วิเคราะห์เจาะลึกภัยพิบัติใหญ่ และความอยู่รอดของมนุษยชาติ ปี 2012 ..

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ลุงไชย, 11 มกราคม 2012.

  1. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [​IMG]
    (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

    เจาะลึก ภัยพิบัติ ครั้งที่ 2 พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด (เพื่อต้อนรับปี 2012)
    <O:p</O:p
    วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2011 เวลา 08.30 – 17.00 น.โดย 5 ด๊อกเตอร์ และ 1 พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐาน ประมวลนำมาเสนอโดย นายมงคล กริชติทายาวุธ อดีต Senior Vice President บมจ.ธนาคารกรุงไทย ผู้อำนวยการหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของว็บไซต์ mongkoldham.com และ ที่ปรึกษาสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ฯลฯ

    เนื้อหาในเอกสารจำนวน 31 หน้านี้ ส่วนใหญ่นำมาจากการสัมมนา เรื่อง เจาะลึกภัยพิบัติครั้งที่ 2 พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด (เพื่อต้อนรับปี 2012) ที่ดำเนินการจัดโดยทีมงานผู้มีจิตอาสา จากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ คณะศิษย์พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ และ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2011 เวลา 08.30 – 17.00 น. ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพฯโดยผู้จัด ได้จัดสำรองที่นั่งไว้ทั้งหมด 2012 ที่นั่ง โดยข้าพเจ้าได้รับเชิญไปฟังการบรรยายในฐานะแขก VIP ของคณะผู้จัด โดยมีวิทยากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูงถึง 6 ท่าน

    • นอกจากเนื้อหาสาระที่ได้จากการบรรยายบนเวทีแล้ว ข้าพเจ้าได้ประมวลข้อมูลในเรื่องที่กี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติในอนาคตที่วิทยากรเคยบรรยายในสถานที่อื่นมาเสริมเพิ่มให้ท่านได้รับทราบเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในด้านเนื้อหาและสาระสำคัญรวมทั้งได้แทรกข้อแนะนำของข้าพเจ้า ในการเตรียมการก่อนเกิดภัยพิบัติ ที่ท่านสามารถใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวก่อนการเกิดภัยพิบัติ และ การดำเนินชีวิต ในช่วงที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ซึ่งหวังว่า ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และ เริ่มฝึกฝนเตรียมความพร้อมได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งในช่วงปี 2554 พวกเราส่วนใหญ่ได้ผ่านการซ้อมย่อยมาแล้ว ส่วนใหญ่สอบตก ในด้านทรัพย์สิน สอบผ่านด้านชีวิต ที่สอบไม่ผ่านด้านชีวิตมีไม่ถึง 1,000 ชีวิต ที่ถูกคร่าไปพร้อมน้องน้ำ และพี่ฟ้า(ถูกไฟฟ้าดูดตาย)

    • ในการสัมมนาในวันนี้นั้น มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้ามาร่วมให้ข้อมูลและให้องค์ความรู้หลายท่าน เป็นระดับ ด๊อกเตอร์ ถึง 5 ท่าน ใน 5 ท่านนี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นระดับโลก ขององค์การนาซ่าถึง 2 ท่าน คือ ศ.ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น อีก 3 ด๊อกเตอร์ คือ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รศ.ดร.เสรี ศุกราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯสิรินธร และ รศ.ดร. ปัญญา จารุศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและแผ่นดินไหว

    • มีพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานระดับเจ้าอาวาส 1 ท่าน ในสายสมาธิหมุน และ พลังปิรามิด มาร่วมเป็นวิทยากร คือ ท่านพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

    ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า
    ตามรายงานวิจัยการสำรวจภาวะโลกร้อนฉบับที่ 2 ขององค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ระบุในรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะเกิดภัยพิบัติต่างๆ คร่าชีวิตมวลมนุษยชาติ เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำอุปโภคบริโภค พายุฤดูร้อน น้ำท่วม ภาวะแห้งแล้ง โลกภัยไข้เจ็บ พืชและสัตว์สูญพันธ์ น้ำทะเลจะขึ้นสูงอีก 1 เมตร และเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่าจะเกิดขึ้นในทศวรรษนี้ โดยครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้น แถบเอเซีย โดยเฉพาะในพื้นที่ประเทศไทย ส่วนในพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ ที่อยู่ติดกับทะเล อาทิ อ.พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และ จังหวัดสมุทรสาคร จะได้รับผลกระทบเป็นพื้นที่แรก เนื่องจากพื้นดินบริเวณดังกล่าว อยู่ตํ่ากว่าระดับน้ำทะเล อาจส่งผลถึงระบบเศรษฐกิจ ระบบการท่องเที่ยว การเกษตรกรรม การขนส่ง ภายในประเทศด้วย
    </O:p
    "หากปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น จะส่งผลกระทบไปทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกร ที่อยู่ในพื้นที่ จ.นนทบุรี อ.บางพลี อ.บางบ่อ ก็จะเพาะปลูกไม่ได้ ส่วนประชาชนที่อยู่ในเขต กทม. ก็จะใช้น้ำประปาไม่ได้ เพราะน้ำทะเลหนุนสูง และทะลักเข้าสู่คลองประปา และที่สำคัญกว่านั้น ระบบเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การคมนาคม ขนส่ง ก็จะได้รับผลกระทบ จนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้"

    ดร.สมิทธฯ ได้เสนอแนะมาตราการป้องกันเบื้องต้นว่า นอกจากประชาชนจะร่วมกันตระหนักถึงผลมหาวิบัติที่ใกล้จะมาถึงแล้ว รัฐบาลต้องหาวิธีป้ องกัน อาทิ การสร้างเขื่อน หรือประตูระบายน้ำ เพราะไม่เช่นนั้น อาจเกิดการสูญเสียยิ่งกว่าวิบัติภัยน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านมาได้ในปัจจุบัน ดร.สมิทธฯ ชี้แจงว่า โลกของเรายังไม่มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีใดๆ ที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดภัยธรรมชาติได้ ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า เราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมตัวเราได้อย่างไร ที่จะมีความปลอดภัยมากขึ้น หรือ มีอันตรายน้อยที่สุด

    ก็ต้องทำความเข้าใจกับภัยธรรมชาติที่จะเกิดในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะในบริเวณที่เราอยู่อาศัย หากสามารถป้ องกันล่วงหน้าได้ ความสูญเสียก็จะลดลงได้อย่างมาก เพราะในปัจจุบัน มีทั้งฝนตกหนัก น้ำท่วมไหลหลาก โคลนถล่มและ กำลังจะตามมาด้วยภัยหนาว และ ภัยแล้ง ดร.สมิทธฯ กังวลว่า ภัยพิบัติที่ร้ายแรงนั้น อาจมาเร็วกว่าที่ ศ.ดร.อาจองฯ กล่าว ไว้ก็ได้ โดยตัว ดร.สมิทธฯ เอง ขณะนี้ ไปตั้งหลักปักฐานที่จังหวัดสกลนครแล้ว เชื่อ ว่าน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูง และ ราคาที่ดินยังค่อนข้างถูกมาก ราคาไร่ละไม่กี่หมื่นบาท

    ดร.สมิทธฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เขื่อนศรีนครินทร์ นั้นสร้างบนรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ซึ่งก็เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง และก่อนที่จะสร้างเขื่อนนี้ ในปี 2480 มีการเกิดแผ่นดินไหวที่รอยเลื่อนเจดีย์สามองค ์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากเขื่อนนี้มากนัก แต่มีความรุนแรงในระดับ ถึง 7.6 ริคเตอร์มาแล้ว โอกาสที่เขื่อนจะได้รับความเสียหายถึงกับเขื่อนแตกนั้น มีแน่นอน

    หากเกิดแผ่นดิน ไหวในขนาดดังกล่าวอีก สำหรับกรุงเทพฯ นั้นเป็นพื้นที่ดิน อ่อน เหมือนกับเม็กซิโก ปัจจุบัน มีความเสี่ยงเพิ่มมากกว่าในอดีต ประมาณ 2-3 เท่าตัว ที่อาจได้รับ ผลกระทบจากการเกิดแผ่นดิน ไหวที่รอยเลื่อนสกาย ในสมัยก่อนที่จะมีตึก สูงในกรุงเทพฯ เคยเกิดแผ่นดินไหวที่รอยเลื่อนสกายขนาด 8 ริคเตอร์มาแล้ว กรุงเทพฯ ไม่เสียหาย เพราะยัง ไม่มีตึกสูง ในขณะเกิดแผ่นดินไหว ในสมัยก่อน รอยเลื่อนสกายนั้น จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 300 กิโิลเมตรเท่านั้น ในเม็กซิโกที่เกิด ความเสียหายขนาดใหญ่นั้น อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวถึง 350 กิโลเมตร ก็ยังได้รับ ความเสียหายมาก เป็นเรื่องที่คนไทยที่อยู่อาศัยใน กทม.จะประมาทไม่ได้

    ดร.สมิทธฯ ให้ข้อมูลว่า ตามรายงานของมหาวิทยาลัย ฮารว์ารด์ คาดว่า กทม.จะจมนํ้าถาวรภายใน 8-15 ปีข้างหน้า นี่เป็นเกณฑ์ปกติ ปัจจุบัน ตามถนน ตรอก ซอยต่างๆ พื้นดินทรุดตัวค่อนข้างมาก ไม่ทราบว่า ได้มีการสังเกตเห็นความผิดปกตินี้กันหรือไม่ โอกาสนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น 1-5 เมตร ในอนาคตอันใกล้นั้นมีแน่ และ ในอดีตตามธรณีสัณฐานของประเทศไทยนั้น ชายฝั่งอ่าวไทยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรึ ซึ่งอาจมีผลคืนกลับมาในลักษณะดังกล่าวได้ ค่อนข้างมาก ไม่ควรประมาทในเรื่องนี้ ที่พูดไม่ไิ ด้ต้องการให้ตื่นตระหนก แต่ต้องการให้ตระหนัก ในความเป็นไปได้ในเหตุการณ์ดัง กล่าว

    รศ.ดร.เสรี ศุกราทิตย์ ผอ. ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า ประเทศไทยมีข้อมูลมากมาย แต่ยังขาดการนำมาบริหารจัดการ ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

    • สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ผ่านมานั้น ไม่จำเป็นต้องหาคนทำผิด แต่ความจริงนั้น ก็ย่อมเป็นความจริง แรกๆที่ออกมาให้ข้อมูล เพื่อเตือนประชาชนให้เตรียมรับมือกับมวลน้ำจำนวนมหาศาลนั้น ก็ถูกนักวิชาการบางคนกล่าวหาว่า “วิตกจริตมากไปหรือเปล่า”

    • รศ.ดร.เสรีฯ เห็นว่า เรื่องดังกล่าวนี้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องให้ประชาชนได้รู้ความจริงที่ถูกต้องก่อน เมื่อได้รู้ข้อมูลที่มากพอแล้ว จะได้รวมตัวกันเป็นชุมชน เพื่อร่วมด้วยช่วยกันป้องกันภัยพิบัติ และ หน่วยงานระดับจังหวัด ระดับรัฐบาลมาเสริมให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่กระทำโดยการปลอบใจให้ไม่ต้องตื่นตระหนก สามารถรับมือกับมวลน้ำได้ แต่ท้ายที่สุด ก็รับมือมวลน้ำจำนวนมหาศาลไม่ได้

    • น้ำท่วมในปี 2554 นี้ ประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งตัว รศ.ดร.เสรีฯ ด้วย โดย รศ.ดร.เสรีฯ เล่าให้ฟังว่า ในช่วงแรกก็คาดหมายว่า บ้านของตนเองก็คงถูกน้ำท่วมแน่ แต่คาดว่า น้ำจะท่วมบ้านประมาณ 30 ซม. ผลการถูกท่วม คือ เกือบ 3 เมตร และ เดิมคาดว่า น้ำคงจะท่วมขังประมาณ 3 สัปดาห์ แต่น้องน้ำมาอยู่เกือบ 3 เดือน ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ และ ตั้งใจว่า

    • นับแต่นี้ต่อไป ชั้นล่างของบ้าน จะปล่อยโล่ง เอาเงินไปปรับปรุงตกแต่งชั้นสองของบ้านเป็นหลัก เลิกใช้เฟอร์นิเจอร์บิ๊ลท์อินในบริเวณชั้นล่าง เพราะเฟอร์นิเจอร์บิ๊ลท์อินของบ้านทุกหลังที่ถูกนํ้าท่วม ส่วนใหญ่เสียหายใช้ไม่ได้หมด เป็นบทเรียนที่ทุกท่านต้องตระหนักในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยชั้นล่างของบ้านเพราะปัญหาการเกิดนํ้าท่วมต้องมีอีกแน่ๆ

    • เรื่องปัญหาที่เกิดจากโลกร้อนนั้น องค์การสหประชาชาติได้จัดทำรายงานเตือนมาตั้งแต่16 ปีก่อน เพื่อให้ประเทศต่างๆตระหนักในปัญหาที่จะติดตามมา ความเป็นจริงนั้น ประเทศไทยปล่อยกาซเรือนกระจก ไม่ถึง 1% ของโลก สาเหตุสำคัญนั้น ต้นเหตุตัวการ คือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ยอมลดปริมาณการปล่อยกาซเรือนกระจก เพราะเห็นว่า มีผลต่อการลดกำลังการผลิตของประเทศ ย่อมทำให้รายได้เข้าประเทศน้อย ทุกประเทศจึงมีความเห็นแก่ตัวกันเป็นส่วนใหญ่ จึงต่างไม่ยอมร่วมมือกันอย่างจริงจังในการช่วยลดกาซเรือนกระจก

    • ทุกประเทศต้องหาหนทางป้องกันตนเอง ต้องเข้มงวดกับผังเมือง เมื่อการก่อสร้างไร้ระเบียบ ไปปิดกั้นทางน้ำไหล คูคลองตื้นเขินอุดตัน ย่อมไม่มีทางที่จะระบายน้ำได้แทนที่จะเป็น Flood way มันก็เลยเกิดเป็น Flooded all way เพราะเป็นการกระทำของคนนั่นเอง อีกทั้งมีผลทำให้แผ่นดินทรุดตัวหลายพื้นที่

    • ดังนั้น เป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องทำการขุดลอกทางไหลของนํ้าในทุกเส้นทาง การก่อสร้างที่ไปปิดกั้น ทางนํ้าต้องรื้อถอน ต้องดำเนินการกัน อย่างจริงจัง ย่อมผ่อนหนัก เป็นเบาได้ ปริมาณนํ้าที่ท่วมจะได้ไม่มาก และ ระยะเวลาในการท่วมก็จะสั้นลงได้ ต้องลดการปิดกั้น เลิกใช้นโยบายต่อสู้กับมวลนํ้า โดยเปิดทางให้มวลนํ้าไหลผ่านในทุกเส้นทางที่มวลนํ้าต้องผ่านไปสะดวกมากที่สุด ความเสียหายโดยรวมจะลดลง

    • สิ่งที่น่าเสียดาย คือ รายงานขององค์การสหประชาชาติ ในเรื่องของการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ น้ำท่วมนี้ ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนของพรรคใดสั่งให้แปลเป็นภาษาไทย คนไทยส่วนใหญ่เลยไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว เช่น รายงานขององค์การสหประชาชาติ ปี 1955 ได้แสดงภาพคาดการณ์ที่จะเกิดนํ้าท่วม 100% ในพื้นที่จังหวัดอยุธยา ปทุมธานี และท่วม 70% ที่นนทบุรี ดอนเมือง สายไหม ฯลฯ อย่างชัดเจนไว้แล้วเมื่อ 16 ปีก่อน เป็นต้น

    • การวางแผนป้องกันน้ำท่วมนั้น ที่ผ่านมานักวิชาการก็มีการวางระบบเตรียมการรองรับไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว โดยวางระบบว่า หากทำการก่อสร้างแบบนี้ สามารถป้องกันปัญหาไปล่วงหน้าได้ 200 ปี ปรากฏว่า ผ่านมาเพียง 2 ปี นับแต่การก่อสร้างเสร็จ น้ำได้ท่วมจุดรองรับ 200 ปี แล้ว ทั้งนี้ ก็เพราะ นักวิชาการแทบทุกสำนัก ใช้ข้อมูลในอดีต เพื่อวางระบบป้องกันในอนาคต จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาด

    • ตัวอย่างของนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 6 ที่ถูกน้ำท่วม คือ นวนคร นักวิชาการบริหารจัดการน้ำทั้งหลายระดมสมอง คิดว่าถ้าคันดิน 4 เมตร อาจไม่สูงพอ ก็เสริมกระสอบทรายให้สูงขึ้นไปอีก 4 เมตร รวมความสูงเป็น 8 เมตร คิดว่าน่าจะสู้น้องน้ำได้ ในที่สุดผลก็ปรากฏว่า ยิ่งสู้ ยิ่งแพ้ แต่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เปลี่ยนกลยุทธไม่สู้ แต่ให้น้องน้ำไหลผ่าน โดยใช้วิธีเร่งระบายให้น้องน้ำไปสะดวกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จึงรอดจากการถูกน้ำท่วม

    • หากเราสังเกตบทเรียนครั้งนี้ให้ดี บรรดาศูนย์พักพิงหลายแห่งไม่ว่าที่หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต หรือ ที่ทำการอำเภอธัญบุรี โรงเรียน วัดหลายแห่ง ฯลฯ ต่างถูกน้ำท่วม ไม่สามารถใช้เป็นศูนย์พักพิงต่อไปได้ ทั้งนี้ เพราะบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย มักไม่ได้ประเมินความเสี่ยงที่รอบด้านพอ และ ต่างมักไม่ค่อยยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพราะหลงคิดว่าตนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งเหมือนกัน ปัญหาจึงเกิดความเสียหายตามมามาก

    • ประเทศญี่ปุ่น ถือว่า เป็นประเทศที่มีประสบการณ์สูงในการรับมือกับภัยพิบัติ ได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลสูงถึง 10 เมตร ตามข้อมูลในอดีตนั้น ปกติสึนามิจะมาถึงชายฝั่งคนอยู่อาศัยประมาณ 6 เมตรเท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 คลื่นสึนามิที่มาถึงชายฝั่งตัวคลื่นที่สูงที่สุด คือ 40 เมตร ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศญี่ปุ่นมาก โดยรัฐบาลกล้าออกรายงาน ยอมรับว่า เป็นความผิดที่คาดการณ์ผิด



    • ส่วน รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและแผ่นดินไหว กังวลใจคือ ถ้ารอยเลื่อนสกายในพม่าเกิดแผ่นดินไหวเพียงขนาด 8 ริคเตอรเ์ท่านั้น เขื่อนศรีนคริน ทร ์ และ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่กาญจนบุรี จะไม่สามารถทนอยู่ในสภาพปัจจุบันแน่ บริเิวณใต้เขื่อนจากกาญจนบุรีลงมา ถึงกรุงเทพฯและปริมณฑลย่อมจมอยู่ในนํ้า

    • ในปัจจุบันนี้ ตามข้อมูลทางธรณีวิทยา บริเิวณรอยเลื่อนสกาย เกิดแผ่นดินไหวประมาณปีละ 200 ครั้ง แต่แผ่นดินไหวในขนาด 5-6 ริคเตอรเท่านั้น หากวันใดมีขนาดแผ่นดินไหวถึง 8 ริคเตอร ์ ความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยจะมีจำนวนมหาศาลทีเดียวเพราะอาจส่งผลทำให้เขื่อนในจังหวัดกาญจนบุรีแตกได้

    • อนึ่ง ในปัจจุบัน มีข้อมูลทางธรณีวิทยาว่า ใต้พื้นดินของกรุงเทพมหานคร มีรอยเลื่อนอยู่แน่นอน เพียงแต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า เป็นรอยเลื่อนตาย หรือ รอยเลื่อนเป็นเท่านั้น เป็นรอยเลื่อนที่ต่อมาจากรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์

    • รอยเลื่อนที่เคยเกิดแผ่นดินไหวในรอบ 10,000 ปีนั้น ในทางวิชาการถือว่า เป็นรอยเลื่อนที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้อีก ซึ่งในประเทศไทยนั้น มี 13 รอยเลื่อนสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นถือว่า มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ไม่ทราบว่า จะเกิดเมื่อไรเท่านั้น

    • จุดเปราะบางของประเทศไทย ที่อาจเกิด แผ่นดินไหวได้มาก คือ บริเวณแถบทิศตะวันตก พาดผ่านไปถึงทิศเหนือของไทย บริเวณที่ปลอดจากแผ่นดินไหวมากที่สุด คือ บริเิวณภาคอิสาน แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องภัยแล้ง

    • ตามสถิติการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยนั้น ความจริงเกิดขึ้นมามากกว่า 15,000 ครั้งแล้ว เพียงแต่ไม่มีความรุนแรงมากนัก หรือ ส่วนใหญ่เป็นการไหวขนาดเล็ก ขนาดใหญ่นิดหน่อยก็มีบ้าง เช่น

    • ที่เชียงใหม่ เคยเกิด แผ่นดินไหวขนาด 5.1 ริคเตอร ์ ที่ท่าสองยาง เคยเกิดแผ่นดิน ไหวขนาด 5.6 ริคเตอร ์ ที่เจดีย์สามองค์ เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริคเตอร์ เป็นต้น สำหรับประเทศไทย เคยมีสถิติ แิผ่นดินไหวแรงสูงสุด คือ 7.0 ริคเตอร์
    - ประเทศไทย มีผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวทั้งหมดเพียง 4 ท่านเท่านั้น

    • ประเทศไทยมีรอยเลื่อนใหญ่ๆ อยู่หลายแนว โดยสามารถจัดกลุ่มรอยเลื่อนที่สำคัญได้ 13 กลุ่ม โดยกลุ่มรอยเลื่อนทั้งหมดวางแนวพาดผ่านพื้นที่ 22 จังหวัด คือ ภาคเหนือ 11 จังหวัด ภาคใต้ 6 จังหวัด ภาคตะวันตก 3 จังหวัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด มีดังนี้.-

    • 1. กลุ่มรอยเลื่อนแม่จนั และแม่อิง พาดผ่านเชียงราย และเชียงใหม่

    • 2. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน พาดผ่านแม่ฮ่องสอน และตาก

    • 3. กลุ่มรอยเลื่อนเมย พาดผ่านตาก และกำแพงเพชร

    • 4. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา พาดผ่านเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย

    • 5. กลุ่มรอยเลื่อนเถิน พาดผ่านลำปาง และแพร่

    • 6. กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา พาดผ่านลำปาง เชียงราย และพะเยา

    • 7. กลุ่มรอยเลื่อนบัว พาดผ่านน่าน

    • 8. กลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์์ พาดผ่านอุตรดิตถ์

    • 9. กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ พาดผ่านกาญจนบุรี และราชบุรี

    • 10. กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ พาดผ่านกาญจนบุรี และอุทัยธานี

    • 11. กลุ่มรอยเลื่อนท่าแขก พาดผ่านหนองคาย และนครพนม

    • 12. กลุ่มรอยเลื่อนระนอง พาดผ่านประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และ พังงา

    • 13. กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย พาดผ่านสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา

    ...(มีต่อ)...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2012
  2. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    -2-
    • ส่วน .ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ปัจจุบัน ท่านเป็นผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งได้ทุ่มเทให้กับการสร้างเด็กให้มีคุณภาพในด้านความดีสูง ด้วยการเน้นให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่เน้นในการเป็นคนเก่ง แต่เด็กที่จบจากโรงเรียนสัตยาไส นั้น สามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหมดทุกคน

    • ศ.ดร.อาจองฯ ได้กล่าวถึง “วิกฤติน้ำท่วม” ว่า ขณะนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจำนวนถึง 7,000 ล้านคนแล้ว และใช้พื้นที่ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ อย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้ปัจจุบันโลกเล็กเกินไปสำหรับประชากรทั้งโลก ซึ่งมีคนในแอฟริกาตายไปปีละประมาณ 1 ล้านคน เพราะไม่มีอาหารกิน และถ้าจะให้ประชากรโลกอยู่กันอย่างเพียงพอในวันนี้ ปี 2011 ต้องใช้โลกถึงหนึ่งใบครึ่ง

    • ในทุกวันนี้ โลกไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับจำนวนมนุษย์ทั้งหมดทุกคนบนโลกแล้ว ปัจจุบัน อุณหภูมิภายในโลก สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลกระทบ อากาศแปรปรวน มีทั้งร้อนจัด หนาวจัด แห้งแล้ง ปะการังมีการเปลี่ยนสีและฟอกสี และมีพายุที่รุนแรงเพิ่มขึ้น รวมทั้ง เริ่มมีการขาดแคลนน้ำจืดในหลายประเทศมากขึ้นแล้ว

    • ศ.ดร.อาจองฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้น วิทยาศาสตร์ไ์ด้พบว่า ประเทศไทย ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก ยูเรเซีย และ มีแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิค ซึ่งอยู่ด้านขวาของประเทศไทย กำลังเคลื่อนตัว เข้ามาชนกัน ซึ่งในอนาคตอันใกล้ จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และ อาจมีผลทำให้เกาะญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ จมหายไปได้

    • สำหรับภัยพิบัติที่เคยเกิดในรอบพันปีนั้น ในปัจจุบันภัยพิบัติเช่นว่านั้น จะเกิดขึ้นซ้ำโดยใช้เวลาทิ้งห่างไม่นานเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในช่วงชีวิตของคนเราในปัจจุบัน อาจได้พบเห็นมากกว่า 1 ครั้ง ในสถานที่เดิมที่เคยเกิดขึ้น ในอนาคตจะมีสึนามิเข้ามาในไทยแน่ หากเข้ามาในอ่าวไทย เราพอมีเวลาหนีทัน เพราะจะใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง หลังการเกิดแผ่นดินไหวในทะเล และ จะมีเวลาเพิ่มขื้น อีกประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับคนในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล สำหรับ ความสูงของนํ้าทะเลที่จะเข้ามาในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น ก็ประมาณ 2-3 เมตร

    • ศ.ดร.อาจองฯกล่าวว่า ทุกคนต้องไม่ประมาท อย่ามัวแต่ฟังข่าวสารแล้วไม่ทำอะไร แต่ต้องรีบทำการอพยพโดยทันทีที่ทราบว่าเกิดภัยพิบัติ ขึ้น และเวลาที่ว่ามากพอนี้ หมายถึง บุคคลที่เตรียมพร้อมในการรับมือเท่านั้น ถ้าหากประมาท เวลาที่มากกว่านี้อีก10 เท่า ก็มีเวลาไม่พอ และ ไม่รอดจากภัยพิบัติ เพราะ จะไม่มีเส้นทางให้เดินรถสะดวก ทุกเส้นทางนั้น อาจต้องใช้การเดินเท้าแทนก็ได้

    • ส่วนจะเกิดภัยพิบัติดังกล่าวเมื่อไรนั้น ดร.อาจองฯ บอกว่าไม่ทราบกำหนดการแน่นอน แต่ ณ วันนี้ บอกได้ว่า โลกของเราพร้อมที่จะเกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากแล้ว

    • และได้แนะนำว่า ผู้ใดมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ไปทำมาหากิน อยู่ที่แคลิฟอร์เนียร์ สหรัฐอเมริกา ขอให้เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยได้แล้ว เพราะบริเิวณที่ตั้งแคลิฟอร์เ์นียร์นั้นตั้ง อยู่บนรอยต่อของเปลือกโลก ซึ่งกำลังจะแตกหัก และยุบตัว มีโอกาสทำให้พื้นแผ่นดิน บริเิวณนั้น จมหายไป มีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่อนข้างมาก โดยเมืองไทยยังเป็นบริเิวณที่มีความปลอดภัยมากกว่า

    • ศ.ดร.อาจองฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ต่อไปในช่วงหน้าร้อน บางเดือน น้ำในแม่น้ำโขงจะแห้งจนสามารถเดินข้ามไปประเทศลาวได้ เพราะน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงได้ละลายหมดไปในปริมาณที่มาก จนหมดไปในบางพื้นที่บนภูเขาหิมาลัย และ สิ่งที่อันตรายที่สุด คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ ที่สะสมมาหลายพันปีได้เริ่มละลาย และเริ่มไหลออกจากบริเวณแอนตาร์กติคแล้ว

    • อีกทั้งยังมีปฏิกิริยาเร่งจากบริเวณขั้วโลกเหนือ เมื่อน้ำแข็งที่หนาหลายกิโลเมตรละลาย ปรากฏว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบ ปริมาณแก๊สมีเทนจำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้นโลก ปริมาณของแก๊สมีเทนมีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเร็วกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า และ

    • อุณหภูมิโดยเฉลี่ยทัว โลกเพิ่มขึ้น 1 องศาซี แต่มิใช่ทุกพื้นที่เพิ่มขึ้นเท่ากัน บริเวณขั้วโลกเหนือ และ ใต้นั้น อุณหภูมิเพิ่มขี้นถึง 4 องศาซี ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกและ ภูเขาสูงละลายมากขึ้น หมีขาวมีโอกาสสูญพันธุ์ในช่วงชีวิตของพวกเรานี้เอง

    • เฉพาะที่กรีนแลนด์แ์ห่งเดียว ถ้านํ้าแข็งละลายหมดจะทำให้ระดับนํ้าในทะเล สูงขึ้นประมาณ 7 เมตร ได้ ผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่จะติดตามมา คือ เมืองที่อยู่ติดทะเล เช่น ฟลอริด้า ไมอามี่ เซี่ยงไฮ้ รวมถึง กรุงเทพฯด้วย ย่อมจะถูกนํ้าท่วมถาวร จังหวัดต่างๆในแถบภาคกลางตอนล่าง ก็จะมีความเสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้นํ้า เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพฯ และอยุธยา เป็นต้น ย่อมอาจกลายเป็นบริเิวณผืนนํ้าแห่งใหม่ได้

    • ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล พบว่า น้ำทะเลสูงขึ้นในบางพื้นที่ของโลกเท่านั้น เช่น ในมหาสมุทรแปซิฟิค ทำให้โลกขาดความสมดุล ซึ่งปัจจุบันแกนโลกมีการเคลื่อนที่เพื่อหาสมดุลใหม่ ขณะที่เปลือกโลกก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลเช่นกัน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบนรอยต่อของเปลือกโลกบ่อย และ รุนแรงมากขึ้น

    • สภาพดินฟ้ าอากาศในปัจจุบัน มีความแปรปรวนสูง โอกาสที่จะเกิดความหนาวเย็นมาก และ ยาวนาน จะได้พบเห็นบ่อยมากขึ้นในประเทศไทย ปรากฏการณ์ที่พวกเราหลายท่านทราบแล้วว่า ในเคนย่า พม่า และ เวียตนาม ในปีที่ผ่านมา ก็มีหิมะตกแล้ว ทั้งๆที่ไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน ความเป็นไปได้ที่ประเทศไทย จะมีหิมะตกกับเขาบ้างก็ย่อมเป็นไปได้

    • ทั้งนี้ เพราะภูเขาสูงที่เคยมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี เมื่อน้ำแข็งละลายหมด พื้นที่บริเวณนั้น ก็จะเบาลง น้ำแข็งที่ละลาย ได้ไหลไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิคจำนวนมากบริเวณดังกล่าว จึงมีหนักสูง การแกว่งตัวที่ไม่สมดุลก็จะมีมากขึ้น เหมือนลูกข่างที่เราเอาดินน้ำมัน ไปแปะไว้ด้านหนึ่ง หรือ ทำการถ่วงไว้ด้านหนึ่ง เราจะพบว่า ลูกข่างจะแกว่งตัวผิดไปจากการแกว่งตัวตามปกติมาก และ อาจเสียสมดุลหลุดไปจากวงที่ขีดให้เล่นกันได้ นั่นคือ ย่อมมีผลทำให้ขั้วโลกพลิกได้ และอาจทำให้พื้นที่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรกลายเป็นพื้นที่ของขั้วโลกใหม่ก็มีความเป็นไปได้

    • สภาพขั้วโลกพลิกนั้น อาจทำให้อุณภูมิของโลกเกดิ ความแตกต่างอย่างมาก อาจทำให้พื้นที่เดิมที่เคยมีอุณหภูมิ ประมาณ 25 องศาซี อาจกลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีหิมะ - 50 องศาซี ทันทีทันใดเหมือนการขุดค้นพบซากช้างแมมมอส ที่ได้ขุดลงไปในนํ้าแข็งถึง 40 เมตร ได้พบว่า ในขณะช้างแมมมอสตายนั้น อยู่ระหว่างการเคี้ยวหญ้าสดอยู่ในปาก แต่ ปรากฏว่าอุณหภูมิรอบตัวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จาก 25 องศาซี เป็ น - 50 องศาซี ก็เป็นเรื่องที่เคยเกิด ขึ้นมาแล้ว ที่อุณหภูมิพลิกผันอย่างรุนแรงและรวดเร็ว พวกเราชาวไทยทุกคนจึงต้องไม่ประมาทในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งจากความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศที่ผ่านมา ในหลายๆพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ก็มีเหตุการณ์นั้น ๆเกิด ขึ้นมาแล้ว

    • ในเรื่องของสิ่งที่มีชีวิตนอกโลกมีหรือไม่นั้น ศ.ดร.อาจองฯ เล่าว่าจากประสบการณ์ในการเป็นนักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่ามีจริง และ ได้เคยเห็นยานอวกาศที่มาจากนอกโลกจริง ด้วยการกำหนดจิตให้มีสมาธิส่งไปยังอวกาศ ขอให้แสดงให้เห็นยานที่ใช้ในการเดินทาง มิช้ามินาน ยานอวกาศก็มาปรากฏให้เห็น โดยมีผู้อื่นที่สามารถมองเห็นพร้อมๆกันด้วย และ ขอให้ทราบว่า ในระบบสุริยจักรวาลของเรานั้น มีโลกของเราที่มีสิ่งที่มีชีวิตแน่นอน อยู่ 1 ดวง แต่ในกาแลคซี่ทางช้างเผือกนี้ มีถึง 100,000 ล้านสุริยจักรวาล ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีสิ่งที่มีชีวิตในดาวดวงอื่นๆอีก 100,000 ดวงก็เป็นไปได้ หรือ เรียกว่า อาจมีถึง 100,000 โลกก็ย่อมเป็นไปได้ เพียงแต่วัฒนาการของโลกเรายังไม่ก้าวหน้ามากพอเท่านั้น โลกเราอยู่ในสภาพ 3 มิติ คือ กว้าง ยาว สูง แต่ความเป็นจริงนั้น มีมิติมากกว่าสามมิติยานอวกาศต่างดาวสามารถเข้ามิติอื่นได้ ซึ่งในจอเรดาห์ที่ปรากฏ คือ ขณะที่มองเห็นอยู่นั้น ในบางขณะหายไปจากบริเวณกลางจอเรดาห์เฉยๆ เป็นต้น

    นั่นแสดงว่า ยานอวกาศต่างดาวได้เดินทางด้วยมิติอื่นนั่นอง สำหรับการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวนั้น ไม่มีภาษา ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ความนึกคิดส่งไปในรูปโทรจิตเท่านั้น นั่นคือ ใช้ภาษาไทยในการติดต่อก็ได้

    • สำหรับเขื่อนศรีนครินทร์ ว่าต้านทานแรงแผ่นดินไหวได้ 7 ริคเตอร์นั้น ประมาณการเกิดแผ่นดินไหว จากการเกิดแผ่นดินไหวที่สกาย ประเทศพม่า

    • แต่ถ้าการเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งอยู่ใกล้กับเขื่อนศรีนครินทร์มาก เชื่อว่า แรงต้านทานของเขื่อนก็คงจะอยู่ไม่ได้ หากเขื่อนศรีนครินทร์รแตก ภายในจังหวัด กาญจนบุรี จะมีนํ้าท่วมสูงประมาณ 25 เมตร และ ก็จะมีมวลนํ้าไหลบ่าท่วมราชบุรี นครปฐม และ แน่นอน มาถึงกรุงเทพมหานคร แต่บริเิวณกรุงเทพฯ นั้น ปริมาณนํ้าจะอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร ซี่งหมายถึง มิดศีรษะเท่านั้น

    • ศ.ดร.อาจองฯ ย้ำว่า ข้อมูลในทางวิทยาศาสตร์นั้น ได้เห็นสัญญาณการเกิดภัยพิบัติที่ชัดเจนแล้ว จนองค์การสหประชาชาติ ได้จัดทำรายงานส่งให้รัฐบาลประเทศไทยเตรียมการรับมือ เพื่อป้องกันภัยพิบัติ ตั้งแต่ปี 1995 หรือ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 มาแล้ว แต่ทุกรัฐบาลไทยที่ผ่านมา ก็ไม่มีรัฐบาลชุดไหนของพรรคการเมืองใดของประเทศไทย ให้ความสนใจอย่างจริงจังมากนัก

    • ในช่วงนับแต่นี้เป็นต้นไป ความรุนแรงของภัยพิบัติจะมีมากขึ้น ถี่ขึ้น และรุนแรงมากขี้น จีงขอให้ประชาชนคนไทยหันมาฝึกจิต ให้มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และ สัตว์โลกมากขึ้นนึ้ หากหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้ คือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็มีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ โดยขอยืนยันว่า รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำแล้ว สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคสูง ได้ทำการทดลองพิสูจน์จนได้ผลเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว รับรองไม่ขาดแร่ธาตุสำคัญในการเจริญเติบโตอย่างแน่นอน

    • ศ.ดร.อาจองฯ ยืนยันว่า รอบๆตัวเรานั้นมีคลื่นต่างๆมากมาย หากเราสามารถจูนคลื่นจิตของเรา ให้เข้ากับคลื่นไฟฟ้ารอบตัวเราได้ หากคลื่นตรงกัน เราก็สามารถรับรู้เรื่องต่างๆได้ เหมือนกับคลื่นวิทยุ คลื่นทีวี คลื่นโทรศัพท์ เมื่อจูนให้ตรงกัน ก็รับเสียง และ รับภาพได้ ซึ่งถ้าเราสามารถจูนคลื่นจิตของเราให้เข้ากับคลื่นไฟฟ้ารอบตัวเราได้ตรงกันย่อมทำให้สามารถล่วงรู้ไปในเรื่องอดีตที่ผ่านมานานร้อยปี พันปีแล้วได้ หรือ เรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงได้ แต่จะต้องฝึกฝนกันค่อนข้างหนัก ด้วยความตั้งใจจริง ๆ รวมทั้ง เราอาจเคลื่อนตัว ไปในมิติกาลเวลาไปสู่อดีตและอนาคตได้

    • ด้าน ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่จบวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโท และ เอก ทางวิศวกรรมไฟฟ้ า จากจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา ได้ย้ำว่า ” ข้อมูลที่นำมาพูดในวันนี้ เป็นผลงานค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีที่มาทั้งหมด มิใช่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

    • ดร.ก้องภพฯ กล่าวว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ระบบสุริยจักรวาลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานต่าง ๆ เข้ามาในระบบสุริยจักรวาล และ มีผลกระทบกับโลกของเรา นาซ่าได้ส่งดาวเทียมขึ้นไปศึกษาปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์ที่มีผลกระทบต่อโลกของ
    เรา จำนวน 4 ดวง จำนวน 2 ดวง คือ SDO และ ACE โคจรรอบๆโลก อีก 2 ดวง โคจรดักหน้า และ หลัง คือ STERIO A และ B ซึ่งได้ พบความเปลี่ยนแปลงจากมวลลมสุริยะ การปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อโลกของเราค่อนข้างมาก

    • ดวงอาทิตย์ได้แผ่พลังงาน ทั้ง รังสีคอสมิค และอนุภาคขนาดเล็กในอวกาศ ที่มีพลังงานทะลุทะลวงรูรั่วเข้ามาในสนามแม่เหล็กรอบนอกที่หุ้มห่อบรรยากาศของโลกจำนวนมาก พบว่าความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกลดลงไปประมาณ 30% ปริมาณรังสีคอสมิค เข้ามาในโลกปริมาณมาก ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปถึง ปี 2017 (หรือ พ.ศ. 2560) ช่วงนี้ เรียกว่า อยู่ในวัฏจักรที่ 24

    • ในช่วงที่ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมามาก สามารถทำให้วัตถุต่างๆลอยตัวได้ ทำให้เกิด กระแสลมได้ กระแสนํ้าแปรปรวนได้ ภูเขาไฟระเบิดได้ มีความร้อนเกิดขึ้นมากได้ กระแสนํ้าในมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงได้ จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงใน DNA ของสิ่งที่มีชีวิตบนพื้นโลก และ อาจมีการกลายพันธิ์เกิดขึ้นได้ จะมีการเป็นมะเร็งมากขึ้นได้

    • นักวิทยาศาสตร์ที่นาซ่า ได้พบว่า ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมามากนั้นปรากฏว่ามีผลกระทบต่อดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ มีการเปลี่ยนแปลงที่ออโรร่า ที่ขั้วโลก และ สนามแม่เหล็กมีการเคลื่อนตัว ความกดอากาศมีความเปลี่ยนแปลง และ อาจมีผลทำให้เกิดการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กได้

    • ส่วนโลกก็พบว่า มีปริมาณรังสีคอสมิกเข้ามามาก มีปริมาณฝุ่นละอองจากอวกาศเข้ามาในโลกเพิ่มสูงขึ้น และ มีปริมาณฝนดาวตกมากกว่าเดิม อีกทั้งมีปริมาณอุกกาบาตพุ่งเข้ามาในโลกมากขึ้นกว่าเดิม ต่อไปจะมีผลทำให้ดาวเทียมตกได้ง่ายๆ รวมถึง ได้มีการตรวจพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศที่หุ้มห่อโลกค่อนข้างมากด้วย

    • ดร.ก้องภพฯ กล่าวว่า “ชั้นบรรยากาศของโลกลดลง ส่งผลให้โลกมีความไวต่อการปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนอกโลก และ แกนโลกมีการเคลื่อนตัวจากทิศเหนือ ไปทางทิศะวันออกมากขึ้น ขั้วเหนือของแม่เหล็กขณะนี้ เคลื่อนไปถึงไซบีเรียแล้ว โดยในปี 2011 นี้ มีรายงานทางธรณีวิทยาว่า เกิดแผ่นดินไหวในสถานที่ต่างๆมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และในช่วงปลายปี2012 ถึง ช่วงต้นปี 2013 หรือปลายปี 2555 ถึงต้นปี 2556 ต้องระวังเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาจากพลังงานของดวงอาทิตย์ ที่จะส่งผลกระทบต่อโลก ซึ่งจะเพิ่มระดับความรุนแรงมากกว่าเดิมประมาณ 3 เท่าของอดีต

    • เหตุการณ์ในครั้งต่อไป อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของโลกมากขนึ้ จนทำให้โลกเกิดความร้อนเพิ่มสูงมากขึ้น และอาจมีผลต่อระบบการสื่อสารขัดข้องใช้การไม่ได้ มีผลต่อหม้อแปลงไฟฟ้าอาจระเบิด อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลายพื้นที่บนโลก อาจใช้ไม่ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ควรตื่นตัวและตระหนักเตรียมการป้องกันเพื่อลดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินโดยเฉพาะการเดินทางด้วยเครื่องบินในช่วงเวลาดังกล่าว

    • ปกติ เมื่อไรที่ดวงอาทิตย์ ปล่อยพลังลมสุริยะออกมา ระยะเวลาที่มีผลกระทบต่อโลกจะมีเวลาประมาณ 3 – 5 วัน ดังเช่น

    • ในวันที่ 22 กันยายน 2011 เกิด การระเบิดบนดวงอาทิตย์ ทำให้พายุสุริยะมาถึงโลกของเรา ปรากฏว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใ์นสหรัฐดับ อุกาบาตตกในอาเจนตินา ไฟฟ้าในกรุงวอชิงตันดับ ภูเขาไฟในสเปนเกิดการปะทุ และเกิดพายุนกเต็น เป็นการเกิดในช่วง ระหว่างวันที่ 25 – 27 กันยายน 2011 ( 2554) เป็นต้น

    • ดังนั้น ท่านใดที่มีกำหนดการบินในช่วงที่เกิดพายุสุริยะ พึงต้องระวัง ควรหาเหตุมากล่าวอ้าง เพื่อเลื่อนการเดินทางด้วยเครื่องบินในช่วงเวลา 21 ธันวาคม 2012 – พฤษภาคม 2013 พึงต้องระวังให้มากๆ จะลดความเสี่ยงลงได้มาก เพราะถ้าท่านบินขึ้นแล้ว ท่านอาจจะบินลงไม่ได้เนื่องจากระบบการสื่อสาร ระบบการนำร่อง อาจจะเสียหายใช้การไม่ได้ อาจบินวนจนน้ำมันหมด ท่านอาจโหม่งโลกได้ ดังนั้น เราควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกับ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดเวลา ในช่วง 21 ธันวาคม 2012 – พฤษภาคม 2013

    • ในเรื่องภัยพิบัตินี้ ดร.ก้องภพฯ อธิบายว่า เราสามารถสังเกตได้อย่างหนึ่ง คือ ถ้าเรามองไปที่ท้องฟ้าแล้วเห็นก้อนเมฆ จู่ๆเมฆก็แตกลายงา หรือแตกสลายเปลี่ยนรูปเร็ว พื้นที่บริเวณนั้นมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวสูง หรือ มีสัตว์นํ้าลึกเข้ามาเกยตื้นตายจำนวนมาก ได้พบหลักฐานอย่างมีนัยสำคัญ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่จะติดตามมา

    • ในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น อย่างน้อยที่สุด ดร.ก้องภพฯ แนะนำว่า เราทุกคนต้องมีถุงยังชีพใส่อาหารแห้ง นํ้าดื่ม ยาประจำตัว เครื่องนุ่งห่ม ต้องเตรียมความพร้อมไว้เสมอ ต้องให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยที่สุด 3-5 วัน และ เราต้องคิด ถึงช่วงเวลาที่อาจไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย หากมีภัยพิบัติในช่วงสั้น ๆ จะไม่ได้รับความเดือดร้อนมากนัก แต่ถ้าในช่วงใกล้เวลาเกิดภัยพิบัติใหญ่ร้ายแรง และมีผลต่อเนื่องยาวนาน ท่านอาจต้องเตรียมเสบียงอาหาร และปัจจัย 4 ให้มากพอสำหรับทุกคนที่จะอยู่ร่วมกันกับตัวท่าน ที่มีระยะเวลายาวมากกว่านั้น

    • อนึ่ง ดร. ก้องภพฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ปรากฏว่าดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานออกมามาก และต่อมา อีก 3 วัน ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขนาด 8.6 ริกเตอร์ ที่ชิลี มีความเสียหายหนักซึ่งตามตำราสาขาธรณีพิบัติภัยนั้น นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า สถานที่ใดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวตั้งแต่ 9 ริกเตอร์ขึ้นไป โอกาสจะเกิดครั้งใหม่ได้ จะต้องมีการสะสมพลังงานเป็นเวลามากว่า 600 ปีขึ้นไป จึงจะมีแผ่นดินไหวในบริเวณนั้นซ้ำขึ้นมาอีกครั้งแต่ ก็มีปรากฏการณ์แตกต่างจากตำราของนักวิทยาศาสตร์สาขาธรณีพิบัติภัยหลายครั้ง เช่น กรณีที่ชิลีนี้ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่ต้องฉีกตำราเรียนสาขาธรณีพิบัติภัยทิ้ง เพราะในปี 2503 หรือ เมื่อ 50 ปีก่อน ได้เคยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.5 ริกเตอร์มาแล้วที่ชิลี ผ่านมาเพียง 50 ปีเท่านั้น ในปี 2553 ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกที่จุดเดิมดังกล่าว

    • หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ที่ชิลีเมื่อต้นปี 2553 และ ที่ญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคม 2554 แล้วนักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนโลกเกิดการเอียงตัวไปมากกว่าเดิมอีก และ ในกรณีนี้ ก็เป็นสัญญาณให้ทราบว่า หากมีการปลดปล่อยพลังสุริยะออกมาเมื่อไร ประมาณ 3-5 วัน จะมีผลกระทบต่อสิ่งต่างๆบนโลกของเรา แต่จะมีผลกระทบในบริเวณใดมากกว่ากันนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนเท่านั้น

    • สำหรับพลังปิรามิดนั้น ดร.ก้องภพฯ ได้นำต้นแบบของ พระอาจารย์รตั น์ รตนญาโณ ไปทำการทดลองที่สหรฐัอเมริกา ในวันที่มีเมฆมากหลังจากเปิดเครื่อง ประมาณ 20 นาที ปรากฏว่าเมฆสลายไปหมดกลายเป็นท้องฟ้าแจ่มใส โดยได้ถ่ายรูปเปรียบเทียบ วัน เวลา และ สถานที่เดียวกันไว้แล้ว และในวันที่มีหิมะตกหนาจัด ก็ปรากฏว่าหิมะละลายหายไปเร็ว แต่การทดลองดัง กล่าวนั้น ดร.ก้องภพฯ ยังไม่ได้ทดลองติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง การทดลองนั้น จะต้องได้ผลไม่น้อยกว่า 80% จึงจะทำข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ได้ หรือ มีผลเห็นชัดในการทดลองอย่างน้อย 8 ครั้ง ใน 10 ครั้ง ซึ่งจะได้ทำการทดลองต่อไป และจะได้นำผลทดลองทางวิทยาศาสตร์มาเล่าให้ฟัง

    • แทรกข้อแนะนำของผู้เรียบเรียง : สำหรับสถานที่อยู่อาศัยที่อยู่ในจังหวัดแถบแถวที่สูง เช่น ทางภาคเหนือ หรือ ทางภาคอีสาน โปรดอย่าประมาท ไม่ว่า แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี สกลนคร นครราชสีมา ฯลฯ ที่ใดก็ตาม หากสถานที่ปลูกสร้างบ้านพักอยู่อาศัยนั้น ถ้าไปปลูก หรือ ก่อสร้างในบริเวณที่ราบลุ่ม หรือ ในบริเวณที่เป็นแอ่งกระทะ ของพื้นที่โดยรอบบริเวณนั้น แม้จังหวัดนั้น จะเป็นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร หรือ พื้นที่นั้นจะสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใดก็ตาม ท่านย่อมต้องยอมรับในชะตากรรมว่า เมื่อมีฝนตกหนักในพื้นที่บริเวณใกล้ที่ท่านอยู่อาศัย 7 วัน 7 คืน ท่านต้องถูกน้ำท่วมแน่ๆ เพราะสถานที่อยู่อาศัยของท่านนั้น เป็นแอ่งรับน้ำนั่นเอง ท่านจะละเลยเพิกเฉยไม่ใส่ใจในการสร้างที่อยู่หรือ ไปพักอาศัยในสถานที่ใดก็ตาม โดยไม่มองให้รอบทิศทาง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติไว้ล่วงหน้าไม่ได้ – มงคลฯ

    ขอแทรกข้อแนะนำเพิ่มของผู้เรียบเรียงอีกหน่อย :

    การหลีกเลี่ยง หรือไม่เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆโดยตรง

    • 1. เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภัยพิบัติให้ได้ ที่สำคัญที่สุดนั้น ต้องรับฟังคำเตือนภัย และ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคยฝึกซ้อมมาในทันที มิใช่คอยดูจากทีวี ต้องเปลี่ยนจากการดู มาเป็นการฟังวิทยุใช้ถ่านแทน ทำกิจสำคัญเร่งด่วนไปพร้อมกับการรับฟังข่าวสาร ก็สามารรับฟังข่าวสารคำเตือนภัยพิบัติได้พร้อมกับการอพยพขนย้ายได้โดยตลอด

    • 2. ต้องจัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังไว้ล่วงหน้า การขนย้ายคน การขนย้ายทรัพย์สินสำคัญๆที่มีความจำเป็น และมีมูลค่าสูง ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เป็นต้น ต้องจัดระบบที่ไม่ขัดแย้งกัน

    <O:p</O:p
    • 3. ต้องจัดให้มีระบบการกระจายคำเตือนการเกิดภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อเตือนทุกคนภายในครอบครัว และ เพื่อนบ้านให้เร่งมือดำเนินการป้องกัน เพื่อลดความเสียหายลง

    • 4. ต้องมีการลงมือก่อสร้างที่หลบภัยในพื้นที่ ภายในบ้าน หรือ ที่ใดที่หนึ่งของบ้านหรือ ใกล้บ้านของท่าน เมื่อเกิดภัยพิบัติใหญ่ จะได้ลดความเสียหายลงได้ ถ้าลูกเห็บก้อนขนาดลูกมะพร้าวตกใส่ ท่านจะรอดหรือไม่ จินตนาการเผื่อไว้ด้วย และ

    • 5. ต้องมีการซ้อมอพยพหนีภัยพิบัติอย่างจริงจังเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในปัจจุบันปริมาณน้ำในทะเลสูงมากขึ้น ประชาชนอยู่กันแออัดมากขึ้น ฝนตกหนักมากขึ้น และแผ่นดินทรุดตัวมากขึ้น มีการสร้างสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำมากขึ้น น้ำจึงย่อมต้องท่วมแน่นอน

    • รัฐบาลต้องเร่งสร้างที่พักน้ำ หรือ แก้มลิง ให้มากแห่ง ตั้งแต่ นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง ลงมาจนถึง สมุทรปราการ มีที่พักในช่วงน้ำทะเลหนุน และใช้ระบายน้ำลงทะเล ในช่วง น้ำทะเลลดตํ่าลง

    • กทม. จะต้องเร่งทำการขุดลอกคูคลองทุกแห่ง ที่มีความเสี่ยงในการถูกน้ำท่วม เพื่อขยายเส้นทางวิ่งของน้ำให้คล่องตัวมากขึ้น หากละเลยเพิกเฉยเหมือนที่ผ่านมา ก็คงเป็นกรรมของชาว กทม.ที่ต้องได้รับกับความเสียหายจากน้ำท่วมในครั้งต่อไป – มงคลฯ

    ...มีต่อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2012
  3. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    -3-
    • สำหรับท่านพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานที่สำคัญในยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง ในสายสมาธิหมุน ท่านศึกษารายละเอียดเชิงลึกจากสาส์นของชาวมายัน

    • ในปัจจุบัน ตามปฏิทินชาวมายันนั้น เข้าสู่ปลายยุคที่ 5 ดิน น้ำ ลม ไฟ จะแปรปรวนหนัก จะมีแผ่นดินไหว น้ำท่วม แห้งแล้ง เกิดลมพายุแปรปรวนผิดไปจากธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้น รวมทั้งน้ำ ทั้งลม และ ไฟ ในร่างกายมนุษย์ ก็แปรปรวน มนุษย์จำนวนไม่น้อย จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยง่าย ภูมิต้านทานโรคลดลง ธาตุน้ำในร่างกายจะถูกดูดออกไป

    • เส้นแม่เหล็กโลกจะแปรปรวนมากขึ้น ท้องฟ้า จะมีสีแดงปนม่วงบ่อยครั้งขึ้น นี่คือปรากฏการณ์ในช่วง ปลายยุคที่ 5 ของปฏิทินชาวมายัน ท่านใดที่สงสัยว่าตัวเอง ทำไมมีอาการหายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยง่าย ก็ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว เพราะเป็นอาการปกติของคนในยุคปัจจุบันนั่นเอง ขอให้คิดว่า ท่านเป็นคนที่ทันยุคสมัยแล้ว คือภายในร่างกายและจิตใจ จะเสียสมดุลมากขึ้น พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้กล่าวถึงมหันตภัยโลกครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อเวียนมาครบรอบ 13,000 ปี นั่นหมายความว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไปประมาณ 13,000 ปี โลกเราจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายภาพใหม่กันอีกครั้ง และ เป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ประหลาด และจำเพาะจะต้องเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้น มหันตภัยที่จะเกิดขึ้น เปรียบเหมือนกับการรื้อบ้านหลังเก่าทิ้ง เพราะใช้อยู่อาศัยมานาน จนเสา พื้น ฝ้า เพดาน หลังคา ผุ รั่ว เกินความสามารถที่จะซ่อมแซมให้ดีได้ดังเดิม การรื้อและสร้างใหม่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผู้ที่จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในแต่ละครั้ง ต้องอาศัย “แสงสว่าง” ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด

    1. แสงแห่งธรรม หมายถึง การบรรลุธรรม บุคคลผู้สามารถเข้าถึงแสงสว่างของจิตได้แล้วบุคคลผู้นั้นย่อมพ้นทุกข์ ก้าวผ่านมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอน

    2. แสงสว่างที่ปลายทางรอด เป็นเทคนิคของการแสวงหาทางรอดของครู อาจารย์ ผู้รู้ แต่ละท่าน ที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการให้ปัญญา แนวทางเพื่อรักษาชีวิต และการอยู่รอด ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามความชำนาญ ความเป็นเลิศ ของแต่ละองค์ แต่ละท่าน สำหรับพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านได้แนะนำการใช้ “พลังพีระมิด” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 นับเป็นเวลาร่วม 15 ปีแล้วที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณได้บอกถึง “เหตุ” การเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยะจักรวาลมาโดยตลอด และ “เหตุ” สุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เกิดจากการเรียงตัวของดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล รวมทั้งดาวอาคันตุกะ จากนอกระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งเดินทางมาเยือนในทุกๆ รอบ 13,000 ปี ดาวอาคันตุกะดวงนี้มีมวลขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าดาวพฤหัสหลายเท่าตัว เป็นดาวเคราะห์สีแดงลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ และในอนาคตจะโคจรเข้ามาเรียงตัวอยู่ติดกับโลกของเราเลยทีเดียว ปรากฏการณ์เรียงตัว ของดวงดาว 12 ดวงนี้ จะเกิด ขึ้นตั้งแต่ วันที่ 21 ธ.ค. 55 – 14 ก.พ. 56

    ซึ่งหมายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พลังงานแรงดึงดูด จากดาวทุกดวง จะมีมากที่สุด จนถึงขั้นที่ อาจสามารถทำให้แกนขั้วโลกจากทิศเหนือ-ใต้ พลิกเปลี่ยนเป็นชี้ไปทางทิศตะวันออก-ตะวันตก และในอนาคตเราจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแทนทิศตะวันออกก็อาจเป็นไปได้ ขอเรียนยํ้าอีกครั้วว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกจนถึงขั้นเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ได้นั้น ไม่ได้จำเพาะว่าจะต้องเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 55 เพียงวันเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.55 จนถึง วัน ที่ 14 ก.พ.56 (56วัน ) กำหนดวันเกิดเหตุที่แน่นอน พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะติดตามและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถระบุวันเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    แต่ในอนาคต เมื่อใกล้กับวันเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว จะมีสิ่งบอกเหตุที่สำคัญ คือหากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านทิศเหนือ มนุษย์จะเห็นว่าตำแหน่งของดาวเหนือ เปลี่ยน ราวกับว่าอยู่ไกลออกไปมากกว่าแต่ก่อน จึงพลอยทำให้แสงสว่างของดาวเหนือลดลงด้วย ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว ดาวเหนือยังคงอยู่ที่เดิม แต่แกนขั้วโลกต่างหากที่กำลังเปลี่ยนทิศ ซึ่งสื่อความหมายว่า ขั้วโลกพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนขั้วจากเหนือ-ใต้ เป็นขั้วตะวันออก-ตะวันตก

    แสงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังปิระมิด
    <O:p
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เผยแพร่ความรู้ของชาวแอตแลนตีสเกี่ยวกับการใช้พลังปิระมิด ด้วยจุดมุ่งหมายหลักที่สำคัญคือ เป็นการเตรียมความพร้อม ให้มนุษย์รู้จักการปรับโครงสร้างเซลล์ เนื่องจากทั้งในภาวะก่อนจะเกิดมหันตภัยอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงการเกิดวิกฤติพลังงานจากพายุสุริยะ และ ช่วงเวลารับผลกระทบสูงสุดจากพลังงานย้อนกลับ ซึ่งเป็นพลังงานลบจาก กาแลคซี่อันโดรเมดา ในวันที่เปลี่ยนชะตาดาวเคราะห์โลก ที่เปลี่ยนขั้วโลกจากทิศเหนือ ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เข้าสู่ขั้วโลกตะวันออก ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาประมาณ 13,000 ปี ในทั้งสองช่วงเวลาที่กล่าวมา มนุษย์จะได้รับพลังงานเสียเข้าสู่ร่างกายจากปริมาณน้อยไปหามากตามลำดับของวิกฤติพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการย้อนกลับของพลังงานลบจากกาแลคซี่ อันโดรเมดา ที่ส่งแรงปะทะอย่างมหาศาล พุ่งเข้าหาพลังงานบวกของดวงอาทิตย์ ทำให้จุดดับในดวงอาทิตย์เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และ ทวีความถี่มากยิ่งขึ้นตามลำดับโลกเป็นแหล่งรับมวลสารพิษและพลังงานแม่เหล็กโลกที่มีค่าเป็นลบ ซึ่งเกิดจาก ปฏิกิริยาดวงอาทิตย์ และ ส่งไปถึงดวงจันทร์ ตามลักษณะของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวที่มีต่อกัน ในเส้นทางการย้อนกลับของแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ มายังโลกอีกครั้งเช่นนี้ โลกได้รับโมเลกุลสีแดงอมม่วง ของนํ้าจากดวงจันทร์ ซึ่งมีมวลที่หนักกว่านํ้าใน โลก และโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้ จะแทรกซึมลงในทุกส่วนของโลกที่มีนํ้าเป็นองค์ประกอบ เช่น ถ้ารวมตัวกับเมฆฝน จะทำให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแถบชายทะเล จนทำให้ฤดูกาลเปลี่ยน คือ มีแต่ฤดูฝน เป็นต้น

    ถ้าฝังตัวลงในนํ้า จะสามารถ ยก ดัน นํ้าให้สูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ริมชายทะเลมีนํ้าท่วมสูง ซึ่งการท่วมสูงเช่นนี้มิได้เกิดจากการหนุนของนํ้าทะเล หากโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้ แทรกซึมเข้าสู่เซลล์ที่ประกอบด้วย นํ้าเลือด และนํ้าเหลือง ทำให้มนุษย์มีปัญหาด้านสุขภาพ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยที่รักษาได้ยากยิ่งขึ้น เริ่มจากอาการปวด เมื่อย ถ้าไปถึงสมองจะมีอาการมึนงง หากปริมาณโมเลกุลของนํ้าเพิ่มมากขึ้นจะมีอาการท้องเสีย ท้องเดินเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด และในที่สุดเซลล์จะเน่า เป็นการเน่าจากภายในเนื้อเยื่อก่อน และ เน่าลามออกมาที่ผิวหนังออกสีแดงอมม่วง องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ แนะนำการใช้หลอดแกนพีระมิด ชนิดเจาะ 4 รู เพื่อดึงพลังปราณช่วยดัน และละลายโมเลกุลนํ้าสีแดงอมม่วงจากดวงจันทร์ ให้ออกจากร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น หากโครงสร้างเซลล์ มืด ดำ คลํ้า ร่างกาย จะดูดซับสารพิษจากพลังงานเสียได้มากและรวดเร็วกว่า ทำให้เสียชีวิตได้เร็วเกินคาด สำหรับบุคคลที่เคยฝึกจิตเรียนรู้หลักธรรมของศาสนา (ทาน ศีล สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน) และ รู้หลักการใช้พลังปิ ระมิด จะได้รับผลพลอยได้อย่างยิ่งยวด คือ ได้ทำความสะอาด ฟอก และซ่อมแซมเซลล์อยู่เป็ นประจำ กระทั่งกลายเป็นเซลล์ใส จึงดูดซับสารพิษได้น้อย และ ยังสามารถพื้นฟูเซลล์ ดันสารพิษเหล่านั้น ออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงยังคงรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้

    และในครานี้ มนุษย์บางคน บางกลุ่ม จะรู้ซึ้งถึงอานิสงส์ของแสงสว่างแห่งธรรม สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึง “ธรรม” คงต้องอาศัยแสงสว่างจากพลังมโนธาตุในปิระมิด ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ช่วยให้พลังดุจดังเกราะกำบังประคองจิตให้เป็นปกติ ไม่เสียสติไปกับความโหดร้ายรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแต่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เสียงแผดร้อง คำรามอย่างบ้าคลั่งของฟ้า ลมพายุ แผ่นนํ้าแข็งที่เกดิ จากคาร์บอนมอนนอกไซด์ หล่นจากฟากฟ้ า และในท้ายที่สุดคือ การเกิด นํ้าท่วมใหญ่กวาดล้างสรรพสิ่งโสโครก ปฏิกูล ผลพวงจากโลกใบเก่าทิ้งไปกับนํ้า ถึงจุดสิ้นสุดวิวัฒนาการที่เกิดจากนํ้ามันหรือฟอสซิลดำ

    มนุษย์จะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีการใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วย “ไฟฟ้า” อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานดี จิตใจโอบอ้อมอารี แบ่งปันกันใช้ เงินตราหมดค่า และเริ่มมีวิวัฒนาการใหม่ไปตามลำดับ โดยเน้นเรื่องของ “จิต” เป็น
    หลัก กล่าวได้ว่า เป็นอีกยุคสมัยหนึ่งที่การฝึกปฏิบัติธรรม จะกลับมาเฟื่องฟู มนุษย์จะได้ศึกษา ปฏิบัติตามแก่นธรรมที่แท้จริงของพระพุทธองค์ เนื่องจากมีความเหมาะสมหลายๆอย่างเป็นองค์ประกอบ เช่น พลังปราณ พลังมโนธาตุ สมบูรณ์ เหลือแต่ผู้มีศีลธรรม ไม่ต้อง
    ดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ อากาศเย็นสบาย เพราะขั้วโลกเปลี่ยนทิศในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะอยู่ในเขตอบอุ่น ไม่ใช่เขตร้อนดังแต่ก่อน
    </O:p
    วิธีป้องกันและแก้ไข

    มนุษย์มีหลายทางเลือก เพื่อรักษาชีวิต องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เสนออีกหนึ่งทางเลือก เพื่อถนอมรักษาชีวิตที่มีค่าไว้ ด้วยวิธีปฏิบัติตัวตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน วาระแห่งการปรับโครงสร้างของโลก และสุริยจักรวาล ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุ 2 ประการ คือ

    - การทำหน้าที่ของ ดาวถ่วงดุล และ การเรียงตัวของดาวทั้ง 12 ดวง ผนึกพลังงานบวกอัดแน่นเข้าด้วยกัน เมื่อพลังงานรวมตัวจนถึงอัตราสูงสุด จะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงเข้าหาพลังงานลบของกาแลคซี่อันโดรเมดา ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก หลายพันเท่า การพุ่งปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ และ การพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลในครั้งนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของ แสง เสียง การสั่นไหว และนํ้าในโลก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    1. ในเวลาประมาณบ่ายสามโมง (15.00 น.)จะมีแสงสว่างวาบมาจากท้องฟ้า เป็นแสงมหศัจรรย์ มีประกายเจิดจ้า อย่างไม่มีประมาณ ไร้สิ่งเปรียบเทียบ เพราะเป็นแสงที่เกิดจากการปะทะ พุ่งชน เสียดสีของพลังงานบวก กับพลังงานลบจากสองกาแลคซี่ ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน รวมทั้งมนุษย์ในโลก เสียงโจษขานอึงคะนึงจากกลุ่มคนทั่วทิศทาง ถามไถ่กันขรมว่าเป็นแสงอะไร หากได้ยินเช่นนี้แล้ว ให้รีบหลับตาหลบอยู่ในที่พักอาศัย ไม่ต้องติดตามมวลชนออกไปเพื่อหาต้นกำเนิดของแสงบาดตาที่มีอานุภาพทำให้ตาบอด ได้ทันที

    2. ถัดมาในตอนกลางคืน เวลาประมาณสามทุ่ม ( 21.00น. ) ถึงวาระที่ดาวอาคันตุกะหรือดาวถ่วงดุล จะได้ทำหน้าที่ถ่วงดุลโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่เป็นเพราะถึงเวลาต้องโคจรออกจากระบบสุริยจักรวาลแล้ว ดาวถ่วงดุลจึงโคจรเคลื่อนที่ออกจากแนวเรียงตัวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่วงโคจรเดิม คือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้วยมวลขนาดมหึมา และเข้ามาเรียงชิดติดกับโลก ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาด เล็กกว่ามาก จึงส่งอิทธิพลแรงดึงดูดอย่างมหาศาลต่อโลก สามารถ ดึง เบียด และ พลิกแกนขั้วโลกที่ชี้ทิศเหนือ ให้หันไปทางทิศตะวันออกได้ทันที กระบวนการ ดีดตัว พลิกตัว ของดาวถ่วงดุล และการพลิกเปลี่ยนทิศของแกนขั้วโลก ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาท เป็นพลังงานเสียงที่มีอัตราความดังสูงเกินพิกัด เสียงคำราม แผดก้อง เขย่าขวัญเกินประมาณ ดังมาจากทั่วสารทิศ ทำให้แก้วหูแตกได้ฉับพลัน จึงควรหาอุปกรณ์สำหรับอุดหูเพื่อป้องกันแก้วหูแตก หรือป้องกันขวัญผวาไปกับการได้ยินสรรพสำเนียง แปลกประหลาดที่บาดหูบาดใจ เหล่านั้น (เตรียมอุปกรณ์อุดหูให้พร้อมก่อน 21ธัน วาคม 2012 - มงคลฯ)

    3. การปะทะกันของพลังงานบวกกับพลังงานลบ ทำให้แสงมีคลื่นความถี่สูง การพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลและแกนโลกทำให้มีอัตราความดัง ของเสียงอย่างไม่มีประมาณพุ่งเข้ามาในโลกเต็มชั้นบรรยากาศ แผ่นดิน ผืนนํ้า แผ่นหินเปลือกโลกเป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง โลกตกอยู่ในความมืดสนิทอย่างไม่รู้วัน รู้เวลา ถึงนาทีชีวิตที่ต้องพึ่งพลังปิระมิดจากหลอดแกนชนิดเจาะ 4 รู ซึ่งนอกจากช่วยขับโมเลกุลสีแดงอมม่วงของนํ้าจากดวงจันทร์ออกจากร่างกายแล้ว ในวาระนี้ ยังทำหน้าที่เป็นแกนพลังงานให้จิตเกาะเกี่ยว ไม่เสียสติไปในช่วงที่มีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกินมาตรวัด

    4. ถึงเวลาของคลื่นความถี่สูง ที่เกิดจากการปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จะส่งผลกระทบต่อแผ่นนํ้าแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งสามารถแก้ไขและป้องกันโดยใช้พลังปิระมิดจัดเรียงเป็น เครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ (A DEVICE TO MELT CLOUDS, DISINTEGRATE FOG AND THAW SNOW.) ใช้ประโยชน์ได้ไกลในรัศมีโดยรอบประมาณ 5 กม. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝนตก ฟ้าผ่า และการหล่นจากท้องฟ้าของแผ่นนํ้าแข็ง ที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ กระแทก
    กระหนํ่าซํ้าเติม ทำให้การเผชิญสถานการณ์ของมวลมนุษยชาติเลวร้ายยิ่งขึ้นอีก

    5. เตรียมอาหารเสริมพลังปิระมิด รัดเก็บติดไว้กับตัวเพื่อประทังชีวิตยามรู้สึกหิว ทานอย่างน้อยวันละ 3 เวลา ตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน และดื่มนํ้าให้มาก พลังมโนธาตุและพลังปราณในอาหารเสริมพลังปิระมิด เป็นพลังงานละเอียดที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของจิตและกาย ในภาวะคับขันเป็นอย่างยิ่ง หากเตรียมตัวพร้อมและปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท จะสามารถรักษาชีวิตรอดไว้ได้ มีโอกาสเริ่มชีวิตใหม่กันอีกครั้งกับขั้วโลกตะวันออก

    ตลอดระยะเวลาประมาณ 13,000 ปี ในอนาคตข้างหน้า “ปิระมิด” ซึ่งมีรากฐานมาจากอารยธรรมของชาวแอตแลนตีส จะถูกนำมาใช้เป็นวิชา หรือศาสตร์พื้นฐานที่สำคัญของวิวัฒนาการทางจิต หรือ วิทยาศาสตร์ทางจิตอีกครั้ง และหากเมื่อถึงปลายยุคหน้า เมื่อวิทยาศาสตร์ทางจิต เริ่มก้าวสู่จุดอิ่มตัวและจุดเสื่อม เหตุการณ์การเรียงตัวของกลุ่มดาวในระบบสุริยจักรวาลจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และ แกนขั้วโลกตะวันออกจะหันหลับไปหาขั้วโลกทางทิศเหนือ เป็นการรื้อบ้านหลังเก่าที่ผุพังทิ้ง และสร้างบ้านหลังใหม่กันอีก สลับไปมาเช่นนี้ เป็นรอบๆ ดังความรู้ที่ปรากฏเป็นหลักฐานในปฏิทินมายัน ซึ่งเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ที่บอกเล่ารายละเอียดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ระบบสุริย จักรวาลโคจรเคลื่อนที่ผ่านทั้ง 3 กาแลคซี่ในรอบเวลา 1 วันจักรวาล หรือ 26,000 ปี ตามเวลาของโลก

    มนุษย์ในยุคพลังงานนํ้ามันนี้ มีโอกาสดีที่ได้ร่วมรับรู้ และมีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเรียบเรียงได้ทั้งหมด เป็ นสิ่งที่ทรงคุณค่าแก่การจดจำ จารึก และจะกล่าวขานเป็นตำนานอีกครั้ง ตามกาลเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน เฉกเช่นเดียวกับตำนานของมหาอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ล่มสลายไปเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา และทุกท่านคงจะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็ นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็ นธรรมดา ตามกาละของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย” วนไปมาเป็ นรอบๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดไป

    ตอนนี้สามกาแลคซี่ ได้หมุนไปทางเดียวกันแล้ว คือ ตามเข็มนาฬิกา(กาแลคซี่ทางช้างเผือก กาแลคซี่ไตรแองกูลั่ม และ กาแลคซี่แอนโดรเมดร้า) ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 14 กรกฎาคม 2554 มาแล้ว จะทำให้พลังงานไปทางเดียวกัน และพลังงานเสริมกัน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ถี่ และแรงขึ้น และภูเขาไฟจะเริ่ม ปะทุกันมากขึ้นส่วนพลังงานที่จะเปลี่ยนแปลง คือ ช่วงเวลา 21 ธันวาคม 2555- 14 กุมภาพันธ์ 2556 เราจะเข้าพลังงานดีเป็นของไตรแองกูลั่ม เป็นช่วงที่ความเจริญทางจิตจะเกิดขึ้นเป็นยุคเริ่มต้น ของวิทยาศาสตรท์างจิต คนจะมีอภิญญากันง่าย และจะบรรลุธรรมกัน ง่ายและมากขึ้น พระอาจารย์รัตน์ฯ ยืนยันว่าอิลินิน คือ ดาวถ่วงดุลย์ในปฏิทินมายัน เป็นดาวที่ให้คุณ ตอนนี้ได้โดนความว่างของดวงอาทิตย์กลืนอยู่ (จากการโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์และธาตุลบของอิลินิน ปะทะกับธาตุลบของดวงอาทิตย์ จนกลายเป็นความว่าง) แต่จะกลับมาให้เห็นอีกในกาลหน้า ส่วนดาวนิบิรูพระอาจารย์ยังไม่ให้ความสำคัญในตอนนี้

    ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะยังไม่มีอะไรหนัก ๆ ให้เห็น แต่พระอาจารย์รัตน์ฯ ให้ช่วงเวลาปลายปี 2012 ถึงกุมภาพันธ์ 2013 ซึ่งตอนนั้น จะมีทั้งแกนโลกพลิก ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ๆเกิดมากมาย และผู้คนจะล้มตายกันมากตอนนี้ พลังงานที่อยู่กาแลคซี่ของเราถูกบีบอัด ดาวต่างๆ ในระบบสุริยะเปรียบเสมือนพายเรือในอ่าง ข้ามขอบไปไม่ได้ เพราะพลังจากกาแลคซี่ใหญ่อันโดรเมดร้าเบียดอยู่ จะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนในที่สุดกาแลคซี่เรา จะถูกเบียดจนไปอยู่ในกาแลคซี่ไตรแองกูลั่ม (ซึ่งวงโคจรของระบบสุริยะเราคือ 26,000 ปี เราจะไปอยู่ไตรแองกูลั่ม 13,000 ปี และกลับมาอยู่ทางช้างเผือก 13,000 ปี ) ซึ่งพวกเราจะอยู่ในระดับพลังงานที่ดี และจะมีความเจริญทางจิตมาก ปฏิบัติธรรมก็จะได้ผลเร็ว เป็นต้น

    ในช่วงปลายปี 2012-กุมภา 2013 ทางกายภาพของโลก จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะแรงอัดอีก พร้อมทั้ง ทางด้านพลังงานไม่ดีจะเข้ามามาก คนไหนที่จิตใจมีพลังานเป็นสีดำ พลังงานก็จะเข้ามารวม และทำให้เสียชีวิตในที่สุด ส่วนจิตใจของคนที่เป็นสีขาวพลังงานลบอาจทำอะไรไม่ได้ หรือ ทำได้ก็เล็กน้อย อาจมีการบอบชํ้าบ้างแต่ก็จะมีโอกาสรอดได้มาก วงโคจรของดวงจันทร์ผิดเพี้ยนไป ตรงนี้มีผลโดยตรงกับนํ้าที่มีต่อโลก ส่วน ดวงอาทิตย์ พวกเราอาจจะมีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์นึ้ ทางทิศตะวันตกก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์ใหญ่ (การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครั้งใหญ่) ให้สังเกตดีๆ ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะขึ้นทางทิศตะวันตก …..ฯลฯ




    <O:p</O:p
    • สำหรับสิ่งที่มีชีวิตนอกโลกนั้น พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ เชื่อว่ามีอยู่จริง และ การแสดงให้เห็นความมีอยู่จริงเท่าที่ผ่านมานั้น คือ การแสดงให้เห็นในรูปคลื่นแสง ที่อาจปรากฏมีลักษณะเป็นยานอวกาศ ที่วาบไปมา และ หักเหได้ในลักษณะหักศอก หรือ 90 องศา โดยไม่ต้องตีโค้งเหมือนอากาศยานในโลกมนุษย์

    • ส่วน ศ.ดร.อาจองฯ ท่านว่า ท่านมีความเชื่อว่า มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่นอกโลกจริงเพียงแต่ ไม่เคยพบหน้าหรือ พูดคุยกันโดยตรงเท่านั้น และ ในช่วงที่ท่านทำปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมไฟฟ้ า ที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ประเทศอังกฤษนั้น ท่านและเพื่อนๆได้พบเห็นอากาศยานที่มีความเร็วในการบินสูงมาก แบบปรู๊ดปร๊าด และ หักเหได้แบบ 90 องศา จากนั้น จอดเรืองแสงอยู่ประมาณ 10 นาที

    • แล้วก็บินปรู๊ดปร๊าดหายลับตาไป ในบางคราวที่ไปบรรยาย ได้กำหนดจิตสื่อสารไปในอากาศว่า หากมีสิ่งที่มีชีวิตนอกโลกจริง ให้ปรากฏอากาศยานให้เห็นด้วย ซึ่งมีคนเป็นสักขีพยานที่เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวพร้อมกันจำนวนมาก แสดงความมีเทคโนโลยีในการบินที่สูงกว่าทคโนโลยีที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันจะสร้างได้ เพราะอากาศยานของโลกเรายังไม่สามารถกระทำได้ในลักษณะดังกล่าว

    • ทั้งนี้ ดร.สมิทธิฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ติดต่อและพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้นั้น คือ .ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ศิษย์เก่าฮาวาร์ดดีเด่น อดีตคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ 12 ปี ปัจจุบันท่านเป็นนายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ท่านมีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาว อยู่ที่ดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัล ซึ่งมีการติดต่อได้เป็นครั้งคราวตลอด

    • ถ้าจะมีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้น ซึ่งท่านพระอาจารย์ท่านว่า ต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่วันเวลานั้น ยังไม่แน่นอน เมื่อวันเวลานั้นมาถึง หากเกินกว่าวิสัยที่จะป้ องกันได้ หรือจวนตัวไม่สามรถจะหนีได้ หรือ ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้แล้ว ก็ให้นึกถึง “มรณานุสติ” ไว้ตลอดเวลา

    ขออนุญาตขยายความโดยผู้เรียบเรียง : นั่นคือ ณ เวลาในขณะนั้น ให้นึกถึงว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนทุกคนที่เกิดมา ย่อมต้องตายทุกคน ให้นึกถึงคุณความดีที่เราเคยมีส่วนร่วมกระทำ หรือ ได้เคยลงมือกระทำ เพื่อใช้เป็นพลวปัจจัย เป็นแรงอาสันนกรรมนำส่งไปสู่สุขคติภูมิ ที่มีความสุขสมบูรณ์มากกว่าในชาติภพปัจจุบัน ต้องพยายามควบคุมสติสัมปชัญญะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ต้องไปวิตกกังวลเรื่องอื่นใดอีกแล้ว

    • ไม่ต้องไปห่วงทรัพย์สมบัติใดๆ แม้แต่คนที่เรารักที่สุด เพราะ ณ เวลานั้น เมื่อเราไม่สามารถช่วยตัวเองได้แล้ว ความห่วงใดๆก็ตาม ไม่
    ว่าทรัพย์สิน หรือ พ่อแม่/สามีภรรยา/ลูกหลาน มีแต่จะทำให้จิตตกตํ่า หากจิตตกตํ่า มีความกระวนกระวาย มีจิตฟุ้งซ่านก่อนตาย ท่านต้องไปทุคติภูมิแน่

    • ซึ่งเรื่องนี้ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ท่านพรํ่าเตือนผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นประจำว่า ในยามวิกฤติ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ให้รีบเข้าสมาธิจิตให้ได้ ให้จิตจดจ่อกับคำภาวนาอะไรก็ได้ นึกอะไรไม่ออก ก็ใช้คำภาวนาว่า “พุท โธ” ทุกลมหายใจเข้า-ออก เพื่อให้จิตมีความสงบระงับ ปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง แล้วท่านจะไปดีแน่นอน ให้คิดว่า ท่านกำลังจะได้ไปในสถานที่ที่มีความสุขสมบูรณ์ยิ่งกว่าในชาติปัจจุบัน

    • ท้ายที่สุดขอให้ทุกท่าน อย่าได้ประมาทในภัยพิบัติที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้เตรียมความพร้อมในทุกขณะ หากป้องกันเรื่องใดได้ อย่าได้ละเลยหรือ เพิกเฉย ทรัพย์สินเงินทอง หลักทรัพย์สำคัญ จัดให้เป็นหมวดหมู่ สำหรับหยิบฉวยติดตัวไปได้โดยง่าย ในยามเกิดภัยพิบัติ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอีก กระจายเงินฝากให้อยู่ในหลายธนาคาร เพราะหากมีปัญหาในธนาคารที่เรามีเงินฝากอยู่ ธนาคารอื่นที่เรามีเงินฝากอยู่ด้วย จะช่วยให้เราสามารถถอนเงินมาใช้ได้ อย่าได้ประมาทในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

    • บอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้า ไม่ว่า ลูกหลาน/ญาติมิตร/บิดามารดา/คู่สมรส หากในเวลามีภัยพิบัติ ไม่ต้องกลับเข้าไปในเขตภัยพิบัติ แต่ให้ทุกคนไปพบกันในสถานที่ที่นัดหมายที่อยู่ห่างไกลกับจุดที่มีภัยพิบัติ ต้องหาจุดนัดพบที่มีความปลอดภัยมากที่สุดของครอบครัวของท่าน จุดหมายปลายทางของครอบครัวใด อยู่ที่ไหน ให้ไปยังสถานที่นั้นๆ เป็นสำคัญ และ สถานที่ดังกล่าว ที่จะใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยในช่วงมีภัยพิบัตินั้น ต้องเผื่อในส่วนของหลังคาที่อยู่อาศัยด้วย ต้องมีความมัน่ คงแข็งแรงมากเป็นพิเศษ อาจไม่ต้องทั้งหมด แต่ต้องมีส่วนหนึ่งที่สามารถรองรับการตกของแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ประมาณ ลูกฟุตบอลขึ้นไป หากหาซื้อตู้คอนเทนเนอร์ที่มีความหนาในส่วนบนมาก ก็ย่อมปลอดภัยได้มากกว่า เพื่อใช้พักยามมหันตภัยมาเยือน อย่าประมาท และ ต้องไม่ลืมเตรียมการสร้างแท๊งค์เก็บน้ำ เครื่องกรองน้ำ เสบียงอาหารอาหารกระป๋องอาหารแห้ง ให้มากพอสำหรับทุกคนสัก 3 เดือน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือ ยาประจำตัวของแต่ละคน ต้องเตรียมสำรองไว้รับประทานให้พอเพียงสัก 3 เดือน เช่นเดียวกัน และ ทยอยนำมาใช้ตามอายุการเก็บ ใช้ไปแล้ว หาซื้อมาใส่เพิ่ม

    • ต้องสะสมเมล็ดพันธุ์พืชผักผลไม้ไว้หลายสิบชนิด เพื่อจะมีพืชผักและผลไม้ที่หลากหลายไว้บริโภคในยามมีภัยพิบัติ อย่าลืมเสริมด้วยการปลูกพืชสมุนไพร ที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคต่างๆด้วย

    • โดยขอให้ท่านฝึกฝน ทำการทดลองปลูกให้เป็นปกติตั้งแต่บัดนี้ เพื่อการเรียนรู้ และปรับปรุงบำรุงรักษา ในยามมีภัยพิบัติมาถึงในอนาคต จะได้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยนอกที่อยู่อาศัยมากนัก ไม่ว่าตลาด หรือ ร้านค้า ก็อาจไม่มีอาหารหรือ ปัจจัย 4 จำหน่ายในช่วงเวลานั้นๆ แต่ ถ้าไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ท่านก็ไม่เสียประโยชน์จากสิ่งที่ท่านปลูกไว้บริโภค

    • ท้ายที่สุด ในวันนี้ ขอให้ท่านถามตนเองว่า ท่านเป็นใคร มีหน้าที่อะไร ในสถานที่ใดๆก็ตาม ไม่ว่าที่บ้าน หรือ ที่ทำงาน หรือ ที่ใดก็ตาม เราเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดหรือยัง เราได้ทำให้คนและสัตว์รอบข้างเรามีความสุขหรือยัง เรามีความเมตตา(ให้ผู้อื่นมีความสุข) กรุณา (ให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) มุทิตา (ยินดีที่ผู้อื่นได้ดี) และ มีอุเบกขา(วางใจเป็นกลาง – ปล่อยวางถ้าไม่สามารถช่วยได้) ที่เต็มเปี่ยมแล้วหรือยัง เรารักษาศีล5 ข้อได้ครบถ้วนไหม สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง รีบเสริมให้เต็ม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงแค่ไหนก็ตามเกิดขึ้น เราสามารถตอบได้ว่า ที่ผ่านมา ความชั่วเราไม่ทำ เราตั้งใจที่จะทำแต่ความดี เราจัดสรรเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการทำสมาธิภาวนาบ้าง วิปัสสนาภาวนามาบ้างแล้ว เชื่อมันได้ว่า สุคติภูมิเป็นของท่านแน่นอน

    • ขอให้ทุกท่านมีความปลอดภัย มีความสุข สงบ สำเร็จ สมหวัง และ มีสันติในจิตใจของทกท่าน...

    ด้วยความปรารถนาดี จาก อ.มงคล กริชติทายาวุธ..
    .........................................................................................................................................................................................

    ที่มา คัดลอกมาจากบทความของ อ.มงคล กริชติทายาวุธ เรื่อง เจาะลึกภัยพิบัติ ครั้งที่ 2 พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด (เพื่อต้อนรับปี 2012)http://mongkoldham.com/text/sanRMC_942.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2012
  4. ศรศิลป์

    ศรศิลป์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,232
    ค่าพลัง:
    +3,200
    ขอบคุณที่นำข้อมูลความรู้ดีๆมาให้อ่านกัน เรื่องน้ำท่วมปีที่แล้วผมได้รับฟังจากอ.เทพนม เมืองแมน เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ว่าน้ำจะท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ ปี 2554 ซึ่งก็เกิดขึ้นตามที่อ.เทพนม บอกผมและคนอื่นๆในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ผมก็ติดตามข่าวทางวิทยาศาตร์จากนักวิชาการ และจากพระปฏิบัติในด้านจิตศาสตร์ หาความรู้สองอย่างมาประกอบกันเพื่อให้ได้ตระหนักได้ความรู้เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
     
  5. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ....เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นนั้น ลุงขอเรียกว่าวันฟ้าดับก็แล้วกัน เพราะในยามนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกด้านมืดสนิท แม้แต่ในยามที่เราหลับตายังมีความสว่างมากกว่าเสียอีก ลุงบันทึกหลังจากอธิฐาน ไปยังวันก่อนหน้า ที่จะเกิดภัยพิบัติแก่บ้านเรา 3วันเจ็ดวัน ก่อนหน้านั้นลุงเห็น คนที่มีจิตเป็นอกุศลกรรม ได้มีการฉลอง จุดพลุ ร้องเพลงปีใหม่และนับย้อนหลังในวันสิ้นปี (ลุงจึงคาดว่าเหตุการจะเกิดขึ้นหลังฉลองสิ้นปีใหม่ )ลุงเห็นดาวเหนือเปลี่ยนไป ในลักษณะที่อธิบายไม่ถูก แต่มีความแตกต่างและเห็นได้เจนทั้งขนาดและความสว่าง (จุดนี้น่าจะเป็นสัญญานเตือนให้มีการเตรียมการกันนานหลายวัน)ในวันฟ้าดับ

    ก่อนหน้านั้นจะมีฝนตกต่อเนื่องกันหลายวัน แล้วในวันนั้นไร้ฝน ฟ้าหม่นหมองยิ่งนัก ใบไม้ เงียบจนไม่ฟลิกใบ ฝูงสัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า จะครวญครางแอบบหมอบ<!-- google_ad_section_end --> ลุงเห็นฟ้าสว่างโร่อย่างไม่เคนเห็นมาก่อน( ทำให้ลุงนึกถึงเรื่องราวที่คนเล่าถึงแสงสว่างจากระเบิดปรมณู )ในยามที่เกิดแสงสว่างลุงเตือนหลานและทุกคนอย่าพยายามที่จะมองหาต้นทางของแสง เพราะหลังจากนั้นลุงเห็นภาพคนที่ตามืดบอดเนื่องจากแสงจักรวาลที่ฟาดลงมาแทงทำลายตาของเขา แต่หลังจากเกิดแสงนี้แล้วหลานยังมีเวลาเตรียมตัว ในช่วงนี้เองสัตว์ต่างๆจะตื่นกลัววิ่งหนีแบบไม่มีทิศทาง บ้านเราถ้ามีสัตว์ใดขอให้หลานอย่าได้กักขังเขา เพราะจะเป็นอันตราย แม่แต่สัตว์ที่เชื่องที่สุด แต่ก็มีบางตัวที่จะรอดนั้นจะหมอบตัวสั่นใกล้ๆกับมนุษย์


    ในยามนี้ขอให้หลานได้เข้าไปยังสถานที่ที่มีการเตรียมการและปิดให้มิดชิด อาหาร น้ำ ยา และชุดยังชีพให้ทุกคนแยกติดตัวไว้ อย่าเอารวมกันเพื่อจะแบ่งกัน เพราะอาจจะลำบากมาก ในการติดต่อกันแม้แต่อยู่ใกล้ๆกัน

    <!-- google_ad_section_end -->ส่วนการย้ายเข้าที่ปลอดภัยและ ที่มีมีการเตรียมการอพยพขอให้หลานๆได้เตรียมตัวกันเต็มที่หลังจากที่เห็นดาวเหนือเปลี่ยนไป หลังจากที่มีแสงจักรวาลเข้ามาแล้ว หลังอีกไม่นานนัก ลุงเห็นภาพคนกำลังทานข้าวกันอยู่ จะเกิดเหตุการณ์โลกเราเหมือกับชนกับอะไรซักอย่าง คนที่อยู่บนผืนดิน เหมือนคนที่อยู่บนรถขนาดใหญ่ที่มีการชน ภาพคนคนล้มไถล ไปกับพื้น ตึกพังทลายราบ ลงมาทันที ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

    จะมีเสียงดังเหมือนวัวยักษ์ครางอือๆๆๆๆๆ ขอให้หลานและทุกคนห้องแข็งแรงของเรา หรือคนที่อยู่นอกพื้นที่ให้เข้าไปยังที่มีหลังคาแข็งแรงและปิดหูด้วยอุปกรณ์ป้องกันเสียงที่ลุงได้ให้เตรียมไว้แล้ว เพราะพอเสียงวัวยักษ์ร้องเงียบลง ไม่กี่อึดใจ ลุงเห็นภาพผู้คนวิ่งออกจากตึกเพราะกลัวแผ่นดินไหวที่จะตามมา หลังจากนั้น จะมีเสียงดังที่สุด ซึ่งลุงก็บอกไม่ได้ว่ามันดังแค่ใหน แต่หลังจากนั้นลุงเห็นผู้คนเลือดออกจากรูหูนอนกลิ้งเกลือกไปตามพื้น ตาเถลือกถลน คนที่เอามืออุดหูทันนั้น ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ เพราะลุงเห็นคนที่พยายามสื่อสารกัน แต่เหมือนกับว่าคนในโลกนี้แก้วหูขาดไปหมดสิ้นแล้ว เสียงตะโกนโหวกเหวก แต่ต่างคนต่างไม่รู้เรื่อง ลุงจึงขอย้ำเตือนหลานตรงนี้เรื่องการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันหู ให้ดีที่สุด อาจจะทำให้หนักเป็นเบา ได้

    <O:p<!-- google_ad_section_end -->หลังจากนั้นลุงเห็นภาพที่ทุกคนกลับมาตื่นกลัวอีกครั้งจากแผ่นดินไหวรุนแรงและสั่นต่อเนื่องกันผิดจากครั้งแรกที่เหมือนจะชนโครมเดียวแล้วหยุด แต่คราวนี้เป็นเหมือนมีคนจับเอาเราอยู่ในกระด้งแล้วเคาะขอบมันอย่างแรงอย่างต่อเนื่อง เสียงหวีดร้องตื่นกลัวดังไประงม แต่ในยามนั้นนิมิตลุงอาจจะมีเพียงลุงในจุดนั้นที่ได้ยินเสียงเพราะภาพคนที่วิ่งไปมามีเลือดไหลออกจากหู ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาที่ลูกหลานที่พ่อแม่หอบออกมาจากอาคารบ้านเรือนที่กลัวแผ่นดินไหว มาเจอเสียงดังก็วิงกลับไปในที่คิดว่าปลอดภัย และพอแผ่นดินไหว ก็พากันวิ่งกระเซอะกระเซิง อออกมาอีก

    หลานวิกรม ลุงเห็นภาพที่สร้างความน่าเวทนาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลาย ว่าชีวิตมนุษย์มีเพียงแค่นี้เอง ยังไม่จบสิ้นแค่นี้นะ ภาพผู้คนที่วิ่งหลบแผ่นดินไหวออกมา นั่งกอดกัน ร้องไห้ เป็นกลุ่มๆ มีควันไฟ ที่เกิดจากไฟไหม้ลอยคละคลุ้งไปหมด หลายคนที่เสียสติเริ่มต้นร้องไห้ ภาพพ่อแม่พยายามค้นหาลูกหลานที่ ติดอยู่ในซากปรักหักพัง ต่างคนต่างฟูมฟายร้องไห้ ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้<!-- google_ad_section_end -->…ฯลฯ
    ...................................................................................................
    <O:pข้อมูลข้างบนบางส่วนของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ ในเรื่องของวันฟ้าดับ การสว่างจ้าของท้องฟ้า เสียงกัมปนาทหวั่นไหวจนมนุษย์รับไม่ไหว การหยุดหมุนของโลก สอดคล้องกับคำทำนายของท่านพระอาจารย์รัตน์มาก....
    (ดูรายละเอียดข้อมูลคำทำนายของพระคุณลุงฯ ที่ http://palungjit.org/threads/บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ-เรื่องภัยพิบัติ.311084/ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2012
  6. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ความประมาทในมนุษย์ปัจจุบัน

    คนเราคือมนุษยทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมากก็เป็นคนประมาท ส่วนมากตกอยู่ในความประมาทยิ่งชนชาวชมพูทวีปด้วยแล้ว ก็เป็นผู้มีความประมาทอย่างยิ่งทีเดียว คนในชมพูทวีปเป็นผู้ประมาท คือหมู่เราประเทศไทย หรือในภูมิภาคส่วนนี้คือเป็นชมพูทวีป ชมพูทวีปเป็นส่วนหนึ่ง ของโลกโลกเรานี้แบ่งส่วนออกเป็น 4 ส่วนหรือเรียก ในทางธรรมดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าเป็นทวีป คนในทวีปอื่นอีก 3 ทวีปเขามีอายุแน่นอน ส่วนในทวีปเราเขาเรียกว่าชมพูทวีป และมีพระพุทธเจ้ามาตรัส เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโลกนี้ก็มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในชมพูทวีป ทำไมจจึงเป็นอย่างนี้ คือคนในชมพูทวีป มีความประมาทมากคือประมาทมากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งมีอายุน้อย แล้วก็ยังเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ประมาท ถ้าจะกำหนดอายุของชาวชมพูทวีป นี้ท่านกำหนดว่า มีอายุเพียงแ่ค่ 75 ปี เท่านั้น แต่ไม่ก็แน่นอน กำหนดลงไปเป็นส่วนใหญ่ว่า คนในชมพูทวีปจะมีอายุเป็นกำหนด 75 ปี อายุขัยสิ้นอายุก็ประมาณ75 ปีเลยจากนั้นไป ก็เป็นคนมีอายุเหมือนกัน แต่เขาเรียกว่าเลยกำหนด เลยประมาณ ตามที่ได้กำหนดไว้ ในภูมิทั้ง3 หรือวัยทั้ง3 สำหรับท่านผู้รู้กำหนด วัยของมนุษย์ในชมพูทวีป ไว้เป็น 3 วัยคือปฐมวัย มัจฉิมวัย และปัจฉิมวัย ปฐมวัยคือวัยเเรก ท่านกำหนดไว้ 25 ปี วัยที่สองก็เท่ากัน วัยทีสามก็เท่ากัน จึงเป็น75 ปี ท่านกำหนดไว้เป็นอย่างนั้น ในชาวชมพูทวีปเรา มีอายุน้อยกว่าทวีปอื่นๆ ดังที่เคยได้กล่าวมาแล้วนั้น ทั้งนี้ความไม่แน่นอนก็ยังมีมาก ในสมัยปัจจุบัน และยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้แล้ว จะคิดว่าในอายุของเรา ผ่านไปถึงอายุ 75 ปี มันก็ไม่แน่นอนเลย สมัยนี้คนหนุ่มตายมาก คือตายในอายุไม่ถึง มัจฉิมวัย เนื่องจากกาลเวลาๆและกรรมที่กระทำในชาติก่อนๆ ให้มาประจวบกันในเวลานี้ มักไม่แน่นอน คือจะทำให้อายุจะสั้น และโรคภัยไข้เจ็บ ก็มาก อุบัติเหตุก็มีมาก จะมาในวันใหนในอายุ เท่าใด เวลาใด ไม่อาจรู้ได้เลย จะเป็นหญิง จะเป็นชาย จะเป็นชาวบ้านหรือเป็นภิกษุสามเณร หรือเป็นพระราชา มหากษัตริย์ฺ ก็ไม่อาจจะรู้ได้ คือหมายความว่า ไม่รู้วันตายแม้ถึงอย่างนี้ มนุษย์เรา ก็มีความเห็นเข้าข้างตัว คิดว่ายังไม่ตาย นี้คือความประมาท ของมนุษย์เรานี้ อาศรมไผ่มรกต
     

แชร์หน้านี้

Loading...