ว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ในวรรคที่ ๔๓

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 8 มิถุนายน 2011.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    กัณฑ์ที่ ๑๕๒
    คัมภีร์ขุททกนิกาย พระอปทาน
    <O:pว่าด้วยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ในวรรคที่ ๔๓
    <O:p<O:p(ฉบับ ส.ธรรมภักดี)

    </O:p
    วิปสฺสิโน ภควโต ปาฏลึ โพธิมุตฺตมํ
    <O:pทิสฺวาว ตํ ปาทปคฺคํ ตตฺถ จิตฺตํ ปสาทยีฯ
    <O:pสมฺมชฺชนึ คเหตฺวาน โพธึ สมฺมชฺชิ ตาวเท
    <O:pสมฺมชฺชิตฺวาน ตํ โพธึ อวนฺทึ ปาฏลึ อหนฺติ.
    <O:pณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงคัมภีร์พระอปทาน กัณฑ์ที่ ๑๕๒ ว้าดวยเรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ ในวรรคที่ ๔๓ สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตลอดกาลนาน


    เรื่องพระเถรเจ้า ๑๐ องค์ในวรรคที่ ๔๓

    <O:pดำเนินความตามวาระพระบาลี อันมีในวรรคที่ ๔๓ ว่า พระเถรเจ้าทั้ง ๑๐ องค์ ซึ่งจักยกขึ้นแสดงในกัณฑ์นี้นั้น ได้แสดงบุพพกรรรมของท่านไว้ต่างๆ กัน ในเมื่อท่านได้สำเร็จพระอรหัตแล้ว คือองค์ที่ ๑ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้เห็นไม้ศรีมหาโพธิของพระวิปัสสสีพุทธเจ้า ก็เกิดความเลื่อมใส ได้ปัดกวาดบริเวณไม้ศรีมหาโพธิให้สะอาด แล้วก็กลับไป เมื่อเดินไปตามทางก็ได้ถูกงูเหลือมรัดจนถึงกับความตาย เวลาเราตายแล้ว เราก็ได้ขึ้นไปเกิดในเทวโลก เราไม่เคยมีจิตขุ่นมัว มีจิตผ่องใสอยู่ทุกเมื่อ ไม่เคยรู้จักความเศร้าโศก ความเร่าร้อน ไม่เป็นโรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคคุดทะราด โรคหิดด้านหิดเปื่อยเลย ความเศร้าโศก ความเร่าร้อน ไม่เคยมีในหัวใจของเรา หัวใจของเราไม่ตื่นเต้น มีแต่คงที่อยู่เสมอ เราต้องการสมาธิใดๆ สมาธินั้นๆ ก็สำเร็จแก่เรา เราไม่ยินดี ยินร้าย หรือลุ่มหลง ในอารมณ์ที่น่ายินดี ยินร้าย หรือน่าลุ่มหลง นับแต่นั้นมาได้ ๙๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้ เป็นผลแห่งการปัดกวาดซึ่งบริเวณไม้ศรีมหาโพธิ์มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้


    องค์ที่ ๒ ได้กล่าวไว้แล้ว เราได้เป็นคนหาหญ้ามาขายอยู่ที่เมืองหงสวดี ในคราวนั้นพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นในโลก เราได้คิดอยู่ที่เรือนของเราว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้ว เราไม่มีสิ่งใดจะถวาย มีแต่ผ้าขาวผืนเดียวเท่านี้ แต่นรกย่อมเป็นของมีทุกข์มาก ครั้นเราคิดดังนี้แล้ว เราจึงถือเอาผ้าผืนนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงรับด้วยทรงพระกรุณา แล้วทรงพยากรณ์เราไว้ว่า ผู้นี้จักไม่ได้ไปสู่อบายภูมิตลอดแสนกัลป์ จักได้เป็นพระอินทร์อยู่ ๓๖ ชาติ จักได้เป็นจักรพรรดิอยู่ ๓๓ ชาติ จักได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ เมื่อเรายังเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในเทวโลก มนุษยโลก เราก็เป็นผู้มีรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และผ้านับไม่ถ้วน นับแต่นั้นมาตลอดแสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสแล้วได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้

    <O:pพระเถรเจ้าองค์ที่ ๓ ได้กล่าวไว้ว่า ภูเขาหนึ่งชื่อว่ากสิกบรรพตอยู่ที่ใกล่ป่าหิมพานต์เราได้สร้างอาศรมบทบรรณศาลาอยู่บนภูเขานั้น เราได้เป็นดาบส ชื่อว่า นารทะ เป็นผู้แสวงหาซึ่งหนทางอันบริสุทธิ์อยู่ในคราวนั้น เวลาได้เห็นพระปทุมมุตรพุทธเจ้าเสด็จมา เราก็จักเตี่ยงไม้ตั้งถวายแล้วปูด้วยหนังสัตว์ กราบทูลให้ประทับนั่ง เมื่อพระองค์ประทับนั่งแล้วก็ตรัสว่า เธอจงวางใจเถิด อย่ากลัวเลย เธอได้แก้วดวงประเสริฐแล้ว เธอปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังปรารถนา เธอได้ทำบุญไว้เพียงเล็กน้อยในนาบุญอันเยี่ยม แต่อาจช่วยตัวของเธอได้เพราะได้ตั้งใจไว้ดีแล้ว ด้วยผลแห่งการถวายตั่งที่นั่งนี้กับด้วยความตั้งใจอันดีของเธอ เธอจักไม่ไปสู่อบายภูมิตลอดแสนกัลป์จักได้เป็นพระอินทร์อยู่ ๕๐ ชาติ จักได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๗๐ ชาติ จักได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ จักมีความสุขในที่ทั้งปวง ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จกลับไปโดยทางอากาศ นับแต่ชาตินั้นมา เราก็บริบูรณ์ด้วยช้าง ม้า รถ ยศ ศักดิ์ บริวาร แม้แต่เวลาเราอยู่ในป่า เมื่อเราต้องการทั่งขึ้นมาเวลาใด ก็มีบัลลังก์เกิดขึ้นในเวลานั้น ถึงเราอยู่ในท่ามกลางน้ำก็ตาม เมื่อเราต้องการที่นั่งก็มีบัลลังก์ก็เกิดขึ้นทันที ไม่ว่าเราเกิดเป็นเทพยดา มนุษย์ใดๆ ได้มีบัลลงก์ตั้งแสนเกิดขึ้นแก่เรา ในเวลาที่เรายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่นั้น เราก็ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ กับตระกูลพราหมณ์ ซึ่งเป็นตระกูลสูงเท่านั้น นับจากนั้นมรตลอดแสนกัลป์ เราไม่รู้จักทุคติเลย มาบัดนี้ เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้ปงวงแล้วได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักของพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้วเราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดังนี้

    <O:pพระเถรเจ้าองค์ที่ ๔ ได้กล่าวไว้ว่า มี พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ พระองค์อยู่ที่เชิงภูเขากะทัมพะ ใกล้ป่าหิมพานต์ เราได้เก็บเอาดอกกะทัมพะ คือดอกกะทุ่มไปบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้ง ๗ พระองค์นั้น ด้วยความเลื่อมใส เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้ว เราก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาได้ ๙๔กัลป์ เราไม่รู้จักทุคติเลย มาบัดนี้เราได้เผากิเลสิ้นแล้ว ได้ถอนภพพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว การที่เรามาสู่สำนักของพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดังนี้


    <O:pพระเถรเจ้าองค์ที่ ๕ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งก่อนโน้น เราเป็นคนทำการงานอยู่ในป่า ได้เลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์ ไม่ได้ทำกุศลอันใดไว้ในคราวนั้น พระติสสพุทธเจ้าได้เสด็จไปใกล้ที่อยู่ของเราได้ทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ ๓ รอย เราได้เห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใส ได้เก็บเอาดอกหางช้างไปบูชารอยพระบาท เราตายจากชาตินั้นแล้วก็ได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ต่อจากนั้นมา เราเกิดเป็นเทพยดาหรือมนุษย์ใดๆ ก็ตาม เราก็มีสีกายเหมือนกับสีดอกหางช้าง ตั้งแต่นั้นมาได้ ๙๒ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการบูชารอยพระบาทพระพุทธเจ้า มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ได้สิ้นอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้

    <O:pพระเถรเจ้าองค์ที่ ๖ ได้กล่าวไว้ว่า เราได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นโรคลมอยู่ที่ป่าใหญ่ เราได้ตักน้ำใสๆ ไปถวาย จำเดิมแต่นั้นมาเราได้เป็นพระอินทร์อยู่ ๕๐ ชาติ ได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๕๐ ชาติ ได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาได้ ๙๒ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดังนี้

    <O:pองค์ที่ ๗ ได้กล่าวไว้ว่า ในคราวนั้นเราได้เป็นฤาษี มีฤทธิ์มากไปในอากาศได้ แต่ไม่อาจไปในเบื้องบนของพระพุทธเจ้าได้ เราจึงพิจารณาดูก็รู้ว่าพระปทุมุตตรพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ เราจึงได้ลงมาจากอากาศ ได้ตั้งใจฟังการทรงแสดงธรรมของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสดงซึ่งความไม่เทที่ยง เราก็จำความไม่เที่ยงไว้ แล้วกลับไปสู่อาศรมของเรา เวลาเราตายจากดาวดึงสวรรค์ ได้เสวยสุขอยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป์ เราได้เป็นพระราชาแห่งเทวดา อยู่ ๕๑ ชาติ ได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๓๑ ชาติ ได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ เราได้เสวยบุญของเราแล้ว เราได้มีความสุขอยู่ในภพน้อยภพใหญ่แล้ว เมื่อเรายังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ก็นึกถึงความไม่เที่ยงนั้นได้ แต่ยังไม่สำเร็จนิพพาน เมื่อองค์พระศาสดาจารย์ ได้ทรงแสดงความไม่เที่ยงอยู่ที่เรือนบิดาของเราว่า


    อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน

    อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺต เตสํ วูปสโม สุโข




    ดังนี้ เราจึงนึกถึงความไม่เที่ยง ซึ่งเราได้ฟังมาในชาติก่อนนั้นได้โดยละเอียด แล้วจึงได้สำเร็จพระอรหัต เราได้สำเร็จพระอรหัตเมื่ออายุได้ ๗ ขวบ แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงให้อุปสมบทแก่เรา อันนี้เป็นผลแห่งการฟังธรรม นับแต่เราได้ฟังธรรมนั้นมาได้แสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย มาบัดนี้เราก็ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดังนี้

    องค์ที่ ๘ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อชาติก่อนโน้น เราได้เป็นชาวนาอยู่ที่เมืองหงสวดี ได้ถวายข้าวใหม่แก่พระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระปทุมุตตระพุทะเจ้าเป็นประธาน ด้วยความเลื่อมใส เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้ว เราก็ได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ มีวิมานทองสูง ๗ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ สะพรึบพร้อมด้วยหมู่นารี เราได้เป็นพระราชาแห่งเทวดาอยู่ ๔ พัน ๕๐๐ ชาติ ได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๕๐๐ ชาติ ได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ เรายังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เราก็ได้ทรัพย์หาประมาณมิได้ ความบกพร่องในทางทรัพย์ของเราไม่มี เราบริบูรณ์ด้วยยานช้าง ยานม้า เสลี่ยง คานหาม ผ้าใหม่ ผลไม้ใหม่ อาหารใหม่ๆ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าเปลือกปอ ผ้าป่าน ล้วนใหม่ๆ เสมอ เราบริบูรณ์ด้วยทาสหญิง ทาสชาย ไม่มีความหนาว ความร้อน ความทุรนทุรายเบียดเบียนเรา เราได้ถวายข้าวใหม่ในเมื่อทำนาเสร็จแล้วใหม่ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์แล้ว เราก็ได้อานิสงส์ ๘ ประการ คือ


    มีสีกายดี ๑

    มียศ ๑
    มีทรัพย์มาก ๑
    ไม่มีเสนียดจัญไร ๑
    มีอาหารมากทุกเมื่อ ๑
    มีบริวาร ไม่แตกกัน ๑
    คนทั้งปวงนอบน้อม ๑
    มีของให้ทานทุกเมื่อ ๑
    มีพวกทายกมาให้ทานแก่เราเสมอ ๑






    รวมเป็น ๘ ประการด้วยกัน นับแต่ชาตินั้นมาตลอดแสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายข้าวใหม่ มาบัดนี้เราได้เผากิเลสสิ้นแล้วถ ถอนภพทั้งปวงแล้ว สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดลอกแล้ว สิ้นอาสวะแล้ว ได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้




    <O:pองค์ที่ ๙ ได้กล่าวไว้ว่า ในคราวนั้นเราได้ออกบรรพชาเป็นฤาษีได้นึกถึงพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า ในเวลาเราเป็นไข้หนักแล้วก็กวาดทรายมาก่อเป็นเจดีย์ขึ้น ได้เก็บเอาดอกไม้มาบูชาเจดีย์ทรายนั้นด้วยความเลื่อมใส เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเกิดในเทวโลกได้มีผิดพรรณดังทองคำ ได้มีนารีถึง ๘๐ โกฎิ มีดนตรี ๖ หมื่นเครื่องบำเรอเราอยู่เสมอ เวลาเราลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เราก็บริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ยศ บริวารเป็นอันมาก เราได้เป็นพระราชาแห่งเทวดาอยู่ ๕๘ ชาติ ได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๗๑ ชาติได้เป็นพระราชาเฉพาะประเทศนั้นๆ อยู่นับชาติไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาได้ ๑๑๘ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุกคติเลย มาบัดนี้ เราได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้วได้สำเร็จวิชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้



    <O:pองค์ที่ ๑๐ ได้กล่าวไว้ว่า เราเห็นพระปทุมุตตรพุทธเจ้าก็ไปเฝ้า ได้ล้างพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำ ในเต้าน้ำของเรา แล้วเราก็ได้เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ตลอด ๑๕ กัลป์ ได้เป็นจักรพรรดิราชอยู่ ๓๓ ชาติไม่ว่าเราจะเดิน ยืน อยู่ในเวลากลางวันหรือกลางคืน อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีผู้ถือเต้าน้ำทองคำไปวางไว้ข้างหน้าของเราเสมอ ตั้งแต่นั้นต่อมาได้พระกัสสปพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ไม่มีเครื่องชักช้า ไม่มีเครื่องยึดหน่วง มีพระหฤทัยเสมออากาศ เป็นผู้มากไปด้วยความว่างเปล่า เป็นผู้คงที่ เป็นผู้ยินดีในธรรมอันไม่มีนิมิต เป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้ไม่มีความหวัง ไม่มีความติด ไม่คลุกคลีในตระกูล หมู่คณะ เป็นผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณาเป็นผู้ฉลาดในอุบายเครื่องแนะนำ เป็นผู้ทรงขวนขวายในกิจของผู้อื่นเป็นทรงแนะนำมนุษยโลก เทวโลก เป็นผู้ทรงแสดงทางนิพพาน ซึ่งเป็นทางอันกำจัดเปือกตม คือคติให้แห้งไป เป็นทางไม่ตาย เป็นทางให้ความยินดีอย่างยิ่ง เป็นเครื่องห้ามชรา มรณะ พระกัสสปพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ทรงทำโลกให้ข้ามไป เป็นผู้มีเสียงเพราะดังเสียงนกการเวก เป็นที่พึ่งของโลก เป็นผู้มีเสียงดังเสียงพรหม เป็นผู้ถึงซึ่งธรรมอันแท้ได้ประทับนั่งในท่ามกลางประชุมชน พระกัสสปทศพลนั้นได้ทรงรื้อขนซึ่งสตวโลกให้พ้นจากทุกข์ใหญ่ ได้ทรงแสดงธรรมอันปราศจากธุลี เราได้เห็นองค์พระกัสสปชินศรี ผู้เป็นที่พึ่งของโลกนั้นแล้ว เราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ได้บรรพชาในพระธรรมวินัย ครั้นเราบรรพชาแล้วก็คิดถึงคำสอนของพระองค์ได้ออกไปอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว การออกไปอยู่ในป่าแต่ผู้เดียวของเราเป็นอุปนิสัยอันเดียวของเราผู้เห็นภัยในการคลุกคลี บัดนี้เราได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ไม่มีอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนึกพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้วเราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้ฯ ได้ใจความว่า การที่พระเถรเจ้าองค์นี้ได้บรรพชาในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้าแล้วได้ออกไปเจริญธรรมอยู่ในป่านั้นเป็นอุปนิสัยให้ท่านยินดีอยู่ในป่าในครั้งพระพุทธศาสนานี้จนกระทั่งได้สำเร็จพระอรหัต ดังนี้




    <O:pพระเถรเจ้าองค์ที่ ๒ ได้กล่าวไว้ว่า ได้มีการบูชาไม้ศรีมหาโพธิ์แห่งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาชนได้มาประชุมกันบูชาด้วยถือว่าผู้มีปัญญาปราศจากความเศร้าโศกใหญ่จักได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ไม้ศรีมหาโพธินี้เป็นที่บูชาขององค์พระศาสดา ซึ่งได้สำเร็จเป็นแสนกัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย มาบัดนี้ เราได้เผากิเลสสิ้นแล้วได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้สลัดเครื่องผูกเหมือนช้างสลัดปลอกแล้ว ได้สิ้นอาสวะแล้ว การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้ว ได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้



    จบวรรคที่ ๔๓ เพียงเท่านี้.



    <O:pเอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้.ฯ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...