วิถีแห่งพุทธะ ตอนเตรียมตัวปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 5 พฤษภาคม 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการของมหาสติปัฏฐานท่านต้องเตรียมการดังนี้

    [​IMG]



    ตั้งความรู้สึกนึกคิดจิตวิญญาณ และชีวิตเอาไว้ว่ากิจกรรมต่อไปนี้ เป็นกิจกรรมที่เราจักทำมันพร้อมทั้งกายและใจ อย่างชนิดผนึกแนบแน่น ซึมซับซึมสิง จดจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่ละความพยายามที่จะฝึกหัด ปฏิบัติ บำเพ็ญในการปลุกเร้า เฝ้ารักษามหาสติ ให้มีชีวิตพลิกฟื้น ตื่นขึ้นมาเพื่อจะทำหน้าที่ชี้บอกเรา ว่าสิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตและกายเราเกิดจากกระ-บวนการสะสม พอกพูน หนุนนำ มาจากความไม่รู้จริง เป็น เหตุให้ทำถูก ทำผิดและการกระทำ ทั้งถูกผิดเหล่านี้แหละ เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตให้ดีชั่ว เลว หยาบ ฉลาดโง่ ด้วยอำนาจของความทะยานอยาก ดิ้นรนปรารถนา ยึดถือ ผูกพันจนกลายเป็นกระบวนการสร้างภพ สร้างชาติ แล้วก็ต้องมาแก่ เจ็บ ตายพลัดพรากจากของที่ตนยึดถือ ทำให้เกิดความร่ำไร รำพัน เศร้าโศก เสียใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นทุกข์เดือดร้อน ก็ต้องขวนขวาย ดิ้นรนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นคนโง่รู้ไม่จริง ก็อาจหาทางในวิธีที่ผิด ซึ่งก็ผิดกันมาตลอดจนเป็นเหตุให้ทำกรรมทั้งถูกและผิด

    ด้วยเหตุนี้ เราทั้งหลายจึงต้องค้นหาวิธีพ้นทุกข์ ที่ถูกต้องที่สุดด้วยตัวเราเองตามแนวทางที่พระบรมศาสดาพระพุทธะ ผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงมีพระเมต-ตาวางหลักการเอาไว้ ส่วนจะถูกจะผิดได้ผลดีหรือไม่ดีอย่างไร นั่นขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเราทั้งหลายแล้วล่ะว่าเราทำจริงไหม มีความเพียรพยายามปฏิบัติ ด้วยอาการกิริยาที่จริงจัง จับจ้องตั้งใจแค่ไหน ได้รับผลของการกระทำด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักแนวทางที่พระพุทธะทรงวางไว้ ได้จริงหรือเปล่าท่านปฏิบัติตรงต่อหลัก-การนั้นด้วยความละเอียด รอบคอบ ชาญฉลาดมากน้อยแค่ไหน อย่างไรแล้วท่านได้เข้าใจหลักการ พื้นฐานที่เกิดสภาวธรรม สภาวะทุกข์ แล้วหรือไม่ว่าความทุกข์เดือดร้อนทั้งหลาย เกิดขึ้นได้เพราะความไม่รู้เป็นเหตุ ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุ คือความไม่รู้ ทำให้ความรู้จริง รู้แจ้ง รู้ชัดว่าการที่จะพ้นทุกข์ได้นั้น ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากตัวเอง เราเอง เราต้องเพียรพยายามทำทุกวิถีด้วยความรู้จริง รู้ชัด เพื่อจะปลดปล่อยชีวิต จิตวิญญาณให้พ้นจากเครื่องพันธนาการร้อยรัดทั้งปวง

    การได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนของพระศาสดา ทำให้เราได้รู้ว่าพระ-พุทธองค์ทรงเน้นย้ำอย่างหนักแน่นจริงจังว่า

    อานนท์ เธอจงเป็นที่พึ่งพิงอิงอาศัยของตนเถิดจงอย่ายึดถือที่พึ่งภายนอก จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ายึดถือ พึ่งอาศัย อย่างอื่นสิ่งอื่น ชีวิตอื่น แล้วพระองค์ก็ทรงสอนต่อไปว่า

    ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีสติเฝ้าดูกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมมีความเพียรเพ่งอยู่ ย่อมกำจัดความทุกข์เดือดร้อน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเสียได้ย่อมพ้นแล้วในเครื่องร้อยรัดทั้งปวงย่อมบรรลุถึงนิพ-พาน

    เมื่อเราเข้าใจ ถึงหลักการพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมว่าสภาวะธรรมทั้ง-หลาย ความพ้นทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญทีนี้เรามาก้าวสู่กระบวนการของมหาสติปัฏฐานกันเถิด

    วิธีเข้าสู่กระบวนการมหาสติปัฏฐานเพื่อให้แน่ใจและมั่นใจว่า เราจริงจังต่อการเข้าสู่กระบวนการนี้อย่างจริงใจมิใช่จำใจ ก็ต้องเริ่มที่ทำกาย วาจา ใจ ให้อ่อนน้อม พร้อมรับฟังคำแนะนำ สั่งสอนด้วยการกล่าวคำว่า

    เยเนวะ ยันติ นิพพานัง พุทธา จะ เตสัญจะสาวะกา เอกายะเนนะ มัคเคนะ สะติปัฏฐานะสัญญินา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายของพระ-พุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ย่อมถึงซึ่งพระนิพพาน ด้วยข้อปฏิบัติใดข้อปฏิบัตินั้น รู้กันอยู่แล้วว่า ได้แก่สติ ปัฏฐานทั้ง 4 ซึ่งเป็นหนทางอันเอกของบุคคลผู้เดียวดังนี้
    อิมายะธัมมานุธัมมะปะฏิปัตติยา พุทธัง ธัมมัง สังฆังปูเชมิ

    ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ด้วยการปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมดังนี้

    เดชะ พุทธา นุภาเวนะสะทาโสตถี ภะวันตุ เม
    ด้วยเดชะอานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้า ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้า (กราบ)
    เดชะ ธัมมา นุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเม
    ด้วยเดชะอานุภาพ แห่งพระธรรม ขอความสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้า (กราบ)
    เดชะ สังฆา นุภาเวนะ สะทาโสตถี ภะวันตุเม
    ด้วยเดชะอานุภาพ แห่งพระสงฆ์ ขอความสวัสดี จงมีแก่ข้าพเจ้า (กราบ)

    ครั้นแสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพร้อมที่จะน้อมรับคำสั่งสอนมาปฏิบัติ ก็เริ่มจัดการกับอิริยาบถของตนเองให้ตั้งอูยู่ในกิริยาอาการที่ถูกใจ ผ่อนคลาย เบาสบายที่สุด ไม่มีข้อบังคับใดๆว่าต้องอยู่ในอิริยาบถนั้น อิริยาบถนี้ ทำตามที่ท่านรู้สึกว่า ตั้งมั่นอยู่ได้นานปราศจากความกังวล หวาดระแวงใดๆเมื่อจัดระเบียบให้กับกายได้แล้วก็มาดูระบบของใจและความคิดผู้ปฏิบัติธรรมต้องตระหนักสำนึกถึงความทุกข์เดือดร้อนทั้งหลายที่มีอยู่ในชีวิตแล้วต้องคิดให้ได้ว่าวิธีนี้เท่านั้นที่จะพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะมีงานมากสักเท่าใดมียศและภาระยิ่งใหญ่ ขนาดไหน มีห่วงใยอะไรๆ สักปานใดท่านต้องวางให้หมด สลัดให้หลุด อย่าปล่อยให้อะไรมาฉุดท่านอยู่ มีแต่ตัวเองแท้ๆล้วนๆ ว่างๆแล้วเริ่มทดลองปฏิบัติ

    โดยการสูดลมหายใจเข้าไปสู่ร่างกายให้ยาวลึก เต็มที่ แล้วผ่อนลมนั้นออกมายาวๆ หมดจด เอาความ รู้สึกนึกคิดทั้งปวงจับอยู่ที่รูจมูกทั้งสองข้าง เมื่อลมเข้ามากระทบช่องจมูก ก็ส่งความรู้สึกนึกคิดนั้นตามลมเข้าผ่านลำคอ หน้าอก ช่องท้อง กระดูกสันหลังข้อที่ตรงกับสะดือไหลย้อนขึ้นมาที่กลางหลัง ต้นคอจอมปราสาทหรือกลางกระหม่อม และออกจมูกทำอยู่เช่นนี้สัก 5-10 ครั้ง เป็นการอุ่นเครื่องเรียกสติของคนให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลพร้อมกับทำให้เกิดความเข้าใจรู้จักต่อกระบวนการ ของลมหายใจเข้าและออกด้วยการสังเกตดูว่า การหายใจดัง-กล่าวมานี้ ท่านรู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก มึนตึงปวดศีรษะหรือเปล่า เหนื่อยไหม ถ้ายังไม่สามารถสัเกตดูอาการ ที่ปรากฏในกายตนได้ซึ่งอาจจะเร็วเกินไป ที่จะรู้ผล ก็ให้ทดลองหายใจดูใหม่ด้วยวิธีเดิม

    ให้สูดลมหายใจเข้าไปให้ยาว ลึก เต็มที่กักเก็บลมหายใจ หรือกลั้นลมหายใจเอาไว้สักครู่ (สุดแต่ความสามารถของแต่ละท่านให้ทุกท่านสังเกตหาความพอดีแบบสบายๆ แก่ตัวเอง)แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออกทางจมูกหรือปากก็ได้ (ถ้าไม่สะดวก ที่จะหายใจทางจมูก)ทำเช่นนี้ไปสัก 10-20 ครั้ง เอาความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงจับอยู่ภายในกายเพื่อจะเฝ้าระวังสังเกตอาการที่เกิดขึ้น ว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่ถ้าเห็นสิ่งผิดปกติ เช่น อึดอัด แน่นหน้าอก เหนื่อย มึนตึง ปวดศีรษะให้แก้ไขด้วยวิธี

    ค่อยๆ หายใจเข้า (ปิดปากให้สนิท)ให้พอดีกับความต้องการของตน แล้วใช้เวลาในการกักเก็บลมหายใจช่วงขณะแค่กลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง จึงค่อยผ่อนลมหายใจออก จะทางปากหรือจมูกก็ได้ด้วยความ รู้สึกผ่อนคลาย ระบายของเสียออกมาพร้อมกับลมหายใจ ทำอยู่สัก 10-20 ครั้งให้ความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลรวมอยู่ภายในกาย พร้อมกับสังเกตว่า มีอาการใดๆเกิดขึ้นภายในกายเรา (มีข้อน่าสังเกตว่า อย่าทำด้วยความอยากตั้งใจมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด เพราะถ้าเครียดจะไม่เป็นผลดีต่อการปฏิบัติ) ถ้าไม่มีปัญหาใดๆยังรู้สึกผ่อนคลาย หมดจด สบายๆ รู้สึกตัวตลอด ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ มีแต่ความสงบตั้งมั่น นั่นแสดงว่า วิธีนี้ใช้ได้ เป็นที่สบายของเรา (การหายใจด้วยวิธีนี้จะทำให้มีสติ สมาธอตั้งมั่นได้ง่าย) ทำต่อไป ทำจนกระทั่งชีวิตความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย รวมอยู่ภายในกายเรา (เรียกว่า จิตรวมกาย)เราจักรอบรู้ทุกอย่างที่มีในกายนี้ เรารู้จักการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวนของสิ่งต่างๆ ภายในกายเรา เราจะรู้เท่าทัน จนมีอำนาจควบคุมมันได้สมรรถภาพภายในกายนี้ จะอยู่ในการดูแลควบคุมของเรา จะไม่มีแขกแปลกหน้าใดๆเข้ามามีอำนาจครอบงำกายนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความปรุงแต่งที่เกิดจากตาเห็นรูปหูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัสทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมบังคับบัญชาของเรา เราจักรู้จักเลือกว่าสิ่งที่มีอยู่เก่า และเข้ามาใหม่ อะไรเป็นทอง อะไรเป็นขยะเราจะมีชัยต่อการทำลายขยะเก่า ไม่เพิ่มเติมสะสมขยะใหม่เพียรพยายามรักษาของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส

    แต่ถ้าการกำหนดรู้ลมหายใจวิธีที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ผล คือยังไม่สามารถทำให้สติตั้งมั่น สมาธิคงอยู่ได้ยังมีความรู้สึก เหนื่อย อึดอัด แน่นหน้าอก ปวดศีรษะก็ให้เปลี่ยนมาเป็นวิธีรู้ลมหายใจ ทั้งเข้าและออกอย่างปกติ เป็นธรรมชาติของมันโดยมิต้องบังคับ ลมกระทบจมูก ก็ให้เฝ้าดู เมื่อหายใจเข้าก็ให้รู้ว่าลมเข้ากระทบรู-จมูก ให้ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงเฝ้าดูอยู่หายใจออกก็ให้รู้อยู่ว่าหายใจออก ลมกระ-ทบจมูก รู้ว่านี้เป็นกิจหน้าที่ของลมออกรู้ในอาการของลมเข้าที่ต้องกระทบ รู้ในกิจหน้าที่ของลมออกรู้ในอาการของลมออกต้องกระทบรูจมูก ส่วนจะหายใจหนัก เบา ยาว สั้น ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ หน้าที่ของเรา เฝ้าดูแลรู้เท่านั้น ในขณะที่ดูรู้อยู่ต้องไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทำจนสติตั้งมั่น สมาธิคงที่ลมหายจะละเอียดแผ่วเบา ไหลลื่น ราบเรียบยิ่งขึ้น ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกได้ด้วยตนเองว่า การหายใจของตนไม่ติดขัด ไม่หนักหน่วง ไม่อึดอัด ตรงกันข้ามลมหายใจจะไหลลื่นอย่างสม่ำเสมอ บางเบา ละเอียดลง จนรู้สึกได้ เหมือนกับไม่ได้หายใจในเวลาเดียวกัน ก็จะบังเกิดนิมิตเหมือนแสงสว่างวิ่งผ่านหน้าตาคล้ายดาวตกหรือไม่บางคนก็อาจจะเห็นนิมิตที่เป็นแสงสว่างเจิดจ้า สบายตา ไม่ระคายเคือง ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ให้ความสนใจต่อนิมิตที่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ เฝ้าดูกิจของลมและอาการที่มากระทบรูจมูกของลมหายใจ ทั้งเข้าและออกจนกว่าจะรู้สึกว่า...การเฝ้าดูรออยู่ ตั้งมั่น คงที่ มิได้สับส่าย สั่นคลอนก็ลองเปลี่ยนอิริยาบถของการเฝ้าดู เช่น นั่งอยู่ก็ให้ยืน ยืนอยู่ก็ให้เดินเดินอยู่ก็ให้นอน นอนอยู่ก็ให้นั่ง ทำเช่นนี้จนแน่ใจว่า การเฝ้าดูลมหายใจของเรามีได้ทุกอิริยาบถ โดยไม่เผลอไม่ตกหล่น รักษากระบวน การเฝ้าดูรู้อยู่พร้อมทั้งการหายใจที่ละเอียดอ่อน บางเบา ราบเรียบ ไหลลื่น ไม่ติดขัดกระฉอก

    ถ้าจะฝึกให้ถึงขั้นบรรลุฌาณก็ต้องคงสภาพของการเฝ้าดูรู้ลมหายใจขั้นต่อไป จากลมหายใจที่ละเอียดอ่อน แผ่วเบาก็จะกลายเป็นความละเอียดอ่อนของจิต ทำจนกระทั่งพัฒนาจิตให้ละเอียดเป็นขั้น เป็นขั้นจนถึงฌาณที่ 4

    อาการของฌาณแต่ละขั้น จะไม่กล่าวถึงในที่นี้ก็เพราะ...ต้องการให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสลักษณะอาการขององค์ฌาณด้วยปัญญาของตนเองมุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติรู้จริงจากสิ่งที่ท่านทำได้ มิใช่รู้จำ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าสมาธิธรรมดาๆ ก็ทำให้ผู้เป็นเจ้าของเอาตัวรอดในการดำรงชีวิตได้นับประสาอะไรกับองค์ฌาณแต่ละขั้น ถ้าปฏิบัติได้ผลจริงๆจะไม่รู้จักอาการของฌาณแต่ละขั้นเชียวหรือ ส่วนถ้าท่านใดสนใจที่จะจำจริงๆก็ขอให้ค้นหา ดูจากตำราวิสุทธิมรรคได้ ส่วนจักทำในสิ่งที่จำมาได้ทุกขั้นตอนหรือไม่อย่างไร สุดแต่ความสามารถของแต่ละท่าน แต่สำหรับผู้ที่ไม่คิดจะเอาแต่จำลงมือทำให้เห็นผลเลย ด้วยความรักความเพียรพยายามอย่างยิ่งคงจะประจักษ์แจ้งชัดต่อผลของการพัฒนาให้ได้สมาบัติสูงสุดในที่สุด

    แต่ในที่นี้ขอกล่าวถึงการปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นโดยไม่เนิ่นช้า จึงขอย่อมากล่าวถึงลมที่ละเอียด บางเบาจนเกิดเป็นนิมิต แสงสว่าง ไม่ว่านิมิตจะวิ่งผ่าน หรือเป็นแสงปรากฏคงที่แม้จะไม่เห็นนิมิตใดๆ เป็นความว่าง โปร่ง เบาสบายก็ให้ใช้สมาธินั้นหันมาพิจารณาสภาพเป็นจริงของกายนี้ อันประกอบไปด้วย ผม ขน เล็บฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้นน้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร เยื่อในสมองเหล่านี้เรียกว่าอาการหรืออวัยวะกายนี้จะตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยการประชุมพร้อมกันของอวัยวะหรืออาการดังกล่าว

    นอกจากกายนี้ประกอบด้วยอวัยวะทั้งหลายแล้ว อวัยวะเหล่านี้ก็หาได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ คงที่ไม่อวัยวะเหล่านี้ ยังต้องอาศัยเครื่องหล่อเลี้ยงเพื่อการเจริญเติบโตเครื่องหล่อเลี้ยงเหล่านี้ ก็คือลมหายใจเข้า ที่ถือว่าเป็นอาหารและเครื่องปรุงอาหารลมาหายใจออกเพื่อการระบายของเสีย นอกจากนั้น ยังต้องอาศัยอาหารที่เป็นก้อนเป็นคำและน้ำ เข้าไปหล่อเลี้ยงบำรุง ให้อวัยวะของกายนี้เจริญเติบโต ทั้งยังต้องระวังรักษาระวัง ดูแล ให้อวัยวะของกายนี้มีสัมพันธภาพต่อกัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ ผสมผสานสอดคล้อง ไม่ให้บกพร่อง เพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้อย่างเป็นปกติถ้าอวัยวะใดบกพร่อง ไม่ถูกต้องในหน้าที่ ถือว่ากายนี้เกิดโรค ต้องทำการบำรุงรักษากระตุ้นให้อวัยวะนั้น ทำงานให้แก่กายนี้ต่อไป อย่าให้ขาดตอนเหล่านี้เป็นภาระอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการจัดการบริหารไม่รู้จบเป็นปัญ-หาที่ต้องได้รับการแก้ไข อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุดพิจารณาให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องทำ ตั้งแต่เกิด ยันตายทั้งที่ไม่มีส่วนไหนเป็นของกายนี้อย่างแท้จริงเลยพิจารณาให้เห็นถึงความไม่มีตัวตนของกายนี้จริงๆ กายนี้เป็นแต่เพียงองค์ประกอบของอวัยวะต่างๆ ประชุมรวมกัน พิจารณาให้เห็นถึงความหลงยึดถือผูกพันในความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จนเป็นเหตุให้ทำกรรม เป็นเหตุแก่การเกิด แก่ เจ็บตาย ทุกข์เดือดร้อน พิจารณาให้เห็นถึงความเข้าใจผิด หลงผิดด้วยความไมรู้จริงตามสภาวะธรรมชาติ ของกายนี้ พิจารณาให้เห็นถึงความไม่สวยงามไม่น่าจับต้อง ไม่น่าปกครองเป็นเจ้าของ พิจารณาถึงความสกปรก ปฏิกูล พึงรังเกียจพิจารณาถึงความปฏิกูล น่ารังเกียจในกายตนเช่นนี้ ย่อมมีอยู่ในกายผู้อื่น สัตว์อื่นเช่นเดียวกัน

    หรือจะพิจารณาว่าอวัยวะทั้งหลายที่ประกอบเป็นกายเรามีที่สุดเป็นธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

    ส่วนที่เป็นดินเป็นสิ่งที่หยาบกระด้าง แข็ง จับต้องได้ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น กระดูกเป็นต้น

    ส่วนที่เป็นน้ำ คือของเหลวที่ไหลซึมซาบ เอิบอาบหล่อลื่น หล่อเลี้ยงไปทั่ว นอกกายในกาย เช่น น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี น้ำลายน้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมูก น้ำมูตร น้ำมันเหลวน้ำเสลด

    ส่วนที่เป็นไฟ ได้แก่ไฟที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายไฟที่ทำให้ร่างกายแห้งเหี่ยว เฉา ทรุดโทรม แก่เร็วไฟที่เผาผลาญร่างกายให้กระวนกระวาย เร่าร้อนไฟที่ทำลายกายนี้ให้แตกสลาย'

    ส่วนที่เป็นลม ได้แก่ลักษณะการประคับประคองกระบวนการเคลื่อนไหว กาย วาจา และทำให้กายนี้ตั้งมั่นอยู่ได้เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

    พิจารณาให้เห็นจริงว่า ดิน น้ำลม ไฟ มีอยู่ทั่วไปในอวัยวะทั้งหลาย ภายในกายและนอกกาย พิจารณาให้เห็นว่าแม้หัวใจที่จัดเป็นอวัยวะสำคัญของร่าง-กาย ก็หาได้มีแต่ธาตุดินอย่างเดียวไม่หัวใจนี้ยังประกอบไปด้วยน้ำ คือความชุ่ม-ชื้น เอิบอาบ ซึมซาบ ยังประกอบไปด้วยลมคือการสั่นไหวตัวแต่ละอณูของเนื้อหัวใจ ก็ปรากฏฟองอากาศอยู่ภายใน (จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความหนาแน่นแห่งอณูของอวัยวะนั้นๆ) พิจารณาให้เห็นจริงว่าในกระบวน การไหลเวียนของน้ำในหัวใจ บวกกับกระบวนการไหวตัวของธาตุลมทำให้เกิดกระแสแห่งความอบอุ่น ความร้อนธาตุไฟอยู่ในหัวใจดวงนี้

    แม้อวัยวะอื่นในกายนี้ก็ปรากฏธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นนี้ ยังจะหลงลืม นิยม ยอมรับ ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา ได้กระนั้นหรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มิได้มีแต่เฉพาะกายเราเท่านั้นแม้ในสรรพสิ่งทั้งหลาย สรรพชีวิตทั้งหลาย สรรพวัตถุทั้งหลายก็มีกระบวนการอันประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 เสมอกัน หามีข้อยกเว้นในสิ่งใดไม่นอกจากพิจารณาให้เห็นสภาวะธรรม ธาตุที่แท้จริงของกายนี้แล้วก็ให้พิจารณาไปถึงอิริยาบถของกายนี้ว่า

    อิริยาบถของผู้ศึกษาอิริยาบถของผู้ควรแก่เรียน ถือได้ว่าเป็นอิริยาบถของผู้มีปัญญา ไม่ว่าจะยืน เดินนั่ง นอน ขี้ เยี่ยว ตด กิริยาทั้งหมดจะต้องเป็นอิริยาบถที่ผ่านการกลั่นกรองใคร่ครวญพินิจพิจารณาตรวจตราอย่างละเอียดรอบคอบแล้วว่า เป็นอิริยาบถ เพื่อยังให้เกิดกุศลกรรมกรรมที่ทำด้วยความชาญฉลาด สะอาด สว่าง สงบ เป็นอิริยาบถที่ควบคุมได้ เป็นนายมันถูกเป็นอิริยาบถเพื่อความปลดปล่อยเป็นอิริยาบถเพื่อความพ้นแต่ถ่ายเดียว

    ทุกอิริยาบถของกายนี้จะสะอาดได้ ก็ด้วยอาศัยความรู้จริง รู้ชัดโดยมีสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องระวังรักษา ความรู้จริง รู้ชัด ให้ตั้งมั่น คงอยู่เจริญขึ้น ทุกขณะของการมีลมหายใจเข้าออก เราต้องบอกกับตัวเองได้ว่า ถูกหรือผิดดีหรือชั่ว โง่หรือฉลาด เป็นอิริยาบถที่ครอบงำหรือปลดปล่อยพร้อมกับบอกตนเองว่ากายนี้มีความเสื่อม คร่ำคร่า เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้อวัยวะทั้งหลายของกายนี้มีความคร่ำคร่า เสื่อมโทรม เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้กายนี้ตั้งอยู่ได้เพราะอิงอาศัยเหตุปัจจัยอันพร้อมมูลถ้าขาดเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง กายนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้กายนี้ต้องการเครื่องหล่อเลี้ยง ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งกายนี้ก็ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้

    กายนี้ประกอบด้วยธาตุหมู่ใหญ่ทั้ง 4 ถ้าขาดธาตุหนึ่งธาตุใด กายนี้ก็ตั้งมั่นอยู่มิได้ ธาตุทั้ง 4 ภายในกายนี้ทำกิจร่วมกันอย่างอิงอาศัย ผสมผสาน สอดคล้อง ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องถ้าธาตุหนึ่งธาตุใดบกพร่อง กายนี้จักตั้งอยู่ไม่ได้ ในธาตุทั้ง 4 ภายในกายนี้ธาตุลมเป็นใหญ่ หากขาดธาตุลมหายใจ ไฟที่ต้องอาศัยลมให้ช่วยกระพือปลุกลุกขึ้นมาทำกิจก็จะดับสนิท ขาดความอบอุ่นภายในกาย เมื่อลมหาย ไฟดับ น้ำซึ่งมีอยู่มากภายในร่างกายเมื่อขาดการเผาผลาญให้ระเหยกลายเป็นเหงื่อ ขาดไฟควบคุมให้ขับถ่ายน้ำขาดการควบคุมรักษาให้สมดุล ก็จักทำการ ละลายดิน เราจะสังเกตเห็นว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไม่มีลมหายใจ ร่างกายเขาจะอืด เอิบอาบจนผิวหนังที่ถือว่าเป็นธาตุดิน ก็จะโดนทำลายจนปริแตก แยกจากกันทำให้น้ำภายในกายนั้นๆ ไหลเยิ้มออกมา ส่งกลิ่นเหม็น เพราะเป็นของเสียภายในกายเมื่อน้ำภายในกายไหลออกจนหมด กายนี้ก็จะเหือดแห้ง ผุกร่อน แตกทำลายไปทีละน้อยกลายสภาพเป็นดินในที่สุด

    เมื่อลมหาย ไฟดับ น้ำระเหยคงไว้แต่ดิน ฝูงสัตว์ทั้งหลายที่มีสติปัญญาพอสมควรก็จะพากันรังเกียจ เบนหน้าเมินหนี ผู้มีปัญญาชั้นสูง จะพิจารณาย่อเข้ามาเปรียบกับตัวเอง แล้วเกิดธรรมสังเวชบรรเทาความหลงเสียได้ หมู่สัตว์ผู้ด้อยปัญญา ก็จักพากันมารุมกัดกินร่างนั้นด้วยคิดว่าเป็นอาหารอันโอชะ ดินที่เป็นอวัยวะในส่วนที่อ่อนๆ ก็จะโดนกัดกินได้ง่ายเช่น หนัง เนื้อ พังผืด ปอด ม้าม หัวใจ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่าอวัยวะเหล่านี้จักโดนสัตว์ผู้หลงมัวเมา ยื้อแย่งกัดกินเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน (คงจะเป็นเช่นนี้ละกระ-มัง ผู้คนในยุคหลังๆถึงได้คิดหาวิธีปกปิดความสะอิดสะเอียนด้วยการฝังหรือเผาร่างของสัตว์ที่ตายแล้ว)

    เมื่อดินที่เป็นอวัยวะส่วนที่อ่อนๆโดนฝูงสัตว์กัดกินไปจนหมดและเหลือไว้แต่อวัยวะส่วนที่แข็งเรียกว่ากระดูกเปื้อนด้วยและเลือดและน้ำเหลือง มีเส้นเอ็นน้อยใหญ่ ผูกรัดให้กระดูกแต่ละท่อนติดกัน ถ้าปราศจากเอ็นน้อยใหญ่ผูกรัด กระดูกเหล่านั้นจักกระจัดกระจาย แยกออกเป็นส่วนๆ เช่น กะโหลก ศีรษะ กระดูกคาง กระดูกฟัน กระดูกคอกระดูกไหล่ กระดูกแขน กระดูกหน้าอก กระ-ดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบกระดูกขา กระดูกแข้ง กระดูกเท้า กระ-ดูกแขนกระดูกมือ

    กระดูกเหล่านี้ แม้จะมีสีขาวประดุจสีหอยสังข์ทิ้งไว้เวลาผ่านไปจากสีขาวดุจหอยสังข์ ก็กลายเป็นสีเก่าคร่ำคร่า ผุกร่อนพังลงดินไปในที่สุด

    พิจารณาให้เห็นสภาวะความตายอันจักพึงมีแก่เรา และสัตว์ทั้งหลาย กายนี้มีความเสื่อมและความตายเป็นธรรมดาไม่มีสรรพชีวิตใด สรรพวัตถุไหน จะพ้นจากความเสื่อมและความตายไปได้ความตายและความเสื่อมเป็นสาธารณะทั่วไปแก่สรรพสิ่งในจักรวาล

    พิจารณาให้เห็นด้วยสติสมาธิ ปัญญาของตนจริงๆ ว่าสรรพวิญญาณ สรรพชีวิต สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ ในกายนอกกาย นี้ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงการประชุมพร้อมกันของเหตุปัจจัยเป็นแต่เพียงการประกอบกันของกระบวนการ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธรรมธาตุทั้ง 4 เท่านั้นแล้วก็มาสมมติบัญญัตินามเรียกขานว่า สิ่งนั้นชื่อนี้ สิ่งนี้ชื่อนั้นเพื่อการจำได้หมายรู้แล้วก็เผลอไผล หลงใหล ยึดติด ผูกพัน จนเข้าใจผิดคิดว่ามีตัวตนของสิ่งนั้นจริงๆ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ทุกอย่างในโลกนี้แม้แต่กายเราเป็นสมมติ จงรู้จักใช้ สมมติ ยอมรับในสมมติให้เกียรติสมมติ ให้ประโยชน์ในสมมติ ได้ประโยชน์กับสมมติ ท้ายที่สุดอย่ายึดติดในสมมติ

    เหตุเพราะสมมติเหล่านี้ตั้งอยู่ได้เพราะอาศัยกระบวนการและความสมดุลของดิน น้ำ ลม ไฟ เสื่อมได้ ตายไป ดับไปเพราะความคร่ำคร่า แก่-ชรา หมดอายุขัย ขาดสมดุลของดิน น้ำ ลมไฟ

    พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง จากการรู้จริงในสรรพสิ่งทั้งในและนอกกาย มีความปฏิกูล พึงรังเกียจ ความเป็นแต่ธาตุ ความเป็นภาระในการบริหารการจัดการ เลี้ยงดู รักษา ความเป็นทุกข์ เดือดร้อน ความเป็นสมมติ ความไม่มีตัวตนนึกน้อมเข้ามาหาตนเอง ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏนี้มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่เนืองนิจ เป็นธรรมมดาจิตก็จักปล่อยวางจากความยึดถือผูกพัน ในกายตนและคนอื่น สัตว์อื่น วัตถุอื่นความเบาสบาย โปร่ง โล่ง อิสระ เสรีภาพ จักเกิดขึ้นอย่างแท้จริง แก่จิตตนสมกับพระพุทธพจน์ที่ว่า

    ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนักเน้อ
    ภาระหาโร จะ ปุคคะโลบุคคลนั่นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป
    ภาราทานัง ทุกขัง โลเกการแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลกเน้อ
    ภาระนิกเข ปะนัง สุขังการสลัดของหนักทิ้งลงเสีย เป็นความสุขจริงหนอ
    นิกขิปิตวา คะรุง ภารังพระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว
    อัญญัง ภารัง อะนาทิยะทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก
    สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก
    นิจฉาโต ปะรินิพพุโตติเป็นผู้หมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ

    มหาสติปัฏฐาน 4 ในพระไตรปิฏก กำหนดหลักการพิจารณากายในกาย เอาไว้ 6 ประการคือ

    พิจารณา ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ภายในกายเรียกว่าอานาปานสติ

    พิจารณา อิริยบถ คือ เดิน นั่ง นอน ยืดขา ยืดแขนของกายนี้อย่างมีสติกำกับดูอยู่ เรียกว่า อิริยบถ

    พิจารณาสัมปชัญญะ คือ ความรู้สึก ในขณะที่ ทำ พูด คิด กิน รับรสสัมผัส

    พิจารณา สิ่งที่เป็นปฏิกูล พึงรังเกียจที่มีภายในกายและภายนอกกายนี้

    พิจารณา ธาตุ ภายในกายนี้ว่ากายนี้เป็นสักแต่ว่า ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น

    พิจารณา อสุภะ ความไม่งามที่มีในกายและนอกกายนี้
    การพิจารณาคือการมีสติ เข้าไปกำกับดูแล อาการหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในและนอกกายอย่างละเอียด รอบคอบ ถูกต้องชัดเจนกระจ่างแจ้ง

    มีคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ในพระสุตตันปิฏกมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 หน้าที่ 284 บรรทัด 6-7-8 ท่านได้อธิบายไว้ว่า การพิจารณา มหาสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิตธรรมมิใช่หมายถึงการพิจารณาเห็น หรือการแลเห็นร่วมกันเป็นก้อนเดียวหมวดเดียวเหมือนกับปุถุชนเห็น แต่ให้พิจารณากำกับดูทีละหมวด ทีละก้อนซึ่งก็พ้องกับประสบ-การณ์ของผู้เขียนที่ได้ปฏิบัติมา

    เหล่านี้จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียน ยกมหาสติปัฏฐาน ข้อว่า พิจารณากายในกาย ขึ้นมาแสดงไว้ก่อน พอเป็นสังเขปเพื่อให้ผู้อ่านปฏิบัติตามขั้นตอนของ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา ผู้เขียนก็เลยยังมิได้ยกมหาสติปัฏฐาน ข้อที่ว่าด้วย เวทนา จิต และธรรม มาแสดงไว้ในที่นี้เพราะเกรงว่าจะเฝือและสับสน อีกทั้งเวลาที่เขียนก็มีจำกัดแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้นไว้ในโอกาสหน้าถ้ามีเวลา จักเขียนมาเล่าสู่กันฟังอีก สิ่งที่เขียนมานี้ดังที่ทราบว่า มีข้อจำกัดของเวลา ประสบการณ์ ปัญญา ซึ่งอาจจะทำให้อธิบาย รวบรัดย่นย่อ หรือเยิ่นเย้อ ยืดยาด ขาดสาระทางวิชาการ ก็ต้องขอประทานอภัยแก่ท่านผู้เจริญทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วยคงเป็นเพราะผู้เขียนมีประสบการณ์ในการเขียนไม่มากนัก ความรู้ก็มิได้มีดีกรีอะไรมิอาจจะเทียบกับนักวิชาการทั้งหลายในแผ่นดินได้ ฉะนั้นขอท่านผู้อ่านโปรดอย่านำเอาข้อเขียนนี้ ตีเสมอเป็นตำราหรือวิชาการใดให้ทำความรู้สึกว่า กำลังอ่านประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมของคนคนหนึ่งที่เขียนมาเล่าสู่กันฟัง ต้องการภาพว่าผู้เขียนเขียนเพราะได้รับการร้องขอจากคนใกล้ชิดเป็นจำนวนมากบวกกับใจรักที่จะเผยแพร่อุดมการณ์ของพระพุทธะผู้ประเสริฐให้ขจรขจายไปในทิศทั้งหลายมิได้มีเจตนาอวดดี ตีเสมอ มิได้มีเจตนาจะบิดเบือนคำสอนของพระศาสดาเขียนด้วยใจใสซื่อ ไม่ปรารถนาสิ่งใดตอบแทน หวังว่าท่านผู้อ่าน ผู้เจริญคงมีใจกว้างพอ ที่จะอภัยและรับไว้พิจารณา

    เพื่อให้ผู้อ่านได้มั่นใจว่าสิ่งที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้มิได้ผิดเพี้ยนบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของพระศาสนาผู้เขียนจะอันเชิญพระดำรัสของพระบรม-ศาสดาสัมมาสัมพุทธะผู้ประเสริฐมาให้ท่านได้พิจารณาประกอบไปด้วย โดยพระองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์มัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์ กัณฑ์ที่ 38 ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปอยู่ป่าก็ดี ไปอยู่โคนไม้ก็ดี ไปอยู่ที่ว่าง บ้านเรือนก็ดีแล้วนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรงดำรงสติไว้ให้ดี มีสติรู้อยู่ว่าหายใจออกมีสติรู้อยู่ว่าหายใจเข้าหายใจออก ยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ ย่อมศึกษาฝึกหัดให้มีสติกำหนดรู้ชัดในกายทั้งปวง แล้วหายใจเข้าย่อมศึกษาฝึก-หัดให้มีสติกำหนดรู้ชัดในกายทั้งปวง แล้วหายใจออกย่อมศึกษาฝึกหัดให้มีสติกำหนดรู้ชัด ในการระงับเหตุแห่งการเกิดกายทั้งปวงแล้วหายใจออก อย่างนี้แลชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายพิจารณาเห็นทั้งภายในและภายนอกกาย พิจารณาเห็นการเกิดและการดับทั้งภายในและภายนอกกาย มีสติตั้งมั่นรู้อยู่ว่ากายนี้ เป็นอยู่เพียงเพื่อการศึกษาฝึกฝน ปัญญา ความรู้ และภิกษุ นั่นย่อมไม่อิงอะไร ไม่ถืออะไรในโลก อย่างนี้แลภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงได้ชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีกข้อหนึ่งภิกษุในธรรมวินัยนี้ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่พึงมีสติตั้งมั่นในอิริยาบถนั้นๆ ไม่ว่ากายของภิกษุนั้น ตั้งอยู่โดยอาการใดๆเธอพึงรู้สึกถึงอาการแห่งกายนั้นๆ ดังนี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกระทำให้มาก กระทำ-ให้แจ้ง ในสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในขณะก้าวไปข้างหน้า ก้าวมาข้างหลัง มองไปข้างหน้า มองมาข้างหลัง งอแขน พับขายืดแขน ยืดขา นุ่งห่ม ใช้บริขาร ฉัน ดื่ม รับรส อุจจาระ ปัสสาวะ พูด นิ่งเฉยเหล่านี้ ภิกษุพึงทำความรู้ตัว ในทุกขณะของกิจกรรมแห่งกาย ด้วยความมีสัมปชัญญะความรู้ตัว อิริยาบถเหล่านี้เป็นอยู่เพียง เพื่อการฝึกฝนศึกษา สร้างปัญญาเห็นจริงรู้ชัด ภิกษุนั้นย่อมไม่อิงอะไร ไม่ติดอะไร ไม่ถืออะไรในโลก อย่างนี้แลภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงได้ชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกาย

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีสติรู้ชัดภายในกาย พิจารณาดูกายนี้ ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมาถึงปลายผมพิจารณาตั้งแต่ปลายผมลงไปถึงพื้นเท้า กายนี้มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบนอกส่วนข้างในเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ อยู่ในกายนี้คือ ผม ขน เล็บ ฟันหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ปอด ไต ไส้ใหญ่ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา เปลวมันน้ำลาย น้ำมูตร น้ำไขข้อ น้ำมูตรเหล่านี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้เปรียบเหมือนถุงหนังมีปาก 2 ข้าง บรรจุเต็มไปด้วย ธัญชาติ และอาหารสด อาหารแห้ง ต่างๆ เช่น ข้าว-สาลีข้าวเปลือก ถั่ว งา ข้าวสาร น้ำ ผสมคละเคล้าปนกันผู้มีสติในการมองจักพิจารณาเห็นความไม่สะอาด โสโครก ไม่งาม ไม่เป็นที่ปรารถนาเป็นอาการต่างๆ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายผู้มีสติตั้งมั่น พิจารณาอาการที่มีอยู่นอกและในกายด้วยปัญญาเห็นชัดตามความเป็นจริง เธอทั้งหลาย ก็จักถอนเสียได้ ซึ่งตัณหาความทะยานอยากละเสียได้ซึ่งอวิชชาความไม่รู้ ละเสียได้ซึ่งความหลงในการสร้างภาพภิกษุนั้นไม่อิงอะไร ไม่ถืออะไรในโลกนี้ (รายละเอียดในการพิจารณาปฏิกูลอย่างพิสดารท่านให้ดูในคัมภีร์วิสุทธิมรรค)

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายยังมีอีกข้อ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีความเพียร มีสติตั้งมั่น พิจารณาด้วยปัญญาเห็นชัดตามความเป็นจริงว่า กายนี้ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุไฟ พิจารณาแยกธาตุภายในกาย อุปมาดังคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ชำนาญฆ่าแล้วนั่งชำแหละเนื้อออกเป็นชิ้นๆ แยกวางไว้ ณ บนทางใหญ่ 4 แพร่ง

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงพิจารณา ดูกายนี้ทั้งภายในและภายนอก ที่ปรากฏอยู่ โดยความเป็นธาตุทั้ง 4

    (ดูความละเอียดพิสดารในการพิจารณา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค)

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีความเพียรเพ่งอยู่ มีสติตั้งมั่น พิจารณากายนี้ โดยความเป็นซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า มีลักษณะอสุภะ 9 ประการ

    อสุภที่ตายล่วงแล้ว วันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ขึ้นพองอืด มีสีเขียว มีหนองเลือด และน้ำหนองไหล
    อสุภ ที่มีหมู่สัตว์กัดกินและกำลังกัดกิน
    อสุภ ที่เหลือจากสัตว์กัดกินแล้ว ยังมีกระดูก เลือดเส้นเอ็นรัดรึง
    อสุภ ที่ไม่มีเนื้อ มีแต่กระดูก กับเส้นเอ็นรัดรึงติดอยู่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง
    อสุภที่ไม่มีทั้งเนื้อและเลือด เหลือแต่กระดูกกับเส้นเอ็นรัดรึงติดกันอยู่
    อสุภ ที่ไม่มีทั้งเนื้อ เลือดและเส้นเอ็นรัดรึงติดอยู่เลย มีแต่ท่อนกระดูกกระจัดกระจาย
    อสุภที่มีแต่กระดูกขาวเหมือนสีหอยสังข์
    อสุภที่มีแต่กองกระดูกเหลืออยู่
    อสุภ ที่มีแต่กระดูกเก่า ผุกร่อนเป็นผุยผง

    เมื่อภิกษุ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ มีสติตั้งมั่นเห็นชัดตามความเป็นจริงว่าอสุภเหล่านี้หาใช่มีอยู่แต่ในกายผู้อื่นไม่แม้กับกายเราก็เป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา ไม่พ้นไปได้ภิกษุนั้นเฝ้าพิจารณาอสุภนั้นทั้งในกายตน และกายผู้อื่นภิกษุนั้นตั้งสติกำหนดพิจารณาว่า กายนี้มีอยู่เพียงเพื่อศึกษา ฝึกฝน รักษา ศีล สติสมาธิ ปัญญา (เป็นความเข้าใจของผู้เขียน) จักได้เป็นผู้ไม่ถืออะไรในโลกเป็นผู้ไม่ยึดติดอะไรในโลก

    เมื่อท่านผู้เจริญทั้งหลายศึกษาพิจารณามหาสติปัฏฐานข้อว่า พิจารณากายในกายครบตามกระบวนการทั้ง 6 แล้วปฏิบัติด้วยความหมั่นความเพียร พยายามมีสติตั้งมั่นจนเกิดปัญญารู้เท่าทันการเกิดดับของจิตทุกดวงได้แล้วท่านก็จะไม่ทำให้จิตที่เกิดใหม่ กลายเป็นมลภาวะ ด้วยการสร้างความปรุงแต่งให้แก่จิตเมื่อจิตที่เกิดขึ้นมาใหม่ปราศจากความปรุงแต่ง จิตดวงนั้นดับไปโดยไม่มีมลภาวะตกค้าง จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นก็จักไม่ได้รับมลภาวะของจิตดวงเก่าที่ดับไป พร้อมกระนั้นก็ไม่สร้างขยะมลภาวะใหม่ให้แก่จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้น ปฏิบัติได้ดังนี้ จึงนับได้ว่าท่านเป็นผู้เข้าถึงวิมุติ ความหลุดพ้น พ้นจากสภาวะความปรุง ผูก-พัน ยึดถือและพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง พ้นจากความอยาก ที่สร้างเหตุของการเกิด แก่ เจ็บตาย กระบวนการของจิตท่าน จักได้รับการปลดปล่อย ผ่อนคลาย เบาสบายอิสระในที่สุด



    ที่มา วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) - วิถีแห่งพุทธะ ตอนเตรียมตัวปฏิบัติธรรม


    ปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร(ทิเบต)

    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22817[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...