วิชชาภาคปราบคืออะไรครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย thanan, 12 มกราคม 2005.

  1. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    วิชชาภาคปราบคืออะไรครับและเกี่ยวข้องกับองค์ปราบมารหรือเปล่าครับ ใครพอทราบมั่งครับ
     
  2. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    เท่าที่รู้จะเป็นวิชชาธรรมกายน่ะ ผมยังไม่ได้ศึกษาละเอียด จากที่ดูดู ก็เป็นน่าจะเป็นธรรมกายนี้แหละ
     
  3. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    องค์สุดท้ายนี่จะมีโอกาสตรัสรู้หรือเปล่า ไม่มีทางที่ดวงวิญญาณทุกดวงจะไปสู่นิพพานได้หมดแน่ ๆ เป็นไปได้ยากมาก
     
  4. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ขอตอบสั้นๆแล้วกันนะครับ ว่ามนุษย์และสรรพสัตว์นั้นในยุคปัจจุบันไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังที่คอยเชิดให้ให้ทำดี ทำชั่ว หรือไม่ทำทั้งดีและชั่ว อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราคิดดีก็จะมีอำนาจฝ่ายพระมาสนับสนุนให้ทำดีได้สำเร็จ และได้รับความสุขตอบแทนตามลำดับของกรรมดีที่กระทำ แต่ถ้าคิดทำชั่วด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะมีอำนาจฝ่ายมารหรือฝ่ายบาปมาสนับสนุนให้ทำบาปและได้รับผลชั่วเป็นความเดือดร้อนต่างๆเป็นการตอบแทน ตามลักษณะกฏแห่งกรรม ยามใดที่ฝ่ายมารมีอำนาจปกครองมากก็จะทำให้มนุษย์และสรรพสัตว์เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ด้วยมีอำนาจของอวิชชามาบดบังใจให้เดินหลงไปติดอยู่ในกิเลสต่างๆ คนไม่อยู่ในศีลในธรรมอันดี จึงเกิดภัยสารพัด ทั้งโรคต่างๆ ภัยธรรมชาติ ภัยสงคราม ความเดือดร้อน อดอยาก รวมไปถึงความเดือดร้อนที่ต้องไปเกิดในอบายภูมิด้วย ในยุคที่เสื่อมโทรมนี้ สิ่งแวดล้อมจะเอื้อไปในทางที่จะทำให้ทำชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยาก เว้นแต่มีกำลังใจเข้มแข็งพอจึงจะรอดพ้นไปได้

    การปราบมารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยไปกว่าการโปรดสัตว์ เพราะถ้าสามารถปราบมารได้ประสบผลสำเร็จ สิ่งแวดล้อมต่างๆที่เอื้อต่อการทำชั่วรวมไปถึงความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆก็จะลดลงไป และไม่มีอำนาจฝ่ายมารมาดลใจให้คิดชั่วทำชั่ว ในขณะเดียวกันจะมีแต่สิ่งที่เอื้อต่อการคิดดีทำดีมากมาย ทำให้ได้มรรคผลนิพพานไม่ลำบากมาก และไม่ทุกข์มาก แม้จะเกิดเป็นมนุษย์ก็มีความสุขมากมายแล้ว แต่เนื่องจากในอดีตนั้นฝ่ายมารมีอำนาจเข้ามาแทรกแซงอำนาจฝ่ายพระมาก จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย ที่หลายท่านคงไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก ยากที่จะเข้าใจและเข้าถึงได้โดยง่าย ผมคงไม่สามารถระบุรายละเอียดลงไปได้ นอกจากท่านที่สนใจจริงๆก็ให้หาหนังสือปราบมารของท่านการุณย์ บุญมานุชมาศึกษาดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2016
  5. KENZO

    KENZO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,146
    YES!!! BIG POWER.(evil)
     
  6. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    ใครได้อ่านหนังสือวิชชาภาคปราบอ่านแล้ว เขียนมาคร่าวๆ หรือจะแจกแจงในหัวข้อหลักได้มั้ยครับว่าวิชชาภาคปราบเป็นยังไง
     
  7. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ไม่สะดวกเขียนครับ และควรอ่านจากหนังสือโดยตรงดีกว่า เพราะอธิบายยากมาก เขียนอธิบายกันเองเด๋วจะผิดพลาดได้ง่าย ผมเองก็ไม่กล้าเขียน เพราะไม่ง่ายเลยที่จะมาสรุปตรงนี้ วิชชาภาคปราบต้องอาศัยคนที่เคยฝึกได้แล้วมาอธิบายครับ จึงจะพอเข้าใจได้หน่อย ถ้าอ่านแต่ตัวเนื้อหาวิชชาล้วนๆ บางทีอาจจะไม่เข้าใจเลยละครับ
     
  8. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2005
  9. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ที่อยู่ในกระทู้เป็นเพียงส่วนเล็กๆครับ อ่านแล้วจะเข้าใจยากเนื่องจากไม่ใช่ภาพรวม และหลายท่านที่เข้ามาวิจารณ์ในรายละเอียดในเว็บที่คุณ kasin84000 ระบุไว้ เป็นเพราะท่านไม่เข้าใจว่าวิชชาภาคปราบว่ามีความซับซ้อนมาก มีคำเฉพาะที่ใช้ในวิชชาที่ต้องเรียนรู้จากผู้รู้ ถ้าตีความเองจะผิดพลาดไปหมด ความรู้ในวิชชาภาคปราบทำให้เห็นวิชชาการปกครอง ของภาคบุญ ภาคบาป ภาคกลาง ที่ส่งลงมาปกครองมนุษย์และสรรพสัตว์ และหลายอย่างที่เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ทำให้ผู้ที่ไม่ได้เข้ามาศึกษาอย่างจริงจังจากผู้รู้ จะมีปัญหาเรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปมากครับ จึงควรศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ และตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยการปฏิบัติเท่านั้นครับ ในหนังสือปราบมารทั้ง 5 เล่มจะทำให้ท่านเข้าใจอะไรได้มากเพราะเป็นภาพรวมที่มีเหตุและผลเชื่อมโยงกันให้เห็นได้ชัดเจนพอสมควรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2005
  10. kasin84000

    kasin84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +997
    ผมซื้อหนังสือปราบมารมาอ่านแล้วครับ....รู้สึกเสียดายเงินมากเลยครับ
     
  11. ROJKAJORN

    ROJKAJORN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,350
  12. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +142
    ที่คุณ kasin84000 อ่ะ
    (one-eye)
     
  13. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,403
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ฝากอีเมล์ไว้แล้วผมจะติดต่อไปนะครับคุณ ROJKAJORN ถ้าสนใจนะครับ

    คุณ kasin84000 ครับ บางเรื่องเข้าใจยากครับ ต้องวางใจเป็นกลางก่อน แล้วค่อยๆตรวจสอบกันไปตามภูมิธรรมที่มีก่อนครับ รอไว้เมื่อถึงพร้อมด้วยกำลังสมาธิอภิญญาค่อยศึกษาดูจึงจะดีที่สุดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2005
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,925
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,021
    เข้ามาอ่านครับ ขอบคุณสําหรับความรู้ครับ
     
  15. Jintasak

    Jintasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,920
    ก่อนจะไปฝึกอะไรที่เป็นเรื่องของนิมิต (อย่างเดียวจริงๆ) ฝากให้ลองอ่านด้านล่างดูครับ ...คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ครับ ...จะฝึกอะไรควรเป็นสัมมาสมาธิ ของพุทธศาสนา (ต้องรู้เข้ามาที่กายที่ใจของเราในแง่ของไตรลักษณ์)

    ส่วนหนึ่งของ หนังสืออบรมกรรมฐาน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เรื่องสัมมาสมาธิ - มิจฉาสมาธิ
    [เนื้อหาทั้งบท http://readcarefully.blogspot.com/2005/04/11.html]

    ...จุดมุ่งหมายของการรู้เห็นของนักปฏิบัตินั้น คือหมายความว่ารู้เห็นสภาพความเป็นจริงของจิตของตนเอง และรู้เห็นสภาพความเป็นจริงของกายของตัวเอง เช่นอย่างนักปฏิบัติมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย – เวทนา – จิต – ธรรมานุปัสนา เมื่อกำหนดทำบริกรรมภาวนาลงไปด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ มี กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา เมื่อกำหนดลงไปแล้วเราจะต้องมองเห็นกาย เมื่อมองเห็นกาย สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องจากกายก็คือ เวทนา และผู้รู้ผู้เห็นกายและเวทนานั้นก็คือจิต ผู้รู้เห็นอารมณ์ที่เกิดกับจิตว่าอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์สงบอย่างใดนั้น ก็เป็นหน้าที่ของจิต เรียกว่าเห็นธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่มากำหนดจิต ดูกาย เวทนา จิต ธรรม พอกำหนดปั๊บก็เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ทันที เพราะสิ่งเหล่านี้เรารู้เราเห็นอยู่เป็นปกติแล้ว แต่การรู้การเห็นอันนี้ มันรู้เห็นเพียงเผินๆ จิตยังไม่ยอมรับสภาพอันเป็นจริง เพราะฉะนั้น การที่รู้ความจริงของกาย รู้ความจริงของเวทนา รู้ความจริงของจิต ความรู้ความจริงของอารมณ์ เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติต้องให้รู้ให้เห็นด้วยความเป็นจริงโดยไม่มีข้อสงสัย เมื่อรู้เห็นแล้วจิตก็ปลงตกลงไป ยอมรับสภาพความเป็นจริงนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าเพียงรู้เห็นเฉยๆ

    เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติผู้ที่รู้จริงเห็นจริง หรือเป็นจริงนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
    ๑) จิตรู้ตามความเป็นจริง
    ๒) จิตปลงตกเห็นตามความเป็นจริง
    ๓) สภาพจิตก็เป็นจริงตามที่รู้ที่เห็นนั้นด้วย
    จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในสภาวธรรมที่ตนพิจารณาอยู่

    และอีกนัยหนึ่ง ในขณะที่นักปฏิบัติมากำหนดบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง บางท่านอาจจะเกิดมีนิมิตมองเห็นพระพุทธเจ้าเข้ามา เช่นอย่างในสำนักวัดปากน้ำ ซึ่งเขาสอนกัน สอนให้บริกรรมว่า สัมมาอรหัง แล้วก็ให้น้อมจิตนึกอาราธนาเอาพระพุทธเจ้าให้เสด็จเข้ามาหาเรา เมื่อจิตสงบเคลิ้มๆ ลงไปเป็นอุปจารสมาธิ ด้วยความแน่วแน่ของจิต จะปรากฏนิมิตเห็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมา ส่วนอาจารย์ ผู้ให้การอบรมก็จะคอบซักถามอยู่เสมอว่า เห็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วหรือยัง ถ้าหากพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว อาจารย์จะบอกให้อาราธนาพระพุทธเจ้าขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา แล้วลูกศิษย์ก็จะทำการอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นเหยียบบนบ่าเบื้องขวา นักปฏิบัตินั้นจำทำท่าเอียงลงไปข้างขวา เพราะหนักพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะบอกให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเหยียบบ่าเบื้องซ้าย แล้วการของผู้นั้นจะตั้งตรง และก็ทำท่าหนักๆ พระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นเขาจะให้อาราธนาเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปไว้ที่ในดวงใจ แล้วก็ให้เด่งพระพุทธเจ้าจนกระทั่งใสเป็นแก้ว ใสจนไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบ เพ่งพระพุทธรูปที่มองเห็นด้วยนิมิตนั้นให้เห็นกลายเป็นแก้วดวงที่ใสสะอาด เพ่งจนเกิดเป็นอุคคหนิมิตติดตา ในเมื่อทำแก้วให้ใสสะอาดจนไม่มีที่จะเปรียบเทียบแล้วเขาก็ถือว่าสำเร็จ ธรรมกาย ในเมื่อต้องการอยากรู้ อยากจะเห็นอะไร ก็ใช้ธรรมกายนั้นส่งไป แล้วก็เกิดนิมิตให้รู้ให้เห็น

    อาการทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าผู้ที่มีปัญญา สามารถที่จะน้อมเอามาพิจารณาเป็นอารมณ์พระกรรมฐานได้ ก็ย่อมเกิดประโยชน์ได้เหมือนกัน อันนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของนักปฏิบัติแต่ละท่าน

    ทีนี้ มีปัญหาที่จะนำมาเล่าอีกอย่างหนึ่งว่า การที่เขาภาวนากันไปดูนรก ดูสวรรค์ หรือติดต่อกับวิญญาณในโลกอื่นนั้น เขาทำกันอย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่นักศึกษาธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์มีความ สงสัยและสำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐ

    การภาวนาหรือนั่งสมาธิไปดูนรกไปดูสวรรค์นั้น ตามตำรับของไสยศาสตร์มันมีแบบมีแผนให้ศึกษากัน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ “กรรมฐานสิบสองยุค” ของเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฐ์ (ใจ ยโสธโร) รวบรวมไว้ที่วัดบรมนิวาส (กรุงเทพฯ) มันมีคาถาบทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าคาถาพระเจ้าเปิดโลก คาถาพระเจ้าเปิดโลกนี้ ตอนที่ ๒ ผมจำได้ว่า ข้อความว่า พุทโธ ทีปังกโรง โลกทีปัง วิโสธยิ ธัมโมทีปังกโร โลกทีปัง วิโสธยิ สังโฆ ทีปังกโร โลกทีปัง วิโสธยิ. เมื่อว่าถาถานี้จบแล้ว ก็อธิษฐานในจิตในใจว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เป็นดวงประทีปส่องโลก ขอโปรดส่องทางนรกทางสวรรค์ให้ข้าพเจ้าเห็นจริงแจ่มแจ้งในการบัดนี้ด้วยเถิด พอเสร็จแล้วผู้บริกรรมภาวนา ถ้าจะไปดูนรก ก็นึกในใจว่า นรกๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ทีนี้พอจิตมันสงบเป็นอุปจารสมาธิ เกิดสว่างขึ้น ผู้ภาวนาจะมีอาการสั่นเหมือนกับผีสิง พอเสร็จแล้วสภาพจิตของผู้นั้นจะแสดงอาการไปดูนรกไปดูสวรรค์ตามที่ต้องการ ตามแบบแผนตำรับตำราที่กล่าวไว้ที่จำได้ อันนี้ได้เคยทดสอบพิจารณาดูแล้ว เมื่อใครก็ตามได้มานั่งภาวนาตามคาถาบทที่กล่าวมานี้ ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้แล้ว สามารถที่จะเชิญวิญญาณต่างๆ เข้ามาทรงภายในตัวเองก็ได้ สามารถที่จะเชิญวิญญาณปู่ย่าตายาย หรือครูบาอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วให้เข้ามาสิง แล้วก็สนทนากับผู้ที่นั่งฟังหรือผู้ที่ควบคุมการแสดงอยู่ อยากจะรู้ว่า คนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อย่างไรก็ได้ ผู้นั่งสมาธิดูนรกดูสวรรค์นั้นสามารถที่จะนำชาวสวรรค์ชาวนรกมาคุยกับเราก็ ได้ อันนี้เป็นวิธีอันหนึ่งสำหรับวิธีการภาวนาไปดูนรกไปดูสวรรค์ แต่มันจะจริงแน่นอนหรือ อาจเกิดจากความจำก็ได้

    และอีกนัยหนึ่ง เขาใช้วิธีการที่เรียกว่า ปลุกพระ จะเอาพระเครื่องรางของขลัง เป็นพระเป็นเหรียญเป็นอะไรก็ตาม มากำไว้ในมือ แล้วก็บริกรรมภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ จนกระทั่งมีอาการสั่นขึ้น ในเมื่อมีอาการสั่นขึ้นแล้ว จะให้ไปเชิญวิญญาณที่ไหนๆ ให้มาทรงก็ย่อมเป็นได้ แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น เท็จจริงอย่างไรก็ไม่กล้ายืนยันว่าจะเป็นจริงหรือไม่ บางทีสามารถเชิญกระทั่งวิญญาณของพระอรหันต์พระพุทธเจ้ามาทรงก็ได้ แต่สำหรับมติของผมนั้น เข้าใจว่า ในเมื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณขึ้นมา มันก็ต้องมีวิญญาณมาทรง แต่วิญญาณที่มาทรงนั้น จะใช่บุคคลที่เราเชิญมาทรงหรือเปล่า ในเมื่อทำพิธีกรรมแล้ว ต้องมีวิญญาณมาทรงอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้มิใช่ว่าจะเป็นไปได้หมดทุกคน แม้แต่ในสำนักทรงวิญญาณทั้งหลาย ผู้ที่ชำนาญในการเชิญวิญญาณทรง เขาก็มีกันเพียงคน ๒ คนเท่านั้น ในเมื่อผู้ใดต้องการรู้ต้องการทราบเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องอดีต อนาคต ปัจจุบัน เขาก็ให้คนที่ฝึกเอาไว้นั้นแหละมาทำาการทรง

    และอีกนัยหนึ่ง การทรงวิญญาณแบบฝรั่ง เขาเรียกว่าใช้วิธีการสะกดจิต คือ เอาเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ไม่เกิน ๑๕ ขวบ มาทำการสะกดตามแบบวิธีของเขา ในเมื่อเขาสะกดเด็กให้หลับแล้ว เขาสามารถที่จะใช้เก็ดไปดูนรกไปดูสวรรค์ หรือไปติดต่อกับโลกข้างหน้าได้อย่างสบาย อันนี้ก็เป็นวิธีการอีกอันหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่คนผู้สะกด

    เรื่องทั้งหลายที่กล่าวมานั้น มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาตามแบบที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่าสัมมา สมาธิ และขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การทำสมาธิตั้งแต่ขั้นปฐมฌานถึงขึ้นจตุตถฌานนั้น มันยังเป็นสมาธิสาธารณะทั่วไปแก่ทุกลัทธิศาสนา และแก่ลัทธิที่มีการปฏิบัติสมาธิโดยทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้น สมาธิของพระพุทธศาสนานั้น จึงอาศัยหลักศีลตามขั้นนภูมิของแต่ละบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นหลักตัดสิน ว่าสมาธิของเขาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

    ขอให้ถือคติว่า สมาธิหรือการปฏิบัติธรรมอันใด ถ้าหากมันเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์ เป็นไปเพื่อการกระทำอะไรแปลกๆ ต่างๆ เช่นอย่างการเป็นหมอดูด้วยสมาธิเป็นต้น พึงเข้าใจเถิดว่า มันเป็นมิจฉาสมาธิ ซึ่งออกนอกหลักพระพุทธศาสนา

    สมาธิในพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นสัมมาสมาธิ ที่ประกอบพร้อมด้วยองค์อริยมรรค ผู้ปฏิบัติเมื่อจิตประชุมพร้อมลงสู่องค์อริยมรรคแล้ว จิตจะดำเนินไปเพื่อความหมดกิเลสเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อการพวกพูนกิเลส ตามที่กล่าวมาแล้ว

    การกล่าวโอวาทให้การอบรมเกี่ยวกับการสมาธิและประสบการณ์ต่างๆ ที่เล่ามา ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาลเวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...