รู้อารมณ์ที่ปรากฏ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 9 มิถุนายน 2009.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    "เจตสิก"......รู้ อารมณ์ .


    แต่ "เจตสิก"

    ไม่ได้เป็นใหญ่ ในการ รู้ "ลักษณะของอารมณ์"

    เช่นเดียวกับที่ "จิต" รู้ .!



    เปรียบเสมือน
    ...ในชั้นเรียน

    มีหัวหน้าชั้น

    ซึ่ง ไม่ใช่ว่า จะเป็นหัวหน้าชั้น ทุกคน
    ...
    .?



    "เจตสิก" รู้ อารมณ์

    แต่ไม่ได้เป็นใหญ่ในการ รู้ อารมณ์.!



    เพียงแค่นี้

    ก็ต้องมีการพิจารณา เพื่อ "ความเข้าใจ"

    ที่ว่า "จิตเป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์" นั้น

    เป็นใหญ่ อย่างไร
    .....?



    ถ้าไม่มี "การพิจารณา".....ก็ผ่านไป

    โดยที่ "ไม่มีความเข้าใจ" อะไรเลย.!



    คือ "ไม่เกื้อกูลความเข้าใจ"

    ในขณะที่ "เห็น"
    (เป็นต้น)



    "ไม่เกื้อกูลความเข้าใจ" เพราะว่า.......................

    ไม่เข้าใจ ว่า "การเห็น" คือ "จิต" ประเภทหนึ่ง.



    ขณะที่ "จิตเห็น" เกิดขึ้น
    ......

    "จิตเห็น" เป็น สภาพที่เป็นใหญ่

    ในการ รู้
    ..."สิ่งที่ปรากฏทางตา"



    เช่น

    "จิตเห็น" ต่างกับ "จิตได้ยิน" และ จิตอื่น ๆ

    โดยการ "รู้แจ้งอารมณ์"

    ที่ปรากฏกับ "จิตแต่ละประเภท" นั้น ๆ



    ส่วน "เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตเห็น" นั้น

    มีกิจ คือ "รู้อารมณ์เดียวกัน"

    แต่ ไม่เป็นใหญ่ ในการ "รู้แจ้งอารมณ์ของจิต"


    (อารมณ์ของ "จิต" เช่น สี เสียง กลิ่น ฯ....เป็นต้น)



    เพราะฉะนั้น

    "การเข้าใจ" คำ ว่า
    ....
    เป็นใหญ่ อย่างไร.?


    หมายความว่า

    ขณะนี้ ที่กำลัง "เห็น"

    "จิตเห็น" รู้ อารมณ์ คือ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"

    โดย "ผัสสะเจตสิก" ทำกิจกระทบ

    เป็น "ปัจจัย" ทำให้เกิด "จิตเห็น"


    แต่
    .................

    "ผัสสะเจตสิก"....ไม่ได้ทำกิจ "เห็น"

    และ
    ...............

    ไม่ได้เป็นใหญ่ ในการ รู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"




    ดังนั้น

    "จิตเห็น"

    จึงเป็นใหญ่ ในการ รู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"

    แต่
    .................

    "ผัสสะเจตสิก"........... รู้ อารมณ์ โดยการกระทบ


    และ
    ................

    ถ้า "ผัสสะเจตสิก" ไม่ทำกิจกระทบอารมณ์......

    "จิตเห็น" ก็เกิดขึ้น รู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ไม่ได้.!




    "ผัสสะเจตสิก"

    ไม่ได้เป็นใหญ่ ในการ รู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"

    เป็นเพียง "ปัจจัย"
    .....
    ที่ทำให้เกิด "จิตเห็น"



    "จิตเห็น"

    จึงเป็นใหญ่ ในการรู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"



    ส่วน "เวทนาเจตสิก" นั้น

    เมื่อมี "ลักษณะ" ปรากฏ กับ "สติ" ขณะใด
    .........

    ขณะนั้น......................

    "เวทนาเจตสิก" ก็เป็นใหญ่ในการ "รู้สึก"



    คือ


    "รู้สึก" สุข
    ...................(สุขเวทนา)

    "รู้สึก" ทุกข์
    ..............(ทุกขเวทนา)

    "รู้สึก" เฉยๆ
    .....(อทุกขมสุขเวทนา)



    เพราะฉะนั้น


    "เวทนาเจตสิก"

    "เป็นใหญ่" ใน "การรู้สึก" เท่านั้น.!



    สภาพธรรมใด ๆ

    จะเป็นใหญ่ใน "การรู้สึก" เท่ากับ "เวทนาเจตสิก" ไม่ได้.!



    เพราะว่า.........."เวทนาเจตสิก"

    เป็น "สภาพธรรมที่รู้สึก" ในอารมณ์ ที่มากระทบ.



    ฉะนั้น....ในขณะที่กำลังเห็น


    "จิตเห็น"

    เป็นใหญ่ ในการ "รู้อารมณ์"

    "อารมณ์ของจิตเห็น" คือ "สิ่งที่ปรากฏทางตา"


    ส่วน "เวทนาเจตสิก"

    ที่เกิดร่วมกับ "จิตเห็น" ขณะนั้น

    เป็นใหญ่ ใน "การรู้สึก"

    คือ ความรู้สึกทุกข์ สุข หรือ เฉย ๆ.


    (จิตอื่นๆ เช่น จิตได้กลิ่น จิตได้ยิน ฯ ก็โดยนัยเดียวกัน)



    เพราะฉะนั้น

    เมื่อกล่าวถึง "ความเป็นใหญ๋"

    ก็ต้องกล่าวด้วย ว่า

    เป็นใหญ่ อย่างไร.?



    "จิต"

    เป็นใหญ่

    ในการ "รู้แจ้ง" ลักษณะ ที่ต่าง ๆ กัน ของอารมณ์.



    ส่วน "เจตสิก" เช่น

    "เวทนาเจตสิก" นั้น

    ไม่ได้ "รู้แจ้ง" ลักษณะที่ต่าง ๆ กันของอารมณ์.



    แต่ว่า

    สภาพธรรม ที่เป็น "จิต" และ "เจตสิก" ทุกประเภท

    เป็น "นามธรรม"
    ...และ "ต้องรู้อารมณ์"

    ตามกิจ ตามหน้าที่ เฉพาะ ของตน ๆ




    "รู้สึก" อย่างไร.?
    .......ขณะที่ "จิตรู้อารมณ์"

    "เวทนา" ในขณะที่จิตรู้อารมณ์นั้น
    ...นะ

    "รู้สึก" อย่างไร
    .......?



    เช่น ขณะที่
    ...กำลังได้กลิ่นเหม็น

    มี "อารมณ์" ที่ กำลังปรากฏ

    ให้ "จิต" รู้ "ลักษณะเหม็น"

    ใน ขณะนั้น
    ......?



    "ความรู้สึก"
    ........ใขณะนั้น มีไหม.....?

    มี "กลิ่น" เป็น "อารมณ์" ใช่ไหม
    .....?



    ในขณะที่ ท่านผู้ฟัง "รู้สึกไม่ชอบกลิ่น"

    "ความรู้สึกไม่ชอบ" กลิ่น ที่กำลังปรากฏ

    ขณะนั้น
    ..........

    คือ "ลักษณะของเวทนาเจตสิก"



    หมายความว่า
    ........ขณะนั้น

    "เวทนาเจตสิก" กำลัง มี "กลิ่น" เป็น "อารมณ์"

    ขณะนั้น "ตัวธรรมะจริง ๆ" คือ "เวทนาเจตสิก"

    ซึ่งกำลังเป็นใหญ่ ใน "การรู้สึก" ต่อ "อารมณ์"

    .........................ที่กำลัง ปรากฏ ในขณะ นั้น ๆ



    ปรากฏ เป็น "ความรู้สึกไม่สบายใจ" ใช่ไหม....?

    ขณะนั้น
    ..........คือ "ลักษณะของทุกขเวทนา" .



    แต่ว่า

    "ตัวธรรมะจริง ๆ" ที่ รู้ กลิ่น

    คือ "จิตได้กลิ่น"

    (ฆานวิญญาณจิต)



    "จิตได้กลิ่น"

    เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการ
    "รู้แจ้งกลิ่น"



    การ "รู้แจ้งกลิ่น"
    ....................หมายความ ว่า

    "ลักษณะที่เหม็น" ที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้น

    มี "ลักษณะเหม็น" อย่างไร
    .......................?

    เหม็นขยะ หรือ เหม็นอย่างอื่น ฯลฯ..............?

    เหม็นไม่เหมือนกัน ใช่ไหมคะ
    ......................?

    "ลักษณะของกลิ่นเหม็น" ก็มีต่าง ๆกันไป....?



    ในขณะที่ "จิตรู้แจ้งกลิ่นเหม็นอย่างนี้"

    คือ ขณะที่

    "จิตรู้แจ้ง"
    ....."ลักษณะ" ที่เหม็น อย่างนี้

    ไม่ใช่ เหม็น อย่างอื่น.!

    เพราะว่า

    "ลักษณะ" ที่เหม็น ก็มีหลาย เหม็น
    ......?



    เพราะฉะนั้น........ต้อง "เข้าใจ" ว่า

    "ลักษณะที่รู้แจ้ง" กลิ่น
    ....
    คือ "จิต"

    "จิต" รู้แจ้ง ว่า เป็นกลิ่นเหม็นแบบไหน.!



    แต่ว่า...............

    "ลักษณะ" ที่ "รู้สึก" ไม่พอใจ ไม่ชอบ ไม่สบาย ขณะนั้น

    คือ "เวทนาเจตสิก"

    หมายวามว่า ขณะนั้น
    "เวทนาเจตสิก"

    กำลังเป็นใหญ่ ในการ "รู้สึกไม่สบาย"


    (เป็นต้น)


    ถ้าไม่รู้....จะ"รู้สึกไม่สบายใจ" หรือเปล่า.?


    ขณะที่ มี "กลิ่น" ปรากฏ เป็นอารมณ์

    "จิต" ไม่ได้รู้แจ้ง "ความรู้สึกที่มีต่อกลิ่นนั้น"

    แต่ว่า
    ...............

    "จิต" รู้แจ้ง "ลักษณะของกลิ่น"


    "นามธรรมทั้งหมด"

    รู้ อารมณ์
    ......แต่ รู้ ต่างกัน.


    เช่น


    "สัญญาเจตสิก" มีกิจหน้าที่ คือ "จำ"

    ถ้าไม่รู้
    .....ก็จำไม่ได้.


    (เป็นต้น)



    การรู้อารมณ์..........


    รู้ โดย "จำ"

    (คือ สัญญาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต)


    รู้ โดย "รู้สึก"

    (คือ เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต ได้แก่ ความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ๆ )


    หรือว่า.....................


    รู้ โดย รู้แจ้ง

    "สภาพรู้ ลักษณะที่ต่างกัน ของอารมณ์"

    (คือ การรู้อารมณ์ของจิตเห็น จิตได้ยิน เป็นต้น)




    นี่ค่ะ..................

    คือ " การศึกษา"


    ศึกษาแล้ว
    .... ต้องคิด ต้องพิจารณา

    ถ้าไม่คิด ไม่พิจารณา ในสิ่งที่ศึกษา

    ก็ไม่มีทางที่จะ "เข้าใจ" ในสิ่งที่ศึกษา.


    และ เมื่อ
    ..............."ไม่มีความเข้าใจ"

    การศึกษา ก็ จะผ่านไป
    ....................

    โดย ไม่ได้ "มีความรู้" อะไรเลย.......!



     

แชร์หน้านี้

Loading...