ร่วมทำบุญบูชา มงคลตัดผ่านสวรรยามหากุมารต้นไฟอมฤต(สลายจุดชะลอชะตาสี่มหาฤทธิ์พญา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ติดตามกันนะ ห้ามพลาด;)
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล

    "กุญแจมีไว้ทำอะไร ก็ไอ้สิ่งที่ติดอยู่ เปิดไม่ออก เข้าไม่ได้ ปิดตาย ถูกซ่อน ถูกบัง ถูกผนึก ถูกกั้น ถูกกักไว้ กุญแจมันก็มีไว้ไข หงายสิ่งที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิดนั่นไงล่ะ"


    พ่ออาจารย์ท่านกล่าวถึง"ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล"ไว้ ว่าเป็นตะกรุดยุคเก่าของท่าน เป็นตะกรุดที่ไม่ใคร่จะสวยงามนักเพราะทั้งทุบทั้งรีดดูบี้ๆบุบๆแต่ขลังยิ่งนัก


    วิชานี้พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจลงอย่างมากด้วยเป็นวิชาเก่าแก่ซึ่งท่านได้มาแต่สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน ประทานให้โดยเฉพาะอย่างแท้จริง ท่านว่าทำยากนะแต่เรามีวิธีทำให้สำเร็จได้ แต่ก็ตลกดีเพราะตะกรุดนี้คนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ


    ท่านบอกว่าตะกรุดนี้อย่าไปบรรยายเขามาก ให้พูดคร่าวๆถ้าเขามีบุญพึงรู้พึงเห็น ก็จะเข้าใจเอง พ่ออาจารย์ท่านเรียกขานองค์พระสังฆราชสุกไก่เถื่อนว่าอาจารย์ปู่ ด้วยท่านเป็นพระอาจารย์ในบรมครูสมเด็จ ท่านพูดถึงอาจารย์ปู่อยู่บ่อยๆว่าท่านมีเมตตาเป็นเลิศยิ่งนัก ทรงคุณธรรมพรหมวิหารชนิดที่ยากจะหาใครมาเปรียบเสมือนได้ เกี่ยวกับวิชาทำตะกรุดนี้ก็เป็นด้วยภูมิความรู้และวิปัสสนาธุระที่ยิ่งใหญ่ของท่าน ทำให้ญาณทัศนะของท่านกว้างอย่างมาก วิชาทั้งหลายก็ดุจใบไม้ประดับยอดมหาพฤกษาที่ท่านเลือกจะปลิดจะเด็ดมาให้ใช้ซักใบตามความเหมาะสม


    ในห้วงชีวิตมนุษย์อันดุจว่ายอยู่ในทะเลใหญ่นั้น ไม่เพียงแต่ต้องออกแรงว่ายทวนคลื่นฝ่าฟันไป ในบางจังหวะก็อาจเจอทั้งคลื่นลมซ้ำเติม บางโอกาสก็อาจเจอขอนไม้เจอที่ที่เกาะหรือยึดรั้งพอบรรเทาความเหนื่อยความล้าได้ ท่านว่าอาจารย์ปู่นั้นได้เคยคุยและปรารภเรื่องนี้กับท่าน ซึ่งแต่แรกท่านก็เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องด้วยกุศลและอกุศลกรรมตลอดจนกรรมบันดาลทั้งหลาย แต่องค์บรมครูนั้นท่านว่ามันก็ไม่จริงเสมอไป เพราะทุกสิ่งขึ้นอยู่ด้วยโอกาสและจังหวะชีวิต ที่เธอเคยถามว่าทำไมคนชั่วเขาได้ดีล่ะ ทำไมบางคนมองยังไงเพ่งยังไงก็ไมเห็นกรรมอันเป็นกุศลใดๆจะส่งผลได้ ศาสนาก็ไม่นับถือถึงได้ดี เจริญขึ้นๆไม่ตกต่ำลง ท่านว่ามันก็เป็นด้วยวิสัยของโลกอย่างนึง สิ่งนี้เรียกว่าโอกาสและจังหวะที่ดีของบทละครชีวิตนั่นเอง


    ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาลนั้น วิชานี้บรมครูหรืออาจารย์ปู่ท่านให้ไว้ เพื่อเป็นตัวช่วยเหลือสำหรับคนที่ไม่มี ไม่เจอ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าโอกาส และไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีจังหวะหรือทางรอดที่ดี ท่านว่าตะกรุดนี้สำคัญนะเปรียบดั่งกุญแจที่ไขชีวิตอันปิดตายของคนด้วยอำนาจของมายาศาสตร์และไสยศาสตร์ ให้ชีวิตได้เจอโอกาสและจังหวะที่ดีซ้ำยังหนุนด้วยวิชาธรรม เป็นตัวธรรมที่จะบันดาลให้สำเร็จในกิจธุระต่างๆ ท่านว่าไขออกแล้วแค่พบเจอ เอาไม่ได้ ทำไม่สำเร็จมันก็สิ้นประโยชน์ แต่สิ่งนี้ไขออกแล้วยังต้องเอาได้และทำสำเร็จด้วย ซึ่งเป็นอานุภาพแห่งพระอัครธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นไปตามกาล ตามธรรมชาตินั่นเอง


    ตัววิชานี้ พ่ออาจารย์ท่านเมตตานำมาลงเป็นตะกรุดเต็มสูตรขนาดแผ่นใหญ่ๆ ทั้งพับทั้งรีดก่อนม้วนเพื่อให้มีขนาดเล็กที่สุดเหมาะแก่การใช้งาน เป็นตะกรุดเปลือยๆดูไม่น่าสนใจอะไรแต่ก็มีอานุภาพที่ตะกรุดสวยๆหรือตะกรุดชนิดอื่นไม่มี ดั่งที่ท่านว่ามันเป็นของเฉพาะ "เฉพาะคนที่เห็นโอกาสเท่านั้น"


    ท่านว่าตะกรุดนี้เราทำไว้ไม่ได้มากมีทั้งหมดแค่หกดอก เป็นวิชาอาจารย์ปู่ แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็ตั้งใจจะทำไว้ใช้เองและให้กับคนที่เขาเดือดร้อน หากแต่พอทำเสร็จครูท่านกลับบอกว่าคนทำห้ามใช้ ท่านก็เลยเชิญครูทั้งอาจารย์ปู่ทั้งครูสมเด็จมาเสกเก็บไว้เรื่อยๆ


    " จนท่านได้มีโอกาสไปเชียงใหม่เพื่อจะทำธุระและไปต่อที่เพชรบูรณ์เก็บหาว่านยา ด้วยว่าแรงเหวี่ยงของโลกนั้นน่าอัศจรรย์ ทำให้ท่านได้พบเจอกับพ่อค้าคนหนึ่ง และคนๆนั้นทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ได้มานั่งปรับทุกข์กับท่าน คล้ายอยากจะหาคนระบายพอมาเจอคนไม่รู้จักแล้วคุยถูกคอเกิดอาการเลื่อมใสก็อยากจะเล่า ท่านว่าเราก็ฟังเขา คนๆนี้ไม่รู้จะทำงานทำการอะไร ก็เขาว่ามันไม่รู้จริงๆจะให้ทำอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็ไปเป็นพ่อค้าขายพระอยู่ที่ตลาดทิพย์เนตร ทำๆไปก็ไม่รุ่ง ทำแล้วไม่รวยแถมยังมีแต่คนด่าคนตามล่าอีก เพราะไม่เชี่ยวชาญเผลอเอาของปลอมไปขายคนใหญ่คนโต ก็มานั่งปรับทุกข์กับท่านว่าไม่เอาแล้วทางนี้ ผมจะทำอาชีพอะไร จะทำงานอะไรดี ท่านมองแล้วก็ให้เกิดธรรมสังเวช แต่การดำรงชีวิตของคนนั้นจะมานั่งกินกาแฟทำตัวลอยไปลอยมาไม่มีหลักเสวยบุญเก่าก็ไม่ได้ เมื่อพิจารณาแล้วท่านนึกถึงตะกรุดนี้ขึ้นมาทันทีว่าก่อนมาครูท่านเตือนให้พกไปเสกที่เชียงใหม่ด้วย ตามวิสัยของท่านที่ชอบหาป่า หาเขา หาดอยที่เงียบสงบ มีพลังธรรมชาติยิ่งใหญ่ เหมาะแก่การชุมนุมเทพเทวาครูบาอาจารย์เพื่ออธิษฐานเครื่องมงคลเสมอมา ท่านจึงมอบตะกรุดให้พ่อค้าพระเครื่องนี้ทำบุญบูชาไปดอกนึงพร้อมกับย้ำเตือนเขาว่า หากเกิดนิมิตใดก็ดี หรือมีความรู้สึกอย่างไรก็ดีให้เชื่อตัวเอง นั่นไม่ใช่สิ่งเหลวไหล ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เมื่อพบกับตะกรุดนี้โอกาสได้เกิดขึ้นแล้ว ประตูได้เปิดออกแล้ว

    .......ล่วงเลยไปเกือบสองปี พ่อค้าพระท่านนี้ก็ได้ติดต่อพ่อค้าพระคนนี้ก็ได้ติดต่อกลับมา พ่ออาจารย์ท่านว่าเขาเชื่อเรา เขาเล่าว่าพอได้ตะกรุดไปตกกลางคืนนอนฝัน เหมือนไปนั่งกินกาแฟพูดคุยกับผู้ชายแก่ๆเป็นใครก็ไม่รู้เกี่ยวกับชีวิตตนเองเหมือนคุยกะพ่ออาจารย์ บุคคลลึกลับนั้นได้พูดได้สอนเขาว่าให้หาฐานลูกค้าจากคนรู้จักอย่างไร ให้ประกอบอาชีพอะไร อยู่ดีๆก็มานั่งบรรยายอย่างละเอียดพร้อมทั้งบอกว่าต้องทำทีละขั้นแบบไหนๆ เขาว่าแปลกจริงๆ ซึ่งตรงนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าก็ประตูนั้นเปิดแล้ว อานุภาพแรงธรรมก็บันดาลให้เป็นไปแบบที่ควรจะเป็น ภายในสองปีจากพ่อค้าพระที่ล่มจมไปแล้วกลายเป็นคนมีธุรกิจประสบความสำเร็จในการขายอาหารเกี่ยวกับยามีบริษัทต่างชาติสนใจอยากซื้ออยากร่วมทุน ปัจจุบันนี้ยังเพิ่งไปเปิดโรงงานน้ำแข็งเพิ่ม เรียกว่าพอไขออก พอประตูเปิดทำอะไรก็รุ่ง ท่านว่านั่นเขาว่าเขาทำตามความรู้สึกพาไป อานุภาพตะกรุดเขาน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราถึงรู้ว่าเพราะเราไม่ได้เอาดีทางโลกครูถึงห้ามใช้ "


    กุญแจมีไว้ทำอะไร ก็ไอ้สิ่งที่ติดอยู่ เปิดไม่ออก เข้าไม่ได้ ปิดตาย ถูกซ่อน ถูกบัง ถูกผนึก ถูกกั้น ถูกกักไว้ กุญแจมันก็มีไว้ไข หงายสิ่งที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิดนั่นไงล่ะ ตะกรุดนี้ก็เป็นดุจเครื่องมือที่จะใช้เปิด ทำให้สิ่งที่ปิดไว้ล็อคไว้ด้วยความตั้งใจหรือการกระทำหรือกฏของกรรมใดๆก็ดีหลุดออกมา ทำให้คลายให้หลุด ให้เห็นสิ่งที่เผยออก แย้มออก พ่ออาจารย์ท่านว่าในห้วงชีวิตคนนั้นคลื่นลมมันมาก แต่หากอาราธนาตะกรุดนี้ไป เราขออย่างเดียว นั่นคือตัวรู้ที่ผุดขึ้นในความคิด ในจิตวิญญาณของตนเองนั้น จงเชื่อและกระทำเถิด เชื่อมั่นในจิตสำนึกและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาดลบันดาลจิตใจและชีวิตตนเอง เพราะ ช่อง ทาง โอกาส ทุกสิ่งได้เปิดขึ้นแล้ว


    อันตะกรุดดุจกุญแจที่ใช้ไขชีวิตให้เปิดหนทางอันปิดตายนั้น ท่านว่าคนนั้นมีรหัสกรรมต่างเพศต่างเผ่าพันธุ์กันไป มีความผันผวนด้วยกระแสคลื่นลมต่างกัน มีหนทางให้เดินต่างกัน ดังนั้นทางรอดและวิธีแก้ไขย่อมต่างกัน ขอเพียงเชื่อใจ เชื่อความรู้สึก เชื่อครู ถึงแม้จะมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ หากแต่เคารพและศรัทธาแล้วครูย่อมไม่ไปไหนหรืออยู่ห่างไกล ท่านย่อมแฝงอยู่ในความคิดและจิตวิญญาณของเรา เมื่อจังหวะ ช่วงเวลาที่เหมาะที่ควรมาถึง ท่านก็จะเปิดเผยทางเดินของชีวิตให้กับเรา


    พ่ออาจารย์ท่านว่าหากหมั่นไหว้หรือศรัทธาและกล้าที่จะทำจะเปลี่ยนชีวิตตนแล้วทุกอย่างไม่ใช่เรื่องยากเลย ท่านว่าตะกรุดนี้เป็นของเฉพาะกาล เฉพาะโอกาส ท่านทำไว้เท่านี้ ทำครั้งเดียวและจะไม่ทำอีก ด้วยว่าห้วงกรรมของสัตว์นั้น โดยปกติแล้วโอกาสและจังหวะล้วนขึ้นอยู่กับวาสนา ท่านว่าเราเข้าไปอุ้มเขาไว้ไม่ได้ทั้งโลกหรอก ด้วยบุญสัมพันธ์เป็นปฐมก็มีคนเพียงหยิบมือเล็กๆที่พอจะให้วิชาและครูบาอาจารย์ท่านช่วยท่านหยิบยื่นโอกาสให้


    คาถาบูชา

    ปทุมะยะถา โภกะนุทังสุคันธัง ปาโตสิยา ผุลละมะ วิคะตะคันธัง อังคีระสัง ปัสสะวิโรจะมานัง คัภปันตะมาทะทิจจะ วันตะลิกเขติ

    พ่ออาจารย์ท่านว่าผู้มีปัญญา รู้สิ่งที่ติดขัดคั่นขวางย่อมรู้เองเห็นเอง เพราะโอกาสนั้นไม่ได้เป็นของทุกคน ตะกรุดนี้ท่านว่าพูดมากไม่ได้เพราะมันเกินกรรม เป็นตัวช่วยเครื่องไขเครื่องนำออกอย่างวิเศษ ดุจกุญแจที่จะช่วยให้เราผ่านสิ่งที่ปิดกั้นไปอย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้บางคนติดอยู่ทั้งชีวิต บางคนต้องใช้ความพยายามใช้แรงอย่างมากเพื่อที่จะแง้มจะเปิด ท่านว่าก็นั่นแหละ ตรงๆนี่คือกุญแจไขประตูมหาวัฏจักรก็ไม่ผิด ไม่ใช่ของใครก็ได้ แต่ผู้เป็นเจ้าของจะพึงรู้พึงเห็นค่าด้วยตัวเอง มันใช้ได้มาก ใช้ผ่าใช้ฝ่าไปได้ทุกปัญหาไม่ใช่เฉพาะวันเวลาหนึ่งๆ เพราะชีวิตคนนั้นล้วนต้องการโอกาสและทางออกในทุกๆวัน ยิ่งพัฒนาปัญหาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นให้ลับคมสติปัญญาเป็นเงาตามตัว


    ท่านพูดอย่างง่ายว่า ถ้าใครพร้อมที่จะเปิดโอกาส เปิดประตูชีวิตตัวเองก็ค่อยมาเอาไป


    * ตะกรุดนี้มีให้บูชาทั้งหมดห้าดอก พ่ออาจารย์ท่านว่าของดีไม่จำเป็นต้องสวยแต่ต้องเอาให้ขลัง เปิดจองเฉพาะทาง PM สำหรับคนที่จะบูชาให้แจ้งชื่อนามสกุลมาด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะนำผงจักรพรรดิ์อธิษฐาน เมตตาใส่ไว้ให้ในตะกรุดทุกดอกก่อนจะอุดปิดตะกรุดเพื่อหนุนเสริมกำลังวาสนาบารมีของคนใช้ ด้วยกำลังพระจักรพรรดิราชอันยิ่งใหญ่นั่นเอง รายได้สมทบทุนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่ชนเผ่าน้อยยากไร้ด้อยโอกาสในลำดับต่อไป


    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล บูชา 4,000 บาท


    gr03_c03.jpg patriarch04.jpg SAM_5519.jpg SAM_5520.jpg SAM_5521.jpg thumb-key.png open_door-t2.jpg
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่เอกชัย EU 0504 8731 1 TH
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยรอบเย็น

    วันนี้ก็จะมาพูดถึงพระธยานิพุทธะที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆตามคติมหายาน ซึ่งก็จะมาทำความรู้จักพระธยานิพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าทรงฌานทั้ง ๕ พระองค์ตามคติมหายานกันนะครับ


    พระพุทธเจ้าทรงฌาน ๕ พระองค์

    พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ในคติมหายาน ถือว่ามีมากมายเหลือคณานับ เวลาบูชาเมื่อกล่าวนอบน้อมพระนามของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเท่าที่จำได้แล้ว ย่อมเติมคำนมัสการพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเท่าที่จำได้แล้วอีกคำรบหนึ่ง สุดท้ายย่อมเติมนมัสการพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายตลอดจักวาฬอันนับประมาณมิได้ดุจทรายในแม่น้ำคงคา ฉะนั้น (คงคานทีวาลุโปมา พุทธา)

    นิกายมหายานถือว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นทิพยภาวะอันบริสุทธิ์เป็นอาทิ อนันตะ เช่นเดียวกับพระพรหมในศาสนาพราหมณ์ แต่ทรงสำแดงนิรมานกายมาช่วยสัตว์โลก ทำนองเดียวกับพระนารายณ์ อวตารจำนวนพระพุทธเจ้าจึงมีมากจนนับไม่ถ้วน ในขณะที่พระพุทธเจ้าของเราดำรงพระชนม์อยู่ในโลก พระพุทธเจ้าอีกเป็นอันมากก็ทรงแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์โลกอยู่ในโลกธาตุต่าง ๆ ที่เรียกว่า "พุทธเกษตร"

    พุทธเกษตรแต่ละแห่งมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามพระปฏิธานและคุณาภินิหารแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พุทธเกษตรแต่ละแห่งมีความสวยงามวิจิตรพิสดารเป็นอันมาก

    แต่พระพุทธเจ้าที่มีผู้รู้จักมากและทรงความสำคัญมีอยู่ ๕ พระองค์ เรียกว่า "ธยานิพุทธะ" แปลว่า พระพุทธเจ้าทรงฌานทั้ง ๕ คือ

    ๑. พระไวโรจนพุทธะ มีวรรณะขาว พระพุทธเจ้าองค์นี้ถือว่าเป็นแก่นหฤทัยแห่งโลกานุโลก พุทธศาสนานิกายฝ่ายเหนือ (อุตรนิกายมนตรยาน) นับถือยิ่งนัก พุทธสาวกชาวญี่ปุ่นในนิกายชินยอน (มนตรยานแบบญี่ปุ่น) เคารพพระพุทธเจ้าองค์นี้ยิ่งกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าเสียอีก ถัดลงมาเป็นพระพุทธเจ้าประจำพุทธเกษตรแห่งทิศทั้ง ๔ คือ

    ๒. พระอักโษภยพุทธะ มีวรรณะสีน้ำเงิน

    ๓. พระรัตนสัมภวะ มีวรรณะเหลือง

    ๔. พระอมิตาภพุทธะ มีวรรณะแดง พุทธสาวกนิกายเจ้งโท้วในจีนหรือนิกายยินในญี่ปุ่น นับถือองค์นี้มากยิ่งกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้า ถือว่าใครก็ตามถ้าระลึกถึงพระนามด้วยใจบริสุทธิ์ อาจทำให้ไปสู่สุขคติได้

    ๕. พระอโมฆสิทธิพุทธะ มีวรรณเขียว

    006-5-diani-buddha.jpg
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์นะครับ วันนี้ก็จะมาพูดคุยเกี่ยวกับสถานที่ หรือพุทธสถานที่น่าไปและควรไปเยี่ยมเยือนและสักการะเพื่อให้เกิดอนุสติและธรรมสังเวช นั่นคือสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบล


    สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
    พุทธสถาน

    ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ณ กาลนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระบรมศาสดาทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า "อานนท์ในยามที่สุดแห่งราตรีวันนี้แหละ ตถาคตจะปรินิพพาน ณ ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ณ สาลวันแห่งมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา"

    ครั้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ได้เสด็จพระพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี ไปเมืองกุสินารา โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม ณ ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ และเสร็จขึ้นบรรทมสีหไสยา(เป็นการนอนอย่างราชสีห์ คือนอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มือซ้ายพาดไปตามลำตัว มือขวาช้อนศีรษะไม่พลิกกลับไปมา มีสติสัมปชัญญะกำหนดใจถึงการลุกขึ้นไว้) แต่พระบรมศาสดามิได้มีอุฏฐานสัญญา มนสิการ คือไม่คิดจะลุกขึ้นอีกแล้ว เพราะเหตุเป็นไสยาอวสาน คือการนอนครั้งสุดท้าย (หรือ อนุฏฐานไสยาคือนอนไม่ลุก)

    ลำดับต่อมา พระอานนท์เถระเจ้าได้กราบทูลว่า "ในกาลก่อนเมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศต่าง ๆ เจริญในครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เข้าใกล้สนทนาปราศัยได้ความเจริญใจ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักไม่ได้โอกาสอันดีเช่นนั้น เหมือนกับเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่อีกต่อไป"
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล นี้ คือ

    ๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้ว คือที่ประสูติจากพระครรภ์ (คือ อุทยานลุมพินี กึ่งกลางระว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ กรุงเทวทหะเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกลิยะ ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาลห่างชายแดนภาคเหนือของประเทศอินเดีย ๖ กิโลเมตรครึ่ง บัดนี้เรียกว่า รุมมิเนเด)

    ๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (คือใต้ร่มไม่ศรีมหาโพธิ์ ภายในป่าสาละ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันคือ ควงโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา รัฐพิหารประเทศอินเดีย)

    ๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าแสดงธรรมจักร (คือสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนาโปรดปัจจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทางทิศเหนือของเมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันนี้เรียกว่า สารนาถพาราณสีบัดนี้เรียกว่า วาราณสี)

    ๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าปรินิพพาน (คือที่สาลวโนยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ปัจจุบันี้เรียกเมืองกาเซีย จังหวัดโครักขปุระ)

    สถานที่ทั้ง ๔ ตำบลนี้แล ควรที่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดูจะเห็นและควรจะให้เกิดความสังเวชทั่วกัน"

    "อานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้เที่ยวไปยังเจดีย์สังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใส ชนเหล่านั้น ครั้นทำกาลกิริยาลงจักเข้าถึงสุดคติโลกสวรรค์"

    อนึ่ง สังเวชนียสถาน มีความหมายถึง สถานเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช แต่คำว่าสังเวชในทางธรรมนั้น มีความหมายลึกซึ้งกว่าความหมายของคำว่าสังเวชที่พบเห็นกันทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ในทางธรรมหมายถึง ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงามเกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช ความสลดใจและหงอยหรือหดหู่เสียใจ ไม่เรียกว่าเป็นความสังเวช
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    จะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับวันนี้ จะทยอยตอบให้ครบ
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ติดตามพูดคุยกันรอบเย็นด้วยนะครับ;)
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้ทยอยตอบคำถามไปบ้างแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้มาติดตามพูดคุยกันนะครับ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้มาติดตามพูดคุยกันนะ ถ้าใครจะสอบถามอะไรก็ PM ไว้เลย
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุย

    วันนนี้ก็จะมาพูดคุยกันต่อนะครับ หลายๆคนคงเคยได้ยินถึงเรื่องกรรมฐานว่าแต่ละแบบมีวิธีแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะกรรมฐานสี่สิบกองนั้น บางคนก็ไม่ได้รู้เลยว่าคืออะไร วันนี้ก็จะนำมาลงให้อ่านกันคร่าวๆนะ


    กรรมฐาน ๔๐ วิธี

    ๑. ปฐวีกสิน เพ่งธาตุดิน
    ๒. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ
    ๓. เตโชกสิณ เพ่งไฟ
    ๔. วาโยกสิน เพ่งลม
    ๕. นีลกสิน เพ่งสีเขียว
    ๖. ปีตกสิน เพ่งสีเหลือง
    ๗. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง
    ๘. โอฑาตกสิณ เพ่งสีขาว
    ๙. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง
    ๑๐. อากาศกสิณ เพ่งอากาศ
    ๑๑. อุทธุมาตกอสุภ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น พองไปด้วยลม ขึ้นอืด
    ๑๒. วินีลกอสุภ วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ ฉะนั้นตามร่างกายของผู้ตาย จึงมีสีเขียวมาก
    ๑๓. วิปุพพกอสุภกรรมฐาน เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
    ๑๔. วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย
    ๑๕. วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน
    ๑๖. วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง
    ๑๗. หตวิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่
    ๑๘. โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ
    ๑๙. ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่
    ๒๐. อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก
    ๒๑. พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    ๒๒. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์
    ๒๓. สังฆานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
    ๒๔. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์
    ๒๕. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
    ๒๖. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
    ๒๗. มรณานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
    ๒๘. กายคตานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
    ๒๙. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
    ๓๐. อุปสมานุสสติกรรมฐาน ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ๓๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส
    ๓๒. จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ๓๓. เมตตา คุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์
    ๓๔. กรุณา ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์
    ๓๕. มุทิตา มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน
    ๓๖. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย
    ๓๗. อากาสานัญจายตนะ ถือ อากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรงจิตรักษาอากาศไว้ กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
    ๓๘. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด ต้องการจิตเท่านั้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
    ๓๙. อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
    ๔๐. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี ไม่รับอารมณ์ใด ๆ จะหนาว ร้อนก็รู้แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง เปลื้องความสนใจใด ๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์


    035.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ทยอยตอบ PM ครบแล้วนะครับวันนี้;)

    สิ้นเดือนมีกิจกรรมดูดวงด้วย แต่จะรับจำนวนจำกัดมากจริงๆแจ้งไว้อีกที
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้มาติดตามเรื่องพูดคุยกันนะครับ
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เช้านี้เดี๋ยวส่งของให้แล้วมาติดตามพูดคุยกันนะ
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ศิระ EU 0505 6536 2 TH

    พี่นฤชา EU 0505 6537 6 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EU 0505 6538 0 TH

    พี่ธีรนนท์ EU 0505 6539 3 TH

    พี่สุรวุฒิ EU 0505 6540 2 TH
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    หลวงพ่อปาน
    * วันนี้ขอนำประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปานมาให้อ่านกันก่อนนะครับ เพราะจะเชื่อมโยงในเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อไป

    หลวงพ่อปานในวัยเด็ก

    พระมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า

    “…ท่าน (หลวงพ่อปาน) บอกว่า สมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก ๓-๔ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปาน ท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้น ไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส

    ท่านบอกว่า ท่านวิ่งเล่น อยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฏว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก ๒-๓ โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ

    คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านบอก เห็นร้องดังๆ บอก แม่ แม่ อรหันนะ อรหัน ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดังๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟัง เขาว่าอรหันกันทำไม

    พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน พอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่า ผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่ อรหันนะ อรหัน แต่ว่าพอผู้ใหญ่เขามองเห็นท่านเข้าไป เขาก็ไล่ท่านไป เขาจะหาว่าไอ้เจ้าเด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น

    พอมาถึงตอนเย็น เวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์คือเรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเผ็ด ท่านบอกว่า ไอ้แกงฉู่ฉี่แห้ง ท่านชอบ เขาใส่มาให้ เรียกว่า ไม่ต้องหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง

    เวลาที่ท่านกินเข้าไปแล้วมานั่งนึกว่า กับข้าวมันอร่อยถูกใจ ก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่าเขาบอก อรหัง อรหัง นึกถึงคำว่า อรหัง ขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจอย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดังๆว่า อรหัง อรหัง ว่า ๒-๓ คำ

    ท่านแม่ที่มองตาแป๋วลุกพรวด จับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกน “เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่าก็ตายคนเดียว มันจะมาว่า อรหัง ที่นี่ได้รึ? คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหัง ที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”

    ท่านแปลกใจ คิดว่า นี่เราว่าดีๆ นี่แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกัน ในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้น จะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่า

    พอท่านพูดถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หัวเราะบอกว่า “คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้ว อรหังหรือพุทโธนี้ ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้…

    แต่ว่าแม่ของฉัน นี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหังเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน….”

    สมัยก่อน เมื่อลูกชายมีอายุครบบวช ก็จะทำการอุปสมบท ทางบิดามารดาจะต้องส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อรับการอบรม และท่องขานนาคเป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน เป็นอย่างน้อย

    ท่านเองมีความสงสัยในใจว่า เหตุไฉนสตรีเพศจึงดึงดูดบุรุษเพศมากมายนัก ทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน ตัวท่านเองก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน จึงคิดว่าจะหาวิธีลองของจริงดูว่าเป็นอย่างไร ถ้าดีจริงบวชครบพรรษาจะสึกออกมา ถ้าไม่เป็นจริงตามวิสัยโลกก็จะไม่สึก

    ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่งเรียกกันว่าทาส ชื่อว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกันสองคน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงได้อยากกันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยว่าจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็จะไม่สึกละ

    เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัว เป็นทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่าตัว ยกมือไหว้ บอกว่า “พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไง เขาถึงชอบกันนัก”

    พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกว่า กล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษ อยู่ที่กล้ามเนื้อ ๒ กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊! มันคล้ายกัน

    บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเราๆนะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน

    แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียวบอกว่า “ขอโทษ ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร” เมื่อท่านหมดความสงสัยในใจแล้ว ก็ตกลงใจว่าจะบวช คราวนี้จะไม่ขอสึกหาลาเพศ ก็สมจริงกับที่ท่านตั้งใจทุกประการ

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะแม

    โดยมี หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์

    มีฉายาว่า “โสนันโท”

    หลวงพ่อปานเรียนวิชา

    หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว หลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้น หลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคม และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

    เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อปานว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไปภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในการเบื่อหน่ายกิเลสว่า

    ๑.อย่าอยากรวย อยากมีลาภ ได้ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์
    ๒.เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ
    ๓.อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ
    ๔.เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ
    ๕.ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี
    ๖.เมื่อถูกนินทาก็ไม่พอใจ
    ๗.มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์
    ๘.เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ

    จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมา

    อย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศ ลาภ สรรเสริญ ความสุขในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก

    จงระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอนขออุปสมบทครั้งแรกว่า“นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตะวา” อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่าถอยหลังแล้วเป่า ให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้

    หลวงพ่อปานท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๔๐ ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ

    หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตาหลวงพ่อปาน ในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้

    จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น “พระหมอ” หลวงพ่อสุ่น สอนว่า “การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ให้คนไม่ตายไม่ได้ หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น” จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้

    องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน

    การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น พอจะรวบรวมได้ดังนี้

    เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาแพทย์จาก หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เรียนวิชาปริยัติธรรมที่ วัดเจ้าเจ็ด กับ พระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน

    จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเอง เวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้

    เวลาสอนหนังสือ ลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้อง ทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธา เอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่า จนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็นพระอาจารย์จีนรูปเดิม

    หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบทเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไร ก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง

    ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่าน ท่านจึงหยุดเรียน และเตรียมตัวสำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่

    หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่าง เคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย

    เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว

    โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่มีญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัด ด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขาย ได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัว

    จะลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่คล้าย (เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น) ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน

    ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนัก

    นอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย

    จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ ๑๐๑ ปีหลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า หลวงพ่อปานเคยเล่าให้ฟังว่า ระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัตคัตมาก บิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ

    ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ ๓ ปี ได้ฉันกระยาสารทเพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้ เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น

    ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวย แล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้ ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่านั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ ตามที่หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอก ถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย

    ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึง วิธีการปลุกเสกพระและวิธีสร้างพระตามตำราซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้า ได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า

    “ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้ว ก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ ให้บูชาพระอาจารย์ของท่าน แต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร”

    ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้มหายันต์เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย

    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำ เขียนไว้ว่า “หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุดและปรารถนาที่สุด คือ พระกัมมัฏฐาน

    เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีความปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น

    สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษ ในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบ ก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

    สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่า เดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียกว่าใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว

    ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก

    ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่าหลับ ไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง

    ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริง หลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ ๑ ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด

    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียม เห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่ง เข้าไปถึงก็กราบๆ หลวงพ่อปานบอกว่า “เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับ กระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน”

    หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอน พร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่อง ก็เลี้ยวหาพระในวัดไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียม ล่ะ

    พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียม เลยสั่งว่า ๒ ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ

    พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มี ท่านนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ ร่างกายก็สมบูรณ์ หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส สวยบอกไม่ถูก

    หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ ๓ ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า “แปลกใจรึคุณ” หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการ บอกว่า “แปลกใจขอรับหลวงพ่อ รูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน”

    ท่านก็บอกว่า “รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้ มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยนี่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ”

    หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก

    พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอก “คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้” นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก

    ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือน แล้วจึงกลับ ก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า “ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน”

    หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

    ตอนนั้นครูผึ้ง เป็นฆราวาส อายุ ๙๙ ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอ ให้คนละ ๑ บาท สมัยนั้นเงิน ๑ บาท มีค่ามาก เงิน ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท สามารถสร้างบ้านได้ ๒ หลัง มีครัวได้ ๑ หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ ๑๐๐ บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย

    เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจกพุทธเจ้านี้ เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชนนำไปปฏิบัติ และมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้

    กลับมาตุภูมิ

    หลังจากที่หลวงพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง ๓ ปี จึงเดินทางกลับวัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา

    ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือ เมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปู่คล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ

    อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน

    จากปากคำของผู้ทราบเคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมา พอจะอนุมานได้ดังนี้ จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า

    “หลวงพ่อปานท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วน เสียงดังกังวานไพเราะ มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทะ เป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือก เศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม

    ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจ ที่ใจชั่วมัวเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา”

    ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหาท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมาปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ

    บางคนก็เรียกว่าหลวงพ่อ บางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆ น่ากลัวจะนั่งไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ ๔ หรือ ๕ ทุ่มนั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ

    ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์ หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้านทั่วไป ตามกำลังความสามารถเท่านั้น

    ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่าน ขึ้นครองวัดบางนมโคแทน

    ท่านก็ไม่รับ ท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม

    ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโค และสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทน แม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม

    ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่าน ด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่าน เป็นที่ “พระครูวิหารกิจจานุการ” ในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ โดยมี

    ๑.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
    ๒.พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
    ๓.หม่อมเจ้าโฆษิต
    ๔.หม่อมเจ้านภากาศ
    ๕.ท้าววรจันทร์

    ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่าน ได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการ ท่ามกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา

    และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุด กลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

    หลวงพ่อปานรักษาโรค

    ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จ และนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย

    ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น

    บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อน ท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย

    น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก และกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วงระยะ คือ

    ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง

    คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่าใช้ดังนี้ จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ “ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ”

    เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตุดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้

    รสเปรี้ยว แสดงว่า ต้องเสนียดที่อยู่อาศัยเข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นสาวนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคล่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน

    รสหวาน แสดงว่า ต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป

    เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดูก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย

    รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือ ถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก

    คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย

    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนไข้แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์

    มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ

    ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคน ทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น

    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วย จับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่

    คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคลไว้คล้องคอ กันถูกกระทำซ้ำอีก

    รายที่มีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วยเหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น

    หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพราย และท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย

    หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้ายออกจากร่างกาย

    รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ

    นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค

    คือ ยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กิน เวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว

    ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่าน มอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว มี ๒ ขนาน(คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อปาน)



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2018
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่กรธัช EU 0505 8166 5 TH
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    หลวงพ่อปาน(2)
    * วันนี้ขอนำประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปานมาให้อ่านกันต่อจากเมื่อวานนะครับ เพราะจะเชื่อมโยงในเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อไป ติดตามไปเรื่อยๆ

    การสร้างพระของหลวงพ่อปาน


    ในปี พ.ศ.2446 นั้น หลวงพ่อปานดำริที่จะหาปัจจัยมาการดำเนินการปรับปรุงเสนาสนะภานในวัดบางนมโคและจะสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแทนองค์เดิมที่ชำรุดทรุดโทรม แล้วท่านก็ได้พบชีปะขาวและท่านอาจารย์แสงดังกล่าวมาแล้วท่านตัดสินใจสร้างพระเครื่องขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2450 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านอย่างเต็มที่ ผู้มีความรู้ทางช่างก็แกะแม่พิมพ์ถวาย บรรดาลูกศิษย์ก็ออกแสวงหาวัตถุมงคลต่างๆ มาให้ ทั้งว่านที่เป็นมงคลและมีสรรพคุณทางยา เกสรดอกไม้ที่เป็นมงคลนาม ดินขุยปูนา ตลอดจนพระพิมพ์โบราณที่ชำรุดแตกหัก เพื่อนำมาผสมเป็นเนื้อพระ พระพิมพ์ชุดนี้ศิลปะแม่พิมพ์ไม่สวยงามนักเนื่องจากเป็นช่างฝีมือชาวบ้าน เรียกกันว่า “พิมพ์โบราณ” สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2451 จำนวนการสร้างไม่มากนัก ผู้มีไว้บูชาก็หวงแหน จึงหาดูได้ยากยิ่งนัก จะมีเล่นหากันอยู่ก็คือ “พิมพ์ขี่เม่น” (สมัยก่อนเรียก “พิมพ์ขี่หมู” เพราะตัวเม่นมองดูคล้ายหมูมากว่า) และ “พิมพ์ขี่ไก่” ซึ่งจะมีขนาดเล็กและบางกว่าพิมพ์มาตรฐานมาก การอุดผงจะอุดขอบพระด้านล่าง และเนื้อขององค์พระค่อนข่างแกร่ง

    ต่อมาจึงจัดหาช่างฝีมือดีมาแกะแม่พิมพ์ใหม่ศิลปะแม่พิมพ์จึงสวยงามขึ้นมาก เราเรียกกันว่า “พิมพ์นิยม” หรือ “พิมพ์มาตรฐาน” สร้างแจกในปี พ.ศ.2460 พร้อมมีสลากกำกับวิธีการใช้พระให้ด้วยนับเป็นที่นิยมอย่างมากในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องในปัจจุบัน สนนราคาเป็นหลักแสนทีเดียวของทำเทียนเลียนแบบก็เยอะ หาดูของแท้ๆ ยาก เช่นกันนอกจาก “พระหลวงพ่อปาน” ซึ่งเป็นพระพิมพ์เนื้อดินเผาแล้ว หลวงพ่อปานยังได้สร้างวัตถุมองคลอื่นๆ เพื่อแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาและพุทธศาสนิกชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่าอีกด้วย อาทิ ผ้ายันต์เกราะเพชร ลูกอม ตะกรุด และแหวนพระ

    กรรมวิธีในการสร้างพระ

    หลวงพ่อปานท่านกล่าวว่า หัวใจสำคัญในการสร้างพระก็คือ “ผงวิเศษ” ที่บรรจุอยู่ในองค์พระการทำ “ผงวิเศษหัวใจสัตว์” จะกระทำในพระอุโบสถโดยนั่งสมาธิเขียนอักขระเลขยันต์หัวใจของสัตว์ต่างๆ ทั้ง 6 ชนิดที่หลวงพ่อปานเห็นมาในนิมิตแล้วลบผงวิเศษนี้ออกมา หัวใจนี้ท่านมิได้ถ่ายทอดให้กับผู้ใดเพราะถือเป็นวาสนาเฉพาะบุคคล มีหลวงพ่อปานเป็นคนแรกที่ทำได้และเป็นคนสุดท้ายไม่มีการสืบทอด การทำผงพระนี้ยากมากต้องมีสมาบัติ 8 รูป สัตว์ทั้ง 6 ชนิด คือ ไก่ ครุฑ หนุมาน ปลา เม่น และนก นั้น หากจะทำชนิดใดก็ต้องล็อกคาถาของสัตว์ชนิดนั้นมาทำผง เช่นจะทำพระขี่นก จะเอาผ้าขาวมาเสกให้เป็นนกแล้วกางปีกออก จะมีพระคาถาอยู่ในปีกแล้วล็อกพระคาถามาทำผง เมื่อได้ผงมาก็ต้องนั่งปลุกเสกในโบสถ์ อดข้าว 7 วัน 7 คืน ออกไปไหนไม่ได้เลยต้องเข้าสมาบัติตลอดขณะที่ปลุกเสกพระอยู่ในโบสถ์ จะมีการตั้งบาตรน้ำมนต์ไว้สี่มุม เวลาบริกรรมคาถาบรรดาคุณไสยต่างๆ ที่มีผู้กระทำมาในอากาศก็จะกระทบกับพระเวทย์ของหลวงพ่อปาน แล้วร่วงหล่นสู่บาตน้ำมนต์ มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นการตัดไม้ข่มนามพวกคุณไสย ผงวิเศษนี้จึงสามารถป้องกันคุณไสยได้

    ผงวิเศษสูตรที่ 2 หลวงพ่อปานท่านใช้ “ผงวิเศษจากยันต์เกราะเพชร” โดยตั้งสมาธิเขียนยันต์บนกระดานชนวน แล้วชักยันต์ขึ้นแล้วลบผงมา ต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างสูงเพราะต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าจะลบผงออกมาได้และต้องถูกต้องทุกขั้นตอนตามที่ตำราระบุไว้จึงจะมีความขลังและศักดิ์สิทธิ์

    ผงวิเศษสูตรสุดท้ายคือ “ผงวิเศษ 5 ประการ” ประกอบด้วย ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนสิงเห และผงพระพุทธคุณ อันเป็นยอดของผงวิเศษที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังฯ หลวงปู่ภู วัดอินทร์ และพระปิลันทน์ วัดระฆังฯ ใช้เป็นส่วนผสมในเนื้อมวลสารของพระเครื่องที่ท่านสร้าง อันทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

    หลวงพ่อปานใช้เวลาทำอยู่ตลอดพรรษาจนมีจำนวนมากพอผงวิเศษที่ได้มาทั้งหมดนี้ นับเป็นผงที่มีพุทธคุณเอกอนันต์ใช้งานสารพัดอย่างเป็นเลิศเรียกว่าเป็น “กฤตยาคมแฝด” ที่พระพิมพ์อื่นๆ ไม่มีขั้นตอนการสร้างองค์พระหลวงพ่อปานจะนำดินขุยปูและดินนวลหรือดินเหนียวในทุ่งนาที่ขุดลงไปค่อนข้างลึกเพื่อให้ได้เนื้อดินที่ละเอียดซึ่งชาวบ้านหามาให้นั้น มากรองบดและนวด ให้เนื้อดินเหนียวและเนียน จากนั้นแบ่งออกเป็นก้อนเล็กๆ นำไปกดกับแม่พิมพ์พระที่เตรียมไว้วิธีการนำพระออกจากแม่พิมพ์ของหลวงพ่อปานก็แตกต่างจากพระคณาจารย์ท่านอื่น คือจะใช้ไม้ไผ่เหลาให้ปลายแหลมๆ แล้วเสียบที่ด้านบนเศียรพระงัดพระออกจากพิมพ์ ซึ่งจะเกิดเป็น “ร” เพื่อบรรจุ “ผงวิเศษ”

    ดังนั้นขนาดและรูปทรงของรูจะไม่มีมาตรฐานแน่นอน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ยาวบ้างสั้นบ้าง หรือเหลี่ยมบ้างกลมบ้าง แล้วหลวงพ่อก็จะนำพระที่กดพิมพ์เรียบร้อยไปบรรจุในบาตรจำนวนพอสมควร นำมาสุมด้วยแกลบจุดไฟเผาจนพระสุกแดงได้ที่จึงลาไปออก ปล่อยไว้ให้เย็นแล้วจึงนำมาบรรจุ “ผงวิเศษ” ลงในรูจนเต็ม ใช้ซีเมนต์ผสมปิดทับอีกทีหนึ่งเมื่อแห้งจะทนทานมาก บริเวณที่อุดนี้จะเป็นสีเทาของซีเมนต์ผสมกับสีขาวของผงวิเศษทุกองค์ อันเป็นเอกลักษณ์ประการหนึ่งพิธีปลุกเสกพระทำในพระอุโบสถ หลวงพ่อปานท่านจะตั้งบายศรีราชวัตรฉัตรธง หัวหมู ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว เมื่อปลุกเสกครบไตรมาส

    หลวงพ่อจะย้ายกลับมาปลุกเสกที่กุฎิของท่านต่อทุกคืนจนถึงวันไหว้ครูประจำปีของท่าน แล้วจะตั้งพิธีเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า “ต้องอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกะพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยสาวกทุกองค์ ตลอดจนพระพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การชุมนุมบวงสรวงเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เสร็จไม่ต้องถึงสามเดือนอย่างที่แล้วมา จงจำไว้ว่าการจะปลุกเสกพระหรือผ้ายันต์อะไรก็ตาม ถ้าจะอาศัยอำนาจของเราอย่างเดียวไม่ช้าก็เสื่อม เราน่ะมันดีแคไหน การทำตัวเป็นคนเก่งน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่ง พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง พระพรหมท่านเก่ง ท่านมาช่วยทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จดีกว่าเราทำตั้งพันปีเราต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็บอกไป ของที่ทำจะคุ้มครองผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ทุกคนถ้าหากพระก็ดี พระพรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครองให้ ท่านก็มองเห็นถนัด คุ้มครองได้ถนัดและจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านำของนั้นไปใช้ในทางทุจริตคิดมิชอบก็ไม่มีอะไรจะคุ้มครองได้ ที่เป็นคนเลวอยู่แล้วก็ช่วยพยุงให้เลวน้อยหน่อย ต้องช่วยตัวเองด้วยไม่ใช่จะคอยพึ่งผ้ายันต์หรือพระ ถ้าดีอยู่แล้วก็ช่วยให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นกฎของอำนาจพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนพระพรหมและเทวดาทั้งหลาย...


    1310-04998.jpg
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    หลวงพ่อปาน(3)
    * วันนี้ขอนำเสนอในอานุภาพพระพิมพ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปานในหัวข้อพระพิมพ์ทรงสัตว์ขี่ไก่มาให้อ่านกันต่อจากเมื่อวานนะครับ เพราะจะเชื่อมโยงในเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อไป ติดตามไปเรื่อยๆ

    ท่านผู้ใดมีพระหลวงพ่อปานไว้ครอบครองบูชา หรือวัตถุมงคลใดๆ ของหลวงพ่อปานจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ดังเปรียบเสมือนว่า “ท่านยังได้ปกป้องดูแลเรา เหมือนดังตอนท่านยังมีชีวิตอยู่“

    ระยะแรกที่จัดสร้างเรียกกันว่า “พิมพ์โบราณ” ส่วน “พิมพ์มาตรฐาน” นั้นนำออกแจกจ่าย ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งได้รับความนิยมเสาะแสวงหาด้วยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ความแคล้วคลาดจากภยันตรายตลอดจนความเป็นสิริมงคล สมปรารถนาแก่ผู้อฐิษฐานติดตัว

    ทำไมถึงพิมพ์ทรงไก่หางพวงนิยมสูงสุด

    เพราะการทำมาหากิน โชคลาภวาสนาการเงินนั้นสำคัญ และพระพิมพ์ทรงไก่มีสิ่งนั้น พิมพ์ทรงไก่ มีดีทางการทำมาค้าขาย และเมตตามหานิยม โดยคนโบราณสังเกตจากพฤติกรรมของไก่มาประกอบ เปรียบเทียบไก่ฝูงหนึ่ง มักมีตัวผู้เป็นจ่าฝูงเพียงตัวเดียว แต่มีตัวเมียล้อมรอบนับสิบ

    อานุภาพพระพิมพ์ทรงไก่มีคุณดั่งแก้วสารพัดนึก นึกสิ่งใดย่อมสมปรารถนาในสิ่งนั้นทุกอย่าง ขอเพียงให้ศรัทธาเชื่อมั่นไว้เถิด จะเกิดลาภผลอย่างประเสริฐ ทั้งเป็นทางอยู่ยงคงกระพัน เป็นเมตตา เป็นมหาอำนาจ มีตบะเดชะ แม้มีบูชาไว้และหมั่นภาวนาพระคาถาให้ได้ทุกวันแล้วไซร้ย่อมเป็นเจ้าคนนายคน ไม่มีวันอับจน มีผู้คนเมตตาอุปถัมภ์โดยตลอดแล


    อานุภาพของพญาไก่

    อานุภาพของการบูชาพระพิมพ์ทรงไก่เชื่อว่าจะเกิดโภคทรัพย์ไม่ขาดสาย เกิดลาภ เกิดยศ ทำมาหากินคล่องเจริญรุ่งเรืองมิบกพร่องข้องขัด ค้าขายร่ำรวย ทำนาทำไร่ได้ผลดี ส่งเสริมปัญญาเฉียบแหลม เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ใช้ป้องกันอันตรายต่อศัตรูปองร้าย โจรผู้ร้าย ภูตผีคุณไสยต่างๆ ไม่กล้าเบียดเบียนเราเลย

    วิชาไก่ป่านั้นมีครบทุกทางทั้งเมตตา เสน่หา แม้ทรัพย์ที่ผ่านไปไม่ได้จับมายังต้องกลับมาหาฉับพลัน โภคทรัพย์บังเกิดมิรู้คลาย เสน่ห์หาได้ทันใจ ในบัดดล


    พญาไก่หากินเก่ง “หงอนตั้ง เหนียงยาน ปีกปก หางยาว” เรียกพญาไก่เป็นใหญ่คุมฝูงทั้งฝูง หากินเลี้ยงได้ทั้งกองทัพ อุปมาว่า พญาไก่หากินเดินไปที่ไหนคุ้ยเขี่ยอะไรก็ได้ข้าวของเงินทองนับไม่ถ้วน


    ก็ขออนุญาติกล่าวสั้นๆ......แต่ต้องติดตามกันยาวๆว่าอย่างไร ทำไมพระพิมพ์ดินเผานี้ถึงสำคัญและมีอานุภาพมาก พรุ่งนี้จะมาเฉลยและพูดคุยกันต่อนะครับ .....
    ติดตาม


    Painting_of_Kakusanda_Buddha_Wat_Ho_Xieng_Luang_Prabang.png
    1310-04998.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2018
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ช่วงนี้มีคนถามหาพระกริ่งกันเข้ามา ก็ขอบอกว่าไม่มีนะครับแต่ก็ไม่เชิงเพราะมีดีกว่านั้นอันนี้ก็ติดตามกันดีๆ รับรองว่าตำนานจะถูกหยิบยกมาปัดฝุ่นใหม่สอดประสานกับเคล็ดวิชาการสร้างเครื่องสูง เครื่องมงคลตำรับพิชัยสงคราม

    * วันนี้ก็มาติดตามพูดคุยกัน ใครจะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2018
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อภินิหาริย์พระพิมพ์ทรงสัตว์

    ตั้งแต่เริ่มดำเนินกระทู้มา หนึ่งในคำถามที่หลายๆคนมักจะถามก็คือพ่ออาจารย์ท่านจะไม่สร้างพระพิมพ์ทรงสัตว์ไว้ให้ใช้แทนของหลวงพ่อปานกันเลยหรืออย่างไร


    คงสืบเนื่องจากของเก่านั้นมูลค่าสูงมาก ยิ่งทรงไก่หางพวงสวยๆแท้ๆก็ขึ้นหลักล้านไปแล้ว และศิษย์สืบทอดอย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็ไม่ได้สร้างเพราะไม่ปรารถนาจะทำให้ทับรอยครูบาอาจารย์ มีแต่จะเสกไว้บ้าง แต่ก็นั่นแหละสูตรการสร้างพระพิมพ์ทรงสัตว์นั้นเป็นสูตรที่ตายและสาปสูญไปกับองค์หลวงพ่อปานอย่างแท้จริง ถึงจะมีการย้อนรอยย้อนยุคอย่างไรก็ยังคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่สำคัญที่ว่าใครจะสร้างหรือจะเสก เพราะทำอย่างไรก็มีเพียงพุทธคณแต่มิได้เสมอเหมือนของเดิมนั่นเอง

    ด้วยว่า
    พระพิมพ์ทรงสัตว์นั้น การจะทำให้ขลังก็ต้องใช้ผงวิเศษที่เรียกว่าผงหัวใจสัตว์ คนจะทำได้ต้องมีสมาบัติแปด แม้จะลบผงก็ยังต้องใช้มานะอุตสาหะวิริยะบารมีเพียรเสกเจ็ดวันเจ็ดคืน พ่ออาจารย์ท่านว่าเจ็ดวันนี้จะต้องอยู่ในสมาบัติตลอดถอนไม่ได้เลยเพื่อจะสำเร็จผงนี้ ท่านว่าพูดกันตรงๆคือน้ำไม่ดื่มข้าวไม่กินไม่ต้องลุกไปไหนนั่นเอง

    ท่านเองก็มีประสงค์อยากจะทำไว้ให้เป็นเกียรติยศซักครั้ง แต่ติดที่ผงวิเศษหัวใจสัตว์อันเป็นสุดยอดความลับที่สูญไปพร้อมกับกายสังขารหลวงพ่อปานนั่นเอง ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านว่าเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ยากอะไร
    ท่านได้เชิญหลวงพ่อปานมาถามเอา โดยสัญญากับท่านไว้ว่าะสร้างเพื่อสืบวิชาเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นด้วยสังคมในปัจจุบันนั้นการติดต่อสื่อสารการทำมาหากินมันยากขึ้นลำบากขึ้น พร้อมกับรับปากท่านตามที่ท่านขอคำสัญญากับพ่ออาจารย์ว่าให้สร้างเพียงครั้งเดียวจะไม่ทำ ไม่ลงผงนี้อีกเด็ดขาด วิชานี้จะให้ตายไปกับตัวแล้วท่านจะมาเป็นกำลังให้อีกแรง ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านก็รับปาก หลวงพ่อท่านก็เมตตาอนุเคราะห์โดยให้เลือกเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในจำนวนสัตว์วิเศษอันมีหัวใจต่างๆกันทั้งหกชนิด ตรงนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเราไม่ต้องเลือกเลย เราขอหัวใจทรงไก่นี่แหละเพราะตั้งใจจะทำไว้ให้คนยกระดับขยับฐานะกัน เขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้

    ........ จำเนียรกาลผ่านไป เมื่อมีคนสอบถามหรือเร่งเร้า แม้กระทั่งอยากให้พ่ออาจารย์แกะเครื่องมงคลหรือทำมงคลประจำกายให้เป็นพิมพ์พระทรงสัตว์เหมือนต้นแบบหลวงพ่อปาน ท่านก็ไม่ยินดีจะทำ ท่านให้เหตุผลว่าเราทำไปครบจำนวนตามที่ขอพระเดชพระคุณท่านไว้แล้ว เราจะไม่ทำอีก และผงวิเศษอันเป็นของเฉพาะกาล เฉพาะทางนั้นเราก็ใช้สร้างครบจำนวนแล้ว ถึงจะทำอีกก็ทำได้แต่เพียงรูปเท่านั้นหาได้มีคุณอนันต์เสมอกันไม่

    ทั้งนี้พ่ออาจารย์ท่านได้เมตตาสร้างพระพิมพ์ทรงสัตว์ตามตำรับหลวงพ่อปานขึ้นจริงเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ชีวิตท่าน
    โดยท่านบอกว่าเราไม่ได้ทำเป็นพระเนื้อดินปกตินะเพราะจะเป็นการทาบทับรอยเท้าครูบาอาจารย์ เราไม่ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น

    ท่านว่า
    ท่านได้ทำการแกะพระตามตำรับพิชัยสงครามผสานเคล็ดวิชาพระพิมพ์ทรงสัตว์เข้าไปด้วย ซึ่งมีขั้นตอนพิธีกรรมและส่วนประกอบต่างๆยุ่งยากมากมายตั้งแต่การหาไม้ที่มีอาถรรพ์เป็นมงคลต้องตามตำราและมีฟ้าผ่ากระเด็นเองไม่ได้ไปเลื่อยไปตัดแต่อย่างใด......แม้แต่การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งท่านได้มาจากองค์พระเดชพระคุณพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งท่านรักและเก็บไว้บูชาต่างหน้าครูบาอาจารย์เสมอมา บรรจุไว้ในองค์พระทุกองค์ ยังไม่รวมไปถึงผงวิเศษอื่นๆและเครื่องยาต่างๆมากมาย เรียกว่าจัดครบจัดเต็มเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์พระพิมพ์ทรงสัตว์ของ ท่านเลยทีเดียวก็ว่าได้ ....ท่านพูดถึงพระพิมพ์ทรงสัตว์ของท่านว่าแม้ใครทันได้รู้ ได้เห็น ได้ครอบครอง ก็นับเป็นเกียรติประวัติในชีวิต อย่าเพิ่งตายรึไปไหนเสียถ้ายังไม่ได้ใช้ ยังไม่รวย..... ติดตามรายละเอียดได้วันพรุ่งนี้ห้ามพลาด

    27157784_203702287034749_667999366_n.jpg 1310-04998.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...