ละโลภะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 23 พฤษภาคม 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    วันวิสาขะ เป็นวันพิเศษวันอันประเสริฐที่สุด เพราะเป็นวันที่
    พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสรู้ และย้อนกลับไปเมื่อสี่อสงไขย
    แสนกัปป์ ในวันวิสาขะ ท่านสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จาก
    พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
    พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
    ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8(อาสาฬหบูชา)พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิ
    ในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวี พร้อมๆกับแผ่นดินไหว (ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์
    มารดา ไม่ใช่ขณะประสูติ) เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา พระมารดา
    ไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความ
    พอใจในบุรุษ
    พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ
    ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดา
    มารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะอันเป็นเมือง
    ของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์
    เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อลุมพินีวัน ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมี
    ประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์
    และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไป พระนางได้ยืนจับกิ่ง
    สาละนั่นแล ได้ประสูติแล้ว
    ในขณะนั้นนั่นเองท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทอง
    มาด้วย เอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา
    พลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์
    มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว.......... พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดู
    ทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดาและ
    มนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กราบทูลว่าข้าแต่ท่าน
    บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน
    พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔
    เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับคนทรงดำริว่า ... ต่อจากนั้นประทับ
    ยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่]
    เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด
    ในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีต่อไป
    ในเวลาเช้าของวันเพ็ญ เดือน 6 วันวิสาขบูชา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา
    ขณะนั้นทรงประทับที่ต้นไทร นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสที่ใส่ถาดทองมาถวายพระ-
    โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสแล้วได้เสด็จไปที่ท่าน้ำเนรัญชรา
    พระองค์ทรงอธิษฐานว่าหากเราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป เมื่อ
    พระองค์ทรงปล่อยถาดลงในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำและได้จมลงไปใน
    ที่อยู่ของนาคราช เมื่อถึงเวลาเย็น นายโสตถิยะก็ถวายหญ้า 8 กำ กับพระโพธิสัตว์
    พระโพธิสัตว์ทรงวางหญ้าที่โพธิบัลลังค์ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งแล้ว
    อธิษฐานว่าหากเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้เนื้อและเลือด จะเหือดแห้ง
    ไปก็จะไม่ลุกไปเด็ดขาด พระองค์ทรงกำจัดมารในเวลาเย็น ในเวลาปฐมยามทรง
    ระลึกชาติได้แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลามัจฌิมยาม พระองค์ทรงเห็นสัตว์เกิดสัตว์
    ตาย ด้วยพระญาณแต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลาปัจฉิมยามทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
    ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา
    เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า

    เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำ

    เรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่

    น้อย ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้

    กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้

    อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอด

    เรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร ( นิพพาน)

    แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว.
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร
    ในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท นั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ
    ความจริงที่เป้นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก
    รูป นิพพาน ไม่ใชสัตว์บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นเพราะมีความไม่รู้จึงสภาพธรรม
    อื่นๆเกิดวนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อวิชชาคือปัญญาเกิดก็สามารถดับ
    สังสารวัฏฏ์ได้ พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วยปัญญาของพระองค์

    ในวันมาฆบูชา พระพุทธองค์ทรงปลงมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ จากนี้ไปอีก 3 เดือน
    เราจะปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
    ชนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตาย
    เป็นเบื้องหน้า. ภาชนะดิน ที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความ
    แตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น…..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก
    เธอจงไม่ประมาทมีสติ มีศีลด้วยดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดี จงตามรักษา
    จิตของตนเถิด. ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสารแล้ว
    จะกระทำที่สุดทุกข์ได้.
    ในวันวิสาขบูชา พระพุทธองค์เสด็จไปที่เมืองกุสินารา แม้จะลงพระโลหิตอย่างมาก
    ใกล้จะปรินิพพานแล้ว แต่พระองค์ก็เสด็จไปเพื่อที่จะโปรดสุภัททะปริพาชกให้บรรลุ
    ธรรมและเพื่อที่จะแสดงมหาสุทัสสนสูตรเพื่อให้มหาชนได้ฟังพระธรรมและอีกเหตุผล
    หนึงคือหากพระองค์ปรินิพพานที่กุสินาราจะไม่มีการทะเลาะกันในเรื่องของการแบ่งพระ
    ธาตุ จะเห็นได้ถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์แม้พระองค์จะปรินิพานแล้วก็ยังช่วย
    สัตว์โลกแม้จะทรงประชวรอย่างหนักก็ตาม
    พระพุทธเจ้าเสด็จถึงป่าสาลวัน รับสั่งให้พระอานนท์จัดเตียงหันพระเศียรไปทาง
    ทิศเหนืออันอยู่ระหว่างต้นสาละคู่ ครั้งนั้นเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยดอกไม้ของ
    หอมมากมาย พระพุทธทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์การบูชาด้วยสักการะเหล่านี้
    (อามิสบูชา)ยังไม่ชื่อว่าสักการะ เคารพพระองค์จริง แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
    ชื่อว่าบูชาพระองค์ นั่นคือการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญกุศลทุกประการจนถึง
    การดับกิเลสได้เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
    พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังเวชนียสถานว่าเป็นที่ที่ควรระลึกถึง ควรเห็นของผู้มี
    ศรัทธาเมื่อพระศาสดาล่วงไปแล้ว
    พระอานนท์ร้องไห้ที่ประตูวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกพระอานนท์และเตือนว่า
    ทุกสิ่งมีความแตกสลายไปธรรมดา เธออย่าประมาทจงทำที่สุดทุกข์และตรัสสรรเสริญ
    พระอานนท์มากมาย
    พระพุทธเจ้าทรงโปรดสุภัททะปริพพาชกจนสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธออย่าสำคัญว่าศาสดาล่วงไปแล้ว จะหาพระศาสดาไมได้
    พระธรรมของเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอ
    เมื่อพระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว พระองค์ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า
    สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความ
    ไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด.นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
    พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไปไหน ?
    นิพพานไม่ใช่สถานที่ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อจุติจิตของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์
    เกิดขึ้น ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดจึงไม่เป็นเหตุให้มีขันธ์ 5 เกิดขึ้นอีก จึงไม่
    สามารถกล่าวได้ว่าไปที่ไหน เหมือนเปลวเทียนเมื่อดับไป เปลวเทียนไปไหน ช่างตี
    เหล็กใช้ฆ็อนเหล็ก เมื่อตีเหล็กติดไฟ แล้วไฟก็ดับไป ไฟไปไหน พระอรัหันต์ผู้ดับ
    กิเลสแล้วเมื่อปรินิพพานจึงหาคติที่ไปไมได้อีก
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 418
    ว่าด้วยมัณฑูกเทวปุตตวิมาน
    ๑. มัณฑูกเทวปุตตวิมาน
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
    [๕๑] ใครรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ด้วยยศ มีวรรณะ
    งาม ทำทิศทุกทิศให้สว่างไสว กำลังไหว้เท้าของเรา.
    เทพบุตรกราบทูลว่า
    เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์เป็นกบอยู่ในน้ำ
    มีน้ำเป็นถิ่นที่หากิน กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่
    คนเลี้ยงโคก็ฆ่าเสีย ขอพระองค์โปรดดูฤทธิ์และยศ
    ดูอานุภาพ วรรณะ และความรุ่งเรืองของความ
    เลื่อนใสแห่งจิตเพียงครู่เดียว ของข้าพระองค์ ข้า-
    แต่ท่านพระโคดม ชนเหล่าใดได้ฟังธรรมของพระ-
    องค์ตลอดกาลยาวนาน ชนเหล่านั้นก็ถึงฐานะที่ไม่
    หวั่นไหว ซึ่งคนไปแล้วไม่เศร้าโศกเลย.
    จบมัณฑูกเทวปุตตวิมาน
    เอาบุญมาฝากได้อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
    รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
    ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
    ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน
    และเจริญอาโปกสิน
    ฟังธรรมศึกษาธรรม
    ศึกษาการรักษาโรค
    รักษาอาการป่วยของคุณแม่
    และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

    ขอเชิญทำบุญยกยอดพระมหาธาตุเจดีย์คงนครพิทักษ์ (หลวงปู่คง)
    โทร 089-5833057
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...