโรงงานอะไรสักอย่าง ที่อยู่ทางเลยบางนาไปไม่ไกลนักตั้งแต่วันนั้นผ่านไปได้ประมาณสองเดือนเห็นจะได้ ศิษย์คณะนั้นก็ได้นำเหรียญดวงที่สร้างเสร็จมาให้ท่านเมตตาปลุกเสก

    วันนั้นท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเห็นเหรียญท่านก็บอกว่าสวย เหรียญนี้ท่านชอบมาก และท่านก็ปลุกเสก แต่วันนั้นท่านปลุกเสกนานเป็นพิเศษ พอปลุกเสกเสร็จ ท่านก็คืนเหรียญทั้งหมดให้กับศิษย์คณะนั้น แต่ลูกศิษย์กราบเรียนท่านว่า พวกกระผมขอเหรียญที่เป็นเนื้อพิเศษคืนอย่างเดียวครับ ส่วนเหรียญเนื้อทองแดงทั้งหมด ขอถวายหลวงปู่ ท่านจึงอนุโมทนากับลูกศิษย์คณะนั้น วันนั้นหลวงปู่แจกเหรียญดวงให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น พอลูกศิษย์ลาท่านกลับกันไปหมด

    ท่านก็เรียกลุงแกละและป้าอิ้งให้เข้ามาใกล้ ๆ ท่าน แล้วพูดว่า ข้าจะมีงานบุญให้แกสองคน ท่านเข้าไปในห้องของท่านสักพักใหญ่ พอท่านออกมา หลวงปู่ก็มอบผงให้กับคนทั้งสอง และบอกว่าให้นำเหรียญดวงไปกดพิมพ์ และทำเป็นพระผงดวงมาให้ท่าน โดยท่านได้กำหนดวันเวลา ที่จะนำพระผงดวงมาให้ท่าน

    <O:pอีกหลายวันต่อมา ป้าอิ้งพร้อมทั้งลุงแกละก็นำพระผงดวงมาให้หลวงปู่ ท่านหยิบพระผงดวงดูอย่างพอใจและบอกว่าดีมากหลวงปู่บอกว่า แกทั้งสองคนคอยอนุโมทนากับข้าด้วยนะ ท่านก็เริ่มทำการปลุกเสก ป้าอิ้งบอกว่า เคยเห็นหลวงปู่ท่านปลุกเสกพระมาก็มากจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหลวงปู่ ปลุกเสกนานขนาดนี้เลย แกก็จัดว่าเป็นผู้ที่นั่งสมาธิได้นานคนหนึ่งแต่ยังต้องขยับตัวหลายครั้ง พอหลวงปู่ท่านลืมตาขึ้นท่านก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ลุงแกละเห็นท่านอารมณ์ดีจึงถามท่านว่า ทำไมวันนี้หลวงปู่เสกนานจริงครับ หลวงปู่ท่านตอบว่า

    วันนี้ เป็นวันดี วันเสาร์ห้า ขึ้นห้าค่ำ เดือนห้า ข้าเสกเต็มที่ ข้าอัญเชิญบุญบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาลมารวม เป็น พลังเหนือพลัง และอัญเชิญดวงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาล มารวมเป็นดวง เดียวกัน เป็นดวงเหนือดวง

    พระผงดวงนี้ รวมทั้งเหรียญดวงนี้จะมีพุทธานุภาพมาก ผู้ใดนำไปบูชา ถึงเขาผู้นั้นจะดวงตก แต่พุทธานุภาพ โดยไม่มีประมาณของดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง ก็จะคุ้มครองให้รอดปลอดภัย จากสิ่งอัปมงคล ผี ปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ

    ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย เหรียญและพระผงนี้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์ของข้า แม้ผู้ใดถูกผี ปีศาจเข้าสิง ให้นำพระมาทำน้ำมนตร์ดื่มกัน ก็จะหายจากคุณไสย ภูติผี ปีศาจ และสิ่งอัปมงคลทั้งปวง

    แม้แต่คนที่ดวงดีนำไปบูชา ก็จะเกิดโชคดี เป็นมงคล มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ต่อคนทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมดทั้งมวล หลวงปู่ท่านบอกต่ออีก ผง ที่ข้าให้แกกับยายอิ้งไปทำเป็นพระผงดวงนั้น คือ ผงมหาจักรพรรดิ วิธีทำผงมหาจักรพรรดินั้น ต้องเขียนยันต์มหาจักรพรรดิ เขียนไปเสกไป พอเสร็จเป็นผงก็นำมาเสกอีกครั้ง ทำเป็นพระ แล้ว ก็เสกอีกครั้ง ผงมหาจักรพรรดินั้น เวลาเสกต้องรวมพลังบุญบารมีทั้งหมดตั้งแต่อดีต จนถึงอนาคต อธิษฐานจิตด้วยญาณบารมีขั้นสูง พระที่สร้างด้วยผงมหาจักรพรรดิของข้าจะมีพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ

    ท่านพูดจบก็หยิบพระผงดวงให้ลุงแกละ และป้าอิ้งคนละหนึ่งองค์แล้วท่านพูดว่า ตาแกละและยายอิ้งก็ไม่มีลูกเมื่อแกสองคนแก่ หลังจากข้าตายไปแล้ว จะมีผู้ที่มีบุญมาคอยเลี้ยงดูแกสองคนไปจนตาย ป้าอิ้งเล่าให้ฟังว่าเมื่อแกได้ยินดังนั้น แกและลุงแกละก็ก้มลงกราบหลวงปู่ เพราะว่าวาจาของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ ป้าอิ้งบอกอีกว่าแกบอกกับหลวงปู่ว่า เมื่อตอนที่หลวงปู่ส่งพระดวงให้นี้ เกิดแสงสว่างไปทั่ว แกเลยตั้งจิตตามไปดูและอยากรู้ว่าแสงสว่างนั้นไปถึงไหน แต่ก็ไม่สมารถตามไปดูได้เพราะแสงสว่างนั้นไปไกล โดยประมาณไม่ได้ว่าไปสุดที่ใด หลวงปู่ยิ้มแล้วตอบว่า นั้นแหละคือ พลังเหนือพลัง

    ใน บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ใคร ๆ ก็รู้ว่ายายอิ้งเป็นหนึ่งในจำนวนศิษย์ ที่มีสมาธิละเอียดและแก่กล้าคนหนึ่ง เหมือนกัน ลูกศิษย์ที่ปฏิบัติถึงขึ้นแล้วล้วนรู้ดีว่าป้าอิ้ง จิตของแกดีสามาหรถกำหนดไปดูได้ทั้งนรก และสวรรค์ เคยมีคนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป บ้างก็เป็นพ่อแม่พึ่น้องตลอดไปถึงลูกหลาน ญาติที่ยังมีชีวิตบางคนก็เป็นห่วงญาติของตนที่ตายไป จะไปดีหรือไปร้ายเพียงใด คนที่รู้จักหลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จะรู้ว่าท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน คนที่เป็นห่วงญาติที่ว่าตายไปแล้วมักเดินทางไปขอความเมตตาจากหลวงปู่อยู่เสมอ

    ถ้ามีใครเรียนถามท่านว่าญาติของตนที่ตายไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่ท่านก็จะหันไปทางป้าอิ้ง และบอกว่า ว่ายังไงยายอิ้ง ป้าอิ้งก็จะกำหนดจิตดูให้เป็นที่รู้กันดีว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่เก่งแบบป้าอิ้งบางคนยังเรียกว่า เก่งกว่าป้าอิ้งยังมีอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน

    ผู้เขียนต้องขอโทษได้เล่าข้ามไปตอนหนึ่ง ป้าอิ้งบอกว่าหลวงปู่ท่านได้อธิบายถึงคำว่ามหาจักรพรรดิให้ฟังว่า เจ้าแผ่นดินทุกแผ่นดินถึงจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แต่ก็จะเป็นได้เพียงจักรพรรดิ แต่มหาจักรพรรดิ จะเป็นใหญ่อยู่เหนือจักรพรรดิทั้งหมด ผงมหาจักรพรรดิถือว่าได้เป็นผงที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มิฉะนั้นท่านจึงใช้ผงมหาจักรพรรดิมาสร้างเป็นพระเพราะรักและเป็นห่วงลูก ศิษย์และคนทั่วไปที่ศรัทธาในองค์ท่าน หลวงปู่บอกว่า ข้ากลัวสู้เขาไม่ได้พระผงที่ข้าสร้างจึงต้องใช้ผงมหาจักรพรรดิข้าเสกและอธิษฐานจิตให้พระที่ข้าสร้างนั้นไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน

    ป้า อิ้งยังบอกต่ออีกว่าหลวงปู่บอกว่าเหรียญและพระผงดวงนี้อีกหน่อยจะมีค่ามาก คนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองหลวงปู่ท่านบอกให้ป้าอิ้งจำไว้ว่า

    (วิธีใช้เหรียญดวงและพระผงดวง เหรียญดวง ให้ตั้ง นะโมสามจบ แล้วภาวนาว่า)

    “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”

    (พระผงดวง ตั้งนะโมสามจบ ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ)

    นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง

    สีวลี จะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

    ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวนาไตรสรณคมณ์และบทมหาจักรพรรดิ ตามกำลังวันทุกวัน เหรียญและพระผงดวงนี้ จึงจะเกิด พุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง
    (อาทิตย์ 6, จันทร์ 15, อังคาร 8, พุธ 17, พฤหัสบดี 19, ศุกร์ 21, เสาร์ 10, )



    [​IMG] [​IMG]


    บทสวดมหาจักรพรรดินี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น เป็นการสวดบูชาพระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสงฆ์สาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งๆ เป็นการอัญเชิญกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน รวมถึงกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต อาราธนาเข้าที่กาย ใจ จิต วิญญาณของผู้สวด

    อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ โดยย่อกล่าวคือ

    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า

    พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมดึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้า มารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ

    และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร

    และหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัว เพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน

    หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา

    คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

    หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมีติดข้องใจไห้ได้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง

    กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้

    จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ ท่านก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล
    <O:p
    ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

    พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตผู้สวดด้วย

    [​IMG]

    โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างไสว พร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วยบุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย)

    ผู้ปฏิบัติจึงมีพร้อมทั้งบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์ เป็นพลังงานที่บริบูรณ์ สนับสนุน ให้การอธิษฐานจิต สัมฤทธิ์ผล สำหรับผู้ที่รู้จัก ไมโครชิพ ซึ่งเป็นมิติที่ 3 ของมนุษย์และสัตว์ ก่อนสวดก็นึกกระตุ้นไมโครชิพ ก่อน เพื่อบรรจุพลังให้แก่ไมดครชิพ และแผ่พลังงานผ่านไมโครชิพ ด้วยบทสัพเพฯ)

    ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย

    (เมื่อสวดครบตามกำลังวันแล้ว เท่ากับเราได้สต๊อคพลังงานอันมหาศาลยิ่ง ดึงพลังของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือจะเรียกว่าเราสวดภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของทุกๆพระองค์นั่นเอง ถ่ายเทพลังบุญบารมีรวมเข้าสู่ไมโครชิพของผู้สวดภาวนา ให้สว่างไสวนับล้านๆๆๆแรงเทียน เป็นที่สังเกตของสรรพสัตว์ในมิติต่างๆอย่างกว้างไกล ระหว่างที่สวด

    หลวงตาม้าท่านอธิบายต่อไปว่า เมื่อเราตุนพลังงานหรือชาร์ตไฟเต็มหม้อแบตเตอรี่แล้ว เราก็จ่ายออก โดยการอธิษฐานจิต แล้วสวดสัพเพฯ 5 ครั้ง ส่งพลังงานออกไป ผ่านไมโครชิพของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ไปสู่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลก และทุกตำแหน่งแห่งที่ในทุกๆมิติ หรือไปถึงบุคคลที่เราระบุ ส่งพลังงานไปช่วยเหลือ หรือครอบวิมานให้หรือกิจการงานต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องทุกคน

    พลังงานที่ส่งผ่านไมโครชิพของครูบาอาจารย์ทุกๆพระองค์ มีกำลังส่งกว้างไกล และทรงพลังยิ่งนัก มีคลื่นความถี่สูงกว่าการเดินทางของแสงอาทิตย์ อย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ เช่นพอนึกเท่านั้นก็ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลนั่นเอง เพียงแต่ให้เราหมั่นทำทุกๆวัน

    หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด และพระมหาจักรพรรดิ ทุกๆพระองค์ที่หลวงปู่ดู่ได้อัญเชิญเอาไว้ล่วงหน้า ก็จะช่วยส่งเสริมการสวดภาวนาของเราเต็มที่ หลวงปู่จึงเตือนให้เราหมั่นทำ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากเราไม่ดำริ หลวงปู่ก็จะวางอุเบกขา หากเราทำตามคำแนะนำของท่านๆก็ยินดีช่วยเราเต็มที่

    เช่นเดียวกับที่หลวงปู่เคยพูดให้ลูกศิษย์ได้ฟังว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้ พลังงาน บุญกุศล คลื่นแสง สี เสียง ที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ยาวนาน 80 อสงไขย กับแสนมหากัป นับตั้งแต่หลวงปู่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ยังอยู่ครบถ้วนพร้อมบริบูรณ์ สำหรับให้ลูกหลานได้เชื่อมต่อกับไมโครชิพของตนเองในการสวดภาวนาและสัพเพฯ)

    สำหรับผู้ที่สวดแล้วพึง สัพเพฯ 9 ครั้งให้แก่ผืนแผ่นดินไทยทั่วราชอาณาจักร ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจงคืนกลับมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวอีกวาระหนึ่ง

    (ทั้งนี้เพื่อบูชาพระคุณของบูรพระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ และถวายเทอดพระเกียรติแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฯ รัชกาลที่ 9)

    (เมื่อเรามีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ดีเลิศ วิเศษยิ่งแล้ว เพื่อเป็นการกตัญญูกตเวทิตาต่อน้ำพระทัยและกำลังพระวรกายของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และบูรพระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ ที่ได้ทรงเสียสละชีวิตเลือดเนื้อต่อสู้รวบรวมผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ เอาไว้ให้แก่ลูกหลานไทยในภายหลัง ได้ใช้อาศัยอยู่สุขสบาย... เราก็อธิษฐานจิต นึกถึงไมโครชิพของทุกๆพระองค์ แผ่เมตตาบทพระมหาจักรพรรดิ ไปน้อมถวายแด่ทุกๆพระองค์ ขอให้ผืนแผ่นดินที่ทุกพระองค์ได้ทรงกอบกู้รวบรวมเอาไว้ในอดีตทั้งหมด ได้กลับมาผนวกรวมกัน เป็นราชอาณาจักรเดียวกันอีกวาระหนึ่งโดยเร็ว ...

    เสร็จแล้วเราก็ตั้งใจ สัพเพฯออกไป 9 ครั้ง เป็นการทดแทนคุณแผ่นดินที่เราได้อยู่อาศัย เกิดมาร่วมสร้างบุญบารมี และแผ่นดินนั้นได้ถูกพวกคนพาล มาข่มขู่เบียดเบียน แบ่งแยกเอาไปมากมาย คืนกลับมาโดยพลัน

    [​IMG]

    การตั้ง ภูเขาบุญ ต่างกับแผ่กุศลด้วยวิธีสัพเพฯ ภูเขาบุญ จะตั้งอยู่ตลอดเวลา และทุกๆวันเราก็สวดภาวนาคาถาจักรพรรดิแล้วอธิษฐานนำบุญกุศลไปสมทบเพิ่มเติมกับภูเขาบุญของหลวงปู่ดู่ ทุกๆวัน เป็นการเพิ่มเติมบุญกุศลให้แก่เครือข่ายภูเขาบุญ ที่เราได้ขอบารมีหลวงปู่ดู่ นำไปติดตั้ง ณ สถานที่ต่างๆที่เราปรารถนา เป็นการปรับเปลี่ยนภพภูมิให้สรรพวิญญาณได้ตลอดเวลา แตกต่างกับการแผ่ให้เป็นคราวๆ หลังสวดภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิเท่านั้น

    และหลวงตาม้า ท่านยังแนะนำต่อไปอีกว่า เราสามารถอธิษฐานจิตของเรา ให้กายพลังงานภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิตลอดเวลาทั้งหลับและตื่นได้อีกด้วย โดยใช้ระบบการหายใจเข้าออก เป็นอุปกรณ์ช่วยภาวนา ตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ โดยเราก็ตั้งโปรแกรมเสียง ให้แก่ไมโครชิพของเราเอาไว้รับพลังงานที่เราสวดได้ตลอดเวลาอีกด้วย ใช้มิติที่ 3 ของเราหรือไมโครชิพ สำหรับดูแลจ่ายพลังงานบุญกุศลให้ทั้งจิตใจและร่างกายทั่วทุกเซลล์ในร่างกายทุกระบบให้กลับไปสู่อายุ 20 ปีในเพศชาย สู่อายุ 19 ปีในเพศหญิง และให้ไมโครชิพกลับไปสู่จุดกำเนิด และต่อเชื่อมพลังงานบุญกุศลส่งไปสมทบกับ ภูเขาบุญ ของหลวงปู่ดู่ได้ต่อเนื่องตลอดเวลา ทำงานร่วมกับการใช้กายเนื้อที่เราปฏิบัติวันละครั้ง หรือหลายคราวก็ตาม

    ทำให้พลังบุญกุศลที่เกิดจากการสวดภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิ ถ่ายเทพลังงาน แก่ไมโครชิพของเรา และส่งไปยังภูเขาบุญ ของหลวงปู่ดู่ สถานที่ หรือบุคคลต่างๆที่เราตั้งโปรแกรมเอาไว้ ให้มีพลังงานไหลถ่ายเทไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่ากายเนื้อจะหลับหรือตื่นก็ตาม เป็นการเพิ่มโอกาสสร้างบุญกุศลร่วมกับหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด หลวงตาม้า และพระมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ด้วยสติปัญญาและทรัพยากรทุกอย่าง ที่เรามีความเข้าใจ นำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ การทำความดีอย่างเข้มข้น ในอายุขัยสั้นๆของเราตลอดทุกๆวินาที

    ส่วนหลังจากการสวดประจำวันแล้ว เราก็ขอบารมีหลวงปู่ดู่ ขออนุญาตนำบุญไปสมทบกับภูเขาบุญของหลวงปู่ดู่ แล้วสัพเพฯ 5 ครั้ง แล้วจึงขอบารมีหลวงปู่ดู่ สร้างเครือข่ายภูเขาบุญ ไปติดตั้งยังที่ต่างๆ และขยายภูเขาบุญออกไป ให้ครอบคลุมอาณาเขตประเทศไทย ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ขอให้แผ่นดินที่ถูกคนพาลแย่งชิงแบ่งแยกออกไป ได้กลับมารวมกันเป็นราชอาณาจักรไทยเดียวกันอีกวาระหนึ่ง ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 นี้อีกวาระหนึ่ง เสร็จแล้วสัพเพฯ 9 ครั้ง และปิดท้ายด้วย สัมปจิตฉามิ 3 ครั้ง

    ที่กล่าวมานั้นเป็นการเพิ่มบุญกุศลให้แก่ตนเอง และสรรพวิญญาณทั่วทั้ง 3 โลก และแทนคุณแผ่นดินและบรรพบุรุษไทย ส่วนเวลาที่เหลืออยู่แต่ละวัน สำหรับผู้ที่ใช้มหาสติปัฏฐานสูตร สะสมพลังงานจนจิต เข้าถึง 'ทาง' หรือ มรรคได้แล้วนั้น ก็ใช้เวลาที่ไม่ได้ภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิ มากำหนดจิต อยู่ในอารมณ์ของ 'ทาง' หรือในสภาวะจิต ที่โล่งๆว่างๆ ที่ตนเองได้พบเห็นมาก่อนนั้น อยู่เสมอๆ

    แม้เราจะปฏิบัติงานต่างๆทางโลกอยู่ก็ตาม เสมือนกับเราไม่ดับเครื่องยนตร์ ยังคงเดินเครื่องเบาๆเอาไว้ตลอดเวลา ตามที่หลวงปู่ดู่แนะนำ เมื่อว่างจากงานต่างๆเราจะมากำหนดจิตให้อยู่บนทางอย่างต่อเนื่องในอารมณ์เดียวกันได้ทันทีตลอดเวลาที่โอกาสเปิดให้ จนกว่าจิตจะมีความสมบูรณ์ในทาง มรรค ถึงระดับหนึ่ง ที่จะต้องละวางงานทางโลกลงทั้งหมด สะสมพลังงานอยู่บนทาง แต่เพียงอารมณ์เดียว จนอยู่บนทาง ได้สมบูรณ์บริบูรณ์ พลังงานของ มรรค ได้ประหารอนุสัยกิเลสจนหมดสิ้นแล้ว การเรียนพระพุทธศาสนาก็จบจะหมดสิ้นลง เหลือแต่รอวันที่หัวใจจะดับสูญพลังงานลงไป ทิ้งกายสังขาร ไม่ต้องวนกลับมาใช้อีกต่อไป

    การทำภารกิจของตน จะไม่ละทิ้งผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่ลาจากภาวะพุทธภูมิในชาติปัจจุบัน เราก็จะปฏิบัติตน อย่างบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ไม่ได้ละทิ้งเพื่อนสรรพสัตว์ที่เคยติดตามทำความดีมาด้วยกันยาวนาน ให้ทุกๆจิตวิญญาณ ได้มีสุคติภพเป็นที่ไปทั่วกัน

    เหรียญ และพระผงดวงนี้เป็นพระที่หลวงปู่ท่านรักมาก ท่านเก็บไว้ในห้องของท่าน และปลุกเสกเป็นเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ถึงปี 2533 รวมทั้งหมด 8 พรรษา

    หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว วาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็เป็นจริงดังที่ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า จะมีผู้มีบุญซึ่งเคยร่วมบุญกับหลวงปู่มา ได้รับเลี้ยงดูแลลุงแกละและป้าอิ้งจนแกทั้งสองตายไป ระยะเวลาเลี้ยงดูคนทั้งสอง คือ ป้าอิ้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ. 2540 ส่วนลุงแกละตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 จนถึงพ.ศ. 2547

    ที่มา: หนังสือนะโภคทรัพย์ พ.ศ.2548

    (ด้วยจิตศรัทธาและเคารพหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง การจัดทำเว็บเพจนี้ ขึ้น เพื่อส่งเสริมผู้พิจารณาให้เกิดสติปัญญา และผลดี อันเนื่องมาจากการประกอบเหตุที่ดี ตามวัตถุประสงค์ และความพรากเพียรเป็นอย่างสูงยิ่ง ของหลวงปู่ดู่... ให้ศิษย์ภายหลังได้ทราบแนวทาง ของพลังงาน ที่บรรจุอยู่ในวัตถุธรรม เข้าใจวิธีสร้างคุณประโยชน์ตน จากพระมหาจักรพรรดิผ่านวัตถุธรรมที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ให้บังเกิดผลแก่ตนเองได้อย่างเต็มที่ สมดังตามความตั้งใจดีของหลวงปู่ดู่ )

    ********************************************************************

    ขอบคุณข้อมูล ����

    http://www.watthummuangna.com/home/
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.4.jpg
      4.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.6 KB
      เปิดดู:
      14,277
    • 4.1.jpg
      4.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.3 KB
      เปิดดู:
      13,438
    • 4.5.jpg
      4.5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      13,103
    • 4.2.jpg
      4.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.4 KB
      เปิดดู:
      13,092
    • 4.3.jpg
      4.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.3 KB
      เปิดดู:
      12,930
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  18. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่/พระศรีอาริย์



    [​IMG]


    ข้อมูลต่อไปนี้เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม โดยใช้ ลูกแก้วจักพรรดิของหลวงปู่ เป็นตัวช่วย

    ..เมื่อผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ ให้สร้างลูกแก้วสารพัดนึก โดยใช้ปูนซีเมนต์ขาวผสมผง ตอนแรกผู้เขียนจะทำ ๑๐๘ องค์ ท่านบอกว่าไม่พอ อีกหน่อยจะหายาก ลูกละพันยังหาไม่ได้ ท่านได้บอกเคล็ดลับของการเสกว่า ถ้าจะรู้ว่าใช้ได้หรือยังต้องดูในที่มืดๆ จะมีแสงสว่างนั้นแหละใช้ได้แล้ว

    นอกจากนี้ท่านยังให้เจาะเป็นช่องว่างตรงกลางไว้ ตอนแรกผู้เขียนจะขอท่านไม่ต้องเจาะ

    ท่านบอกไม่ได้เดี๋ยวจะเหมือนลูกกระสุน ซึ่งเด็กสมัยก่อนจะรู้ คือ นำดินเหนียวมาปั้นก้อนกลมๆ ไว้สำหรับใช้กับหนังสติกเพื่อยิงนก รูที่เจาะให้ว่างนั้นแทนอากาศธาตุ เวลานั่งภาวนาเกิดแสงสว่าง พวกแกก็ไปตามแสงสว่างนั้นแหละจะไปถึงวิมานแก้ว ที่อยู่ของพระพุทธเจ้า จะเห็นลูกแก้วลอยเต็มวิมาน ให้ขอท่านแล้วอธิษฐานกลืนไว้ตรงทรวงอก

    มีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นนักปฏิบัติ ได้มาเจอกับผู้เขียนที่หน้ากุฏิหลวงปู่ ขณะนั้นท่านกำลังถวายข้าวพระอยู่ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยให้เขานั่งดูสักครู่เขาบอกว่าหลวงพ่อกำลังถวายของ พระพุทธเจ้า อยู่บนวิมานแก้ว มีพระมากมาย

    ผู้เขียนเลยบอกว่าถ้าเห็นพระแล้วทำอย่างไรต่อ เขาบอกไม่รู้ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยพูดว่าหลวงปู่บอกไว้ ถ้าเจอพระให้อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เขาก็ทำตาม และบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าจะธรรมดา เพราะตอนที่ท่านประสิทธิพระเครื่องให้เขาเห็นแต่งตัวแบบเทวดา พอลืมตามาเห็นท่านยิ้มๆ

    มาครั้งหลัง เขาบอกว่ามาพบ หลวงปู่ท่านเป่าหัวให้สว่างไป ๗ วัน คุยกันไปคุยกันมา ผู้เขียนเลยให้เขานั่งดูลูกแก้วมหาจักรพรรดิ (แก้วสารพัดนึก)เขานั่งสักครู่ แล้วบอกว่าตรงกลางลูกแก้วเห็นเป็นแสงสว่าง

    เลยให้เขาเดินจิตไปไหว้พระพุทธเจ้า จนไปถึงพระพุทธรูปองค์ที่ ๔ พอไปถึงองค์ที่ ๕ พออธิษฐานก็เห็นพระหน้าตัก ๒๐ วา ตามที่หลวงปู่บอกไว้

    ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งให้เขาอธิษฐานเข้าไปในองค์พระ เขาเห็น พระศรีอาริย์ นั่งอยู่ตรงกลาง หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ขวา หลวงปู่ดู่อยู่ซ้ายมือของพระศรีอาริย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่บอกว่าขอให้อธิษฐานว่า หลวงปู่ทวดกับหลวงปู่ดู่ เป็นองค์เดียวกันหรือไม่ หรือท่านจะเป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายขวา ของพระศรีอาริย์ในอนาคต

    อธิษฐานเสร็จเขาบอกว่า เห็นทั้งสามองค์ มารวมเป็นหลวงปู่ดู่ แสดงว่าทั้ง สามองค์เป็น องค์เดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาเขามีความเคารพหลวงพ่อมาก เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ์แสดงให้เขารู้เห็นด้วยตัวเอง

    มีลูกศิษย์ของท่านเป็นคริสต์ แต่ได้มาปฏิบัติ ขณะที่นั่งปฏิบัติที่กรุงเทพ หลวงปู่ทวดมาโปรดในนิมิต เมื่อหลวงปู่ยกมือขึ้นประทานพร เขาเห็นรูปผีเสื้อ ตรงกลางฝ่ามือ เขารีบขับรถจากกรุงเทพฯ มาหาหลวงปู่ที่วัด หลังจากกราบหลวงปู่แล้วเขาก็ขอดู เห็นเป็นรูปผีเสื้อจริง

    หลวงปู่ท่านบอกว่า

    “หลวงปู่ทวด ไม่ใช่ข้าแสดงท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ เออ...โมทนาสาธุด้วย”

    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า มีชาวบ้านแถบวัดสะแกเป็นผู้หญิง ปฏิบัติเก่ง อยากเห็นพระศรีอาริย์ มาก จึงขอหลวงปู่ทวด ช่วยพาไปวิมานพระศรีอาริย์ เมื่อไปถึง เขาบอกหลวงพ่อว่าเป็นเหมือนโรงลิเกประดับประดาอย่างสวยงามหลวงปู่ทวดบอกว่า แกรอประเดี๋ยว พระศรีอาริย์ ท่านจะออกมาจากฉากคอยดูให้ดี หลวงปู่ทวดหายไปสักครู่ ก็มีพระศรีอาริย์เดินออกมาจากฉาก

    พอพระศรีอาริย์หายไป เป็นหลวงปู่ทวดเดินมา เธอเลยถามหลวงปู่ว่าไหนล่ะพระศรีอาริย์

    หลวงปู่บอกว่าแกก็ดูเองซิสลับกันไปมาเช่นนี้ จนปฏิบัติเสร็จเขาก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟังท่านก็พูดกับผู้เขียนว่า “คนเราบางทีต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ” แกเลยงงว่าใครคือพระศรีอาริย์

    “แล้วแกล่ะว่าเป็นใคร” ท่านพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    วัดถ้ำเมืองนะ (วัดพุทธพรหมปัญโญ) บารมี หลวงปู่ทวด, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ, หลวงตาม้า, พระผง บทสวด จักรพรรดิ


    ขอบคุณข้อมูล.. [http://www.ainews1.com/article406.htm]l

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.1.jpg
      4.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      12,792
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  19. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง

    ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง(คล้ายพระพุทธรูปในภาพเหตุที่ใช้ว่า "คล้าย" เพราะองค์จริงงดงามกว่ามาก)
    ส่วนพระแก้วขององค์ปฐมนั้นจะเป็นองค์สีขาว

    ยกตัวอย่างพระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

    1.พระกกุสันโธพุทธเจ้า

    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์

    หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา

    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร

    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา


    2.พระโกนาคมพุทธเจ้า

    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า

    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป

    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา

    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร

    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน

    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง 15 วา


    3.พระกัสสปพุทธเจ้า

    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า

    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป

    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์

    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา

    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร

    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน

    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง 10 วา


    3.พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า

    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า

    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป

    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก

    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา

    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร

    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี

    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา


    5.พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า

    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า

    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป

    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
    </O:p
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา

    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร

    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน

    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้

    พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมหาจักรพรรดิ
    หน้าตักกว้าง 20 วา

    </O:p
    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้นตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง

    ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์ ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึ่ง และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรี พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกต ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์...


    วันหนึ่งหลวงปู่ดู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติครั้งคุมสมาธิศิษย์

    ยกใจความมาตอนหนึ่งว่า..

    วันหนึ่งหลวงพ่อได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้า มีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่ พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธ มีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์"

    (ชนชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่ทราบว่าได้พบได้รู้จัก ได้เข้าใจ การบำเพ็ญบารมี ในพระโพธิสัตว์ ของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และเข้าใจวิธีการเดินทางลัด โดยวิธีต่างๆหลายแง่มุม ที่นำมาสรุปให้เข้าใจง่ายโดยหลวงตาม้านั้น ก็จะยิ่งสะดวก ต่อการทำความเข้าใจ และเข้าถึงหลวงปู่ดู่ ได้สะดวกยิ่งขึ้น และนำมาลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ทุกเรื่อง การจะเอาดี ตนต้องเป็นที่พึ่งตนเอง ให้ได้ก่อน

    หลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ ท่านจึงจะช่วยส่งเสริมเพิ่มพลังงานด้านบวก ให้แก่เราได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่ลาแล้วจากพุทธภูมิ ก็จะพบทางลัดทางสว่าง นำมาปฏิบัติ ให้ มรรค ของตนไปสู่ความสมบูรณ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และยิ่งโลกและสุริยะจักรวาล กำลังมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ซึ่งจะมีผลกระทบในทางพิบัติภัยเกิดขึ้นทั่วโลก ก็จะยิ่งเป็นโอกาสดี ของผู้ที่ตัดสินใจ แล้วว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ในคราวนี้ น่าจะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสดีเลิศของเรา ทำภารกิจที่ยังค้างอยู่นานแล้ว ให้จบสิ้นเสียที หลุดพ้นไปจากวัฏจักรเดิมๆซ้ำซาก)



    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article507.html
    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.2.jpg
      4.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.3 KB
      เปิดดู:
      13,434
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  20. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่ กล่าวถึง แดนพระนิพพาน..


    ..สำหรับผู้สนใจการ คืนกลับสู่พระนิพพาน หรือสภาวะจิตเดิม ของทุกคนหรือทุกๆสรรพสัตว์ เมื่อเข้ามาหาความรู้และช่องทางการปฏิบัติจิต ในวงการสอนในพระพุทธศาสนา ยังมีครูบาอาจารย์ท่านกล่าวถึงสภาวะพระนิพพาน แตกต่างกัน ใน 2 มิติหลักๆ ฝ่ายหนึ่งพูดถึงสภาวะด้านรูปนิมิต อีกฝ่ายหนึ่งพูดถึงความว่างในสภาวะจิตเดิม (พลังงานคลื่นความถี่สูง) และผู้ที่ฝึกก็สามารถเลือกปฏิบัติได้ทั้ง 2 แนวทาง แล้วแต่ชอบได้อีกด้วย และก็จะบรรลุผลสำเร็จตามต้องการได้เช่นเดียวกัน

    เช่นเน้นการฝึกในหมวดมหาสติปัฏฐานในส่วนจิตตานุปัสสนา ให้จิตบรรลุถึง ทาง หรือ มรรค จิตพลิกขึ้นสู่สภาวะจิตเดิม แยกออกจากกาย แล้วหมั่นดำรงค์อยู่ใน มรรค จนมีมรรคสมบูรณ์ จิตสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูง เป็นพลังงานที่ไปลบล้างหรือทำลายอนุศัยกิเลส (มรรคประหารกิเลส) ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของผู้ปฏิบัติจนหมดสิ้น จิตก็จะอยู่ในสภาวะจิตเดิม ในสภาพสุญญตา หรือจิตสูญจากกิเลส เช่นหลวงปู่สิวลี ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มการปลงผม พอบวชเป็นพระภิกษุเสร็จสิ้น หลวงปู่ก็บรรลุอรหัตผลแล้ว เป็นต้น

    ส่วนผู้ที่ฝึกสายทำฌาณทำสมาธิ ให้มีฤทธิ์ทางใจ สามารถนำจิตไปสัมผัส แดนต่างๆในมิติต่างๆรวมทั้งแดนพระนิพพาน ได้เช่นเดียวกัน เช่น มจ.วิภาวดีรังสิต ที่ฝึกจิตในสายฌาณกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือพระราชพรหมญาณเถระ ก็ประสบผลสำเร็จถึงแดนนิพพานก่อนสิ้นชีพตักษัย...หากเลือกทางแนวนี้ ควรมีไกด์นำทางหรือพึ่งบารมีครูอาจารย์ จะได้สะดวกในการเดินทางและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตน ในการได้พบปะบุคคลต่างๆ (รูป เสียง แสงพลังงานนิมิต) หรืออดีตพ่อแม่ที่เป็นพระอรหันต์

    การปฏิบัติทั้ง 2 รูปแบบ เป็นเหตุให้ผู้ที่ปฏิบัติ ยังไม่ถึงจุดหมายทั้ง 2 แนวทาง เกิดความสับสนพอสมควร อย่างใดที่สมควรจะยึดถือนำมาปฏิบัติ หากท่านเป็นผู้หนึ่งอยู่ในกลุ่มที่กล่าวถึง ลองมาฟังเหตุผลของท่านผู้ที่มีความแจ่มแจ้ง ในทั้งสองวิธีการได้จากบทความต่อไปนี้:

    [​IMG]

    หลวง ปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเป็นพระเถระ ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ พระปรมาจารย์สายกรรมฐานของภาคอีสาน ผู้เขียนได้รับฟังข่าวคราวจากทางหนังสือพระเครื่อง เกี่ยวกับรูปถ่ายที่ช่างภาพถ่ายรูปท่านในท่านั่งห้อยขา แต่พอล้างฟิลม์ออกมา กลับมีรูปซ้อนเป็นภาพนั่งสมาธิ โดยที่ท่านไม่ได้เปลี่ยนอริยาบท ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นกายทิพย์ที่ท่านแสดง ขณะนั้นผู้เขียนทำงานเป็นพนักงานสินเชื่อ หัวหน้าแม่สอด-แม่ระมาด จังหวัดตากอยากไปนมัสการท่าน ความตั้งใจตอนนั้นเพียงเพื่อไปขอวัตถุมงคลและมีความเชื่อลึกๆ ในใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ..

    เมื่อหยุดพักร้อนจึงได้เดินทางไปหาเพื่อนซึ่งจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นเดียวกัน ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาเขตเกษตรสุรินทร์ พอถึงสุรินทร์เรียบร้อยเพื่อนก็ถามว่าทำไมอยากมากราบหลวงปู่ ได้ตอบเพื่อนว่า”เขาว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลยอยากมาขอเหรียญทีท่านปลุกเสก” โดยใจตอนนั้นไม่ปรารถนาธรรมอะไรจากท่าน เพราะอยู่ในช่วง เป็นนักล่าวัตถุมงคล


    เมื่อผู้เขียนไปถึงวัด หลวงปู่ดูลย์กำลังตื่นจากจำวัตรพอดี เพราะขณะนั้นท่านอายุมากแล้วจำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อทางพระอุปัฎฐาก อนุญาตให้เข้าพบ ผู้เขียนได้เข้าไปกราบท่าน และได้ถวายปัจจัยแล้วนั่งเงียบอยู่ ไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไร เสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า “เณรไปหยิบเหรียญมาให้ข้าที เขาอยากได้” ผู้เขียนดีใจมากรับเหรียญมาเก็บไว้แล้วกราบลาท่านกลับ (มิได้เฉลัยวใจสักนิด ว่าเหตุไร หลวงปู่จึงทราบความในใจของเรา)

    ภายหลัง ได้อ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ทำให้นึกเสียใจว่า ทำไมเราไม่ไปขอฟังธรรมจากท่านในตอนนั้นเพราะเนื้อธรรมที่แสดงนั้นเป็นธรรมล้วนๆ ไม่ว่าทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยเฉพาะเรื่องจิตคือพุทธะ และประโยคที่กินใจมากคือ “คนเราเป็นทุกข์เพราะความคิด”

    คำพูดของหลวงปู่ดูลย์ ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกับสาย มโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความกังขาข้องใจของผู้เขียนมาก หลวงพ่อดู่ท่านคงรู้ความคิด ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย”

    [​IMG]

    ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ววิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็น พระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม”

    นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน “แสดงถึงว่า เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ถึงวิมุติธรรม คือความเสมอภาคของธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธประเพณี นิมิตนั้นก็แสดงอีกโดยพระพุทธเจ้านั่งเป็นประธานตามด้วยพระอัครสาวก และพระ ผู้ใหญ่ตามลำดับอาวุโส

    วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าถึงการ ปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี

    องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

    ผู้เขียนถึง บางอ้อในคำสอนของท่าน ซึ่งสุดท้ายก็มาอยู่ในแบบเดียวกัน ตรงกับที่หลวงปู่ดูลย์ พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลวงพ่อท่านสอนแบบพระโพธิสัตว์ที่บุญญาธิการเต็มเปี่ยมแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ

    (ที่มา : หนังสือร่มเงาพุทธฉัตร พระอาจารย์ศุภรัตน์เป็นผู้เขียน)
    http://www.watthummuangna.com/home/community/


    จิตเดิมแท้ ที่หลวงปู่ดูลย์ และหลวงปุ่ดู่พูดถึงความว่างของพระนิพพานนั้น ผู้ที่ปฏิบัติในมหาสติปัฏฐาน จนเข้าถึงทาง หรือ มรรค แล้วปรากฏการณ์ที่จิตได้เห็น จะเข้าใจสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์ พูดไว้ หรือสภาวะนิพพาน ที่หลวงปู่ดู่กล่าวถึง ชัดเจนด้วยจิตตนเอง

    ส่วนผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ ในขั้นที่จิตมีกิเลสเหลือน้อยแล้ว จิตได้ไปสัมผัสรูปนิมิตต่างๆในสภาวะนิพพานได้ เหมือนกับผู้ฝึกได้ทำจิตของตนให้ว่างๆไว้ ภาพต่างๆก็จะมาปรากฏให้เห็นตราบใดที่สักแต่เห็นเฉยๆไม่มีการปรุงแต่ง ก็จะได้เห็นภาพต่างๆทั้งในอดีต จนกระทั่งต่อไปในอนาคต ทำให้เห็นเหตุปัจจัยต่อไปถึงผลที่จะเกิดในอนาคต เป็นวงรอบ ทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆมันเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นของจริง นอกจากจิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้น ..ฯลฯ


    ขอบคุณข้อมูล..http://www.ainews1.com/article509.html

    http://www.watthummuangna.com/home/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.3.jpg
      4.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.6 KB
      เปิดดู:
      12,871
    • 139_resize.jpg
      139_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.8 KB
      เปิดดู:
      12,974
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...