วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย wan60, 19 มกราคม 2008.

  1. wan60

    wan60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +590
    นำบทความเกี่ยวกับการสวดมนต์มาฝากครับ^-^http://www.extrasoul.com/pray.html
    +++++++++++++++++++++++++++++++

    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย

    มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า...

    การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย

    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน
    1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย

    [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %
    ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ
    [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %
    ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้
    [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %
    ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ

    สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ

    สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน"
    ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด

    ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น
    "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต

    แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ


    การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้
    แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่

    สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี "จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน"

    นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน

    แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดีเลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น

    จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ
    มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ

    จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น

    บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น"

    คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ

    หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน

    รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ? ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง
     
  2. wan60

    wan60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +590
    [​IMG] การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด
    1. อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่อยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้
    ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมาย เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ

    2. ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร

    ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ

    คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ

    เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ
    การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี

    ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล


    credit http://www.extrasoul.com/pray.html
     
  3. 0..0

    0..0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +779
    [​IMG]




    มหากรุณาธารณีสูตร

    คำอ่าน
    นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี ชอ ปอ ลา เย . ผู่ ที สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ สัก ตอ พอ เย . มอ ฮอ เกีย ลู นี เกีย เย . งัน . สัก พัน ลา ฟา อี . ซู ตัน นอ ตัน แซ . นำ มอ เสิด กิด สี ตอ อี มง ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี สิด ฟู ลา เลง ทอ พอ . นำ มอ นอ ลา กิน ชี . ซี ลี มอ ฮอ พัน ตอ ซา เม . สัก พอ ออ ทา เตา ซี พง . ออ ซี ยิน . สัก พอ สัก ตอ นอ มอ พอ สัก ตอ . นอ มอ พอ เค . มอ ฟา ทา เตา . ตัน จี ทอ . งัน ออ พอ ลู ซี . ลู เกีย ตี . เกีย ลอ ตี . อี ซี ลี . มอ ฮอ ผู่ ที สัก ตอ . สัก พอ สัก พอ . มอ ลา มอ ลา . มอ ซี มอ ซี ลี ทอ ยิน . กี ลู กี ลู กิด มง . ตู ลู ตู ลู ฟา เซ เย ตี . มอ ฮอ ฟา เซ เย ตี . ทอ ลา ทอ ลา . ตี ลี นี . สิก ฟู ลา เย . เจ ลา เจ ลา . มอ มอ ฟา มอ ลา . มก ตี ลี . อี ซี อี ซี . สิด นอ สิด นอ . ออ ลา เซียง ฟู ลา เซ ลี . ฟา ซอ ฟา เซียง . ฟู ลา เซ เย . ฟู ลู ฟู ลู มอ ลา . ฟู ลู ฟู ลู ซี ลี . ซอ ลา ซอ ลา . เสิด ลี เสิด ลี . ซู ลู ซู ลู . ผู่ ที เย ผู่ ที เย . ผู่ ทอ เย ผู่ ทอ เย . มี ตี ลี เย . นอ ลา กิน ชี . ตี ลี สิด นี นอ . พอ เย มอ นอ . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . มอ ฮอ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เสิด ทอ ยี อี . สิด พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี . ซอ พอ ฮอ . มอ ลา นอ ลา . ซอ พอ ฮอ . เสิด ลา เจง ออ หมก เค เย . ซอ พอ ฮอ . ซอ พอ มอ ฮอ ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . เจ กิด ลา ออ เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . ปอ ทอ มอ กิด เสิด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ . นอ ลา กิน ชี พัน เค ลา เย . ซอ พอ ฮอ . มอ พอ ลี เซง กิด ลา เย . ซอ พอ ฮอ . นำ มอ ฮอ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย . นำ มอ ออ ลี เย . พอ ลู กิด ตี . ชอ พัน ลา เย . ซอ พอ ฮอ . งัน . เสิด ติน ตู . มัน ตอ ลา . ปัด ทอ เย . ซอ พอ ฮอ .



    ใจความเป็นภาษาไทย

    ขอนอบน้อมนมัสการแด่องค์พระอริยะ ผู้ห่างไกลจากบาปอกุศล
    วัตถุประสงค์แห่งบทนี้... พระโพธิสัตว์ทรงสั่งสอนชาวโลก
    ให้ปฏิบัติทางจิตเป็นมูลฐาน พระสัทธรรมทั้งหลายล้วนกำเนิดมาแต่จิต
    เหตุนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความชัดแจ้งแห่งจิต
    และมองเห็นสภาวะแห่งตน จึงจะสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    เมื่อไม่แจ้งชัดในจิตก็ไม่สามารถเห็นสภาวะแห่งตน
    หากแต่จิตมีความมั่นคง ก็สามารถเดินทางสู่พระนฤพานได้

    ขอนอบน้อมคารวะแด่องค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เจ้าแม่กวนอิม)
    ผู้เพ่งเสียงแห่งสรรพสัตว์ผู้ยาก
    พระโพธิสัตว์ผู้สงสารชีวิตแห่งสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในกองทุกข์
    เขาเหล่านั้นล้วนมีความทุกข์อันเกิดจากการหลงลืมสภาวะเดิมของตน
    จำต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ พระองค์พิจารณาตามนี้
    จึงเกิดเมตตาจิตที่จะโปรดสัตว์

    ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้ให้ความตรัสรู้แก่ทุกชีวิต
    ...หากตั้งใจในธรรม นอบน้อมต่อความแจ้งในสภาวะเดิม
    ก็จะถึงความหลุดพ้น...
    เมื่อน้อมคารวะผู้กล้าหาญก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้น
    มวลสรรพสัตว์ในโลกอันไพศาล ถ้ารู้สึกตัวแล้วลงมือปฏิบัติ
    ล้วนถึงความหลุดพ้นได้
    ขอนอบน้อมคารวะต่อผู้มีมหากรุณาจิต

    ... พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความเมตตากรุณาไม่มีประมาณ
    นำสัทธรรมอันเป็นความดับสูญโดยแท้จริง
    ปลุกให้มนุษย์ฟื้นคืนสภาวะเดิมที่มีอยู่ เข้าถึงสัทธรรมอันบริสุทธิ์
    องค์อริยะผู้อิสระ ผู้มีกายใจอันบริสุทธิ์สะอาด
    ...กาย ใจ จะบริสุทธิ์ได้ ต้องตั้งอยู่ในสัจธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในศีล
    การปฏิบัติธรรมต้องถือความสัจเป็นพื้นฐาน
    ใช้ความเพียรเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุสู่อริยสัจ

    ...หากการปฏิบัติธรรมไม่ประกอบด้วยความสัจ
    ก็จะไม่พบหนทางสู่ความสำเร็จ
    เนื่องจากความสัจนั้นเป็นธรรมที่ปราศจากการหลอกลวง
    จิตจึงรวมเป็นหนึ่งได้
    เมื่อมีความสัจ ก็จะมีความเข้าใจ
    เมื่อเข้าใจก็จะมองเห็นความปลอดโปร่ง
    เมื่อปลอดโปร่งก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง
    และกลับกลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    ...ผู้ที่จะนอบน้อมเข้าถึงองค์อริยะ จำต้องปฏิบัติธรรมโดยมานะพากเพียร
    มีจิตใจมั่นคงเป็นหนึ่ง จะกระทำโดยเร่งรีบไม่ได้
    ต้องทำใจให้ว่างเข้าถึงองค์แห่งพระธรรมคัมภีร์
    หมั่นในการปฏิบัติตามหลักธรรม มีความคิดดำริมั่นที่จะก้าวข้ามห้วงแห่งโอฆะ (โอฆะ = การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ )
    คิดจะกระทำประโยชน์แก่สรรพชีวิต

    ...ผู้ปฏิบัติต้องจงใจมุ่งไปข้างหน้า ฝึกฝนให้กายและจิตรวมเป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) เพื่อให้สำเร็จในมรรคผล

    ..ด้วยความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์
    ทรงย้ำเตือนให้ยึดถือพระไตรสรณาคมน์
    ต้องปฏิบัติตนอยู่ในมนุษยธรรม
    ทำตนเป็นตัวอย่างเพื่อให้สาธุชนรุ่นหลังได้รับรู้เป็นแบบอย่าง
    และเจริญรอยตาม
    สาธุชนผู้ปฏิบัติตามพระพุทธองค์และพระธรรม
    ยิ่งต้องมีความเมตตากรุณาจิตและโพธิจิตเพื่อโปรดสัตว์
    รักษาพระธรรมยิ่งกว่าชีวิตและเผื่อแผ่ทั่วไปไม่มีประมาณ

    ...พระโพธิสัตว์เล็งเห็นว่าชาวโลกถือเอาความรวย,
    มีชื่อเสียง, ศักดินา เป็นที่นิยมศรัทธา อันเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์
    พระองค์จึงเตือนจิตให้มนุษย์ จงผ่อนใจในทางโลก
    โน้มน้าวจิตใจมาในทางมรรคผล เมื่อจิตว่างแล้ว
    พระสัทธรรมอันพิสุทธิ์ก็จะเจริญขึ้น

    ...ทุกคนที่ปฏิบัติสามารถรู้ได้เห็นได้ และบรรลุสู่พระพุทธภูมิได้โดยเสมอกัน
    ผู้ที่ทำความดีย่อมได้รับการชมเชย ผู้ทำบาปจะต้องสำนึกและขอขมาโทษ
    ...ไม่ว่านักปราชญ์หรือผู้โง่เขลา เบาปัญญา
    คนหรือสัตว์ ล้วนสามารถหลุดพ้นได้ ถ้าเขาเหล่านั้นปฏิบัติธรรมด้วยความสัจ
    ผู้ปฏิบัติต้องถือพระสัทธรรมเป็นสูญ ไม่ข้องแวะ
    ไม่ติดในรูป ไม่ยึดในจิต ถือเอาสัจธรรมเป็นใหญ่
    และต้องละความวิตกกังวล กำจัดความโกรธ
    ความโลภ ความหลง โดยใช้หลักแห่งปัญญาดับกิเลสให้จิตสงบ
    เป็นอยู่ในโลกนี้โดยสันติสุข

    ความศรัทธาจริงอันต่อเนื่องกัน จิตต้องตรงกับพระธรรม
    ห้ามมิให้มีความคิดทางโลกเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
    ทั้งนี้ เนื่องจากว่าหากปล่อยให้ความคิดทางโลก เกิดขึ้นในจิต กาย ใจ
    ก็จะไม่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดการขัดแย้งกับพระธรรม ไม่อาจจะพบความสันติสุขได้
    ความสะอาดจิตสะอาดสดใสไร้ราคะ
    ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวต่อการก่อกวนของเหล่ามาร(กามกิเลส)
    หากสามารถตั้งจิตข่มจิตสำรวมกาย วาจา และจิต ละทิ้งโลกาวิสัยทั้งหมดก็จะเข้าถึงพุทธสภาวะที่มีอยู่เดิม

    .. ถ้าทำให้จิตมีความสงบนิ่งอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
    ก็จะมีความสำเร็จในธรรมโดยมิรู้ตัว
    ..พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์เจ้าได้หลุดพ้น
    ในขณะที่อยู่ในโลกอันมากล้นไปด้วยกิเลสนี้
    เป็นโลกนาถ มีความเป็นอิสระ
    ...มีกุศลจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มัวหมอง มีรัศมีสว่างรอบกาย
    และสามารถร่วมกับดินฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    รักษาความมีกุศลจิต อย่าทำลายตนเอง อย่าหลงผิดเป็นชอบ
    สิ่งสำคัญ...ต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์

    ผู้มีความกรุณา ผู้ปลดปล่อยทุกข์ เป็นผู้มีจิตในทางธรรม
    ดำรงมรรคมั่นคง มีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งใหญ่
    ...เมื่อจิตมีความสงบก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดี
    กระทำตามโอวาท อย่ามีจิตหลงผิด
    การเน้นปฏิบัติอนัตตธรรม (อนัตตธรรม = ธรรมชาติที่เป็นความไม่มีตัวตน) มองเห็นสรรพธรรมเป็นสูญ (สูญ = สูญตา = ความว่าง)
    มองความรุ่งเรืองแห่งลาภยศ สรรเสริญเป็นสูญ
    มองให้เห็นเป็นเงาลวง ทำจิตใจร่างกายให้หมดจด
    พุทธธรรมมีความเสมอภาค อีกทั้งยังอำนวยประโยชน์สุขแก่สัตว์โลก
    ผู้ที่มีปัจจัยแห่งบุญย่อมได้รับความสุข

    ...ความคิดคำนึงเกิดมาแต่จิต จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธานแห่งบุญและบาป
    ผู้ปฏิบัติต้องกำจัดความคิดอันเป็นอกุศล ความคิดฟุ้งซ่าน
    ระงับความวิตกกังวล เพียรพยายามเสาะหาสัจธรรม
    ชำระล้างอายตนะภายในให้สะอาดพิสุทธิ์ ละความห่วงใยใดๆให้สิ้นเชิง
    ความมีอิสระทันที ผู้ปฏิบัติไม่มีเวลาใดที่ไม่เป็นอิสระคือมีอิสระทุกเมื่อ
    การปฏิบัติกระทั่งสำเร็จวิชชาธรรมกาย มีอาสน์ดอกบัวรองรับ
    โดยปกติแล้วผู้ที่มีจิตว่างก็จะมีความสะอาดทั้งกายและจิต
    เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ และก็จะตั้งอยู่เช่นนั้น ไม่มีวันเสื่อมถอย

    การเกิดความคิดปฎิบัติธรรมสามารถบันดาลให้เทพเจ้ามาปกปักรักษา
    ผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างสมบุญบารมีเพื่อเป็นพื้นฐานในการบรรลุสู่มหามรรค (มรรคผล-นิพพาน)
    ผู้ปฏิบัติจะต้องยืนให้มั่นตั้งใจปฏิบัติ
    ไม่ลุ่มหลงด้วยพวกเดียรถี มีความแน่วแน่ มีสมาธิ มีความสงบ
    มีความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่สามารถข้ามพ้นสังสารวัฏได้
    พระสัทธรรมอันไพศาล สามารถระงับความเกิดดับแห่งกิเลสได้
    ภัยพิบัติต่างๆไม่แผ้วพาน ทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้เหมือนกัน

    ...กำจัดความหลงผิด ความเห็นแก่ตัว ปล่อยวางปัจจัยทางโลก
    เมื่อปฏิบัติจิตให้มีสภาพเหมือนอากาศอันโปร่งใส
    ไร้ละอองธุลีแม้แต่น้อย ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมได้
    เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งสภาวะเดิมแล้ว
    จะมีความสว่างปรากฏในกายของตน
    ความโกรธ ดุ สุรเสียงที่เปล่งออกมาดุจเสียงคำรามของฟ้า กระหึ่มไปทั่วสารทิศ

    ...ธรรมเหมือนดังฟ้าร้องคำรามไปทุกสารทิศ
    เป็นเสียงแห่งพรหมเมื่อเหล่ามารได้ยินศัพท์สำเนียงนี้ ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว

    การกระทำดี สามารถทำลายความกังวลแห่งภยันตรายได้
    ธรรมะเป็นสิ่งลึกซึ้ง เข้าใจยาก
    และมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถประมาณ หรือคาดคิดได้ เป็นประโยชน์ที่ไม่มีสิ่งใดทัดเทียม
    ...ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ ย่อมบรรลุสู่ภูมิแห่งพุทธ

    การชักชวนตามพระศาสนา ทุกสรรพสิ่งให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ
    ...ทุกสิ่งปล่อยให้ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง อย่าฝืนกระทำตามใจชอบ

    เป็นมหาสติ มีจิตใจมั่นคงสามารถเข้าสู่มหาปัญญา
    ..ผู้ปฏิบัติธรรม มีความสว่างแห่งสติปัญญาอยู่
    ถ้าใช้จิตนี้เป็นฐานใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์ ก็จะได้รับฐานธาตุที่สดชื่น
    แต่หากไม่มีจิตใจมั่นคงกำจัดกิเลสในตนไม่หมด
    ก็ไม่มีทางที่จะให้ความว่างแห่งสติปัญญาที่มีอยู่ดั้งเดิมปรากฏออกมาได้เลย.
    ความผ่านธรรมไปถึงธรรมราชา มีความอิสระในธรรม
    การได้พระธรรมกายอันบริสุทธิ์ ได้ดวงแก้วแห่งพระรัตนะ

    ผู้ที่มีธรรม ตั้งอยู่ในขันติธรรม
    ผู้บรรลุธรรม มีความสุขอันแท้จริงยากจะบรรยาย
    เป็นการอนุโมทนาตามเหตุตามปัจจัย
    ...ความสุขที่แท้จริง จะต้องได้จากการปฏิบัติที่ยากลำบาก
    ถ้าสามารถอดทนต่อความยากลำบากก็จะเข้าถึงความสุขอันยิ่งได้
    จะต้องมีความรู้ด้วยตนเอง ผู้จะบรรลุธรรมหากสามารถละการยึดเกี่ยวเข้าถึงสภาวะดั้งเดิม
    ก็จะพบพระพุทธเจ้าได้ทุกพระองค์

    การประกอบพิธีตามปรารถนา ประกอบพิธีกรรมไม่ละจากตัวตน

    การประกอบธรรม โดยปราศจากความคิดคำนึงมีความเป็นอิสระสูง
    ผู้ปฏิบัติเพียงแต่มีความมุ่งมั่น มีความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง
    มีจิตอันเป็นหนึ่งเดียว ก็จะได้เห็นองค์พระโพธิสัตว์
    ความเป็นมหามงคลอันสูงสุด สามารถอำนวยประโยชน์
    และคุ้มครองสรรพสัตว์โดยไม่ละทิ้ง
    น้ำอมฤตทานสามารถอำนวยประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง
    การตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ถึงภูมิจิต ผู้ที่ปฏิบัติจะต้องมีความวิริยะพากเพียรอย่างแรงกล้า
    ปฏิบัติทุกวันทุกคืนเสมอต้นเสมอปลายไม่ท้อถอย
    เป็นการรู้ในธรรม รู้ในจิต ผู้ปฏิบัติจะต้องถือ "ตัวเขา-ตัวเรา"
    เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เพียงแต่ไม่เห็นลักษณะตัวเขาตัวเรา
    แม้สรรพสัตว์ในทุคติ ก็ต้องถือว่าเท่าเทียมกับเรา
    มหากรุณา ให้ผู้ปฏิบัติต้องเจริญเมตตากรุณาจิต
    เพื่อให้สรรพสัตว์เข้าถึงโพธิมรรค

    ...รักในตนเองเท่าใด ก็ให้รักผู้อื่นเท่านั้น
    นักปราชญ์ผู้รักษาตนเองได้ มีมหากรุณาจิต
    ...ผู้ปฏิบัติจะต้องเคารพนักปราชญ์ เห็นผู้ทำดีจะต้องช่วยกันรักษา
    ผู้ที่เกิดความท้อถอยก็ต้องส่งเสริมให้กำลังใจ
    ความคมของวัชระ ให้คนเรามีความมั่นคงในการปฏิบัติธรรม
    สุรเสียงก้องไปสิบทิศ เป็นสุรเสียงแห่งความปิติยินดี
    ความสำเร็จผล มงคล นิพพาน ระงับภัยเพิ่มพูลประโยชน์
    พระสัทธรรมไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาวะอันสงบมาแต่เดิม

    ความสำเร็จในธรรมทั้งหลาย เข้าถึงพระวิสุทธิมรรคปราศจากขอบเขตอันจำกัด
    สรรพสัตว์เพียงแต่ละวางจากลาภยศชื่อเสียง ก็จะเข้าถึงความหลุดพ้นได้
    ผู้ปฏิบัติถ้าเห็นแจ้งในพระสัจธรรมและความหลอกลวง(ไม่แท้) ก็จะสำเร็จได้ง่าย
    ความไพศาลของพระพุทธธรรม ผู้ใดน้อมนำไปปฏิบัติจะสำเร็จในพระพุทธผล
    ทวยเทพเจ้าต่างได้รับความสำเร็จอันเป็นความว่างเปล่า (สุญญตาธรรม)
    ความสำเร็จด้วยความรัก ความเมตตากรุณา การปกปักษ์รักษา
    แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์
    พระโพธิสัตว์มุ่งเน้นให้คนปฏิบัติธรรม อีกทั้งยังเปิดเผยหัวใจอันลึกซึ้งของมหามรรคนี้

    เป็นการแสดงความรักของพระโพธิสัตว์ต่อหมู่ชน
    คนเรานั้นมีโรคทางจิตเป็นภัยคุกคาม
    พระธรรมโอสถเท่านั้นที่สามารถรักษาให้หายได้
    สัตว์ทุกประเภทมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
    สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิได้เหมือนกัน
    สรรพสัตว์มีโอกาสร่วมรับความสุขสบายทั่วถึงกัน
    บุคคลมีขันติธรรมก็จะเข้าถึงธรรมได้ด้วยดี สามารถสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ไม่จำกัด

    (ต่อเนื่องกับบทก่อน) ความเมตตาอันสูงสุด การใช้วชิรธรรมจักร ปราบเหล่ามารศัตรูได้รับความสำเร็จ สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนสำเร็จในความบริสุทธิ์ได้
    จึงไม่ควรประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย
    พุทธธรรมเป็นธรรมที่ไม่มีขอบเขต
    จะต้องปฏิบัติเพื่อได้รับความสุขร่วมกัน
    ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติจะต้องประกอบด้วยสติปัญญาเพื่อการหลุดพ้น
    ละจากกิเลส

    ผู้ปฏิบัติไม่ยึดในทางใดทางหนึ่ง
    ปฏิบัติโดยการพิจารณา พร้อมทั้งมีหิริโอตตัปปะ
    ..มรรคผลนั้นสำเร็จได้ด้วยตนเอง สำเร็จได้ด้วยการพิจารณา
    ในทุกขณะจะต้องพิจารณาจิตของตน รักษาไว้ในทุกเหตุปัจจัยไม่ให้วิตกจิตเกิดขึ้นได้
    รักษาไว้ด้วยความเป็นภัทร (ภัทร = เจริญ,ประเสริฐ)
    เถระเพ่งโดยอิสระ
    เป็นที่รักของผู้เจริญ เป็นที่รักของพระอริยะ
    การปฏิบัติให้ถือเอาสัมมาจิต และความมีสัจเป็นหลัก
    คุณธรรมจะสำเร็จได้ ด้วยสภาวะแห่งเมตตาธรรม
    หากจิตตั้งอยู่ในอกุศลก็ย่อมเป็นการยากที่จะสำเร็จพระอนุตตรธรรม

    พระคาถาทั้งหมดแห่งมหากรุณาธารณีสูตรมาไว้ในประโยคนี้
    มีนัยบ่งบอกถึงความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์
    เพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงให้ได้รับหิตานุหิตประโยขน์ มีพระสัมมาสัมโพธิเป็นหลักชัย
    เน้นย้ำให้พยายามควบคุมกายใจไม่ให้ลื่นไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบ
    โน้มนำเอาฌานสมาธิเพ่งการเกิดการดับ
    เป็นการสาธยายมนต์สรรเสริญพระอริยะ และกล่าวย้ำถึงการปฏิบัติธรรม
    ต้องละความเป็นตัวตน, บุคคล, เรา-เขา จึงสามารถไม่ให้เกิดความคิดนึกอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ได้

    ...ความนึกคิดติดยึดไม่เกิด ความเข้าใจถึงธรรมก็จะเป็นที่หวังได้
    พระสัทธรรมไม่มีความสิ้นสุด บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีความบริสุทธิ์เป็นเครื่องอยู่ นำทางสู่แดนสุขาวดี
    ...มีการเกิดย่อมต้องมีการตาย มีความชนะย่อมต้องมีความพ่ายแพ้...
    แต่ชาวโลกผู้ตกอยู่ภายใต้อวิชชากลับยินดีต่อการเกิดเกลียดชังความตาย ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่นั่นเอง
    ฉะนั้นหากต้องการรอดพ้นจากความตาย จะต้องค้นหาความเป็นในความตายให้ได้เสียก่อน

    ผู้ปฏิบัติต้องสำรวมตาเห็นรูป ไม่ปรุงแต่งไปตามรูปที่มองเห็น
    สำรวมหูฟังเสียง ไม่ปรุงแต่งไปตามเสียงที่ได้ยิน
    สำรวมจมูกดมกลิ่น ไม่ปรุงแต่งไปตามกลิ่นที่จมูกดม
    สำรวมลิ้นรับรส ไม่ปรุงแต่งไปตามรสที่ลิ้นรับ
    สำรวมกายถูกต้องสัมผัส ไม่ปรุงแต่งไปตามที่ร่างกายถูกต้องสัมผัส

    สุดท้ายสำรวมใจรับรู้อารมณ์ ไม่ปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ใดๆที่ใจรับรู้
    รวมเรียกว่าสำรวมอินทรีย์ ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บรรลุเป็นโพธิสัตว์อันบริสุทธิ์

    ...จงเว้นจากการทำบาป เร่งบำเพ็ญสรรพกุศล ชำระจิตให้สะอาดหมดจด...
    นี่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ธรรมเหล่าใดจะสำเร็จได้ด้วยอาศัยใจเป็นประธาน



    http://www.akeanan.com/content1.html


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.267600/[/MUSIC] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2008
  4. sio191

    sio191 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +601
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ อยากทำได้โดยสมบูรณ์จังเลย ไม่รุ้ว่าเอาตัวไหนมาวัดว่าเรามีสมาธิพอหรือไม่
     
  5. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,182
    สวดๆไปเหอะจ้ะ
    นกแก้วก็ไปสวรรค์มาแล้ว
     
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ก็ต้องหัดให้นกแก้วสวดจิ (เหนื่อยแย่) เราสวดแต่นกแก้วไปสวรรค์จะสวดให้เมื่อยตุ้มทำไม?? 55

    เราก็มีปัญหาเรื่องสวดมนต์ฯ นะ สวด ๆ แล้วจำไม่ได้ว่าถึงไหน กี่บทแล้ว รู้ว่าสวดกี่บท ก็ตั้งใจสวด ๆๆๆ มารู้ตัวอีกทีไม่รู้กี่บท...โว้ยยยย :(
     
  7. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,182
    เจ๊ก็เปิดหนังสือสวดไปเลย อ่านไปทีละตัว
    สวดจบก็ไปนั่งภาวนาเรียกของเก่าน่ะแหละ
    แต่ละคนทำมาไม่เหมือนกันจ้า
     
  8. porapatr

    porapatr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,282
    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน
    1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย
    [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %
    [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %
    [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %

    ข้อหนึ่งถ้าหมายถึงอดีตชาติเท่าไรไม่รู้ แต่ข้อ 2 ข้อ 3 รวมแล้วก็ 50% แล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำข้อ 2 และ 3 มาก ๆ เพื่อผลคะแนนที่ดี
     
  9. vnoen

    vnoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +827
    อนุโมทนากับทุกๆท่านครับ
    ขอให้บรรลุธรรมะ สติ ปัญญาครับ
     
  10. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    เห็นด้วยกับคุณอักขรสัญจร เพราะเริ่มแรกเราก็เปิดหนังสืออ่านไปเรื่อย ๆ ติดขัดกับคำที่ไม่คุ้นเคยบ้าง อ่านทุกวันก็คล่องมากขึ้น อ่านได้เร็วขึ้น และก็เริ่มจำได้โดยไม่ต้องเปิดหนังสือ แต่ถ้าสมาธิไม่ดีก็จะจำไม่ได้นึกวนไปวนมา ต้องเปิดหนังสือช่วยอีกคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...