ว่าด้วยเรื่องของความฝัน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 8 กันยายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,177
    ถาม : แล้วบางทีก็ฝันเหมือนกับคล้ายๆ ว่าบอกล่วงหน้าว่าต้องเกิดอย่างนั้นขึ้น พอฝันเหมือนเดิมก็ต้องเกิดอย่างนี้นะ ต้องเลี่ยงอย่างนี้นะ บางทีก็เหมือนกับรู้ล่วงหน้าครับ บางทีก็ฝันถึงหลวงพ่อ ?

    ตอบ : หมั่นสังเกตไว้ก็แล้วกันว่าลักษณะไหนมันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงก็ให้ระมัดระวังเอาไว้ จุดที่จะสังเกตได้ง่ายๆ ก็อย่างว่าถ้าฝันใกล้รุ่งนี่มักจะแม่นเพราะว่าจิตใจของเรานี่ปกติฟุ้งซ่านอยู่แล้ว

    แต่ว่าหลังจากที่มันฟุ้งมาทั้งคืน ที่โบราณเขาว่า กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางวันมันก็โลดแล่นไปตามอำนาจของมัน กลางคืนก็อุตส่าห์เก็บไปฝันอีก ลักษณะอย่างนั้นตอนใกล้สว่างจิตมันฟุ้งซ่านมาพอแรงหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ถึงเวลาพักของมันแล้วใจมันจะสงบลงชั่วครู่ชั่วยาม ถ้ารู้เห็นอะไรจะแม่น นั่นเขาเรียกเทพสังหรณ์

    ถาม : บางทีผมฝันถึง พอเช้าขึ้นมา คนนั้นโทรมาเลยครับเหมือนในฝันเลยครับ ?

    ตอบ : ก็ดีแล้วไง ต่อไปจะได้มีอะไรมีเครื่องหมายให้สังเกตได้ ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นจะแก้ไขยังไงในฝันมันรู้ก่อนแล้ว เราก็เห็นช่องทางได้ง่ายขึ้น พวกลางสังหรณ์นี่จริงๆ มันก็คือทิพจักขุญาณ แต่มันเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน มันไม่คล่องตัว ต้องรอจังหวะรอเวลาให้สภาพจิตสงบนิ่งลงล๊อคของมันพอดี

    ถาม : ในความฝันนั้น เราจะเข้าใจความฝันนั้น แปลออกอีกไม่นาน เหตุการณ์ที่เราฝันนั้นมันจะเป็นจริงตามนั้นเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าเทพนิมิต ?

    ตอบ : บางทีมันก็เป็นกรรมนิมิตเหมือนกันแล้วแต่ อาตมาเคยเจอกลางวันแสกๆ เลยกำลังนอนภาวนาๆ อยู่ เห็นงูจงอางตัวเบ้อเร่อเลื้อยมา ตอนนั้นบวชใหม่ๆ ก็อยู่กุฏิเล็กๆ ตรงหลังร้านอาหารของป้ากิมกี กุฏิหลังนั้นมันจะมีต้นพุทราขึ้นคลุมอยู่ครึ่งค่อนกุฏิ อากาศตอนบ่ายก็จะเย็นสบายมากเลยเพราะต้นพุทราคลุมอยู่ แดดมันส่องไม่ถึงนอนภาวนา ภาวนาเพลินๆ อยู่ๆ งูจงอางยักษ์มันเลื้อยมาตามยอดพุทราไหวระเนมาตลอดเลย มันเหลือบเห็นเราเข้าก็พุ่งเข้ามาทางหน้าต่างจะฉกใส่ เราตกใจตัวแข็งขยับไม่ได้ซิ หลวงพ่อไม่รู้โผล่มาจากไหน เอาไม้เท้าสะกิดคางมันเลยหัวเรา คือแทนที่จะฉกใส่หน้าเรามันเลยหัวฉกใส่พื้นเสียงดังปั้งสนั่นเลย แล้วมันก็เลื้อยลงข้างล่างบันไดไปเสียงเลื้อยไปตามพื้นเสียงดังแสก ๆ ๆ ได้ยินถนัดหูเลย เราก็ตกใจสุดขีด

    พอดิ้นหลุดออกจากอาการช๊อคได้ อารามตกใจวิ่งหนีงูด้วยการเผ่นลงบันไดตามไปด้วย กลายเป็นวิ่งตามลงบันได ไป พอลงไปถึงตีนบันไดชะงัก เฮ้ย ! งูมันลงไปนี่หว่า เราก็มองใต้บันได ไม่มี มองรอบๆ กุฏิไม่มี ก็เหลือห้องน้ำแห่งเดียว ก็เปิดห้องน้ำดูก็ อ้าวไม่มี นึกขึ้นได้ เฮ้ย ! หลวงพ่อยังอยู่ข้างบน วิ่งขึ้นมาหลวงพ่อก็ไม่มี ไปดูก็อ้าว หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดทั้งมุ้งลวด ตัวนิมิตนี่เวลามันเกิดมันซัดขนาดนี้นั่นแหละ เวลาที่งูมันฉกเราผิดนี่ ตัวมันฟาดใส่เราๆ ยังรู้สึกจุกเลยมันหนักนี่ ก็เลยมานั่งตีความ อ๋อ....ลักษณะนี้ต้องเป็นนิมิตแน่เลย

    งูนี่โบราณส่วนใหญ่เขาว่า เป็นผู้หญิง งานนี้มันเอาเราแน่แล้วถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยตายแหงๆ เลย หลังจากนั้นไม่กี่วันเขามาจริงๆ แปลกมากผู้หญิงคนนี้ถ้านับว่าสวยก็ไม่ใช่คนสวย หน้าตารูปร่างลักษณะแบบนี้ก็ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเรา แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย จะให้เรามองเขาท่าเดียว กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเขาอยู่บริเวณนั้นต้องมองเขาอย่างเดียว สดวมนต์ตาก็เหลือบมองเขา เวลาทำวัตรอย่างนี้ เวลานั่งกรรมฐานแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาก็กลายเป็นว่าลืมตามองเขา มันฟุ้งซ่านจนทำอะไรไม่ถูกเลย เราก็รู้ตัวว่าลักษณะอย่างนี้เราแย่แน่ๆ ถ้าหากว่าเราพูดด้วยแม้แต่คำเดียวเสร็จเขาแน่นอนเลย เราก็พยายามจะเลี่ยงจะหลบ เขาเองเขาก็เหมือนจะรู้ตัว ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนเขาจะแถเข้ามาใกล้ๆ พยายามที่จะพูดด้วย พอเขาเอ่ยปากเราเดินหนีเลย รู้ว่าขืนต่อปากต่อคำแม้แต่คำเดียวเสร็จแน่ๆ ก็ประเภทที่เรียกว่า หมุนหัวปั่นอยู่ได้ ๒ วัน วันที่ ๓ หลวงพ่อเรียกให้ไปเป็นยามหน้าตึก ตรงจุดนั้นเขาถือว่าเป็นเขตหวงห้ามกลายๆ ไม่มีธุระห้ามเข้าอยู่แล้ว เขาก็เลยไปไม่ได้ในเมื่อเขาไปไม่ได้แล้วเรื่องอะไรเราจะโผล่หัวออกมา (หัวเราะ)

    พอพ้นระยะพ้นเวลาของมันไป เขาก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจของเราได้อีก แล้วของพวกนี้ประมาทไม่ได้ เดี๋ยวคนใหม่มันจะมาเพราะฉะนั้นนิมิตแบบนี้ถ้าหากว่าเรารู้ตัว รู้แล้วระวังล่วงหน้าก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน แปลกมากเลยคือผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้อยู่ในสเป๊คของเราเลยนะ แต่โอ้โหแรงดึงดูดมหาศาลมากเลย ทำอะไรไม่ถูกเลยต้องมองเขาอย่างเดียว ประเภทคู่เวรคู่กรรมกันเลยล่ะ พอพ้นระยะไปแล้วจะพ้นไปเลย แต่ทีนี้เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนี่ เดี๋ยวคนอื่นก็จะมามีอิทธิพลอีกอย่างนี้ แต่ว่าที่หนักๆ แบบนี้เพิ่งเจอรายเดียว นอกนั้นเรื่องเล็ก เล่นเอาเราป่วนเหมือนกัน คนไหนเกิดร่วมกับเรามากก็มีอิทธิพลมากหน่อย เกิดร่วมกับเราน้อยอิทธิพลก็น้อยหน่อย

    ถาม : แล้วทำอย่างไรให้พ้นคะ ?

    ตอบ : รีบไปนิพพานซะ ง่ายนิดเดียว

    ถาม : ก็ตอนนั้นมันยังไม่ได้ไปนี่คะ ?

    ตอบ : ตอนนั้นสติปัญญามีเท่าไหร่ก็ต้องงัดออกมาทั้งหมดแหละ ไม่งั้นลุ้นเขาไม่ขึ้นหรอก เพราะว่ามันเหมือนกับงูเหลือมกับเชือกกล้วย มันแพ้กันไปครึ่งหนึ่งแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ ลักษณะอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของเราเลยอยู่ๆ มามีอิทธิพลมหาศาลเอาดื้อๆ ถ้าเป็นคนที่ใช่เลยนี่เราเผลอเมื่อไหร่ตายแน่ (หัวเราะ) เป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันถ้ายังไม่เจอกับตัวเองก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่นะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกันตอนนั้นไปวัดหลวงพ่ออุตตะมะ พอกราบหลวงพ่อทำบุญเสร็จก็พาโยมลงไปซื้อของที่ลานเจดีย์ เดินๆ ดูไปกิจการมันก็ไม่ค่อยดีหรอก มีอยู่ร้านหนึ่งแม่ค้าฟุบหลับ เราเองจะซื้อของก็เดินผ่านไปเสียงไม้มันไหวเขาก็เลยลืมตาเงยหน้าขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมาใจเราหล่นวูบเลย เราก็ตกใจรีบดึงกำลังใจคืนมาใหม่ตั้งใจมองแล้วมองอีก อะไรวะ หน้าตาก็งั้นๆ แหละ ทำไมใจเรามันไหวชนิดที่เรียกว่าเกือบจะหลุดจากสมาธิไปเลย ก็มานั่งไล่ดูว่าสภาพจิตใจของเราเป็นยังไงถึงได้เจออย่างนี้เข้า ไล่ไปไล่มาเสร็จเรียบร้อยอะไรรู้มั้ย ? ไปเจอหน้ามันเข้าตรงที่ว่า เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงแค่นี้เองแหละ กระทุ้งเราเกือบหลุดแน่ะ ไม่น่าเชื่อเลย แค่เราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงเท่านั้นเอง

    ในเมื่อเราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิงก็จะเกิดความสนใจขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนิดเดียวเท่านั้นเอง เผลอหน่อยเกือบล่อเราร่วงไปแล้ว

    ถาม : อารมณ์ธรรมนี่ทุกอย่างมันละเอียดมากไปหมดเลยนะคะ ?

    ตอบ : พูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี แต่รู้อยู่ว่ายิ่งควานไปๆ ก็เหมือนกับว่าไม่รู้จักหมดซะที แรกๆ เหมือนกับโค่นต้นไม้ แหม...ต้นไม้ใหญ่ล้มตึงลงฟ้าสะท้านดินสะเทือน ไชโย...เราทำอะไรได้ตั้งเยอะตั้งแยะ ที่ไหนได้ล่ะ เอาจริงๆ ขุดตอมันเข้าไปเถอะ รากมันอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก ยิ่งขุดก็ยิ่งเยอะ แล้วมันก็เล็กลงทุกทีๆ ขุดยากขุดเย็นเป็นบ้าเลย ลองเถอะ เจอเมื่อไหร่แล้วจะซาบซึ้ง

    อาตมาอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่เป็นจริงๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกแรกๆ เหมือนกับยิงช้าง ยิงม้า ยิงกวางตัวมันใหญ่ยิงง่าย นานๆ ไปยิงมด ยิงยุง ยากเหลือเกิน ลองดูการปฏิบัติมันสนุกอย่างนี้แหละสนุกตอนเล่าให้ฟังนะ เจอเข้าเองจะร้องไม่ออก

    เรื่องอย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กาเลนะ ธัมมัสสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง สนทนาธรรมในเวลาอันควร ถือเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่งพอเหมาะพอสมพอดีขึ้นมาคนที่เขามาติดอยู่ตรงจุดนี้ก็อาจจะได้ประสบการณ์เรียนลัดก้าวผ่านได้เลย ขณะเดียวกันเราอาจจะปล้ำมา ๓ ปี ๕ ปี

    ถาม : กว่าจะก้าวผ่านมันยากนะครับ แต่ต้องทำได้ ?

    ตอบ : ถ้ามันยากจริงๆ ท่านก็คงไปนิพพานกันได้ไม่เยอะขนาดนี้หรอก ต้องทำได้

    ถาม : แต่ในขณะที่เดินอยู่นี้ต้องเจอใช่มั้ยครับ ?

    ตอบ : เจอแน่นอน หนทางที่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบไม่มีหรอก เพิ่มหนามกุหลาบให้เพียบเลย อยู่ที่ว่าสติปัญญาต้องไปพร้อมกันเสร็จ แล้วก็งัดกรรมฐานคู่ศึกมารบกับมันให้ทันแล้วกัน อาวุธของเราน่ะเพียบเลยหลวงพ่อให้ไว้เยอะแล้ว เพียงแต่คว้าขึ้นมารบให้มันถูกจังหวะแล้วกัน ตอนที่เขาตีด้วยมีดสั้นเราดันคว้าขวานมาสู้มันก็เสร็จเขาล่ะ ความคล่องตัวสู้เขาไม่ได้

    ถาม : เพียงแต่ในจิตเรามุ่งว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะไปนิพพานใช่มั้ย แล้วอะไรที่จะเข้ามาให้จิตเรารู้ทัน ?

    ตอบ : ไม่ใช่ คือว่าอันไหนก็ตามต้องพยายามใช้ปัญญาดูให้รู้ถึงเหตุของมัน เช่นสตางค์นี่ถ้าเราสักเห็นแค่ว่ามันเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม กระดาษแผ่นหนึ่งมันก็คือสตางค์ ทำอันตรายเราไม่ได้ แต่เราไปคิดต่อว่า เงิน ไปซื้อของซะหน่อยก็ดี ซื้อข้าวกิน เอ้อ...ดี เดี๋ยวจะไปกินร้านนั้น อาหารมันอร่อยหน่อยเชลล์ชวนชิม นั่นกิเลสเริ่มเกิดแล้ว ไปซะหน่อย เราเคยชวนสาวไปกินร้านโน้นนี่หว่า เอ้า ! ยิ่งหนักเข้าไปอีกแล้วจากตัวราคะ โลภะ โทสะมันจะระดมมาเลยใช่มั้ย ? ไปซื้อยาบ้าซะหน่อยก็ดี ยิ่งหนักเข้าไปอีก เงินตัวเดียวแต่ถ้าคุณหยุดมันได้แค่นี้มันก็จบ ไม่อาจจะทำอันตรายอะไรได้

    นี่คือเราตัดมันตั้งแต่ต้นเหตุ แต่ถ้าหากว่าเราสืบสาวราวเรื่องด้วยการปรุงแต่งด้วย จิตสังขาร เหตุมันจะกว้างออกๆ จนกระทั่งกลายเป็นไฟไหม้ป่า ไม่สามารถจะดับมันได้ แต่ถ้าต้นเหตุเรารู้ว่าสะเก็ดไฟนิดเดียว ถ้าเราปล่อยต่อมันจะลาม เราก็ดับมันซะมันก็หมดปัญหาไป

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุตถาคตตัดถึงเหตุ และความดับแห่งธรรมนั้น ที่พระอัสสชิท่านขึ้นว่า เยธัมมาเหตุปัพพวา เตสังเหตุง ตถาคโต เตสัญจะโยนิโรโธจะ เอวัง วาที มหาสมโณ ต้องดับตั้งแต่เหตุ ทุกอย่างอยู่ที่เหตุทั้งนั้น




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 ตุลาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...