วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย ถนอม021, 17 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    http://www.extrasoul.com/pray.html

    วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง[​IMG]

    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า... การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน 1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 % ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 % ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้ [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 % ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน" ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้ แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่ สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี"จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน" นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น" คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ? ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง [​IMG] การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด 1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่ยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ 2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล [​IMG] การเรียงการสวดมนต์ ตามที่ได้ลงในเวบนี้ ให้สวดมนต์ตามที่ได้ลงเอาไว้ ตั้งแต่ บทสวดมนต์ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย บทชัยมงคลคาถา (บทพาหุง ฯ) และจบด้วยพระคาถาชินบัญชร จะท่องโดยไม่ต้องดูตัวหนังสือก็ได้ แต่อย่าขี้เกียจ หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี อย่านึกว่ามีหนังสือ มีตำรา แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ เปิดตำราท่อง แรกๆ ก็เปิดได้ เพราะคนไม่เคยท่องจะให้จำได้อย่างไร แต่ถ้านานๆ ไป ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง สิ่งที่เราได้ก็คือ จิตจะมีสมาธิ การสวดมนต์ก็คือการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน บทสวดมนต์อาราธนาพระรัตนตรัย บทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา (พาหุง ฯ) พระคาถาชินบัญชร<MARQUEE scrollAmount=3>ต้องการสนับสนุนเวบนี้.....เพียงสั่งซื้อหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธ...ควรรู้ " ราคาเล่มละ 200 บาท คลิกดูรายละเอียดที่นี่</MARQUEE><CENTER>[​IMG]</CENTER>[​IMG]มีอะไรดีๆ ให้อ่านมากมาย<A href="http://www.extrasoul.com/respect1.html">กราบพระสุปฏิปันโน <A href="http://www.extrasoul.com/ssoul.html">การทำสมาธิอย่างง่ายๆ <A href="http://www.extrasoul.com/soul.html">บทความ-ตอบปัญหา <A href="http://board.thaidoweb.com/anothai"> เวบบอร์ด<A href="http://www.extrasoul.com/boon.html">ชวนทำบุญ <A href="http://www.extrasoul.com/soul2.html">กฎแห่งกรรม <A href="http://www.extrasoul.com/soul3.html">สารภาพบาป <A href="http://www.extrasoul.com/pray.html">บทสวดมนต์ <A href="http://www.extrasoul.com/book1.html">หนังสือสิ่งที่ชาวพุทธควรรู้ [SIZE=2][COLOR=green]<A href="http://guestbook.th2.net/?17977">สมุดเยี่ยม [SIZE=2][COLOR=green][URL="http://www.extrasoul.com/sponsor.html"] ผู้สนับสนุน[/URL][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]</PRE>
     
  2. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อนุโมทนาสาธุ

    -------------------------------------------------------------
    ประโยชน์ของการสวดมนต์นั้น มีหลายประการ เช่น<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    (๑) เพื่อสืบต่อพระพุทธวัจนะไว้มิให้เสื่อมสูญ<O:p></O:p>
    (๒) เพื่อถ่ายทอดพระพุทธวัจนะให้แพร่หลายออกไป<O:p></O:p>
    (๓) เพื่อศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่บันทึกไว้ในรูปบทสวด<O:p></O:p>
    (๔) เพื่อฝึกสมาธิภาวนา<O:p></O:p>
    (๕) เพื่อพัฒนาปัญญาให้รู้แจ้งแทงตลอด<O:p></O:p>
    (๖) เพื่อบำเพ็ญบุญ <O:p></O:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ขอบคุณครับผม
     
  4. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    มนต์ต่างๆจะมีอานุภาพเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวผู้สวดด้วยเช่นกันหลักง่ายๆนะ

    1. ต้องมีความเชื่อมั่นในบทสวดนั้นๆ (ทุกอักขระย่อมมีเทวะรักษาอยู่)

    2. สวดด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นสมาธิ

    3. ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆให้มากเกิน

    กระทำสม่ำเสมอ.....ถึงเวลา ผลมาถึงเอง
     
  5. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    อนุโมทนาสาธุ

    -------------------------------------------
    อย่าลืมดูแลหัวใจคนอื่น...ด้วยการถ่อมตน
     
  6. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ขอแย้งนะครับ
    อันว่าบทสวดมนต์ หรือ พระคาถาที่ว่าศักสิทธิ์กันนั้น ถ้าอยากให้ศักสิทธิ์(สัมฤทธิ์ผล)ตามที่สวดนั้นก็ต้องปฏิบัติให้ได้ตามที่สวดด้วย การที่สวดแล้วไม่รู้เรื่องไม่รู้ความหมายมันก็ไม่ต่างอะไร กับร้องเพลง "ภาษาต่างชาติ" แล้วฟังไม่เข้าใจ ได้ก็เพียงแต่ท่วงทำนอง ที่เป็นจังหวะจะโคนเท่านั้น
    ยกตัวอย่างนะครับ "มงคลสูตร" พระสูตรที่ว่าด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอุดมมงคลสูงสุดครับ แล้วถ้าถามว่า สักแต่ว่าสวดไม่รู้ความหมาย มันเกิดประโยชน์ที่ตรงไหน ระหว่างแหกปากว่า กับลงมือทำ แต่ถ้ารู้ความแล้วเอาไปทำตาม มันก็เป็น วิปัสสนาญาณ ที่เข้าใจ ลงมือปฏิบัติ แล้วก็พิจารณา อะไรมันจะได้ประโยชน์มากกว่ากันครับ แล้วบทสวดมนต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นคำสอนทั้งนั้น ถึงจะเป็นคำสรรญเสริญคุณพระรัตนะตรัย ก็ยังเป็นคำสอนธรรมมะอยู่ดี
    มูลเหตุของการเกิด "การสวดมนต์" อยู่ทีพระสงฆ์สมัยก่อน ท่านมีความจำเป็นต้องทรงจำพระธรรมคำสอน ซึ่งคนสมัยก่อนเค้าใช้วิธีท่องจำ หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" แล้วท่องจำไม่มีเครื่องคอมพ์มาเซฟข้อมูลอย่างทุกวันนี้ แล้วสวดเฉยๆ มันก็จืดชืดเลยวิวัฒนาการขึ้นโดยใส่ทำนองลงไป ท่องไปท่องมา เออก็เห็นว่าดี สอนชาวบ้านให้ท่องด้วย มันเป็นกุศโลบายสอนธรรมะ พระสมัยก่อนเข้าใจคิดว่าถ้าสอนให้สวดแล้วสวดทุกวัน ช้าไม่นานคำที่สวดกันคงเข้าใจได้สักวัน แล้วไปงัยมางัย ก็ไม่รู้พวกสวดให้ขลังเสียนี่ ท่านไม่ได้สวดให้ขลังเหมือนอย่างที่คนสมัยนี้ทำกันหรอก....ทุกสิ่งที่ทำมีความหมายมองให้ลึกให้ซึ้งจะรู้และเข้าใจความหมายที่แท้จริงแล้วก็จะรู้ได้เองว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เดี๋ยวจะกลายเป็น

    " รู้ธรรม แต่ ไม่รู้ทำ "

    "ธรรมมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงไว้ดีแล้วนั้น เป็นทางไปสู่ความนิรทุกข์ สิ้นไปแห่งทุกข์ แต่ทำไมหนอ...เหล่าบริษัททั้ง 4 ของ
    ศาสนานี้ยังวุ่นวายอยู่ ยังคับข้องอยู่ ไม่มุ่งสู่อริยะสัจจะธรรม ไม่พากันปฏิบัติธรรม แต่พากันปฏิบัติเทพ ปฏิบัติอะไรก็ไม้รู้ที่แล้วแต่
    ความคิดของแต่ละคนจะคิดค้นขึ้นได้ แล้วก็อยู่กับทุกข์เช่นเดิม ไม่ไปจากทุกข์ได้
    ลองตรึกดูเถิด...ถ้าเราปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ลด ทุกข์ไม่หมดไป นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่เราทำอยู่ไม่ใช่ธรรมะแท้ ไม่ใช่ทาง เราจึง
    ควรตั้งข้อสังเกตุแล้ว ตั้งสมมุติฐานดูว่าจริงหรือไม่ จะมัวให้กิเลสหลอกเราไปถึงไหน ศรัทธาที่แท้ กับงมงายที่คนดูแคลน แท้จริง
    นั้นแทบแยกไม่ออกดูไม่ต่างเลย ปฏิบัติแล้วก็ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลงอยู่ นั่นหมายถึงอะไร".....
     
  7. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ยกตัวอย่างอีก เช่น "บทชัยมงคลคาถา" หรือ พาหุงฯ ก็ว่า
    อย่างที่คนโดยทั่วไปเข้าใจกันว่าสวดแล้วจะมีชัยชนะเหนือศัตรู หมู่มารร้ายทั้งหลาย อะไรประมาณนี้ มันก็ถูกที่ลำดับเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้า ทรงประสพกับชัยชนะเหนือ ผู้ประจญ
    แต่เบื้องหลังแล้วพระพุทธเจ้ามีชัยชนะด้วย อุบายธรรมะเหล่านี้ คือ
    1.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือพญาวัสวัสตีมาราธิราช ด้วย ทานบารมี (บารมี 30 ทัศ)
    2.พระพทธเจ้า มีชัยเหนืออาฬะวกะยักษ์ ด้วย ขันติความอดทน
    3.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือช้างนาฬาคีรี ด้วย ความเมตตา
    4.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือจอมโจรอหิงสกะ ด้วย ปาฏิหาริย์แสดงธรรมะ
    5.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือนางจิญจมาณวิกา ด้วย สัจจะแห่งความจริง
    6.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือสัจจะกะนิครนถ์ ด้วย ปัญญาแห่งธรรม
    7.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือนันโทปนันทะนาค ด้วย กุศโลบาย
    8.พระพทธเจ้า มีชัยเหนือผกาพรหม ด้วย ญาณวิธี

    เห็นหรือเปล่าว่า ในบทสวดซ่อนขุมทรัพย์ใดไว้ แล้วถ้าเราอยากชนะเหมือนพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามนี้ ไม่ใชสวดโดยไม่ลืมหูลืมตา มองดูสิว่าเขาสอนอะไรกัน +_+"" ไม่ใช่เอะอะอะไรๆก็สวด รักษาโรคไม่ดูอาการ สักวันมันคงหายหรอกโรคกิเลสที่เป็นอยู่นะ

    คำนี้แม้ไม่หวานหูแต่จริงทุกประการ "ธรรมะดุเดือด"
    โรคบางโรคมันต้องยาแรงๆมันถึงจะหาย ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ต้องสะดุด
    ถ้าไม่มีพิธีรีตรองเหล่านี้ ศาสนาก็จะเจริญกว่านี้แน่นอนครับ...
     
  8. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ยอดเยี่ยมมากครับคุณศรีสุทโธ นับถือจริง ๆ ขอคาระวะ นะครับ
     
  9. dragoona

    dragoona เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +129
    โอ้โห ขออนุโมทนาสาธุ กับผู้ที่ให้ธรรมะเป็นทาน ทุกท่าน
    การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวงจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...