วัดสระเกศดินแดนอสุภกรรมฐาน

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 3 มิถุนายน 2015.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    “แต่เดิม วัดสระเกศเป็นวัดป่าฝ่ายอรัญญวาสี เป็นแดนอสุภกรรมฐานมาตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ สมเด็พระสังฆราช (สุก) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พระธรรมกิตติ(เม่น) หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย และพระสำคัญๆ ต้องมานั่งเจริญอสุภกรรมฐาน ที่วัดสระเกศกันทั้งนั้น เพราะมีป่าช้าใหญ่อยู่ที่นี่ อยู่ตรงโรงเรียนสารพัดช่างและประปาแม้นศรี ที่ป่าช้านี้มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเรียกว่า “ศาลากรรมฐาน” ตอนหลวงพ่อมาเป็นเณร ศาลาหลังนี้ยังอยู่ เป็นศาลาไม้หลังใหญ่ ถึงไม้ปูพื้นก็เป็นไม้แผ่นใหญ่ พอเดินเข้าไปรู้เลยว่าศาลานี้เป็นศาลาสำคัญ จะเป็นเพราะเหตุไรไม่ทราบ มันสงบเย็นอย่างไรบอกไม่ถูก แต่รู้ทันทีศาลาหลังนี้ต้องสำคัญ”
    เรื่องประวัติศาสตร์แห่งการเจริญอสุภกรรมฐานนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) แห่งวัดสระเกศ เล่าไว้อย่างละเอียดละออ ซึ่งความจริงสมเด็จท่านมีเกร็ดเล่าอีกหลายเรื่อง หากผู้ใดไปเยี่ยมเยือนวัดสระเกศ ทางวัดจะเปิดบันทึกเสียงของท่านเล่าเกร็ดเหล่านั้นตลอด
    อันที่จริงแล้ววัสระเกศยังเป็นที่เจริญอสุภกรรมฐานของพระเถระและอริยะเจ้าอีกมาก แต่นามของท่านไม่แพร่หลายเท่าบรรดาท่านที่กล่าวไว้ข้างต้น อาทิเช่น สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ) แห่งวัดโสมนัสวิหาร ก็เจริญเจริญอสุภกรรมฐานที่นี่ พระเถรเจ้าส่วนใหญ่ที่มาเจริญธรรมที่นี่้มักบรรลุธรรมชั้นสูงด้วยกันทั้งสิ้น หาไม่แล้วก็บรรลุอภิญญาเป็นที่น่ามหัศจรรย์ เช่นเรื่องราวของหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม (พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) ซึ่งท่านเป็นศิษย์สมเด็จโต และมาพิจารณาซากอสุภะ ที่วัดสระเกศเช่นกัน ในประวัติของท่านเล่าไว้ว่า
    "ขณะที่เกิดโรคห่าระบาด หลวงปู่ภูได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ พอตกกลางคืน ท่านจะออกมาเดินจงกรมพิจารณาซากศพเรียกว่าปฏิบัติ "อสุภกรรมฐาน" พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ อีกทั้งหลวงปู่ ได้เรียนวิชาทำไม้เท้าพ่อครูขณะที่เดินธุดงค์ท่านได้ตัดไม้จากกอไผ่ที่ช้างโขลงผ่านทั้งกอ นำมาเก็บไว้ เพื่อจะจิ้มศพคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ
    มีอยู่หนหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่จุดเทียนเดินเข้าป่าช้า มีกองศพอยู่มากมาย ท่านได้เอาเทียนส่องดูตามทวารของศพ เมื่อท่านเห็นศพใดทวารหนักยังเปิดก็ปล่อยไว้ตามเดิมปรากฏว่าคืนนั้นท่านคัดศพที่ทวารเปิด ได้ ๖ ศพท่านจึงประกอบ พิธีทำน้ำมนต์ ที่หน้าโกดังศพ แล้วเอาน้ำมนต์กรอกใส่ปากของคนตายทั้ง ๖ และนั่งดูอาการอยู่จนกระทั่งตีห้า ปรากฏว่าร่างทั้ง ๖ ค่อยๆ เคลื่อนไหวฟื้นขึ้นมา
    เมื่อท่านเห็นว่าร่างทั้ง ๖ คนฟื้นคืนสติแล้วท่านก็ให้เด็กวัดช่วยกันนำมาที่กุฏิ และให้เด็กนำข้าวสารมาเสก พร้อมกับให้เด็กนำไปหุงข้าวต้มมาหยอดคนป่วยกินจนหมดทั้งหกคน จนผู้ป่วยหายดีแล้ว จึงได้กราบนมัสการลาท่านกลับบ้าน นับว่าท่านมีบุญฤทธิ์ สามารถช่วยคนตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้"
    ที่มา
    ความคิดเห็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Rang04.jpg
      Rang04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      301.5 KB
      เปิดดู:
      410
    • Rang03.jpg
      Rang03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      241.1 KB
      เปิดดู:
      439

แชร์หน้านี้

Loading...