ว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ ในวรรคที่ ๔๔

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 10 มิถุนายน 2011.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๑๕๓


    คัมภีร์ขุททกนิกาย พระอปทาน
    <O:p


    ว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ ในวรรคที่ ๔๔<O:p


    <O:p


    อิมมฺหิ ภทฺทเก กปฺเป พฺรหฺมพนฺธุ มหายโส
    <O:pกสฺสโป นาม โคตฺเตน อุปฺปชฺชิ วทตํ วโรติ.


    <O:p</O:p

    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงคัมภีร์พระอปทาน กัณฑ์ที่ ๑๕๓ ว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ ในวรรคที่ ๔๔ สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตลอดกาลนานหาประมาณมิได้




    เรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ ในวรรคที่ ๔๔



    ดำเนินความตามวาระพระบาลี อันมีในวรรคที่ ๔๔ ว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้าทั้ง ๑๐ องค์ ไปตามลำดับพระบาลี ที่เป็นถ้อยคำของพระเถรเจ้าเหล่านั้นว่า พระเถรเจ้าองค์ที่ ๑ เมื่อได้สำเร็จพระอรหัตแล้ว ได้กล่าวไว้ว่า ในภัททกัลป์อันนี้ พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของพราหมณ์ ผู้มียศใหญ่ ผู้เป็นครูของเทพยดา มนุษย์ ได้เกิดขึ้นในโลกพระพุทธเจ้าแล้วนั้น เราก็ได้ถือเอาส่วนหนึ่งแห่งการบูชา ซึ่งไม้ศรีมหาโพธินั้น เราได้บำรุงไม้ศรีมหาโพธิ ได้ไหว้ไม้ศรีมหาโพธิทุกวัน กรรมที่เรากระทำในเวลาใกล้ตาย ก็ทำให้เราไปสู่เทวโลก เราได้ทิ้งซากของเราไว้แล้ว เราก็ได้ไปยินดีในเทวโลก ได้มีพวกดนตรี ๖ หมื่นประโคมบูชาเรา มาถึงกัลป์ที่ ๗๑ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้มีดนตรีถึง ๘๐๐ บำเรอเราอยู่ทุกเมื่อ เราได้เสวยกรรมของเราที่เราได้บำรุงไม้ศรีมหาโพธิมาแล้วนั้น ไม่ว่าเราจะเกิดในกำเนิดเทพยดา หรือมนุษย์ใดๆ ถึงแม้เวลาอยู่ในท้องมารดาก็ดี ก็มีเครื่องประโคมเราทุกเมื่อเพราะเหตุที่เราบำรุงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เสวยสมบัติทั้งหลาย บัดนี้เราได้ถึงซึ่งธรรมอันเกษม อันไม่มีมลทิน อันไม่ตาย อันไม่หวั่นไหวแล้ว นับแต่เราได้บูชาไม้ศรีมหาโพธินั้นมาได้ ๙๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า มาบัดนี้ เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้วเราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้

    </O:p
    องค์ที่ ๓ ได้กล่าวไว้ว่า พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้ชนะมารผู้ทรงรับเครื่องสักการบูชาของโลก ได้เสด็จเข้าสู่พระนครพร้อมด้วยพระอรหันต์แสนองค์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่พระนครนั้น ได้มีเสียงกึกก้องทั่วท้องถนนหลวง ในการต้อนรับพระองค์ เราได้เห็นพระองค์กับทั้งปาฏิหาริย์แล้วก็เลื่อมใสว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า น่าอัศจรรย์แท้ เพราะเครื่องดนตรีซึ่งไม่มีจิตวิญญาณก็ดังขึ้นเอง จำเดิมแต่นั้นมาได้แสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้า มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้วได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอน


    <O:pองค์ที่ ๔ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้รุ่งเรืองดังดอกกรรณิการ์ และรุ่งเรืองดังต้นประทีป มีรัศมีดังทองคำ เราก็วางเต้าน้ำและผ้าเปลือกปอลง แล้วก็ทำผ้าหนังสัตว์ลดไหล่ลงข้างหนึ่ง แล้วก็กล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า พระองค์ได้ทรงแสดงแสงสว่าง แห่งพระปรีชาญาณอันกำจัดความมืด กำจัดข่าย คือ โมหะเสียได้แล้ว พระองค์ได้ข้ามพ้นไปแล้วทั้งได้ทรงช่วยสัตวโลกทั้งสิ้นให้ข้ามพ้นไป ไม่มีผู้ใดจะมีปรีชาญาณเสมอกับพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่โลกถวายพระนามว่า พระสัพพัญญู เพราะพระองค์ทรงรู้สิ่งทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ผู้แกล้วกล้าใหญ่ ผู้เป็นสัพพัญญู ผู้ไม่มีอาสวะ จำเดิมแต่เราได้สรรเสริญพระพุทธเจ้านั้นมาได้แสนกัลป์ เราไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญความรู้ของพระพุทธเจ้า บัดนี้เราได้เผากิเลสสิ้นแล้วได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว ดังนี้เป็นต้นเหมือนกับที่แล้วมา


    <O:pองค์ที่ ๕ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้เป็นนายประตูอยู่ที่เมืองพันธุมดี ได้เห็นพระวิปัสสีพุทธเจ้าเสด็จเดินมา ก็ได้ถวายอ้อยลำหนึ่งแด่พระองค์ จำเดิมแต่นั้นมาได้ ๙๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย ดังนี้ ส่วนถ้อยคำที่ยังเหลืออย่ก็เหมือนกับถ้อยคำขององค์ที่แล้วมา


    <O:pองค์ที่ ๖ ได้กล่าวไว้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ระหว่างภูเขาชื่อว่า โลมสบรรพต เรามีใจเลื่อมใส ได้ถวายมันอ้อนแด่พระองค์ จำเดิมแต่นั้นมาได้ ๙๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายมันอ้อน บัดนี้เราได้เผากิเลสแล้ว ดังนี้เป็นต้น ส่วนถ้อยคำที่ยังเหลืออยู่ เหมือนกับที่เคยแสดงมาแล้ว


    องค์ที่ ๗ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าใหญ่ เราก็ได้นำเอามะกอก ๑ ผลไปถวายแด่พระองค์ จำเดิมแต่นั้นมาได้ ๓๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายมะกอก มาบัดนี้เราได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ดังนี้เป็นต้น เหมือนกับที่แล้วมา

    <O:pองค์ที่ ๘ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้นำผลสมอ มะขามป้อม มะม่วง ลูกหว้า สมอพิเภก ผลเล็บเหยี่ยว ผลกระเบา ผลมะตูมไป ก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงอาพาธอยู่ที่เงื้อมภูเขาแห่งหนึ่ง เราก็ได้นำผลสมอไปถวาย พอพระองค์ทรงเสวยผลสมอแล้ว พระอาพาธนั้นก็หายไป พระพุทธเจ้าทรงหายอาพาธแล้วก็ได้ทรงอนุโมทนาว่า ด้วยผลแห่งการที่เธอถวายยาอันระงับอาพาธในคราวนี้ เธอจะเกิดเป็นเทพยดา มนุษย์ ในชาติๆ ก็ตาม ก็จะมีความสุขในที่ทั้งปวง ความเจ็บไข้จะไม่มีแก่เธอ ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็เสด็จไปโดยทางอากาศ นับแต่ชาตินั้นมา ความเจ็บไข้ไม่เคยมีแก่เราเลย มาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้จำเดิมแต่เราได้ถวายยานั้นมาได้ ๙๔ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายยา มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสแล้ว ดังนี้เป็นต้นเหมือนกับถ้อยคำขององค์ที่แล้วมา


    <O:pองค์ที่ ๙ ได้กล่าวไว้ว่า ในคราวนั้น เราได้เกิดเป็นพญาช้าง มีงาดังงอนไถ มีร่างกายสูงใหญ่ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นพระสิทธัตถพุทธเจ้าแล้ว ก็เก็บเอาผลมะม่วงไปถวาย เวลาเราตายแล้ว เราก็ได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์ เวลาจุติจากดุสิตสวรรค์ ก็ลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้เสวยสมบัตินานาประการ บัดนี้เราได้ตั้งความเพียรแล้ว ได้สงบระงับแล้ว สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว จำเดิมแต่นั้นมาได้ ๙๔ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายมะม่วง บัดนี้เราได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ดังนี้เป็นต้น เหมือนกับถ้อยคำขององค์ที่แล้วมา

    <O:pองค์ที่ ๑๐ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อองค์พระปทุมุตคตรพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในโลก ผู้คงที่ ผู้มียศสูง ได้เสด็จเข้าไปเที่ยวบิณฑบาต เราได้นำเอาผลไม้ที่มีรสอันเลิศไปถวายแด่พระองค์ บัดนี้เราได้ถึงซึ่งที่อันไม่หวั่นไหวได้ละเสียซึ่งความชนะ ความแพ้แล้ว จำเดิมแต่นั้นมาได้แสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย มาบัดนี้ เราได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะแล้วการที่เรามาสู่สำนักของพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้ สิ้นเนื้อความในเทศนากัณฑ์นี้เพียงเท่านี้.

    <O:pเอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...