วันยมบาลเยี่ยมเมืองมนุษย์,ชมนรกฯลฯ(ประสบการณ์ตายเเล้วฟื้นของปัญญาวาโรภิกษุ )

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย pair3125, 1 มิถุนายน 2012.

  1. pair3125

    pair3125 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +487
    วันยมบาลเยี่ยมเมืองมนุษย์
    โดย ปัญญาวาโรภิกษุ (นิกร ไทยรักษ์)เจริญสุข สวัสดีเเด่พี่น้องสาธุชน เเละ พุทธบริษัททั้งหลาย อันดับต่อเเต่นี้ไป อาตมาจะเล่าเรื่องเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่อาตมาได้ประสบมาด้วยตนเอง เกี่ยวกับเรื่อง นรก สวรรค์ เเละ ยมบาลเยื่ยมเมืองมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาบาปบุญคุณโทษ เเละโลกวิญญาณนั้นมีจริงหรือไม่อย่างไร ดังต่อไปนี้
    นายนิกร ไทยรักษ์ เป็นชื่อของอาตมาเอง
    ก่อนที่อาตมาจะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พระพุทธศาสนานั้น
    เมื่ออาตมาอายุได้ 23 ปี ได้อาศัยอยู่กับ บิดามารดาของอาตมา ชือนายทอง เเละนางช่วน ไทยรักษ์ ณ บ้านเลขที่ 53 หมู่ 1 ตำบลป่ากอ อำเภอเมือง จังหวัด พังงา มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 3 คน เป็นชายอีก 3 คน
    วันเสาร์วันหนึ่งของเดือนมีนาคม พ.2510 นั้นเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ซึ่งอาตมาจะเล่าต่อไป
    เเต่ก่อนที่จะมาถึงวันนั้นสองสามวัน
    พี่ชายของอาตมา ซึ่งได้ไปหักล้างถางพงทำสวนกัน อยู่ที่จังหวัดกระบี่ได้มาชวนอาตมาให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะเห็นว่าอาตาไม่มีงานทำเป็นล่ำเป็นสัน
    เเต่อาตมาไม่อยากจากบ้านเกิดเมืองนอนไป อยู่ที่เเดนป่าดงพงทึบ อันเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ ประกอบด้วยที่อาตมาไม่ค่อยถูกอารมณ์ กับพี่ชายคนนี้ วันหนึ่งเราพูดกันไม่ถึงสิบคำ อาตมาจึงปฏิเสธที่จะไปอยู่กับพี่ชายคนนี้
    พี่ชายก็ยังคงหาทางที่จะพาอาตมาไปให้จนได้ อาตมาไปปรึกษาพ่อเเม่เเละพี่น้องคนอื่นๆ ทุกคนเเล้วต่างก็อยากให้อาตมาไปอยู่นั่นเอง อาตมาเลยคิดน้อยเนื้อต่ำใจ เเละตกลงใจตามประสาคนคิดสั้นๆว่าตายดีกว่าอยู่ที่จะต้องไปอยู่กับพี่ชายที่มีเเต่ปัญหา คิดทบทวนอยู่ว่า เราจะตายแแบบไหนดี คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราต้องกินยานอนหลับดีกว่า
    เมื่อเเน่ใจอย่างนั้นเเล้ว อาตมาก็ไปเที่ยวหาซื้อยานอนหลับอยู่สองวัน ได้ยารวมทั้งหมดสิบห้าเม็ด คิดว่ายาเพียงเท่านี้ยังไม่เเน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ เลยซื้อยาเเอสโปรเเถมเข้าไปอีก สิบเม็ด เมื่อซื้อยาเรียบร้อยเเล้ว
    อาตมายังมีเงินสดเหลืออยู่กับตัวอีกสามร้อยบาท ก็นึกในใจว่า ไหนๆเราก็จะตายเเล้ว เงินจำนวนนี้อย่าให้เหลือไว้อีกเลย ซื้อของไปฝากพี่น้อง เเละพ่อเเม่ผู้มีพระคุณ เเละทำบุญเสียดีกว่า วันนั้นอาตมานึกถึงเเต่เรื่องทำบุญ ความจริงเเล้วอาตมาไม่สนใจเรื่องทำบุญสุนทานเลย โดยที่ครั้งก่อนๆมา ถ้าไปวัดกับเขาบ้าง ก็ไปอย่างนั้นเเหละ คือไปเที่ยวเเบบคนหนุ่มๆ เข้าใจว่าได้บาปมากกว่าได้บุญ เพราะไม่ใช่ไปวัดเพื่อทำบุญ ไม่ชอบเข้าใกล้พระเลย
    เมื่ออาตมากลับถึงบ้าน
    ก็นำของที่ซื้อติดตัวไป ให้พ่อเเม่พี่น้อง เเล้วเลยไปถวายพระที่วัด ทุกคนต่างพากันประหลาดใจในอาตมา ที่มีใจเอื้อเฟื้อเเละใจบุญเป็นพิเศษในวันนี้ เเต่ทุกคนหาได้เฉลียวใจไม่ว่าอาตมากำลังเตรียมตัวจะจากพวกเขาไปเสียเเล้ว
    เพราะอาตมาไม่ได้เเสดงอาการอย่างใดๆ ให้ใครเห็นตลอดเวลา
    พอตกตอนเย็น ก็จัดการเอายาทั้งหมดไปกินหลังบ้าน ตอนนี้ใจคออาตมาเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างกินยาไปพลางร้องไห้ไปพลางจนน้ำตาเเทบเป็นสายเลือด เเต่ก็กัดฟันกินจนหมด 20 เม็ด ยังเหลือเเอสโปรอีกเพียงห้าเม็ด อาตมาได้ทิ้งไปเพราะกินไม่ลงอีกเเล้ว ตอนนี้ใจคอของอาตมาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกว่า สับสนกระวนกระวายทรมานใจ จนบอกไม่ถูก
    ในที่สุดนึกอยากเข้าไปกราบเท้าคุณเเม่ เพื่อจะอำลาครั้งสุดท้าย จึงเอาผ้าเช็ดน้ำตาเเล้วเดินออกไปข้างนอก เเต่ไม่กล้าทำตามที่คิดไว้ เพราะเกรงความลับจะถูกเปิดเดี๋ยวจะไม่ได้ตาย ก็กลับไปเขียนจดหมาย
    จดหมายลาตาย ที่ห้องนอน ในวันสุดท้ายของลูก
    กราบเท้ามายังคุณพ่อคุณเเม่ผู้บังเกิดเกล้า
    เเม่จ๋า ชาตินี้ลูกขอลาไปก่อน เเม่คงไม่รู้เลยว่า ลูกคนหนึ่งของเเม่ต้องทนทุกข์ทรมานดวงใจเเทบจะขาด ที่อีกไม่มีนาทีข้างหน้าลูกจะต้องจากเเม่ไปเเล้ว ไปอย่างไม่มีวันกลับ ลูกอยากจะเข้าไปกราบอำลาเเทบเท้าแม่ เเละอยากจะเห็นหน้าเเม่ก่อนที่จะสิ้นใจตาย เเต่ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เเม่จ๋าลูก บุญน้อยเหลือเกินที่จะได้เห็นหน้าเเม่ต่อไป ลูกกราบลาเเม่ลงเเทบเท้าเเนบมากับจดหมายฉบับนี้ด้วยนะ เเม่ชาตินี้ลูกบุญน้องมิได้ตอบเเทนบุญคุณเเม่ ลูกขอตั้งสัตย์อธิฐานว่า หากลูกได้เกิดชาติหนึ่งชาติใดก็ขอให้เป็นลูกเเม่ผู้มีพระคุณ เเละขอรับใช้ท่านผู้มีพระคุณทุกๆชาติด้วยเถิด ขอให้คุณเเม่เเละพี่น้องที่อยู่ข้างหลังจงมีเเต่ความสุขความเจริญต่อไป ส่วนลูกเเล้วเเต่บุญเเต่กรรมจะนำไป ลูกอยากจะเขียนจดหมายให้เเม่อีกมากมาย เเต่ว่า เวลานี้ดวงตาของลูกนี้ ฝ้าฟางเต็มไปด้วยน้ำตาหมดเเล้ว สุดที่จะเขียนต่อไปได้อีกเเล้ว จึงขอกราบลาคุณเเม่ผู้การุณเพียงเท่านี้นะเเม่
    ขอลาเเม่ชั่วชีวิต จากลูกน้อยผู้อาภัพ
    เมื่อเขียนจดหมายเเล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเเล้วก็จัดหาดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระตามธรรมดา เเต่ก่อนอาตมาไม่เคยไหว้พระที่บ้านเลย เมื่อเเม่เห็นอย่างนั้นท่านก็เเปลกใจมากๆ เเต่ก็ไม่ได้ไถ่ถามเเต่ประการใดๆ ตอนนี้ยาที่กินเข้าไปเริ่มเเสดงอาการบ้างเเล้ว อาตมารู้สึกสั่นสติฟั่นเฟือนจำอะไรไม่ค่อยได้ ไหว้พระไม่ถูก ได้เเต่ตั้งนะโม 3 จบ ก็เป็นอันว่าได้ไหว้พระเสร็จเเล้วก็เอาดอกไม้สามดอกผูกติดรวมกับธูปเทียนเพื่อเอาไว้ถือ เพราะเคยเห็นคนใกล้ตายเขาทำอย่างนี้กัน ตอนที่เอายาไปกิน เป็นเวลาราว 18 นาฬิกากว่าๆใกล้จะ 19 นาฬิกา ซึ่งตอนเข้านอนก็ 20 นาฬิกากว่าๆ ก่อนจะนอนได้ระลึกขึ้นว่า ขอเดชะพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสงฆ์คุณ คุณบิดามารดาเเละครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งผู้เป็นใหญ่มี พระอินทร์ พระพรหม พญายม เเละพระกาฬอีกทั้งสิ่งศักสิทธิ์ เเละผู้มีพระคุณทั้งหลายเมื่อข้าพเจ้าสิ้นชีวิตไปแแล้ว ขอพระคุณท่านจงโปรดมาช่วยนำวิญญาณข้าพเจ้าไปที่สุขที่ชอบด้วยเถิดครับ ขอเดชะบารมีท่านั้งหลายจงรับรู้ในความดีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมอบรมไว้ในชาตินี้ จงมาเป็นกุศลผลบุญให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในที่พึงปารถนาที่ชอบด้วยเถิด
    เมื่ออธิฐานเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเเละคิดว่าต่อไปนี้ ไม่มีอะไรจะช่วยเราได้นอกจากพระ เมื่อคติได้ดังนั้นเเล้ว ก็ภาวนาขึ้นว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ ๆ อย่างนี้ตลอดไป มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจนั้น ก็เวลาประมาณ 21 นาฬิกาเห็นจะได้
    ภายในหัวอกเสมือนว่ามีใครเอาหินมาตั้งทับไว้ รู้สึกว่าหนักไปหมดไปทั้งตัว กรามทั้งสองข้างขบเเน่น น้ำลายไหลออกเป็นฟองออกจากปากทั้งสองข้าง เเละเหงื่อออกทั้งตัวเเละจมูกเหมือนมีใครมาบีบไว้
    เเต่คำบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธ ใจยังไม่ลืม
    หายใจได้สองสามครั้งเเล้วก็หยุดหายใจทันที
    คล้ายๆกับว่าหลับไปอย่างนั้นเเหละ
    เเต่ถ้าหากว่าเราหลับไปจริงๆเเล้วฝัน เราก็จะไม่เห็นร่างกายเนื้อของเรานอนอยู่
    เเต่ทว่าอาตมาเองพอสิ้นลมหายใจสักสองนาที
    ก็เป็นวิญญาณออกมายืนอยู่ทันที
    เเต่ตอนที่วิญญาณรอออกจากร่างนั้น
    ก็ไม่ทราบว่าออกมาได้อย่างไร เเละออกมาตอนไหน

    สภาพวิญญาณต่างมิติ
    สภาพวิญญาฦณที่ออกจากร่างมายืนอยู่นั้นเเตกต่างจากร่างจริงมากาย เสื้อผ้ากางเกงไม่มีจะนุ่งจะใส่เลย มีเเต่ผ้าพันเอวประมาณสักหนึ่งคืบเเละสกปรกเต็มที่ ดูร่างกายร่อนจ่อน ผมเผ้ารุงรักคล้ายกับอสูรการที่มาจากนรก
    (ความจริงเเล้วร่างเดิมของอาตมาตอนที่กินยา เข้าไปเเล้วเข้านอนนั้นได้ผลัดเสื้อผ้าใหม่ เเต่งตัวเรียบร้อยที่สุดอย่างที่เขาเเต่งให้คนเมื่อใกล้ตาย) ในมือวิญญาณนั้นยังคงถือดอกไม้ธูปเทียนเหมือนอย่างเดิม ปากก็ยังบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ อยู่อย่างเดิม ซึ่งก่อนที่จะสิ้นใจยังนึกห่วงเเม่ห่วงพี่น้องห่วงข้าวของทุกอย่าง เเต่พอมาเป็นวิญญาณเเล้วไม่ห่วงอะไรเลย วิญญาณของอาตมายืนดูร่างกายเนื้ออย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เเล้วจึงเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน ตามธรรมดานั้นเวลาที่ เราจะเข้านอนตอนกลางคืนจะปิดประตูเรียบร้อย เเละเป็นเดือนมือเพราะเป็นข้างเเรม เเต่การที่วิญญาณเดินออกประตู้นั้นเหมือนกับเดินทะลุไปเฉยๆ โดยที่ไม่ต้องเปิดประตูเลย เเละว่าไม่มืดไม่สว่าง พอเดินพ้นจากห้องมาถึงหน้าบ้าน ก็หันหน้าเดินไปทางทิศใต้ ที่เเรกออกจากบ้าจำได้ทุกตอนว่าที่ตรงนั้นเป็นสวนคนนั้น ที่ตรงโน้นเป็นสวนของคนโน้น เเต่พอนานเข้าจำไม่ได้เเล้ว เเละอาการของวิญญาณที่เดินไปนั้น ดูเหมือนว่าเท้าทั้งสองนั้น ไม่ถึงพื้น เเต่ไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศ คือ ีสภาพอย่างที่เขาว่าล่องลอย เเต่คำบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธๆ ก็ยังบริกรรมภาวนาเรื่อยไปโดยไม่ลืมเลย
    เปลือยกายเพราะไม่ได้ทำบุญด้วยผ้า
    ต่อจากนั้นวิญญาณก็เดินต่อไป จนเข้าป่าอีกเเห่งหนึ่งไม่สู้ใหญ่นัก พ้นจากป่านั้นเเล้วก็ได้พบถนน พอเดินไปตามถนนอีกไม่ไกล ก็ถึงตลาดเเห่งหนึ่งมีคนากมายขายของนานาชนิด เเต่ทว่ารถเรือไม่มีเลย โดยคนส่วนมาเเต่งตัวคล้ายเเขก มีผ้าโพกศรีษะ ส่วนผู้หญิงก็มี ผ้าคลุเเละผ้าห่ม ตอนนี้วิญญาณของอาตมารู้สึกละอายเป็นอย่างมากที่ต้องเปลือยกายเปล่า เมื่อเทียบกับพวกเขาเหล่านั้นที่ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันสวยงาม เเต่เเล้วเราก็จำต้องเดินก้หน้าไม่พูดไม่จากับใครๆพอใกล้จะพ้นจากตลาดนั้น ก็พบเเม่ค้าเเก่นั่งอยู่สามคน
    วิญญาณของอาตมาเลยถามขึ้นว่า "เเม่ค้าครับ ทำไมผมจึงมีผ้าใช้นุ่งเพียงเป็นผ้าเล็กๆอยู่อย่างนี้"
    เเม่ค้าคนหนึ่งตอบว่า " คุณไม่ต้องเเปลกใจเลย ถึงจะนุ่งห่มผ้าาให้ดีอย่างไร ตอนก่อนตาย เมื่อมาถึงที่นี่ก็เอามาไม่ได้ดอก"
    ถ้าหากว่าอยากเเต่งตัวให้ดีๆงามๆ ตอนมีชีวิตอยู่ต้องทำบุญทำทานด้วยผ้ามาก่อน เเล้วจึงจะได้อานิสงส์มีผ้านุ่งงามๆ ที่นี่"
    อาตมาก็นึกขึ้นได้ทันที่ว่า "เป็นความจริง"
    เมื่ออาตมาอยู่เมืองมนุษย์ไม่เคยทำบุญด้วยผ้า


    อานุภาพพุทโธพาพ้นภัย
    เมื่ออาตมาหายสงสัยเเล้ว ก็เดินทางต่อไปจนถึงป่าใหญ่เเห่งหนึ่ง ป่านี้รู้สึกว่ารกหน่อย เเต่ไม่ถึงกับเดินลำบาก ในป่านี้มีสัตว์ร้ายนานาชนิด เเต่พอเห็นอาตมาก็พากันหนีไป เพราะอาตมาภาวนาคำ"พุทโธ พุทโธ..." ไม่เคยลืมสักเวลาเดียว ไปอีกไม่ไกลก็มีกวางตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้าอาตมา พอกวางพ้นไปเเค่ประเดี๋ยวเดียว ก็มีพรานป่าถือธนูหน้าไม้ไล่ตามหลังมา เเต่พอเหลือบมาเห็นอาตมาก็ทำท่าว่าจะยิงอาตมา พร้อมด้วยขู่สำทับด้วยเสียงอันกังวาลว่า "อย่าหนีนะ อย่าหนีนะ ให้เราจับเสียดีดี ถ้าขืนหนี เราจะยิงนะ" อาตมาในสภาพวิญญาณต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น เพราะความกลัว นายพรานจึงเข้าาหาอาตมา รวบมือทั้งสองข้าง เเละตีด้วยไม้ขนาดเท่าข้อมือลงบนหลังสามสี่ทีจนเห็นว่าอาตมาไปไหนไม่ได้เเล้วก็หยุดตี จึงไปหาเชือกมาเส้นหนึ่งโตเท่านิ้วก้อย ผูกที่คออาตมาลากพาไปที่ไหนก็ไม่ทราบ
    ตอนนี้ อาตมาในสภาพวิญญาณนั้น ก็ยังรู้สึกกลัวตายขึ้นมาอีก ทั้งๆที่ตายอยู่เเล้วนั่นเอง
    อาตมาจึงพยายามหาทางเอาตัวรอด นึกขึ้นมาได้ทันที่ว่า ไม่มีที่พึ่งอันใดได้ดีกว่าพระพุทธเจ้าอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาก็ภาวนาดังๆขึ้นว่า พุทโธ พุทโธ ขอองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจงมาช่วยลูกด้วยเถิด นายพรานเขาตีลูกทั้งๆที่ลูกม่ได้ทำผิดต่อเขาด้วยประการใดเลย ด้วยลูกเจ็บปวดเหลือเกิน ลูกหมดที่พึ่งเเล้ว ขอพระองค์ท่าน จงมาช่วยลูกด้วยเถิด ว่าเเล้ว ก็ภาวนาพุทโธต่อไปอีก
    พออาตมาว่าอย่างนั้นไม่กี่ครั้ง ก็ปรากฏว่าภาพของพระพุทธเจ้าเสด็จลอยมาทันที ภาพนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศ เสด็จยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์เบื้องขวานั้นทรงยกขึ้น พระหัตถ์ซ้ายทรงปล่อยลงมาข้างตัว ภาพนั้นลงมาขวางหน้ารายพราน เมื่อนายพรานเห็นดังนั้นเเล้ว ก็รีบปล่อยวิญญาณของอาตาทันที เเล้ววิ่งหนีเข้าป่าไป เมื่ออาตมาได้เห็นพุทธปาฏิหารย์ปานฉะนี้ก็ยกมือขึ้นไหว้ ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ไม่ลืมเลือน เมื่อนายพรานไปแล้วอาตมาก็เเก้เชือก ที่พันธนาการออกไปเเล้วก็พยายามเดินต่อไป เเต่เดินต่อไปได้ไม่ไกล ก็ต้องนั่งพักด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจากการที่ถูกนายพรานเข้าตีนั้น
    เรือสวรรค์พาเที่ยวเมืองเทวดา
    อาตมานั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ตามองเหม่อไปรอบๆ อย่างคนสิ้นคิด หมดหนทางที่จะทำอะไรต่อไปอีก ทันใดนั้นได้เหลือบเห็นอะไรอย่างหนึ่ง มีเเสงสีเขียวเหมือนสายรุ้งรัศมีโชติช่วง ลอยอยู่ในอากาศอันสูง เเล้วก็ค่อยๆลอยต่ำลงมาจนถึงที่วิญญาณอาตมานั่งอยู่ พอมาถึงใกล้ๆอาตมามองเห็นอย่างถนัดตาว่า เป็นเรื่อยาววาเศษ รอบลำเรือประดับด้วยเพชรนิลจินดา มีเเสงเเทงตาเป็นประการเเพรวพราว เเสนสวยดุจเทพเจ้าเสกสรรค์ เเละหางท้ายเรือมีคนนั่งอยู่หนึ่งคล้ายนายท้ายเรือ พอเรือนั้นหยุดนิ่ง คนที่นั่งท้ายเรือพูดขึ้นว่า "นี่คุณ เทวดาเชิญให้คุณขึ้นไป เที่ยวบนสวรรค์ เราเอาเรือมารับเเล้ว " เมื่ออาตมาได้ยินดังนั้นก็เเสนจะดีใจ อาตมารีบลุกขึ้นนั่งบนเรือทันที พอนั่งบนเรือความเจ็บปวดที่ถูกนายพรายโบยตีก็หายไปจนสิ้น รู้สึกว่าความสุขมากอย่างที่สุดในชีวิตเพียงนั่งเรือสวรรค์เท่านั้น ถ้าไปเเล้วเห็นสวรรค์เข้าจริงๆ จะมีความสุขวสักเเค่ไหน
    เมื่อนั่งเรือเรียบร้อยเเล้ว เรือนั้นค่อยๆลอยขึ้นไปทีละนิดๆจนพ้นยอดไม้ เเล้วก็ผ่านมาในอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เเล้วผ่านเข้ามาในเมฆหมอกสีขาวนวลใสๆ ชวนให้มองอย่างสุขใจ ลอยไปจนมองเห็นปราสาทมีเเสงเป็นประกายระยิบระยับดาษดื่นเกลื่อนกลาดทั่ววิมานนั้น เต็มไปหมดทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง อาตมาบังเกิดความพิศวง หลงใหลเเละเพลินใจอย่างสุดซึ้งยากที่จะหาเเดนใดๆมาเปรียบได้ ดินเเดนอบ่างที่ดีที่สุดในเมืองมนุษย์นั้น ถ้าจะเพิ่มความสวยงามวิจิตรพิศดารให้อีกสักร้อยเท่า พันเท่าก็ยังไม่สามารถมาเปรียบเทียบกับวิมานที่อาตมาประสบอยู่นี้
    เมื่อเรือที่อาตมานั้งมาถึงจุดหมายปลายทาง คือปราสาทหลังใหญ่ที่สวยที่สุด ณ เเดนวิมานนั้น เทวดาที่อาตมาเห็นนั้น นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ห้องที่ประทับนั้นยื่นออกมาข้างนอกีกระจกสามด้าน ด้านหลังเป็นฝาผนัง องค์เทวดานั้นตั้งเเต่คอถึงศรีษะ มีรัศมีพุ่งออกมาประมาณคืบกว่าเเละฉลององค์ด้วยเครื่องเเต่งกายสวยงามมาก
    เมื่อเทวดาเห็นเรือ มาลอยอยู่ตรงหน้าก็ดึงเชือกเคาะระฆังสามครั้ง ระฆังนั้นเป็นระฆังโตเท่าปิ๊บน้ำมันก๊าด พอสิ้นเสียงระฆัง เหล่านางฟ้าชาวสวรรรค์อันเเสนสวยประมาณร้อยกว่านาง ลอยออกมาจากปราสาทต่างๆคล้ายกับเดินในอวกาศ เดินในเมฆหมอก จึงมองไม่เห็นตั้งเเต่ตาตุ่มลงไปว่าเขาใส่รองเท้าหรือเท้าเปล่า
    เหล่านางฟ้าชาวสวรรค์นั้ไม่สวมเสื้อ มีเเต่ผ้าคาดอกเเล้วพาดไปผูกไว้ที่ข้างหลัง เเละมีผ้าบางๆสีสดๆสวยมากพาดเฉวียงบ่า ส่วนผ้านุ่งนั้นไม่ทราบว่าทำด้วยอะไร ดูเเล้วเเวววาวงามระยิบระยับจับตาไปทั้งผืน รูปร่างหน้าตาเนื้อหนังก็สวยจนไม่สามารถบรรยายได้ถูก ยิ่งกว่าภาพวาดอันวิจิตรศิลป์ที่จินตกรเอกได้เขียนไว้ด้วยฝีมืออันเลิศ เนื้อหนังเปล่งปลั่งดั่งดอกประทุมชาติสีชมพูอ่อน เมื่อมากันพร้อมเเล้วก็กระทำอภิวันทนาการ เเล้วร่ายรำทำเพลงเเบบศิลป์ไทยน่าชมยิ่งนัก ส่วนเรือที่อาตมานั่งนั้นมาลอยไปรอบ บางครั้งก็ลอยเข้าไปใกล้เหล่านางฟ้า ที่กำลังร่ายรำซึ่ง ระยะห่างจากอาตมาราวๆเเค่ศอกเเค่คืบเท่านั้น ตอนนั้นวิญญาณของอาตมาอายจนบอกไม่ถูก เมื่อมองดูนางฟ้าเเล้วกลับมามองดูตัวเองที่นั่งพุงเเววอยู่ในเรือ มีผ้านุ่งเพียงผ้าขึ้ริ้วพันกายเเค่คืบเดียว พยายามดึงผ้านั้นมาไว้ที่เบื้องหน้าเพื่อปกปิดความอาย เเต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ไม่รู้สึกว่า ไม่มีความสุขใดๆในโลกมนุษย์ที่ใครๆ ได้ประสบพบมา จะมีความสุขเท่าที่เราประสบอยู่ เเต่เพราะบุญญาธิการของเรามีน้อยจึงได้เเต่นั่งอยู่ในเรือ ไม่กล้าลงไปเดินในเเดนสวรรค์อันเเสนสุขนั้น ความจริงตอนนั้นวิญญาณของอาตมารู้สึกมีใจเอมอิ่มกระหยิ่มใจอยากลงจากเรือออกไปร่ายร่ำกับนางฟ้าเสียให้ได้เต็มทน เเต่ก็ได้จนใจด้วยความอาย จึงได้เเต่นั่งดูเฉยๆ จะถามอะไรก็ไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ ทั้งๆที่อยากจะชวนนางฟ้ามานั่งคุยข้างเรือ ให้สมกับที่ไม่เคยเห็นในชีวิต เเต่ครั้นเเล้วก็เเต่นั่งไม่กล้ากระดุก กระดิกดังตอไม้
    เมื่อหันหน้าไปมองดูเทวดา พระองค์ก็เอกเขนกยิ้มพริ้มพรายอย่างสบายอารมณ์ นางฟ้าก็ได้เเต่ยิ้มเเย้มเเจ่มใสเเละชะม้อยชะม้ายชายตากัน สังเกตุดูองค์เทวดาอย่างผาสุขใจดุจเดียวกัน ถ้าจะคำนวณเวลาที่วิญญาณอาตมามาชมการร้ายรำของเหล่านางฟ้า เทพอัปสรนั้นคาดว่าประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ต่อเเต่นั้น นางฟ้าก็ได้ทยอยกันกลับหลังหันลอยไปยังปราสาท ของตนทีละนางสองนางจนหมดสิ้น โดยไม่เหลียวมามองอาตมาสักนางเดียว ทำให้เรามองตามจนสุดตาอย่างอาลัย เมื่อเหล่านางฟ้ากลับสู่สถานทิพย์พิมานของเเต่ละนางเเล้ว เรือที่อาตมานั่งก็ลอยมาอยู่หน้าพระพักตร์ของเทวดาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเทวดาเห็นอย่างนั้นก็สั่งคนที่อยู่ท้ายเรือว่า
    "พาเขาไปส่งได้เเล้ว"
    เมื่อวิญญาณได้ยินดังนั้นก็สุดเเสนจะเสียดายอาลัยไม่อยากกลับ เเต่นึกในใจว่าวาสนาของเรายังน้อยเพียงเเค่ได้เห็นเท่านี้ก็เป็นบุญตาเเล้ว อาตมานั่งถอนใจใหญ่เเละดูโน่นดูนี่ไปรอบๆ เพื่อจดจำเป็นขวัญตาขวัญใจ เพียงประเดี๋ยวเดียว เรือก็ค่อยๆลอยลดต่ำลงมาถึงยอดไม้ เเล้วก็หยุดนิ่งที่โคนต้นไม้เดิม ก่อนที่อาตมาจะขึ้นไปนั่นเอง อาตมาก็ลงจากเรือเเล้วเรือลำนั้นก็ลอยกลับสู่สวรรค์ชั้นฟ้าอีก อาตมาองตาจนสุดสายตาด้วยความอาลัย ดั่งใจจะขาดดิ้น วิญญาณอาตาก็เดินทางต่อ คราวนี้รู้สึกว่าเดินสบายกว่าเก่าไม่เจ็บปวดที่ใดเลย เดินไปไม่นานนักก็พบวัดร้างวัดหนึ่ง

    พระบอกว่าจะได้บวชเเล้ว
    วัดนี้ดูเหมือนไม่มีพระเงียบสงัดไปหมดเลย เเต่ก็มีศาลา วิหาร โรงธรรม ประดับประดาเเต่งอย่างสวยงาม รอบๆวัดมีต้นไม้เขียวชอุ่มไปทั้งนั้น พออาตมาเดินมาใกล้วิหารเเล้ว จึงได้เห็นหมู่สงฆ์เดินออกมาจากป่าหลังวิหาร นั้นประมาณสี่ห้ารูป อาตมาเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้เเล้วนั่งกราบที่พื้นอีกครั้ง รูปที่เดินนำหน้าก็นำเข้ามาพยุงเเขนอาตมา ให้ลุกขึ้นยืน เเล้วพาเข้าไปในวิหาร จัดการธูปเทียนบูชาพระเสร็จเเล้ว รุปที่อยู่ข้างหลังก็ออกไปจนหมด เเล้วก็เหลือเเต่รูปที่นำอาตมาเข้ามาในวิหารเเล้วบอกว่า
    "ต่อไปนี้คุณจะได้บวชเเล้ว จะได้บวชภายในอีกไม่กี่วันนี้" พูดจบก็เดินออกจากวิหารนั้นลับหายเข้าไปในป่าอีก
    เมื่อพระไปกันหมดเเล้วอาตมาก็เดินต่อไป

    ชมนรก
    อาตมาเดินเข้าป่าเเห่งหนึ่ง ภายในป่านี้ร่มเย็นสบายดี เมื่อจวนจะพ้นป่านี้ อาตมาก็มองเห็นกลุ่มควันอยู่เบื้องหน้าเต็มไปหมด ก็รีบเดินเข้าไปดู เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นอะไรกันเเน่พอเข้าไปใหล้ก็เเลเห็นเป็นเหวลึก ภายในเหวนั้นเป็นกองไฟอยู่หลายเเห่ง ใกล้ๆกองไฟนั้นมองเห็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่เป็นฝูงๆคล้ายๆวัวควาย เเต่ตัวเล็กกว่า มองดูไม่ถนัด เพราะอาตมาอยู่สูง เเละมืดมัวเป็นหมอกควันไปหมด ด้วยความอยากรู้อยากเห็นให้รูนักว่าเป็นอะไรกันเเน่ จึงค่อยๆเดินลงไป ในเหวนั้น คล้ายๆกับเดินลงจากควันสูงๆ พอลงไปถึงก็เห็นว่า เป็นที่ราบกว้างขวางมากคล้ายกับทะเลทราย

    พระตกนรก
    สิ่งเเรกที่อาตมามองเห็นเป็นฝูงมาเเต่ไกลๆ กำลังเดินผ่านทางที่อาตมายืนอยู่ พอเดินมาใกล้จึงเห็น ได้ถนัดว่า มีรูปร่างอย่างมนุษย์หน้าตาน่าเกลียดอย่างที่สุด ศรีษะโล้น ร่างกายซูบผอมเหลือเเต่หนังหุ้มกระดูก นับจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆ เมื่อมนุษย์พวกนี้เดินผ่านไปเเล้ว ก็มีผู้คุมเดินตามหลังสองคนถือสมุดบัญชีเปิดอยู่ตลอดเวลา โดยทั้งสองคนมีผมงอกรุงรังไปหมดทั้งตัว
    เมื่อผู้คุมเข้ามาใกล้เเล้วอาตมาจึงถามว่า "พวกนั้นเป็นอะไร"
    ผู้คุมจึงตอบว่า "นี่คือพวกพระที่บวชตัวครั้งที่อยู่ในเมืองนุษย์ จิตใจไม่อยู่ในศีลธรรมฉ้อโกง หลอกลวงชาวบ้าน มาสร้างผลประโยชน์ส่วนตัว ทะเลาะวิวาทในหู่สงฆ์ด้วยกัน เเละคอยรังควานหาเรื่องกับเพื่อนอยู่ตลอดเวลา เมื่อสิ้นชีวิตจากเมืองมนุษย์ก็ต้องมาตกนรกอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะหมดสิ้นเวรที่ได้กระทำไว้ และต้องไปเกิดมีฐานะลำบากยากจน พูดอะไรขาดคนนับถือเชื่อในคำพูด"

    โทษของการฆ่าผู้มีพระคุณ
    เมื่อพวกนี้พ้นไปเเล้ว ก็มีอีกพวกหนึ่งตามหลังมา ร่างกายเหมือนมนุษย์ซูบผอม ผมรุงรัง มีเลือดย้อยหลามไหลอาบไปทั้งตัว บางคนตีนด้วนมือด้วน หน้าตาฉีกจนมองเห็นกระดูกหน้าเกลียดมาก มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายโดยมีนายนิรบาลถือหอกถือดาบตีฟันเเทงอย่างที่ไม่หยุดเลย ต่างก็ล้มลุกคลุกคลาน มองเเล้วน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก โดยมีผู้คุมบัญชีเดินตามหลังสองคน พอผู้คุมบัญชีเดินเข้ามาใกล้เเล้ว
    อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้สร้างกรรมอะไรไว้"
    ผู้คุมตอบว่า "นี่คือพวกฆ่าพ่อเเม่ หรือทารุณโหดร้ายต่อผู้มีพระคุณ ฆ่าพระสงฆ์ ทำลายศาสนา ขณะนี้เรากำลังนำเข้าไปเข้าเครื่องทรมาน พวกนี้ต้องชดใช้กรรมอยู่นาน เพราะสร้างกรรมชั่วไว้มาก เเละถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีเเต่คนทำร้าย หักหลัง ทรยศ คนเราถ้าไม่รู้จักคุณคนก็จะเป็นอย่างนี้"

    โทษปล้นฆ่า
    ต่อเเต่นั้น ก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง ร่างกายเหมือนมนุษย์ เเต่หน้าตาดูไม่ออกว่าเหมือนอะไร น่าเกลียดน่ากลัวมากยิ่งกว่าซากศพในโลงอีก ตามเนื่อตัวพุพอง เน่าเปื่อย มีเลือดเเดงฉานไปทั้งตัว นายนิรบาลถือกระบอกใหญ่ขนาดเเขนไล่ตีคนละทีสองทีไม่หยุดยั้ง ทำให้ต่างก็ร้องไห้ส่งเสียงควรญครางน่าสมเพชเวทนา มีผู้คุมถือบัญชีตามหลังมาสองคน
    อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้ทำชั่วอย่างไรไว้ จึงต้องมารับกรรมเช่นนี้"
    ผู้คุมตอบว่า "นี่คือผู้ชกชิงวิ่งราว ปล้น จี้ ขโมยข้างของคนอื่น เเละทำร้ายเจ้าทรัพย์ ฉ้อโกงเขากิน ฆ่าเพื่อมนุษย์ ไม่ได้บวชเรียน เมื่อสิ้นชีวิตเเล้วจึงต้องมาใช้กรรมอยู่อย่างนี้ ถ้าได้โอกาสเกิดเป็นคนอีกก็จะเจ็บป่วยบ่อยๆ หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินเก็บไว้ยังชีพ ไม่สามารถสร้างฐานะให้มั่นคงได้"

    ทำร้ายสัตว์หน้าตาเหมือนสัตว์
    เมื่อพวกนี้พ้นไปก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง ร่างกายก็เหมือนมนุษย์ หน้าตากลับเหมือนสัตว์ เป็นวัว ควาย หมูม้า บ้างก็เหมือนเป็ด เหมือนไก่บ้าง บางคนดูไม่ออกว่าเป็นสัตว์อะไร เลือดไหลเเดงไปทั้งตัว นายนิรบาลใช้เเส้ เเละไม้เรียวฟาดไม่หยุด มีผู้คุมถือบัญชีตามาสองคน
    อาตมาจึงถามว่า "พวกนี้ทำกรรมอย่างไรไว้"
    ผู้คุมตอบว่า "พวกนี้ฆ่าสัตว์ ชนวัว ชนควาย ทั้งกัดปลา ชนไก่ ทรมานสัตว์ด้วยวิธีต่างๆ ใจบาปหยาบช้าไรู้จักบาปบุญคุณโทษ ขาดความเมตตา ทั้งนี้เเล้วเเต่ใครจะทำกรรมอย่างใดกับสัตว์อะไร เมื่อเขาสิ้นชีวิตลงเเล้วมาตกนรก เขาก็จะมีหน้าตาเหมือนสัตว์นั้น เเล้วจะต้องทรมานอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรมนั้น"
    ตบตีทะเลาะข้ามภพชาติ
    ต่อเเต่นั้นก็ยังมีอีกพวกหนึ่ง เป็นหญิงทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาดำเกรียมไปทั้งตัว เหมือนกับถูกไฟเผาทั้งเป็น ผมยาวถึงบั้นเอว รูปร่างเหมือนมนุษย์เล็บยาว ปากฉีก ตาเหล่ บางคนก็ข่วนหน้า บางคนก็ตบหน้ากันเอง ชุลมุนวุ่นวายไม่อยู่นิ่ง นายนิรบาล ถือเหล็กเเดง ยาวประมาณสองศอก หากว่าใครเดินเฉยๆไม่ตบตีกัน ก็ใช้เหล็กเเดงแทงทันทีให้ตีกันต่ออีก ตอนท้ายหยุด มีผู้คุมถือบัญชีตามาสองคน
    อาตมาจึงถามว่า " พวกนี้ทำกรรมอะไรจึงต้องาลำบากอยู่อย่างนี้"
    ผู้คุมตอบว่า "หญิงพวกนี้เมื่อครั้งอยู่เมื่อมนุษย์ เป็นคนคบชู้ นอกใจสามี ทำเสน่ห์ยาแฝด ด่าพระสงฆ์ ริษยาอาฆาต เบียดเบียนเพื่อนบ้านหาเรื่องทะเลาะวิวาท กับเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ไม่ทำบุญสุนทานเมื่อสิ้นชีวอตจากโลกมนุษย์เเล้ว ก็มาตกนรกอยู่อย่างนี้ ผลกรรมที่ชั่วช้าเลวทรามนั้น จึงทำให้ตัวดำไหม้เกรียมอย่างที่เห็นอยู่ เเละถ้าได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะมีเรื่องให้รำคาญใจอยู่เสมอ"


    ยมบาลพิจารณาคดี
    นอกจากนี้ยังมรผู้เดินตามหลังอีกหลายพวก เเต่วิญญาณของอาตมารู้สึกกระวนกระวายใจที่จะเดินทางต่อไป ระยะทางที่เดินไปนั้นมองเห็นเป็นควันไปหมด เเละพวกที่เดินอยู่ข้างในก็อีกมากมาย อาตมาจึงเดินทางขึ้นข้างบน เมื่อพ้นจากขุมนรกขึ้นมาก็เริ่มเห็นของเเปลกๆอีก
    เห็นเป็นห้องสี่เหลี่ยห้องหนึ่ง ที่หน้าห้องมีโต๊ะตัวใหญ่ เเละมีสมุดบัญชีวางอยู่บนโต๊ะหลายเล่ม ด้านหน้าของโต๊ะ มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ร่างกายดำ ขนอกรุงรัง ท่าทางน่ากลัวมาก เปิดดูสมุดบัญชีอยู่ตลอดเวลา ด้านข้างโต๊ะยังมีอีกคนหนึ่ง รูปร่างคล้ายคลึงกันนั่งอยู่เฉยๆ เมื่อพ้นจากห้องนั้นเเล้ว ไปอีกประมาณ 3 วา มีต้นโพธิ์ต้นหนึ่งใหญ่โตมากเเละภายในต้นโพธิ์มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง คล้ายรุปปั้นนั่งอยู่ในทางขัดสมาธิ
    ขณะที่ดวงวิญญาณของอาตมา กำลำยืนดูสิ่งต่างๆอยู่นั้น ก็มีเหตุการณ์น่าหวาดเสียวปรากฏขึ้นมาทันที เมื่อวิญญาณอาตมาเห็นดังนั้น ก็รีบหลบอยู่ที่โคนไม้ใกล้ๆนั่นเอง ภาพที่เห็นคือผู้ชายรูปร่างกำยำสี่คน รูปร่างเหมือนมนุษย์ ส่วนหน้าตาน่าเกรงขามมาก ท่าทางดุร้ายทีสุด กำลังลากผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอาบุประมาณ 30 ปีหน้าตามอมเเมม เเต่งกายด้วยผ้าเก่าๆ พอมาถึงก็นั่งลงหน้าโต๊ะ เเล้วมีเสียงถามออกมาจากคนที่นั่งหน้าโต๊ะว่า "เจ้าชื่ออะะไร" ตอนนั้นวิญญาณฟังไม่ถนัดว่า ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร ต่อจากนั้นก็ให้คนที่นั่งข้างโต๊ะเอาบัญชีมาดู ถามๆตอบๆอยู่พักหนึ่ง เสร็จเเล้วคนทั้งสี่ก็ฉุดกระชากหญิงนั้นมายังทางที่วิญญาณ เดินขึ้นมา เเล้วผลักหญิงคนนั้นจมหายไป เมื่อหญิงคนนั้นลับไป คนทั้งสี่ก็กลับมายังที่เดิม คนนั่งหน้าโต๊ะพูดอะไรสองสามคำ พวกทั้งสี่ก็หายเเววไปทันที่เร็วมาก จนอาตมามองไม่ทันว่าเขาไปทางไหน ไปอย่างไร ขณะที่วิญญาณกำลำงตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ต่างๆอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง อยู่ใกล้ๆกับต้นโพธิ์มีเเสงสีเขียวพุ่งยาวสว่างโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา โดยเเสงนั้นยาวเเละพุ่งไกลมาก เมื่อวิญญาณอาตมาเห็นดังนั้นก็อยากจะเข้าไปดูให้เเน่ เเต่ไม่กล้าไปทางตรงๆ อาตมาจึงเดินอ้อมคอมๆไปางข้างนอก ไม่ให้พวกนั้นเห็น พอมาใกล้จึงทราบว่าเป็นสะพานเเก้วโตขนาดเท่า ต้นมะพร้าวราวเเละเสาไม่มีเลย เบื้องหลังของสะพานมีเมฆหมอกเต็มไปหมด สะพานทอดข้ามขุมนรก ข้างล่างลึกมากไม่สามารถองเห็นอะไร หัวสุดของสะพานทอดออกไปติดอยู่กับภูเขา ด้านหลังของภูเขามีเเสงสว่างพุ่งขึ้นมา ดูเเลเวเพลินเจริญตาเป็นสุขยิ่งนัก
    เมื่อวิญญาณเห็นดังนั้น ก็อยากจะไต่สะพานนั้นเเต่กลัวตก ครั้งเเรก ทดลองเอาเท้าเเตะดูเบาๆก่อนว่าจะลื่นหรือไม่ลื่น พอเท้าเเตะถึงสะพานเท่านั้นรู้สึกว่าสบาย เเละเป็นสุขอย่างเเปลกประหลาด เมื่อเห็นว่าสบาย วิญญาณก็เดินไป ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง เเห่งความยาวของสะพาน ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันอันน่ากลัว ก็พลันบังเกิดขึ้น มีเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก้องมาจากข้างหลังอาตมา เมื่ออาตมาหันไปดูก็ตกใจตัวสั่นจนเกือบจะตกสะพาน ถ้าจะหนีก็สายเสียเเล้ว
    นายนริบาลสี่คน ที่จับผู้หญิงไปเมื่อสักครู่นั่นเอง เข้ามาจับมือเท้าอาตมาอย่างเเข็งเเรง เเล้วผูกติดกับไม้คล้ายกระดาน เเล้วพามายังห้องที่อาตมาเห็นมาเเล้ว ห้องนี้เป็นห้องที่ยมบาลชำระผู้กระทำผิด พอมาถึงหน้าห้องเขาก็วางวิญญาณอาตมาลงกับพื้น เเล้วนายนิรบาลนั้นก็ไปยืนทางศรีษะคนหนึ่ง ทางเท้าคนหนึ่ง เเละทางซ้ายขวาข้างละคน มือถือเหล็กสาง่าม ไม่พูดว่าอะไร
    เมื่อยมบาลที่นั่งหน้าโต๊ะเห็นดังนั้นก็ถามว่า "เจ้าเป็นใคร"
    อาตมาก็ตอบว่า "ผมชื่อ นิกร ไทยรักษ์" เเล้วยมบาลก็หันไปสั่งคนที่นั่งข้างโต๊ะ "เอาบัญชีมาดูเดี๋ยวนี้ เมื่อมันอยู่เมืองมนุษย์สร้างเวรสร้างกรรมอะไรบ้างบอกมาให้หมด"
    ต่อจากนั้นพญายมค้าหาดูอยู่ครู่หนึ่งก็ชักบัญชีออกมาเป็นบัญชีขนาดศอก ก็หนาประมาณ 1 ฟุต เมื่อเปิดไปถึงชื่อนั้น พญายมก็บอกทันที่ว่า
    1. มันเบียดเบียนพ่อเเม่ 2. ในฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เเต่ไม่ถึงกับฆ่าสัตว์ใหญ่หรือสัตว์ผู้มีพระคุณ 3.ไม่ได้บวชเรียน 4. มีกรรมเก่าติดตัวมานิดหน่อย ผลกรรมมีเท่านี้
    วิญญาณของอาตมาที่นั่งฟังรู้สึกสั่นไปหมด ไม่ทราบว่าเขาจะทำอะไรกับอาตมาต่อไปอีก เมื่อพญายมผู้ถือบัญชีบอกหมดเเล้ว
    เสียงของยมบาลถามว่า "อยู่ที่เมืองมนุษย์ทำบุญ ทำทานอะไรไว้บ้าง จงบอกมาให้หมดไวๆ"
    เสียงของยมบาลที่ถามนั้นฟังเเล้วเหมือนกับโกรธกันมาหลายปี พอพบเข้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ดูน่ากลัวมาก วิญญาณของอาตมาในเวลานั้นกลัวจนบอกไม่ถูก ส่วนยมบาลก็ถามรุกเรื่อยว่า "ทำไมไม่ตอบา หรือว่าไม่เคยทำบุญอะไรเลย"
    วิญญาณที่กำลังคิดอยู่ เห็นไม่มีอะไรเเล้วจึงตอบตามที่ได้กระทำไว้ว่า "ได้ไปไหว้พระบรมธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ทำบุญทำทานเล็กๆน้อยๆ ทั้งนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง"
    ยมบาลก็พูดขึ้นว่า "เออมึงยังไม่ถึงที่ตาย สร้างกรรมยังไม่มาก จึงต้องกลับไปเข้าร่างเดิมในเมืองมนุษย์อีก ขอพวกท่านทั้งสี่จงพามันไปส่งเข้าร่างเดี๋ยวนี้"
    พออาตมาได้ยินว่า "พามันกลับไปเข่าร่างเดิมในเมืองมนุษย์" เเทนที่อาตมาจะดีใจ กลับเสียใจมากขึ้น เพราะตั้งใจไว้เเล้วว่า จะขอตายไปให้พ้นๆ เเต่นี่ยมบาลกลับจะให้เอากลับไปอีก เราไม่ขอกลับเเน่ๆ วิญญาณจึงพูดว่า "ขอความปราณีเเด่ยมบาลผู้ยิ่งใหญ่ อย่าให้เราต้องกลับไปใช้เวรกรรมอีกเลย จงปล่อยให้เราไปทางสะพานเเก้วนั้น ตลอดไปเถิด"
    ยมบาลพูดขึ้นว่า "ไม่ได้ มึงต้องกลับบ้าน เราไม่มีความปราณีต่อใครทั้งนั้น"
    พวกนายนิรบาลทั้งสี่คนก็จัดการเเก้เชือกที่มัดตัวของอาตมาทั้งมือทั้งเท้าออกจนหมด เมื่อวิญญาณเห็นว่าไม่มีทางไหนเเล้วที่จะพึ่งได้นอกจาก พุทโธ จึงภาวนาดังๆขึ้นว่า
    "พุทโธ พุทโธ พุทโธ " สามครั้ง
    เมื่อพวกทั้งสี่ได้ยินคำว่า "พุทโธ" คำเดียวก็หยุดทันที ต่อจากนั้นวิญญาณก็ระลึกขึ้นได้ว่า
    "ขอเดชะ พระสัมมาสัมพุทเจ้า ผู้มีเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ขอบารมีเเห่งพระองค์ท่านจงช่วยด้วย ให้ไปดลจิตดลใจเเก่พระยายม ให้เข้าไปสิงร่างของเราในเมืองมนุษย์ บอกกับทุกคนด้วยว่าเรานั้นไม่ได้ผิดอะไร ทั้งหมด หากเราไปพูดเอง เขาจะไม่เชื่อกัน เเละให้บอกด้วยว่านรกมีจริงทุกอย่าง ขอให้ยมบาลไปบอกเขาอย่างนี้ ถ้าทำได้ดั่งว่านี้เเล้ววิญญาณเราก็จะยอมไปเข้าร่างเดิม ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็จะไม่ยอมไปเมืองมนุษย์ พุทโธ พุทโธ พุทโธ" วิญญาณก็ว่าอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    อีกไม่นานนัก ภาพพระพุทธรูป ที่ใต้ต้นโพธิ์ก็เเสดงอภินิหารทันที ครั้งเเรก วิญญาณของอาตมาเห็นภาพนั้นที่เหมือนรูปปั้น กลับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ คือเหมือนเป็นเนื้อหนัง จริงๆ เเละผ้าจีวรก็เหมือนผ้าจริง ต่อมาก็มีเเสงรัศมีออกจากดวงเนตรของพระองค์เป็นสีเขียวพุ่งไปยังร่างของยมบาล เมื่อยมบาลเห็นดังนั้นเเล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ เเต่ก็นั่งลงเสียอีก อาตมาก็ภาวนาว่า"พุทโธ พุทโธ" ขึ้นอีกทีหนึ่ง คราวนี้เป็นเเสงรัศมีใหญ่กว่าครั้งก่อน พุ่งไปถูกยมบาลอีกครั้ง เมื่อยมบาลเห็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้อีก จึงลุกขึ้นยืนทันที เเล้วไปยังเมืองมนุษย์ อาตมาก็ตามไปด้วย

    ยมบาลเยี่ยมเมืองมนุษย์
    เมืองนรกกับเมืองมนุษย์ ตามความรู้สึกของวิญญาณนั้น เห็นว่าอยู่ไม่ห่างไกลกันเลย อยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียว เเต่มีหมอกกันอยู่มองไม่เห็นตลอดเวลา
    เมื่อวิญญาณอาตมาเดินมาถึงเมืองมนุษย์ เเล้วก็หยุดที่หน้าบ้าน ส่วนตัวยมบาลก็เข้าไปในบ้าน
    ทันใดนั้น
    ยมบาลเข้าไปสิงร่างกายเนื้อของอาตมาที่นอนตายอยู่บนเตียงนานเเล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นเวลากลางคืน ร่างนั้นก็ลุกกระโดดบนเตียง สามสี่ครั้ง ส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบ้าน ทุกๆคนที่กำลังนอนหลับอยู่ที่บ้าน ก็พากันตกใจตื่นขึ้นมาคิดว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ต่างคนต่างจุดตะเกียงออกมาดู เเม่ของอาตมาว่าอาตมาเป็นบ้าเสียสติไปเเล้ว ก็ช่วยกันเข้ามาจับจะมัด เเต่ยมบาลผลักออกไปหมด บางคนคิดว่าถูกผีเข้าสิง ต่างบนบานศาลกล่าวกันเป็นใหญ่
    "เออ พ่อจะมากินอะไรก็บอกดีๆเถิด อย่าทำออกฤทธิ์ให้มากไปเลย"
    ยมบาลก็พูดขึ้นว่า "ฮึ่ม อ้ายพวกมนุษย์ จงเข้าใจว่าเราไม่ใช่ผี เราคือยมบาลผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมนุษย์"
    พี่ชายอาตมาสงสัยมากว่า ยมบาลอะไรกัน ไม่เคยเห็นขึ้นมาเมืองมนุษย์เลย จึงพูดขู่ไปว่า"ยมบาลอะไร จงพูดมาดีๆ อย่าพูดเท็จกับเรา เดี๋ยวยมบาลจะเจ็บตัว" พี่ชายอาตมาเป็นคนหัวไสยศาสตร์อยู่สักหน่อย (คือนับถือปู่เจ้าสมิงพราย)
    เมื่อยมบาลได้ยินดังนั้นก็เพิ่มความโกรธมากยิ่งขึ้น ทำท่าจะกระโดดถีบพี่ชายของอาตมา เเต่ยมบาลกลับนึกได้ว่า ถ้าหากขืนอยู่ในเมืองมนุษย์อีก คงจะต้องเอาชีวิตพี่ชายของอาตมาเเน่ เพราะยมบาลคนนี้พูดกับใครไม่ได้มาก เลยตัดความรำคาญของจากร่างอาตมา ปล่อยทิ้งให้ร่างอาตมานอนสงบดังเดิมอีก
    ส่วนพญายมคนที่นั่งข้างโต๊ะก็มาด้วย ดมื่อเห็นดังนั้นก็เข้าสิงร่างเเทนเสียเอง เเล้วพูดขึ้นว่า
    "เราคือพญายม เมื่อสักครู่ที่ผ่านไปนั้น ยมบาลท่านได้ออกจากร่างไปแแล้วจะไม่เข้ามาอีก เราจึงมาเข้าเเทน เพราะพระพุทธเจ้าส่องเเสงรัศมีมา ให้เรามาช่วยน้องชายเจ้า เพราะมันยังไม่ถึงที่ตาย"
    พี่ชายของอาตมาถามขึ้นทันทีว่า "มาช่วยด้วยเหตุอะไร"
    พญายมฉีกเสื้ออาตมาออกมา นำจดหมายลาตายเเละกล่องใส่ยาพิษออกมาให้ดูทันที ทุกคนที่คอยอยู่นั้นตกตะลึงไปตามกัน เพราะไม่มีใครคิดเลยว่าอาตมาจะคิดสั้นอย่างนั้น เเล้วพญายมก็พูดออกไปว่า "จงไปตามลูกๆหลานๆมาให้หมด คืนนี้เราจะบอกเรื่องนรกให้ฟัง เพราะเดี๋ยวนี้มนุษย์สร้างเเต่กรรมเลว ทำเเต่สิ่งชั่ว ตกนรกกันมากมายเหลือเกิน ร้อยวันพันปีเราไม่เคยได้ขึ้นเมืองมนุษย์ เมื่อเรามาเเล้ว ก็จะบอกถึงเรื่องการทรมานในนรกให้ฟังไว้" เเล้วพญายมก็ชี้มือไปที่เเม่ของอาตมา เเละบอกให้ไปตามกันมาให้หมดทุกคนที่อยู่ข้างๆบ้านนี้มาด้วย
    ต่อจากนั้นเเม่ของอาตมาก็ไปตามลูกๆหลานๆมาหลายคน(ส่วนวิญญาณอาตมาก็ยังคงยืนฟังอยู่นอกบ้าน
    เมื่อทุกคนมากันพร้อมเเล้ว พญายมเริ่มอธิบายถึงเรื่อง ขุมนรกมีกี่อย่าง เเละยังบอกด้วยว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้เเล้ว ทุกคนมีบัญชีอยู่ในนรกทั้งนั้น เว้นเเต่ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีบัญชี ใครจะสร้างบุญบาปอย่างไรนั้นสามารถรู้ได้ด้วยหูทิพย์ตาทิพย์
    พอพญายมพูดถึงตรงนี้ พี่ชายอาตมาชักจะสนใจในเรื่องบัญชี เลยถามพญายมขึ้นมาว่า
    "ในบัญชีของผมมีอะไรบ้าง"
    พญายมก็ใช้พวกทั้งสี่ไปเอาบัญชีมาให้พี่ชายดู ซึ่งพญายมก็บอกบัญชีของพี่ชายตั้งเเต่อายุ 10 ขวบ จนถึง 35 ปี ว่ามีอะไรบ้าง เเม้พี่ชายของอาตมาจะยิงลิงค่างเเละหมูในป่า ก็ปรากฏในบัญชีหมด ได้ทำบุญกี่อย่างก็จดไว้หมด เช่นเดียวกัน ไม่คลาดเคลื่อนอะไรเลยเเม้เเต่นิดเดียว
    พี่ชายของอาตมาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกลัวมาก
    (ถ้าหากว่าญาติโยมอยากจะรุ้ความจริงเรื่องนี้ เชิญไปถามพี่ชายอาตมาได้ คือ นายสวาท ณ.ตะกั่วทุ่ง อยู่บ้านทุ่งสูง อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เขาไปสร้างสวนอยู่ที่นั่น วันนั้น ที่ได้ประสบเหตุการณ์ ก็เพราะว่า เขาไปชวนอาตมาให้ไปอยู่ด้วยกัน)
    พี่ชายของอาตมาถามต่อไปว่า "พญายมช่วยบอกให้ทีเถิดว่าปู่ย่าตายาย ที่ตายไปแล้วอยู่ที่นรกหรือว่าได้ไปเกิดเเล้ว"
    พญายมก็บอกว่า "คนนันตกนรกอยู่ คนนั้นไปเกิดเเล้ว'
    พี่ชายอาตมา ถามว่า "รู้ได้อย่างไร" พญายมบอกว่า "รู้ได้ด้วยดูในบัญชี ถ้าใครยังตกนรกอยู่ บัญชีก็ยังจดไว้ ถ้าใครไปเกิดเเล้วบัญชีก็จะลบออกหมด" พี่ชายถามอีกว่า "วันก่อนเขาได้ไปทอดผ้าป่า เเละทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาได้รับกันหรือเปล่า"
    พญายมตอบว่า "พวกที่ตกขุมนรกลึกๆ จะยังไม่ได้รับอะไรเลย เพราะกรรมยังมาก พวกที่จะได้รับส่วนบุญนั้น คือพวกที่พ้นจากนรกขุมลึกๆเเล้ว"
    พี่ชายอาตมาถามต่ออีกว่า"การที่ท่านทรมานสัตว์นรกนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์นั้นสิ้นกรรมเเล้วเมื่อใด"
    พญายมก็ตอบว่า "การที่มนุษย์สร้างกรรมดีกรรมชั่ว เขาได้ลงไว้เป็นขีด โดยมีไว้สองใบ ถ้าทำกรรมชั่วเเล้วก็ลงไว้ในใบสีดำ ทำกรรมดีลงไว้ในใบสีเเดง เราลงไว้เป็นขีดใหญ่เเละขีดเล็ก เเล้วเเต่กรรมหนักหรือกรรมเบา เมื่อไปทรมานนั้นมีผู้คุมคอยถือบัญชีอยู่ ครั้นเห็นว่าหมดกรรมเเล้ว ก็ลบออกไปเสียที่ละขีด ทรมานไปจนหมดขีดนั้น เเล้วปล่อยให้ไปเป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์บ้าง อสูรกายบ้าง เมื่อสิ้นเวรจากพวกนี้ก็ไปเกิดเป็นขอทาน ง่อยเปลี้ย เสียขา บ้าใบ้ วิกลจริต เสื่อมทรามไปตามกรรมนั้น
    พี่ชายของอาตมาถามต่อไปว่า "คนมบุญเขาส่งขึ้นสวรรค์อย่างไร"
    พญายมตอบว่า "เมื่อผู้ทำบุญเหล่านั้น สิ้นชีวิตเเล้ววิญญาณก็จะเดินทางมาศูนย์รวมกรรมตรวจบัญชี เเล้วยมบาลก็ปล่อยให้เดินไปทางสะพานเเก้ว ส่วนบัญชีก็ส่งให้เทวดาไป เทวดาตรวจดูว่า ผู้นั้นสร้างความดีอะไร ทำบุญทำทานอะไร เมื่อตรวจเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ก็ส่งไปให้เสวยทิพย์วิมาน อยู่นานตามส่วนเเห่งบุญที่ได้บำเพ็ญมา ส่วนผู้ที่บรรลุอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปเจอใครทั้งนั้น ด้วยอำนาจบารมีอันเเก่กล้า จะไม่ต้องเป็นวิญญาณหรือเป็นอะไรทั้งหมด เพราะผู้ที่ได้อรหันต์นั้นหมดสิ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นอรหันต์ในขณะที่เสวยสุขนั้น ก็มีเทวดาพวกหนึ่ง คอยดูบัญชีเเผ่นทองคำอยู่ เมื่อเห็นว่าสิ้นผลบุญเเล้ว ก็ต้องกลับาเกิดในเมืองมนุษย์อีก ในสกุลดี เป็นมหาเศรษฐีทรัพย์มาก หรือเป็นใหญ่เป็นโต ในวงสังคมนิยมทั่วไป มีผิวพรรณผุดผ่อง ไม่มีโรคาพยาธิ จะเกิดเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ย่อมมีศีลธรรมประจำอยู่ในสันดาน รักษาศีลให้ทานดุจชาติปางก่อน ซึ่งเขาทำบุญไว้อย่างไรก็จะได้รับสุขอย่างนั้น"

    สร้างกรรมอะไรได้อย่างนั้น
    ใครไม่ฆ่าสัตว์ จะมีอายุยืน
    ไม่ลักทรัพย์ จะหาทรัพย์ได้มาก
    ไม่ผิดลูกผิดเมียใคร ก็จะอยู่ฉันท์สามีภรรยาที่ดียิ่ง เเละไม่ทะเลาะวิวาท กันจนถึงวันเเก่เฒ่าเข้าโลง
    ไม่พูดเท็จ ก็จะไม่ถูกใส่ความไม่มีคนส่ร้าย
    ไม่ดื่มสุรา ก็จะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถประกอบกิจด้วยไหวพริบอันเฉียบเเหลมทันต่อเหตุการณ์
    มีความเมตตาปราณีต่อผู้อื่น ก็จะได้รับความเมตตา
    ใครทำบุญให้ทานมาก ก็จะมีทรัพย์มาก
    พี่ชายของอาตมาถามต่อไปอีกว่า "เพราะอะไรจึงเกิดเป็นเปรต อสูรกาย หรือเป็นวิญญาณที่เที่ยวหลอกหลอนคนอื่น"
    พญายมตอบว่า "พวกนี้พ้นจากการทรมานจากนรกเเล้ว เเต่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ เพราะยังไม่สิ้นเวรกรรม จึงต้องถูกทรมาน ไปก่อนจนกว่าจะสิ้นกรรม ที่เป็นเปรตอีกพวกคือ ที่ตระหนี่ขี้เหนียวไม่ทำบุญทำทาน พวกอสูรกายคือพวกที่มีจิตใจโหดร้ายทารุณขี้โมโห" เข้าลักษณะกรรมที่ว่า
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    การบวชได้บุญมาก
    พี่ชายของอาตยังถามอีกว่า "ทำบุญอะไรได้บุญมากที่สุด"
    พญายมตอบว่า "ถ้าเป็นชายให้บวช เป็นพระสงฆ์ เเต่ไม่ใช่ว่าบวชเเล้วจะได้บุญเสมอไป คือบวชเเล้วต้องหมั่นรักษาศีล ปฏิบัติในกิจสงฆ์ เเละช่วยอบรมสั่งสอนให้ผู้อื่นที่ได้รับทุกข์ทรมานพ้นจากทุกข์ คือสอนให้ละชั่ว ประพฤติดีมีศีลธรรมประจำใจ ทำจิตใจให้ผ่องเเผ้ว เเต่ถ้าผู้ใดบวชเเล้วยังทำชั่ว บวชเเล้วยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำกรรมชั่วต่างๆ เหมือนเมื่อยังไม่ได้บวช ผลกรรมก็จะเพิ่มเท่าหนึ่ง เพราะรู้เเล้วยังผืนทำ
    ถ้าเป็นหญิง ทำบุญได้มากคือ ปฏิบัติดูเเลรักษาบิดามารดา เลี้ยงดูท่านไม่ให้ลำบาก เเต่ถ้าจะถือบวชเป็นชี ก็จะได้บุญมากเหมือนกัน"
    สร้างกรรมอะไรที่ต้องมาเป็นพญายม
    พี่ชายของอาตมาถามต่ออีกว่า "สร้างกรรมอะไรที่ต้องมาเป็นพญายม"
    พญายมตอบว่า"เมื่อชาติก่อนเป็นทนายความ อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย ที่ต้องมาเป็นพญายมก็เพราะว่า ว่าความไม่ยุติธรรมโดยเห็นเเก่เงินสินจ้างรางวัล เเต่ไม่ต้องเป็นพญายมตลอดไป เมื่อสิ้นกรรมเเล้วจะไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เพราะเคยทำบุญทำทานไว้มาก เเล้วพญายมองค์อื่น เขาจะมาทำหน้าที่เเทน เป็นการสะสางบัญชี กระทำหน้าที่เเต่ละบุคคลไป เเล้วเเต่ผลกรรมที่ได้กระทำมา ที่ทำให้ต้องไปเสวยกรรมนั้นๆ ที่จะวิบากส่งผลให้เเก่ผู้กระทำกรรม"
    พี่ชายถามอีกว่า"นรก สวรรค์ เขากินอาหารกันอย่างไร หลับนอนกันอย่างไร"
    พญายมตอบว่า "นรก สวรรค์ ไม่มีดวงอาทิตย์ เเละดวงจันทร์ ไม่มีมืดไม่มีสว่าง เมื่อนึกว่ามืดมันก็มืด เมื่อนึกว่าสว่างมันก็สว่าง อาหารที่กินเป็นอาหารทิพย์ น้ำทิพย์ สัตว์ในขุมนรกกินเลือดเนื้อตนเอง เเละน้ำทองเเดงเป็นอาหาร ปีหนึ่งที่เมืองมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันในเมืองนรก"
    พี่ชายถามว่า "เมื่อท่านออกจากร่างเเล้ว จะต้องทำอย่างไรกับร่างนี้บ้าง"
    พญายมตอบว่า "ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด เมื่อเราออกจากร่างเเล้ว วิญญาณเขาก็จะเข้าร่างเดิมทันที เพราะฤทธิ์ยาพิษนั้น เราได้ช่วยถอนออกหมดเเล้ว"
    "ในการที่เราขึ้นมาวันนี้ เพราะ อำนาจของ พุทโธ"ของน้องชายเจ้าเเหละ เจ้าจะถามอะไรอีกไหม เรามีเวลาน้อย จะกลับเเล้ว"
    ต่อจากนั้น
    พี่ชายอาตมาก็ถามอะไรอีกไม่กี่อย่าง เพราะว่าใกล้จะเช้าเเล้ว เเละรู้สึกขอบคุณพญายมที่ได้มาโปรดให้รุ้เเจ้งเเละชี้เเนะให้เชื่ออย่างสนิทว่านรกมีจริงทุกอย่าง"
    ก่อนที่พญายมจะออกจากร่างอาตมาไปนั้น ได้พูดอีกว่า "ที่เราพูดมานี้ หากใครไม่เชื่อ ว่านรกมีจริงเเล้ว เราจะพาไปดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ เมื่อชมทั่วเเล้ว เราจะพามาส่งเอง เเต่ก่อนที่เราจะพาไปต้องทำให้ผู้นั้นสลบก่อน เราจึงจะพาวิญญาณไปดูได้"
    ครั้งเเรกแแม่อาตมาจะไป แแต่ในที่สุดเเล้วก็ไม่กล้า
    ขณะที่พญายมเข้าสิงร่างอาตมานั้น เป็นเวลาประมาณ 24.00 คือเที่ยงคืนไปจนใกล้สว่าง ซึ่งพญายมยังพูดอีกมาก ที่วิญญาณอาตมาจำได้เพราะว่า อาตมายืนฟังอยู่ด้วย เเต่บางตอนที่ลืมไปบ้างเหมือนกัน ที่เล่านี้ก็เล่าที่จำได้ มาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังนี้เเหละ
    ญาติโยมทั้งหลาย ตามที่อาตมาได้รอดชีวิตมานี้ ก็เพราะบารีอำนาจของพระพุทธองค์เเท้ๆ ถ้าหากว่าอาตมาลืมคำว่า "พุทโธ"เสียเเล้ว ป่านนี้จะไปเกิดเป็นอะไรเเล้วก็ไม่ทราบ คิดดูเถิดโยม อานุภาพของพระพุทธเจ้าจะมีมากมายสักเพียงไหน พระองค์สามารถช่วยเราได้ทั้งโลกนี้เเละโลกหน้า เมื่อพญายมออกจากร่างอาตมาเเล้ว วิญญาณของอาตมาที่ยืนอยู่หน้าบ้านก็เดินไปเข้าร่างเดิมทันที ตัวอาตมาคล้ายๆกับว่านอนหลับเเล้วตื่นขึ้นมานั่นเอง ซึ่งภายในท้องก็สบายดีคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    พี่ชายของอาตมาที่ไม่ค่อยถูกกันนัก ก็กลับดีเป็นพิเศษ เห็นอกเห็นใจอาตมาทุกอย่าง พี่น้องทุกคนต่างเข้าใจกันดี เเละให้อภัยกันทุกอย่าง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น อาตมามิได้กระทำผิดเเต่อย่างใด
    พี่ชายของอาตมาก็กลับไปยังสวนที่ จังหวัดกระบี่ จัดการเอาปืนเเละอาวุธต่างๆ เเละเครื่องทำลายตัดชีวิตสัตว์ทุกชนิดมาเผาไฟหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินในทางที่ถูกที่ชอบ สำหรับตัวอาตมาเองก็รู้สึก เสมือนหนึ่งว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาโปรด อาตมาให้เกิดดวงตาธรรม ทำให้อาตมามีจิตใจเสื่อมใสพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องระเเวงสงสัยอีกต่อไป จึงเข้าวัด ถือศีลให้ทานในที่สุด ก็ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาในกาลต่อมา ดังที่ท่านทั้งหลาย ได้รู้เห็นอยู่ ณ บัดนี้
    ในที่สุด
    อาตมาขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เเละ ศลี ทาน ภาวนา ที่อาตมาได้บำเพ็ญมาหรือ กุศลที่ญาติโยมได้สร้างสอบรมมาด้วยตนก็ดี จงคุ้มครองปกป้องท่านทั้งหลายให้พ้นจากอุปทวเหตุอันตราย เเละปราศจากทุกข์โศกโรคภัยทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย จงมีเเต่ความสุขสวัสดิ์ดังพรทั้งสี่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกทิวาราตรีทุกกาลเทอญ

    ที่มา กฎเเห่งกรรมชุด 1 ท้าพิสูจน์หนังสือตายเเล้วฟื้น
    เรียบเรียงโดย เเสง อรุณกุศล
    ชมรมธรรมไมตรี


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2012
  2. อินทิราธา

    อินทิราธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +346
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ ท่าน บทความของท่านดีมากๆค่ะ ถือเป็นการช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่ยังมืดมนได้เป็นอย่างดี นรก สวรรค์มีจริง ความดี บุญกุศลนำติดตัวไปใช้ได้เท่านั้นเอง
     
  3. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อนุโมทนากับบทความด้วยครับ
    ดีมากๆเลย ครับ
    จากที่เชื่ออยู่แล้ว ได้อ่านก็ยิ่งเชื่อมากขึ้น ครับ
    สาธุๆ
     
  4. เมตต

    เมตต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +240
    ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ อนุโมทนาสาธุแด่ผู้เล่าจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นเทอญ
     
  5. LMong

    LMong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2009
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +541
    ขอร่วม อนุโมทนาสาธุบุญด้วยนะครับที่นำมากล่าวบอกตักเตือนกัน ครับผม
     
  6. purivat

    purivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +254
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีครับ.
     
  7. d_thep

    d_thep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +170
    อยากให้ คนทั้งหลายได้อ่านกันมากๆ ได้ตะหนักถึงผลกรรม อนิสงฆ์ครั้งนี้จงมีแตท่านเทิรน
    อานุโมทนา สาธุ จากใจ ในพุทธ..โธ..ครับ
     
  8. nanunui

    nanunui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +114
    ขออนุโมทนาครับ และขออนุญาตคัดลอกนำไปเผยแพร่ต่อให้กับคนที่รู้จักด้วยครับ
     
  9. keamcau

    keamcau Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +36
    จับใจในพระบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ครับ ขอเป็นสาวกในทุกลมหายใจ สาธุ สาธุ
     
  10. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +530
    พุธ โธ อนุโมธนาสาธุ พระพุทธองค์อยู่ข้างๆเราเสมอถ้าเรามีท่านอยู่ตลอด
     
  11. ชัญญาพัชญ์

    ชัญญาพัชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +238
    อนุโมทนา สาธุกับเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องดี ๆ มาเผยแพร่ให้ทราบ
    พระบารมีของ พระพุทโธไม่มีประมาณจริง ๆ
     
  12. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,040
    [​IMG]
    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     
  13. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ชื่นใจจังกับบทความดีๆแบบนี้ ไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อนเลย โมทนาสาธุกับท่านปัญญาวาโรด้วย โมทนากับท่านพยายมแลท่านยมบาลทั้งหลายด้วย สาธุ ขอคุณด้วยครับพระรักษาทุกท่าน
     
  14. samusunn

    samusunn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    517
    ค่าพลัง:
    +878
    ดิฉันเองก็เคยใช้คำนี้ ตอนที่ฝันว่า ได้ไปนรกนี่ล่ะค่ะ
    รอดมาได้ก็เพราะ "พุทโธ" จริงๆ ค่ะ

    อนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ!!
     
  15. nangkeaw

    nangkeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +396
    ขออนุโมทนาบุญที่ท่านได้นำเรื่องของผลกรรมทำให้ได้ไปสวรรค์หรือนรก และทำให้เกิดความเกรงกลัวต่อบาป และหันมาทำความดีเจ้าค่ะ
     
  16. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    กราบโมทนา สาธุ ๆ
    ในการเผยแผ่พระธรรม
    อย่าลืม ทำบุญให้ทาน รักษาศิล
    เจริญสมาธิวิปัสสนาปัญญา
    กันด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2012
  17. simking

    simking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +436
    อนุโมทนาบุญกับหลวงพ่อด้วยค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่เป็นธรรมทานต่อไปนะคะ
     
  18. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    กราบอนุโมทนาสาธุๆๆกับพระคุณเจ้าด้วยที่นำประสบการณ์ มาเผยแพร่ให้รับทราบโดยทั่วกัน โลกวิญญาณมีจริงๆๆ ผมเชื่อเต็ม ๑๐๐%ครับ ใครไม่ประสบกับตนเองคงเชื่อห้าสิบห้าสิบแน่ๆ สาธุๆๆๆ....
     
  19. superchai

    superchai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณมากครับสำหรับเนื้อเรื่อง

    ขอบคุณมากครับสำหรับเนื้อเรื่องในกระทู้นี้ หลังจากอ่านก็ทำให้เกิดสติระวังตัวขึ้นมาได้ครับ









     
  20. justonelife

    justonelife เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +190
    อนุโมทนา สาธุด้วยครับ ที่พระอาจารย์มีเมตตาเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆมาเล่าให้ฟัง ทำให้ได้เห็นว่าบาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง นรกสวรรค์นั้นมีจริง และส่วนตัวผมก็ระลึกเสมอว่าไม่มีอำนาจใดที่จะเหนือไปกว่าพระรัตนไตร แล้ว ผมขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งได้ตลอดชีวิต แม้ตายไปแล้วก็ยังเป็นสรณะได้อีก อนุภาพของพระรัตนไตรนี้หาที่เปรียบมิได้จริงๆ ผมเองอ่านแล้ว ได้ตอกย้ำตัวผมเองเป็นทวีคูณขึ้นไปอีกว่าไม่มีที่พึ่งและสรณะใดจะเหนือไปกว่าพระรัตนไตรอีกแล้ว กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...