รำลึกบุญคุณหลวงปู่

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย srisansuk, 15 มิถุนายน 2013.

  1. srisansuk

    srisansuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +201
    เขียนโดย S-Poosawan
    วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2013 เวลา 20:54 น.



    จริยวัตรจากคำบอกเล่าของสมเด็จโต
    โดย ศ.สวรรค์รำลึก
    เมื่อคืนก่อนผมค้นหาหนังสือธรรมะจากชั้นหนังสือ มาอ่าน ก็เป็นกิจวัตรก่อนนอนอันหนึ่งของผมถ้าโอกาสอำนวย เผอิญวันนั้นได้หนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ชื่อเรื่องว่า “อมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี” มี ๒ เล่ม ที่ผมหยิบมาเป็นเล่มสอง
    ทีแรกว่าจะอ่านซักสองสามหน้าแล้วจะนอน แต่เมื่อได้เปิดอ่านแล้วกลับวางไม่ลง หนังสือเล่มนี้มีเรื่องน่าสนใจต่างๆผสมผสานกันอยู่ในเล่มมาก เช่น เรื่องของการบรรยายภาพบรรยากาศชีวิตของชาวรัตนโกสินทร์สมัยก่อน ชีวิตของสมเด็จโต เรื่องปรัชญา เรื่องของความเมตตา แนวคิดการดำรงชีวิต ที่สำคัญยังมีเรื่องของวิญญาณด้วย หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์โดย ชมรมสวดพระคาถาชินปัญชร โดยรวบรวมจากคำเทศน์ของดวงวิญญาณของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ผ่านร่างมนุษย์เมื่อครั้งมาทำงานโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์ ที่สำนักปู่สวรรค์เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน
    เมื่ออ่านจบผมเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะนำมาเล่าต่อ ประกอบกับในเดือนมิถุนายนนี้เป็นเดือนที่ระลึกถึงท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯเกี่ยวกับเดือนที่ท่านมรณภาพผมจึงขอนำบางช่วงบางตอนที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตและจริยวัตรของสมเด็จโตตามที่ท่านเล่าไว้มานำเสนอเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา มหาพิจารณาร่วมกันดังนี้ครับ
    กำเนิดสมเด็จโต
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ท่านสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๑ จากเอกสารเก่าของสำนักปู่สวรรค์บันทึกว่าท่านเป็นบุตรของเจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร(ต่อมาเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ แห่งราชวงศ์จักรี) เมื่อสมัยที่ท่านได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ไปต้านศึกพม่า ได้แวะพักทัพและมาเจอโยมแม่ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จคือนางงุด ที่ไชโย อ่างทอง จนได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ก่อนจะจากไปเพื่อการสงคราม แม่ทัพได้ประทานรัดประคดไว้ ให้กับนางงุด และสั่งเสียหากมีลูกเป็นชายให้ชื่อโต เป็นหญิงให้ชื่อเกศแก้ว
    ต่อมานางงุดก็ท้องจริงๆและได้ไปคลอดที่ท่าน้ำวัดท่าหลวงจังหวัดพิจิตร รวบรัดตัดความเป็นอันว่าเมื่อเด็กชายโต เจริญวัยขึ้นเกิดมีศรัทธาในการเป็นนักบวชตั้งแต่เยาว์วัย จึงขอโยมแม่ไปบวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ต่อมาเมื่ออายุ ๑๐ ขวบท่านหนีการที่จะต้องลาสิกขาไปบางกอก(กรุงเทพ) ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของสามเณรโตก็เปลี่ยนไปชั่วกาลนาน อันว่าเพชรนั้นอยู่ที่ไหนย่อมส่องแสงแวววาว สามเณรโต เป็นผู้บำเพ็ญบารมีมานานตั้งแต่อดีตชาติ จึงมีปัญญาเฉียบแหลม ประกอบกับเป็นคนที่กล้าหาญ ขยันหมั่นเพียร การศึกษาของท่านจึงเจริญรุดหน้าไปไกล เรียกว่าอาจารย์สอนจนไม่มีอะไรจะสอน จึงต้องเรียนกับพระประธานในโบสถ์ สามเณรโตได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงมีโอกาสได้ได้เข้าวังและได้พบกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร ในครั้งท่านเจ้าฟ้าได้รับรู้ว่าสามเณรเป็นใครก็ทรงเอ็นดูสามเณรน้อยเป็นอย่างยิ่ง และทรงรับสามเณรน้อยเป็นเณรหลวงนับแต่บัดนั้น
    ทีนี้เรื่องราวชีวิตของสมเด็จโตจะเป็นอย่างไร จะต้องผจญภัยอย่างไร ต้องเข้าป่าเข้าดงหายตัวไปหลายปีและกลับออกมาครองวัดระฆังอย่างไรนั้น ท่านสามารถหาอ่านได้จากเอกสารหนังสือเกี่ยวกับประวัติของสมเด็จโตทั่วไป ดังนี้ก็จะขอกล่าวถึงคำเทศน์ที่แสดงถึงจริยวัตรของท่านที่มีบันทึกไว้บางช่วงดังนี้
    เหตุการณ์เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง
    บางท่านอาจจะมีมโนภาพว่าสมเด็จโตจะต้องเป็นพระที่สงบเสงี่ยมพูดน้อย แต่จากคำเทศน์ของท่านนั้นแสดงให้เห็นว่า สมเด็จโตเป็นพระที่ใจนักเลง พูดจาโผงผางดูเหมือนจะไม่สำรวมแต่เมื่อดูให้ลึกแล้วท่านล้วนแสดงสัจธรรมเพื่อทำลายความหลงของคนรอบข้าง ให้เกิดสำนึกและเห็นความจริงของธรรม ทั้งสิ้น ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อท่านมาครองวัดระฆังครั้งแรก
    “ในที่ประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พระยาประสิทธิศุภการรับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ เป็นแม่งานจัดขบวนแห่เจ้าอาวาสองค์ใหม่จากพระบรมหาราชวัง ข้ามมาวัดระฆังฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านไม่ชอบการเอิกเกริก ท่านกล่าวว่า “เฮ้ยเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ไม่ต้องมีลูกศิษย์มากเว้ย พัดยศอยู่ที่ไหนเอามากูแบกไปเอง”
    พอรับพัดยศ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จก็เดินตะโกนออกจากวังหลวงไปยังบางลำพู ไปบางขุนพรหม เพราะว่าของนิดๆหน่อยๆยังทิ้งอยู่ที่วัดอินทรวิหาร พลางบอกว่า “ขณะนี้ฉันเป็นเจ้าคุณแล้วนะจ๊ะ พระเจ้าแผ่นดินแต่งตั้งฉันไปเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังนะจ๊ะ ขอให้ช่วยรับทราบด้วย”
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ตรัสเล่าว่า “มาถึงวัดอินทร์เปิดกุฏิเข้าไป ข้าวของทั้งหลายหนูกินหมด เหลือแต่ผ้าเก่าๆอยู่ ๒ ผืน ตอนที่อาตมาไม่อยู่ มีคนอื่นเข้าไปพัก ที่กุฏิมีกล้วยน้ำว้าจวนจะเน่าหวีหนึ่ง จึงรวบรวมหิ้วมาพะรุงพะรัง” ท่านแบกตาลปัตรพัดแฉก สะพายถุงย่าม มือถือกาน้ำและกล้วยหวีนั้นเดินไปข้ามเรือ ที่วัดระฆัง ก็ร้องบอกว่า “ในหลวงให้ฉันมาเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังจ้ะ” เดินตะโกนรอบวัดก่อน พระเณรก็มามุงดูกันว่านี่พระบ้าหรือพระบอ แต่เห็นพัดยศชั้นพระราชาคณะจึงรู้ว่าไม่ได้บ้า ท่านเจ้าคุณธรรมกิตติ(โต)ก็เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯตั้งแต่นั้น ขณะนั้นมีอายุ ๖๕ ปี
    เคล็ดลับสร้างร่างกายให้แข็งแรง
    ท่านเล่าว่า “เมื่อสมัยอาตมามีสังขาร ทำไมอาตมาอายุ ๗๙ แล้วยังแข็งแรง เพราะว่าพวกลูกขุนนาง ลูกหลวงเอย ลูกจมื่นเอย พ่อแม่เขาบอกว่า ไอ้ลูกพ่อแม่สั่งสอนไม่ไหว เอาไปฝากสมเด็จโตสอนดีกว่า สามสี่คนมาอยู่วัดระฆัง ทีนี้มันเกี่ยงกันไม่ยอมตักน้ำอาบกันล่ะ ให้โอ่งมันแห้ง
    อาตมาก็บอกว่า เจริญพรพ่อคุณ แม่คุณ ท่านลูกขุน ลูกนาย ตักน้ำอาบไม่ได้หรอก ไอ้โตนี่ตักให้พวกเอ็งอาบเอง อายุ ๗๙ ต้องหิ้วน้ำทุกวันสองตุ่มนะ หิ้วให้มัน พวกมันแทนที่มันบอกว่าสงสารขรัวโต หิ้วแล้วเหนื่อยแฮะ มันบอกว่า เออ..ดีเว้ย สมเด็จตักน้ำให้เราอาบสบายไปเลย นี่มนุษย์มันอย่างนี้
    ทีนี้อาตมาทำไมถึงแข็งแรง เพราะว่าอาตมาสมัยมีสังขารอยู่นั้น อาตมาไม่ยึดอดีต อยู่แค่ปัจจุบันว่า ขณะนี้เรายังไม่สิ้นจากโลกมนุษย์ ตาลืมขึ้นมา เราจะทำอย่างไงไม่ให้เบียดเบียนตัวเรา และไม่ให้เบียดเบียนคนอื่นและจะทำอย่างไง เพื่อความสงบสุขของคนอื่น ถ้าท่านมีคติธรรมอันนี้ประจำใจแล้ว ดียิ่งกว่ากินยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกาย ก็คือว่าเจตนาแห่งบริสุทธิ์ของแห่งความดีของท่านนี่แหล่ จะส่งเสริมให้ขันธ์ท่านสบายดีขึ้น นี่เรียกว่าแก่ช้า ดีกว่าท่านจะไปประแป้งสมัยนี้...”
    แถมส้มให้คนขโมยตะเกียง
    เรื่องนึงที่แสดงถึงความเมตตาของสมเด็จโตที่มาอ่านทีไรก็รู้สึกซึ้งใจไปเสียทุกที ก็คือเรื่อง “แถมส้มให้คนขโมยตะเกียง” หนังสือได้บันทึกคำเทศน์ของท่านที่คาบเกี่ยวกับประวัติในเรื่องนี้ว่า
    “ในสภาวะอันนี้ เป็นสิ่งแห่งวิถีการณ์การเกิดกลียุค เพราะฉะนั้นอาตมาจึงมานี่(สำนักปู่สวรรค์) มานี่อาตมาไม่มีขันธ์งานที่จะเดินไปได้ สัจธรรมจะเผยแผ่ออกไปได้ ต้องอาศัยพวกเจ้าที่เป็นมนุษย์ช่วยกันทำ มันจึงจะถึงจุดเสื่อมน้อยหน่อย เรื่องมีแค่นี้ พูดถึงความเสื่อมในยุคนี้อย่าไปพูดเลย...อาตมายังไม่ถอยอนุสติฌานเข้าไปตรวจเลย
    สมัยอาตมาอยู่นั้นกุฏิอาตมาไม่มีอะไร มีลังใบเก่าๆ บาตรใบเก่าๆ จีวรสองผืน แต่เวลานี้มึงลองไปดูซิ มีอะไรไม่รู้เยอะแยะ
    ในวิถีการณ์ไปบวชมันต้องละ แล้วในวิถีการณ์อันใดเล่า แบบอาตมาอยู่ในวัดระฆังนั่นแหล่ จะเล่าให้ฟังหน่อย ขโมยมันขึ้นมาขโมยตะเกียงลานอาตมา ทีนี้อาตมาเห็นอาตมาก็แกล้งนอน เขาภาวนาอย่าให้หลวงพ่อเห็นเลย หลวงพ่ออย่าเห็นเลย
    อาตมาก็แอบมาทางนี้ ปิดกุฏิทันที อาตมาบอกกูยังไม่เห็นโว้ย มันสะดุ้ง บอกหลวงพ่อครับ อย่างนั้นอย่างนี้... เดี๋ยวก่อนมึงบอกกับกูหน่อย มึงขโมยเพื่ออะไร เขาบอก “ถึงแม้หลวงพ่อจะทำอย่างไรก็เอาเถอะ ผมต้องขโมย เพราะว่าแม่ผมป่วยลูกผมก็ป่วย มันไม่มีจะกิน” อาตมาว่า ที่มึงเล่ามาเรื่องจริงหรือวะ
    เรื่องจริงขอรับหลวงพ่อ “งั้นมึงเอาตะเกียงนี่ไป อ้าวนั่นกูแถมส้มมาจากในวังนั่นเอาไป แล้วเดี๋ยวมาเอาเงิน กูมีเงินเหลือ เพราะมีคนจะนิมนต์กูไปเทศน์” มันบอกว่าวันนี้คุยกับพระโพธิสัตว์หรือคุยกับอะไร บอกว่า..คุยกับขรัวโตนี่ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์
    พอมันกลับไปก็พอดีขุนวังจมื่นเดชก็มา มานิมนต์สมเด็จโตเข้าไปเทศน์ อาตมาก็บอกว่า “โยมวันนี้การเทศน์นี่จะต้องจ่ายก่อน” ไม่มีพระสงฆ์รูปไหนทำแบบอาตมา เขาว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ จ่ายก่อนทำไมขอรับกระผม บอกว่ากูจะเอาไปเลี้ยงลูกว่ะ กูมีลูกอยู่คนหนึ่งโว้ย
    เขาก็สงสัยว่าหลวงพ่อไม่มีเมีย ไม่มีลูก บอกว่ามีสิกูแอบไปมีไว้ ถ้าเป็นคนอื่นแล้วไม่กล้าพูด เขาถามว่าจ่ายเท่าไหร่ เอามา ๓ บาท ไปซื้อนมเอาไปให้เขาก่อน วันนี้กูไม่มีนมไปเลี้ยงลูก แล้วกูเทศน์ไม่เก่งโว้ย ค่ากัณฑ์เทศน์ต้องเอาก่อน ขุนวังจมื่นเดชก็ต้องให้เงินก่อน แล้วก็พาไปดูลูกด้วยกัน จมื่นเดชก็รู้ว่าท่านโตทำอะไรแหวกแนว
    เจ้าขโมยจำเป็นนั่นก็เล่าว่า “แหมท่านนี่ ผมไปขโมยของหลวงพ่อ หลวงพ่อยังแถมส้มให้อีก เสร็จแล้วยังเอาเงินของพระเดชพระคุณท่านมาให้” แต่ยุคนี้มีไหมที่ทำอย่างอาตมา ลองไปดูซิ ลองเข้าไปวัด แล้วมึงบอกว่าขออะไรหน่อยหลวงพ่อ หลวงน้าด่าพ่อออกมา แต่ถ้าเจ้าเอาเงินไปถวาย โยมจงมีสุข มีสุข เรื่องแค่นี้อย่าให้อาตมาเข้าอนุสติฌานเลย..
    นี้เป็นบางช่วงบางตอนจากหนังสือ อมตะเถระสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ที่ผมหยิบยกมาให้พิจารณากัน บางทีอาจมีคำไม่สุภาพบ้าง ก็เป็นธรรมดา คำพูดที่ไม่ไพเราะมักจริงใจ ถ้าท่านสนใจอยากอ่านเนื้อหาอื่นๆแบบเต็มๆก็ลองไปหาอ่านได้ หรืออยากจะซื้อหาไว้เป็นเจ้าของลองสอบถามไปที่ร้านหนังสือของ ชมรมสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ ที่บางแค ก็ได้ครับ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี ท่านถึงชีพิตักษัย เมื่อวันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน๘(ต้น) จุลศักราช ๑๒๓๔ ตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๕ ในเดือนมิถุนายน ปีนี้จะครบรอบ ๑๔๑ ปี ในการจากไปสู่โลกวิญญาณของท่าน การที่ท่านจากไปแล้วนานขนาดนี้แต่ชื่อเสียงกิติคุณของท่านยังไม่เคยจางหายไปจากประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นั่นยอมแสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านต้องมีสิ่งดีที่เป็นอมตะครองใจคนมายาวนาน ลองเข้าไปศึกษาประวัติชีวิต ปฏิปทา จริยวัตร ของท่านดูนะครับ ผมคิดว่าท่านอาจจะได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นครับ
    บทความสวรรค์รำลึกเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖
    โดย ศ.สวรรค์รำลึก webmaster@poosawan.org
     

แชร์หน้านี้

Loading...