ร่วมพิสูจน์ กรรม บุญ-บาป ตาย-เกิด นรก-สวรรค์ ภพ-ชาติ ความจริงจากธรรมชาติที่...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย babifun, 25 พฤษภาคม 2007.

  1. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอpostห้องนี้ด้วยนะครับเห็นว่าเกี่ยวกัน

    พุทธศาสตร์

    ศาสตร์แห่งความจริงที่พิสูจน์ได้

    ศีล สมาธิ ปัญญา หนทางสู่นิพพานที่พิสูจน์ได้ในชาตินี้

    ร่วมพิสูจน์ กรรม บุญ-บาป ตาย-เกิด นรก-สวรรค์ ภพ-ชาติ

    และความจริงจากธรรมชาติที่ไม่ต้องใช้สัมผัสพิเศษ

    ขอกล่าวก่อนเลยนะครับว่าข้อความต่อไปนี้นั้น
    ข้าพเจ้าเพียงแค่พิจารณาตามธรรมมะ-ธรรมชาติ
    ที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้เพียง5สัมผัสเท่านั้น
    ซึ่งเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้
    หากไม่มีธรรมะจากพระพุทธเจ้า
    และหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา
    เพราะปัญญาของข้าพเจ้าน้อยเหลือเกิน
    ไม่สามารถคิดเองได้อย่างนั้น
    แต่ไม่ได้บอกว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริงทั้งหมด
    ข้าพเจ้าเองไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาติหารประการใด
    ที่สามารถว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เห็นนั้นเเป็นเรื่องจริงแท้
    ข้าพเจ้ามีเพียงสัมผัส5สัมผัส
    เพียงให้ท่านพิจารณาตามสมควรด้วยสติที่ตั้งมั่น

    สิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นนั้นเป็นต้นว่า
    ข้าพเจ้าเห็นผลไม้สีเขียว
    ข้าพเจ้าก็บอกว่าสีเขียว
    ข้าพเจ้าไม่สามารถมองทะลุไป
    เห็นสีของเมล็ดข้างในได้
    แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา
    เพราะข้าพเจ้ามีวิธีมองเห็นสีของเมล็ดข้างใน
    นั้นคือนำมีดมาปลอกดูก็จะเห็นเมล็ดได้
    โดยไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสอื่นเลย

    หนทางแห่งนิพพานก็เช่นกัน
    ไม่ต้องอาศัยสัมผัสอี่นใดเลย
    เพียง5สัมผัสก็เพียงพอแล้ว
    การตรัสรู้(อริยสัจ4)นั้นคือ
    มีความเข้าใจในความเป็นไปในโลก
    เห็นสุข-ทุกข์
    เห็นสาเหตุแห่งความเป็นธรรมดา
    รู้วิธีดับทุกข์
    ที่สำคัญคือปฏิบัติตามวิธีนั้นให้ได้

    อริยสัจ4นั้น
    อาจทำให้หมดทุกข์เป็นเรื่องๆไป
    แต่นิพพานนั้น
    คือเมื่อขจัดสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ได้หมดสิ้นแล้ว
    ก็จะไม่เกิดทุกข์ตามตรรกะของอริยะสัจ4
    ส่วนวีธีสู่นิพพานนั้นจะว่าถึงในภายหลัง

    กายและจิต
    มนุษย์นั้นประกอบด้วยกายเนื้อ
    (ซึ่งเกิดจากกระบวนการการสังเคราะห์โปรตีน
    โดยDNAที่อยู่ในโครโมโซม
    จะจำลองตัวเองและสังเคราะห์RNA
    RNAจะจับกับกรดอะมิโน
    แล้วกรดอะมิโนจับกันด้วยพันธะเปปไทด์
    เกิดเป็นสายยาวเรียกว่าโพลีเปปไทด์
    นั้นคือโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์
    เซลล์เป็นส่วนประกอบของร่างกาย
    เซลล์มีหลายชนิด(หน้ามี่ต่างกันไม่ขอพูดถึง)
    แต่เซลล์ประสาทจะทำหน้าที่
    เกียวกับกระบวนการคิด ความรู้สึก
    โดยเป็นกระแสประสาทประมาณ9-10โวลต์
    ซึ่งเกิดจากโซเดียม-โปรแทสเซียมปัมพ์)
    จิตนั้นคือตัวแทนของกระบวนการคิด ความรู้สึก
    จิตกับกายนั้นจึงสัมพันธ์กัน
    ซึ่งมองเห็นด้วยตาไม่ได้
    แต่เข้าใจได้

    มาดูในส่วนความเชื่อดั่งเดิมกันก่อน
    ส่วนที่เป็นคำถามนั้นลองตอบในใจดูก่อน
    คำตอบที่ถูกจะเป็นแนวโน้มว่า
    ท่านจะรู้หนทางนิพพานได้ง่ายเพียงใด

    กรรมคือการกระทำ...ใครทำ?*จิต*
    ผลกรรมคือผลของการกระทำ...ใครบันดาลแสดงผล?*ธรรมชาติ*

    ความดี-ชั่ว
    ประกอบขึ้นจากปัจจัยคือสังคมและตัวบุคคล
    ซึ่งในแต่ละสังคมนั้นจะมีความดี-ชั่วไม่เหมือนกัน
    แต่จะมีหลักการเดียวกันคือ
    ความดี
    จะประกอบไปด้วยปัจจัยคือ
    สังคม (ไม่ทำให้สังคม หรือบุคคลอื่นเดือดร้อน)
    และตัวบุคคล(ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน)
    ส่วนความชั่วก็ตรงข้ามกัน...อย่างไรเรียกว่าทำดี?*ตนไม่เห็นแก่ตัว*ใครบันทึกใว้?*จิต*

    บุญ-บาป
    บุญคือผลกรรมที่เกิดจากการทำดี...ใครบันทึกใว้?*จิต*แล้วใช้อะไรบันทึก?*ความรู้สึก*
    บาปคือผลกรรมที่เกิดจากการทำชั่ว
    (ตรงนี้ต้องเชื่อมโยงให้เข้าใจเช่น
    ผลกรรมคือผลของการกระทำ
    เพราะฉะนั้น
    บุญคือผลของการกระทำที่เกิดจากการทำดี)

    สุข-ทุกข์
    สุขคือสิ่งทีเกิดขึ้นในจิตที่เกิดจากบุญ...เกิดที่ใหน?*จิต*และใครบันดาลให้เกิด?*ธรรมชาติ*
    ทุกข์คือผลทีเกิดขึ้นในจิตที่เกิดจากบาป
    (ตรงนี้เป็นตรรกะเช่นกัน
    เช่นสุขคือสิ่งทีเกิดขึ้นในจิตที่เกิดจากบุญ
    บุญคือผลของการกระทำที่เกิดจากการทำดี
    เพราะฉะนั้น
    สุขคือสิ่งทีเกิดขึ้นในจิตที่เกิดจากผลของการกระทำที่เกิดจากการทำดี)

    ถ้ายังไม่เข้าใจกลับไปอ่านอีกรอบให้กระจ่างเพราะจะใช้ตรรกะในต่อไปอีก

    ตาย-เกิด
    มนุษย์(จิต)ย่อมเวียนว่ายตายเกิด(เกิดขึ้นดับไป)...ใครกำหนดให้?*ธรรมชาติ*
    ในความจริงแล้วตาย-เกิดนั้นไม่มี
    สิ่งนั้นเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของจิตเท่านั้น

    สวรรค์-นรก ...ไปเกิดขึ้นเมื่อใด?*จิตเกิดใหม่(จิตเปลี่ยนแปลง(กายยังไม่ตาย))*และใครส่งไป?*ธรรมชาติ*
    อธิบายเป็นความรู้สึกได้บ้างเล็กน้อย
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในสวรรค์คือความสุข(เพราะกรรมดี)
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในนรกคือความทุกข์(เพราะกรรมชั่ว)

    ชาติ-ภพ
    คือขณะหนึ่งของจิตที่เกิดขึ้นเละเป็นไป(กายยังไม่ตาย)
    การทำกรรมจะเกิดขึ้นในชาติและจดจำไว้ในจิต...ใช้อะไรบันทึก?*ธรรมชาติ*
    เมื่อเกิดชาติใหม่กรรมก็จะเป็นเครื่องวนเวียนและแสดงกรรมที่ได้รับ...ใครบันดาลให้แสดงผล?*ธรรมชาติ*
    เรา(จิต)อาจเกิดในนรกหรือสวรรค์ได้
    การเกิดอย่างไรนั้นกรรมเป็นตัวกำหนด...ใครบันดาลให้แสดงผล?*ธรรมชาติ*
    หลังจากที่อ่านมานั้นอาจทำให้เกิดความสับสนมากมาย
    เพราะท่านยังติดยึดกับความเชื่อเรื่องเดิมๆ
    ที่มีส่วนที่มองไม่เห็นอธิบายไม่ได้พิสูจน์ไม่ได้
    ขอให้ท่านละสักพักแล้วลองพิจารณาพิสูจน์สิ่งต่อไปนี้
    เพื่อเป็นหนทางแห่งนิพพานเทิด

    เริ่มพิสูจน์ที่ "จิตมนุษย์นั้นฟุ้งซ่านเปลี่ยนแปลงและเกิด-ดับเรื่อยไป"ก่อนเลย

    ร่วมพิสูจน์ได้ในตอนนี้เลยครับ
    ทำจิตใจให้สงบมีสมาธิลองตั้งสติ
    แล้วให้พินิจดูว่าท่านกำลังคิดกำลังทำอะไรในตอนนี้

    นั้นก็คือกำลังคิดตามอยู่ไช่ใหม?*ใช่*

    สิ่งนี้เรียกว่าผลกรรมซึ่งเกิดจากการกระทำ
    ซึ่งการกระทำนั้นคือท่านกำลังอ่าน
    (สรุป
    การอ่านทำให้เกิดการคิด
    ความคิดนี้คือผลกรรมที่เกิดจากกรรมคือการอ่าน
    ตรงนี้เข้าใจใหมครับ)

    หลังจากนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนด
    สุข-ทุกข์
    หลังจากอ่านแล้ว
    จิตของท่านบันทึกอะไรครับ

    (สุข)ความเข้าใจกระจ่างความสบายใจใจสว่าง ใจสะอาด ใจสงบ

    หรือ(ทุกข์)ความขัดแย้งเร้าร้อนใจไม่สบายกายไม่สบายใจ

    ตรงนี้สำคัญครับ
    เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าชาติหน้าท่านจะไปเกิดที่ใหน(กายยังไม่ตาย)

    และหลังจากนี้ไป

    จิตของท่านเกิดการเปลี่ยนแปลง
    ในที่นี้ขณะจิตนี้จะถูกดับลง(กายยังไม่ตายนะครับ
    ยังหายใจอยู่)
    นั่นคือท่านหยุดคิดเรื่องนี้แล้ว
    เลิกทำแล้ว เลิกอ่านแล้วจริงๆ

    ในทันใดนั้นเอง
    จิตของท่านก็จะเกิดใหม่(กายยังไม่ตายนะครับ
    ยังหายใจอยู่)
    ขอเรียกจิตที่เกิดใหม่นี้ว่าชาติใหม่(การเกิดใหม่ของจิต)นะครับ
    ทำให้ท่านคิดเรื่องใหม่ขึ้นมา
    และก็เหมือนกันอีก
    คือเรื่องที่คิดใหม่ขึ้นมา
    นั้นก็เป็นผลจากการกระทำในขณะนั้น
    แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไรที่ทำอยู่ในขณะนั้น

    การเกิดใหม่ในครั้งนี้ท่านไม่สามารถทิ้งผลกรรมเก่าไปได้(เนื่องจากยังไม่นิพพาน)
    เพราะชาติที่แล้วท่านทำกรรมไว้(ที่ท่านอ่านข้อความข้างบนไว้แล้วทุกข์)
    บุญ-บาปในครั้งอดีตชาติ(เมื่อตะกี้นี้)
    นั้นจะส่งผลถึงชาตินี้(ขณะจิตนี้)
    ท่านจึงเกิดความขัดแย้งเร้าร้อนใจ
    ความเร้าร้อนใจก็ยังตามมา
    ตัวนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าชาตินี้ท่านอยู่สวรรค์-นรก

    เห็นได้จากอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดฉุนเฉียวที่เกิดขึ้น
    และนั่นคือทุกข์(นั่นคือจิตท่านไปเกิดในนรก)

    และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปเป็นธรรมดาโลกวนเวียนเกิด-ดับ(เปลี่ยนแปลง)

    นิพพานคือหนทางความไม่ตาย(จิตไม่ตาย(ไม่เปลี่ยนแปลง))
    นั้นคือไม่เกิด(ซึ่งความไม่ตายนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นหาตั้งแต่แรก)
    จิตที่เข้าสู่นิพพานนั้นเป็นจิตที่ไม่ต้องไปเกิดในนรกหรือสวรรค์อีกต่อไป
    คิอจิตที่เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นไปตามธรรมดาโลก
    เป็นสิ่งที่เป็นสุขมากกว่าสวรรค์เพราะเกิดจากปัญญา(โลกวิทูร)

    ข้าพเจ้าสามารถอธิบายได้บ้างเล็กน้อยมากๆว่านิพพานนั้น
    เป็นอย่างไรแต่เข้าถึงได้ยากมากเพราะต้องผ่านการฝึก
    ไม่ใช้อ่านเข้าใจแล้วนิพพาน
    นิพพานแท้ ที่สัมผัสจากสัมผัสเพียง5สัมผัส
    นั้นจะอธิบายดังต่อไปนี้

    จิตที่นิพพานนั้นจะต้องเป็นจิตที่ไม่ตาย
    นั้นคือไม่ทุกข์ ไม่สุข เป็นจิตที่เกิดจากปัญญา(โลกวิทูร=ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก)(อยู่บนกายที่ยังไม่ตาย(หากกายตายเรียกปรินิพพาน))
    และที่สำคัญก็คือการควบคุมจิตให้ไม่ทุกข์ ไม่สุข(อริยสัจ4)
    ซึ่งเกิดจากการฝึกด้ววิธีที่ถูกต้องไม่ใช่อยู่ดีๆก็นิพพานได้

    ซึ่งหลักการนั้นก็ได้มีการบันทึกไว้
    เอาคร่าวๆนะเพราะหลายคนอาจรู้อยู่แล้ว
    นั้นคือทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
    แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องก่อนจึงจะเกิดผล

    ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรู้อย่างเดียว
    แต่ต้องควบคุมจิตได้ด้วย(ไม่เพียงแค่รู้อริยสัจ4)

    อย่างไรนั้น
    เช่นว่าหากท่านอกหัก แฟนทิ้ง
    หรือเสียของรักไป
    แล้วเป็นทุกข์หากแค่อริยสัจ4
    ก็ทำให้รู้ได้ว่าเกิดจากอัตตา(ตัวกู-ของกู)
    อันนี้แน่นอน
    เพราะฉนั้นมรรคก็คือไม่ยึดติดใช่ใหม*ใช่*
    แต่ใครจะไปทำได้ในทันทีละไม่มีทาง

    เพราะฉนั้นจึงเกิดการฝึกจิตที่เรียกว่า"ทาน"ขึ้นมา
    การทำทานนั้นแท้จริงแล้ว
    คือการฝึกจิตให้รู้จักสละ(ละตัวกู-ของกูทิ้งไป)
    รู้จักฝึกสละของที่ถือว่าเป็นของตน(ละตัวกู-ของกูทิ้งไป)
    แต่คนส่วนใหญ่ทำเพื่ออยากได้บุญกับตน(เพิ่มตัวกู-ของกูเข้ามา)
    ท่านพิจารณาเองนะครับว่าอย่างนี้จะนิพพานใหม?
    แต่การทำทานเพราะฝึกให้ทาน
    สิ่งที่สะสมคือบุญบริสุทธิ์

    ศีลคือความปกติ
    หากท่านมีความปกติทางกาย วาจา ใจ ก็ถือว่าอยู่ในศีลแล้ว
    ไม่จำเป็นต้องท่องจำมากมาย(เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นแนวทางแห่งความดี(จากDeath-Noteครับท่าน))
    ความปกตินี้จะควบคุมไม่ให้ทำชั่ว
    ซึ่งเป็นหนทางแห่งการที่จิตไม่ไปเกิดในนรก

    ทาน+ศีลถึงพร้อมแล้ว

    ต่อไป สมาธิ
    หากจิตยังเป็นอกุศล
    ทาน+ศีลถึงไม่พร้อมแล้ว
    ข้ามขั้นไป สมาธิ เหมือนท่านกำลังจดจ่ออยู่ในนรก
    สมาธิคือการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    นั่นคือการฝึกให้จิตไม่ตายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
    เมื่อทาน+ศืล+สมาธิถึงพร้อมก็จะเกิดปัญญาแท้
    (นั้นคือโลกวิทูร=ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก)
    ทำให้ท่านรู้จักสละ(ละตัวกู-ของกูทิ้งไป)

    ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
    "ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตายแล้วไปไหนก็นิพพานได้"
    ดังเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฏก
    ไม่จำเป็นที่จะต้องมีสัมผัสพิเศษก็เข้าถึงพระนิพพานได้
    ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ถึงพระนิพพานได้
    เพราะนิพพานเกิดจากจิตใจที่เป็นกุศล
    เกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น

    ต่อไป
    เพียงแค่ท่านลองทำทานเพื่อเป็นหนทางสู่นิพพาน
    ไม่ได้หวังบุญข้างหน้า
    ดอกบัวของท่านก็จะโผล่พ้นน้ำ
    แล้วต่อไปก็จะบานในวันข้างหน้า
    อนุโมทนา...สาธุ...
     
  2. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ต้องขออภัยหากทำ
    ให้ท่านคิดว่าผมอวดภูมิรู้
    แท้จริงแล้วผมอยากทราบ
    ข้อเท็จจริงมากกว่า
    สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในหัวผม
    ซึ่งนอกจากสัมผัสที่6แล้ว
    ไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงไม่จริง
    และผมเองนั้นมีเพียง5สัมผัส
    จึงอยากให้ช่วยพิจารณาครับ
    ว่าที่ผมรู้นั้นมันแตกต่าง
    (จริงๆแล้วผมอาจเห็นกรงจักรเป็นดอกบัวก็ได้ สิ่งที่ผมเชื่อว่าถูกอาจผิด)
    อันใหนผิดก็ติแก้ให้ผมใด้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง
    เพื่อให้เป็นธรรมทานไงครับ
     
  3. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    คุณคงศึกษาแนวทางนี้จากคำสอนของท่านพุทธทาสกระมังครับ ก็ไม่ผิดหรอกนะ ถ้าคุณเข้าใจตามนั้น เป็นแนวทางการปฎิบัติแนว สุขวิปัสสิโก คือมีความเข้าใจในธรรม คือธรรมชาติ โดยไม่ต้องจำเป็นตัองมีญาณพิเศษอะไร ถ้าสำเร็จก็นิพพานได้เหมือนกัน แต่กระบวนการ ฝึกเพื่อเข้าสู่ความเป็นอรหันต์นั้นมีหลายแบบ มี วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฎิสัมพิฐาญาณ อยากให้ลองนั่งสมธิดูน่ะสิ่งทำเราเห็นด้วย อายตนะทั้ง 5 นั้น แคบ มาก ยกตัวอย่างเช่น หู คนเรา สามารถได้ยินเสียงจากการสั่นสะเทือนจากแหล่งกำเหนิดเสียง มายังหู อยู่ในช่วง ความถี่ 20 hz ถึง 20 khz เท่านั้น นอกนั้นไม่ได้ยินแล้ว แล้วถามว่า ความถี่ที่สูงกว่านั้นมีไหมในอากาศนี่ มีสิ 90 mhz ]ลองเอาวิทยุ fm มาเปิดดูซิ คุณก็จะได้ยินทันที่ โดยวิธีการที่ วิทยูรับคลื่นมา แล้วแปลงสัญญาณความถี่สูงให้เปล่งเสียงสั่นสะเทือนผ่านกรวยลำโพง ผ่านอากาศมาสะเทือนที่หูให้ได้ยินอีกที่ คลื่นก็ลอยอยู่ในอากาศนั้นแหล่ะ แต่หูมันไม่ได้ยิน มันมีความสามารถแค่นั้น เอาแค่นี้ น่ะ เอาเป็นว่า อายตน่ะทั้งหมดมันรับได้แคบมากก็แล้วกัน ทีนี่ลองเอาจิตเป็นตัวรับแทน หู ตาซิ ก็จิตมันปรับความถี่ได้นี่ ก็นั่งสมาธิ ให้ถึงอุปจารสมาธิสิ ก็จะได้ยินได้เห็นในสิ่งที่ ไม่เคย เห็นไม่เคยได้ยิน ก็จิตเป็นทิพย์นั้นเอง ลองนั่งสมาธิดูก็รู้เอง แล้วจะรู้ว่า ความรู้ที่คุณมี ถูกผิด แคบ กว้าง เพียงใด ทำใจเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ดู จะบอกอะไรให้ครับ ในเวปนี้ มีคนได้ทิพย์จักขุญาณกันไม่รู้เท่าไรแล้วครับ แค่นี้ก็แล้วกัน เกรงใจครับ
     
  4. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2007
  5. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    มาช่วยขยายความครับ สาเหตุที่การยืดติดในตัวกูของกูทำให้เกิดทุกข์เนื่องจาก
    เป็นการตั้งความหวังว่า สิ่งนี้ต้องเป็นอย่างงั้น สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนี้ หรือพูดง่ายๆก็คือ
    ยังไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งมีเกิดก็ต้องมีดับ เมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนสภาพไปไม่เป็นตามที่หวังไว้
    ก็จะเกิดทุกข์ตามมา การไม่หวังไม่ยืดติดนั้นดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆแล้วยากมาก
    เพียงแค่การคิดก็เป็นการตั้งความหวังซะแล้ว เพราะเรายังต้องการคำตอบที่ถูกต้องจากการคิดอยู่
    การทำทานเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้าไม่ฝึกฝนให้จิตคุ้นเคยกับความสงบไร้อารมณ์
    ก็ยังไม่สามารถนิพพานได้นะครับ หากใครสักคนทำทานจนเป็นนิสัย เชื่อได้เลยว่า
    เขายังมีความคิดที่จะช่วยเหลือเมื่อเห็นผู้อื่นเดือดร้อนอยู่ จะออกไปในแนวพระโพธิสัตว์เสียมากกว่าครับ [​IMG]
     
  6. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    จิตไม่สูญ แต่เป็นอนิจจัง มีการเปลี่ยแปลง แต่ไม่มีการเกิดและตาย เมื่อนิพพาน
    สิ่งที่เกิดและดับจริงๆ คือ "นาม" นามนั้นเกิดจากจิตและเจตสิกเป็นเหตุเกิด
    นามนั้นก็มีทั้ง "โลภะมูลจิต, โทสะมูลจิต, ภวังคจิต (จิตว่าง)" นามมีมากมาย
    เกิดแล้วดับไป แต่จิตไม่ดับสูญ อยู่ตลอดไป จิตเป็นพลังงาน สสารและ
    พลังงานไม่มีวันสูญสลาย เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงและย้ายที่เท่านั้น
    (อนิจจัง)


    รูป-นาม เท่านั้นที่เกิดดับ
    จิต, เจตสิก, ธาตุสี่ ไม่สูญสลาย...
     
  7. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    "แต่ถ้าไม่ฝึกฝนให้จิตคุ้นเคยกับความสงบไร้อารมณ์ก็ยังไม่สามารถนิพพานได้นะครับ"
    ผมได้อ่าน ของจันทร์เจ้าแล้ว
    ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
    นี่สิครับสุดยอด"ความสงบไร้อารมณ์"
     
  8. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    สำหรับคุณchaya maruty
    ผมไม่เคยว่าคนมีพลังจิตไม่มีจริง ผีไม่มี เทวดาไม่มี
    เพียงแต่ผมยังไม่เคยเจอจึงยังไม่พูดถึง(ผมไม่เคยเชื่ออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้แต่
    ไม่เคยลบหลู่ก็เพราะพิสูจน์ไม่ได้เช่นกัน)
    โดยส่วนตัวแล้วพมเชื่อว่าหูทิพย์มีจริงด้วยซ้ำ(แต่ภายใต้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์)
    ขออนุญาติเพิ่มความรู้ให้นะครับคงไม่ว่ากัน
    พลังงานรูปแบบคลื่นมี2ชนิด
    คลื่นกล,คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
    คลื่นกลเป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลาง
    เช่นคลื่นน้ำ(น้ำเป็นตัวกลาง),คลื่นเสียง(อากาศเป็นตัวกลาง(การบีบอัดของอากาศ))เป็นต้น
    เสียงมนุษย์รับได้จำกัด(ทั้งความถี่(เสียงแหลมทุ้ม)และพลังงาน(เดซิเบล))
    แต่สัตว์ชนิดอื่นรับความถี่ได้ต่างจากเราเช่นโลมา(สูงกว่า),วาฬ(ต่ำกว่า)
    ต่อไป
    คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลาง
    เช่นแสง,คลื่นวิทยุ(ไม่ว่าจะปรับเท่าความถี่หูเราได้ยิน ก็ไม่มีทางได้ยิน),ไมโครเวฟ
    เรารับความถี่คลื่นแสงได้จำกัดเช่นกัน400-700โดยเห็นเป็นสีต่างๆ
    แต่ต่ำกว่าเรียกอินฟาเรด(แปลว่าต่ำกว่าแดง)
    สูงกว่าเรียกUVหรืออุนตร้าไวโอเรด(เหนือม่วง)
    ความถี่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นบอกพลังงาน
    โดยเป็นอนุภาคเรียกว่าโฟตรอนครับ



    หวังว่าคงไม่เป็นการอวดรู้นะครับ
    อะไรพอรู้ก็แชร์กัน
     
  9. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เหตุแห่งทุกข์คือกิเลส
    อะไรคือกิเลสก็ดับตรงนั้น

    อารมณ์ใช่กิเลสไหม?
    ความอยากใช่กิเลสไหม?
    ความหลงในสิ่งหนึ่งๆ เป็นกิเลสหรือเปล่า?


    อะไรคือกิเลส? อะไรไม่ใช่ จึงไม่ต้องไปดับให้วุ่นวาย?...
     
  10. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ดีเลยครับคุณสัปเหร่อ
    กระจ่างเลย
    ขออนุญาตินะครับ
    ปุฉฉา...
    อาสวะและกิเลสนั้นต่างกันอย่างไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...