รวมอานิสงส์ 40 อานิสงส

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    01 อานิสงส์คาถาอุณหิสสวิชัย

    ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระแท่นศิลาอาสน์ภาย
    ใต้ต้นปาริกชาติ ณ ดาวดึงสพิภพ ตรัสพระสัทธรรม เทศนา อภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา ใน
    กาลครั้งหนึ่งนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่ง นามว่าสุปติฏฐิตา ได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ก็
    อีก 7 วัน จะสิ้นบุญจุติจากดาวดึงส์ ลงไปอุบัติในนรกเสวยทุขเวทนาอยู่ตลอดแสนปี ครั้นสิ้นกรรมใน
    นรกนั้นแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน 7 จำพวก เสวย วิบากกรรมอยู่ 500 ชาติ ทุก ๆ จำพวก

    ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า อากาสจารินี ซึ่งเป็นผู้รู้ บุรพกรรมของสุปติฏฐิตาเทพบุตร อาศัยความคุ้นเคย
    สนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ เคยได้รักษาอุโบสถศีลด้วยกันในอดีตชาติล่วงมาแล้ว
    มองเห็นอกุศลกรรมตามทัน จะสนองผลแก่สหายของตนก็มีจิตปรานีใคร่จะอนุเคราะห์ จึงเข้าไปสู่
    สำนักของสุปติฏฐิตาเทพบุตร แล้วก็บอกเหตุที่จะสิ้นอายุภายในอันเร็ว ๆ นี้ ตลอดทั้งที่จะไปเกิดในนรก
    ครั้งพ้นจากนรกแล้ว จะต้องไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานให้ทราบสิ้นทุกประการ ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้
    ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว คิดปริวิตก บุพพนิมิต 4 ประการ คือ
    ดอกไม้ทิพย์ร่วงโรย ประการหนึ่ง สรีระ ร่างกายมัวหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง
    ผ้าทิพย์ภูษา เครื่องทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง ครั้งทรงผ้าสไบเข้าก็ร้อนกระวนกระวายไปประการหนึ่ง
    บุพพนิมิตเหล่านี้ก็ปรากฏแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร บุพพนิมิต 4 ประการนี้
    ปรากฏแก่เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดแล้ว เทพบุตรธิดาองค์นั้น จะต้องจุติจากเทวโลกอย่างแน่นอน

    เมื่อ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ทราบชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่นิ่งนอนใจใคร่จะหาเครื่องป้องกัน จึงเข้าไปสู่
    สำนักท้าวอเมรินทราธิราชเจ้า ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ แล้วทูลอ้อนวอนขอ
    ชีวิตในสำนักอมรินทร์ โดยอเนกปริยายท้าวเธอตรัสตอบว่า ชื่อว่าความตายนี้เราเห็นผู้ใหญ่ในสรวง
    สวรรค์ ก็ไม่อาจห้ามบุพพกรรมอันมีกรรมแรงนี้ได้ เราเห็นอยู่แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่
    พึ่งของสัตว์โลกทั่ว 3 ภพ พระองค์เสด็จประทับอยู่ใต้ต้นปาริกชาติ มาเราจะพาเข้าเฝ้ากราบทูล
    อาราธนา ให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ถือเครื่องสักการบูชาตามเสด็จท้าว
    อมรินทราธิราช เข้าสำนักพระมหามุนีนาถพระศาสดาจารย์แล้ว กราบทูลเหตุการณ์เหล่านั้น ให้พระ
    องค์ทรงทราบโดยสิ้นเชิง แล้วพระองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของ สุปติฏฐิตาเทพบุตร องค์นี้เกิดเป็น
    มนุษย์มีความเห็นผิด เป็นผู้ประมาทตั้งอยู่ในมิจฉาทิฏฐิเป็นพรานฆ่าเนื้อเบื่อปลาเป็นผู้มีใจแข็งกระด้าง
    ตบตีบิดามารดาต่อสมณชีพราหมณ์ ไม่ลุกรับนิมนต์ให้อาสนะที่นั่งภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปสู่สำนัก แม้เห็น
    แล้วก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย ด้วยวิบากผลอกุศลกรรมอันนี้ตามทันเข้า สุปติฏฐิตาเทพบุตรจึงได้ไปเกิดใน
    นรกตลอดแสนปี ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาก็จะไปกำเนิดแห่งสัตว์ 7 จำพวก คือเป็นแร้ง เป็นรุ้ง เป็นกา
    เป็นเต่า เป็นหนู เป็นสุนัข และเป็นคนหูหนวกตาบอดอย่างละ 500 ชาติ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมนั้น
    แหละ ขอมหาบพิตรจงทราบด้วยประการฉะนี้

    เมื่อท้าวอมรินทร์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร ยิ่งนัก จึงกราบ
    ทูลให้พระองค์ทรงแสดงพระสัจธรรมเทศนาอันจะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ไม่
    ให้ตายลงภายใน 7 วันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัย มีใจความดังต่อไปนี้
    อตฺถิ อุณฺหิสฺสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร สพฺพสตฺตหิตตฺถาย ตํ ตฺวํ คณฺหาหิ เทวเต ปริวชฺ
    เช ราชทณฺเฑ อมนุสฺเสหิ ปาวเก พยคฺเฆ นาเค วิเสภูเต อกาลเรเณน วา สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต
    ฐเปตุวา กาลมาริตํ ตสฺเสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทาสุทฺธสีลํ สมทาย ธมฺมํ สุจริตํ จเร ตสฺ
    เสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทา ลิกฺขิตตํ ปูชํ ธารณํ วาจนํ ครุ ปเรสํ สุตฺวา ตสฺส อายุปวฑฺฒตี
    ติ ฯ
    เทวเต ดูกรเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้ชื่อว่าอุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งพระธรรมทั้งหลายเป็น
    ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้าม
    เสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากผีปิศาจหมู่พยัคฆะงูใหญ่น้อย และพญาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะไม่
    ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูกรเทวดา ทั้ง
    หลายท่านจงมีความสุขเถิด
    อนึ่งบุคคลผู้ใดบูชาแก้วทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นยาอันอุดม ย่อมคุ้ม
    ครองผู้นั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยพยาธิทั้งปวง ด้วยอำนาจพระอุณหิสสวิชัยนี้ จะรักษาคุ้มครองให้ชีวิตของ
    ท่านเจริญสืบต่อไป ท่านจงรักษาไว้ให้มั่นอย่าให้ขาดเถิด เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง เทวดาทั้ง
    หลายมีท้าวอมรินทร์เป็นประธานได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเป็นอันมาก ฝ่าย สุปติฏฐิตาเทพบุตร มีจิต
    น้อมไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ได้กลับอัตตภาพใหม่ คือ มีกายอันผ่องใส เป็นเทวบุตร
    หนุ่มคืนมาแล้วจะมีอายุยืนตลอดไปถึงพระพุทธพระนามว่า ศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสจึงจะจุติจากเทว
    โลกลงมาสู่มนุษย์โลก เป็นพระอรหันตขีณาสวะองค์หนึ่ง ดังนั้นขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงสำเนียกไว้
    ในใจแล้วประพฤติปฏิบัติในพระคาถา อุณหิสสวิชัย ก็จะสมมโนมัยตามความปรารถนาทุกประการ

    แนะนำ :-
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    จวมานสูตร





     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    02 อานิสงส์ปัญญาบารมี

    ในสมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ชั้น
    ดาวดึงส์เทวสถาน ท้าวอมรินทราธิราช ได้ทูลถามถึงธรรมอันประเสริฐ ที่จะสามารถอำนวยมรรคผล
    ให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขจัดเสียซึ่งภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากหมู่มนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายให้
    พ่ายแพ้ไปด้วย อำนาจอานุภาพ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติท่องบ่นสาธยายทรงจำไว้ ซึ่งธรรมจะมีอยู่หรือ
    พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรมหาราช ธรรมที่ยังผู้ปฏิบัติให้ประสบสุขเช่นนั้น
    มีอยู่ท้าวอมรินทราธิราชจึงทูลถามต่อไปว่าธรรมนี้ชื่ออะไร พระพุทธเจ้าข้าพระบรมครูจึงตรัสว่า
    พระธรรมนี้ชื่อว่าปัญญาบารมี

    ท้าวอมรินทราธิราช ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมนี้
    พระบรมศาสดาทรงแสดงซึ่งปัญญาบารมี ที่พระองค์ได้เคยสร้างมาแล้วในอนันตะชาติว่าปัญญาบารมี
    30 ทัศนี้ เป็นยอดแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้ตรัส
    เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดได้เขียนไว้สักการบูชาก็ดี ได้สดับฟังทุกวันก็ดี ผู้นั้นจะเป็น
    ผู้มีสมบัติข้าวของมาก ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง
    ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและ
    ตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี 30 ทัศนี้ ให้บังเกิดมีแก่ตนย่อมประสบสมบัติ 3 ประการคือ
    มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติแม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จ
    พระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัญญาบารมีจบลงแล้ว ท้าวอมรินทราธิราช
    แสดงตนเป็นอุบาสก น้อมเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีพ เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผล
    เป็นอันมาก

    03 อานิสงส์กรวดน้ำ


    ในครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร พร้อมด้วย
    ภิกษุสงฆ์ มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถีนั้น มีทรัพย์สมบัติอยู่ 80 โกฎิ พราหมณ์ผู้นั้นมีบุตรชาย
    อยู่คนหนึ่ง เป็นที่รักมากเพราะมีบุตรคนเดียว พอบุตรชายมีอายุได้ประมาณ 17 ปี ก็เกิดโรคาพยาธิมา
    เบียดเบียน ก็ถึงซึ่งความตายไป พราหมณ์ผู้เป็นพ่อและแม่ บังเกิดความทุกขเวทยาโทมนัสเศร้าโศก
    เสียใจ เพราะอาลัยรักในบุตรที่ตายไปอย่างยิ่ง จึงให้สั่งคนใช้ที่เป็นบริวาร นำเอาศพไปเผาในป่าช้า
    และสั่งให้ปลูกศาลาขึ้นหนึ่งหลัง มีเสื่อสาดอาสนะ แล้วจัดทาสคนหนึ่งไปคอยปฏิบัติรักษาอยู่ในป่าช้า
    นั้น เพื่อจะได้ส่งข้าวน้ำอาหารเข้าและเย็นให้แก่ลูกชายของตนทุก ๆ วันมิได้ขาด ทำเหมือนกับบุตรชาย
    ของตนมีชีวิตอยู่ ทาสผู้นั้นก็ทำตามคำสั่งอยู่เสมอมิได้ขาดเลยสักวันเดียว

    อยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญฝนตกหนักมากน้ำก็ท่วมหนทางที่จะไปนั้นทาสผู้นั้นจะข้ามไปก็ไม่ได้จึงกลับมา
    ในระหว่างทางพบพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาตก็เลยเอาอาหารนั้นใส่บาตรให้เป็นทานแก่พระภิกษุ
    แล้วก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญนั้นส่งให้แก่ผู้ตาย ลูกชายที่ตายไปนั้นมานิมิตฝันให้พราหมณ์ผู้เป็นพ่อว่า
    ข้าพเจ้าได้ตายไปนานแล้วไม่เคยได้กินข้าวเลยสักวันเดียว เพิ่งจะมาได้กินข้าวแต่วันนี้วันเดียวเท่านั้น

    ครั้นพราหมณ์ผู้เป็นพ่อได้นิมิตฝันอย่างนี้ก็ใช้ให้คนไปตามทาสผู้ไปคอยเฝ้าปฏิบัติมาไถ่ถามดู
    ทาสผู้นั้นก็ตอบว่าข้าพเจ้าไปส่งข้าวทุก ๆ วัน แต่วันนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้ฝนตกหนัก น้ำท่วม
    ก็กลับมาพบพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต

    ข้าพเจ้าก็เลยเอาข้าวนั้นใส่บาตร แก่ภิกษุรูปนั้น แล้วอุทิศส่วนบุญนี้ไปให้บุตรของท่าน บุตรของท่านก็
    คงจะได้กินข้าวแต่วันนี้วันเดียวดังนี้แล ครั้นพราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้วก็คิดว่าเราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    เสียก่อน จะทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร พราหมณ์ก็ถือดอกไม้ธูปเทียนของหอมเข้าไปสู่สำนัก
    พระพุทธเจ้าแล้วบูชาเครื่องสักการะนั้น แล้วนั่งที่สมควรแก่ตน ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คนหญิงชายทั้งหลายในโลกนั้นครั้นเขาตายไปปรโลกแล้วผู้อยู่ภายหลัง
    ได้แต่งข้าทาสชายหญิงให้ไปปฏิบัติแล้วปลูกศาลาไว้ให้ เอาเสื่อสาดอาสนะช้างม้าวัวควายไปในป่าชั้น
    นั้น จะเป็นอานิสงส์แก่ผู้ภายไปนั้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกรพราหมณ์จะให้เป็นอานิสงส์แก่ผู้ตายนั้น
    ควรถวายสังฆทานให้แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณร ตรวจน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลที่ตนได้กระทำนั้นให้แก่ผู้ตาย
    จึงจะเป็นผลอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ไพศาลผู้ที่ตายไปแล้วนั้นครั้นได้รับส่วนอุทิศอันให้แล้วก็จะพ้นทุกข์
    ทั้งมวลนั้นได้อย่างแน่แท้

    ครั้นพราหมณ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ชื่นชมยินดีอย่างมาก แล้วทูลอาราธนาพระพุทธเจ้ากับทั้ง
    พระภิกษุสงฆ์ไปสู่บ้านเรือนของตน เพื่อฉันภัตตาหารครั้นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากับพระภิกษุสงฆ์ ฉัน
    ภัตตาหารเสร็จ ได้ถวายปัจจัย 4 มี จีวร เป็นต้น แล้วตรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้แก่ลูกชายของตน องค์
    สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาว่า ดูกรพราหมณ์ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่าได้ไปปฏิบัติ อยู่ในป่าช้านั้นอีกเลย
    ท่านจงรักษาศีลภาวนาอย่าได้ขาด บุตรของท่านก็จะได้พ้นทุกข์ ขึ้นไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้น
    ดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลงแล้ว บุตรชายของพราหมณ์ผู้ตายไปแล้วนั้นก็พ้นจากเปรตวิสัย
    ได้ไปอุบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองสูง 12 โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร
    พราหมณ์ผู้เป็นบิดาก็ตั้งอยู่ในศีล 5 ศีล 8 ตราบเท่าสิ้นชีวิตแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มี
    ปราสาททองและเทพกัญญาหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร ดังนี้เป็นต้น





     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    04 อานิสงส์ถวายปราสาทผึ้ง


    .....ในกาลครั้งหนึ่งนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่กรุงสาวัตถี เป็นที่โคจร
    บิณฑบาตพระองค์ประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ทรงขวนขวายแต่ที่จะรื้อเวไนยสัพพะสัตว์ทั้งปวง ให้
    ออกจากสังสารวัฎตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์ ให้ได้มรรคสี่ ผลสี่ ประดิษฐานในพระนิพพาน
    อันเกษมสุขนิราศภัย

    .....ในกาลครั้งนั้น ยังปัสเสนะทิโกสะโลราชา อยู่มาในวันเพ็ญแห่งเดือนสามบรม
    กษัตริย์ก็ตรัสสั่งให้เสวกามาตย์สร้างปราสาทผึ้ง แล้วเสนามาตย์ก็จัดแจงสร้างตามรับสั่งเสร็จแล้ว
    สมเด็จพระเจ้าปัสเสนทิโกศลราชบพิตรก็เอานักสนม นางกำนัลในบรรพษัททั้งหลาย มีพราหมณ์
    คหบดีเป็นต้นก็แห่แวดล้อมปราสาทดอกผึ้งเสด็จออกไปจากกรุงสาวัตถี ณ เวลาเช้าไปสู่บุพพาราม
    วิหาร อันเป็นสำนักองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ถวายบูชาธุปประทีปดอกไม้คันธะรสของหอมแล้ว
    ก็ถวายมธุปุปผํปาสาทํยังปราสาทดอกผึ้ง แล้วก็สถิตอยู่ในที่ควรข้างหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า
    “ภนฺเต ภควา” ข้าแต่พระพุทธอันประเสริฐ อุดมด้วยพระบวรสมันตญาณพระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้มี
    ศรัทธามาก่อสร้างมธุปปฺผํปาสาทํยังปราสาทดอกผึ้ง ให้เป็นทานจะมีอานิสงส์ดั่งลือพระพุทธเจ้าข้า
    .... ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรราชสมภาร
    บุคคลผู้มีศรัทธามาก่อสร้างมธุปปฺผังให้ทานก็จะได้อานิสงส์ 8 กัล์ป ท่านจะได้สำเร็จวิบูลย์สุขสมบัติไพศาล
    อันจะเป็นประจักษ์ในปัจจุบันนี้ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย เป็นผู้มีมิตรสหายมากกิตติศัพท์
    ความสรรเสริญลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศกล้าหาญในสมาคมไม่ครั่นคร้าม ผู้นั้นประกอบไปด้วย
    ปัญญามีสติสัมปชัญญะ ไม่ฟั่นเฟือนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอุบัติสุคติบนสวรรค์ ท่านย่อมมีผลทั้งใน
    ภพนี้ และภพหน้านำกุศลสมบัติให้มีโภคะบริบูรณ์เป็นที่พึ่งของปวงสัตว์ผู้เข้าไปสำนักของท่านก็
    บริบูรณ์ เพราะอานิสงส์ที่ถวายปราสาทดอกผึ้งนั้นและโดยมีเหตุอ้างอยู่ในเมื่อครั้งศาสนาของพระพุทธ
    เจ้านามว่าวิปัสสีกุฎมพีผู้หนึ่ง ได้ถวายปราสาทผึ้งแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสีแล้วจึงตั้งปณิธาน ความปรารภ
    ว่าให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเถิด ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปอุบัติขึ้นบนสวรรค์ ในชั้นดาวดึงส์
    มีวิมานสูงได้ 12 โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรกัลป์หมื่นหนึ่ง ครั้นจุติจากชั้นฟ้าที่นั้นแล้วก็ได้มาอุบัติใน
    สาคคะยา พราหมณ์มหาศาลผู้มีข้าวของถึง 80 โกฏิ ทรงพระนามว่าคะวัมปัตติกุมาร ครั้นเจริญใหญ่
    ขึ้นมาบิดาก็ได้อภิเษก แล้วมอบทรัพย์สมบัติให้ครอง ครั้นถึงสมัยพระบรมศาสดาจารย์ของเรา ออก
    ไปบรรพชา ท่านก็ออกไปบรรพชาด้วยเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งศาสนาพุทธเจ้าของเรา ด้วยอานิสงส์
    ท่านได้สร้างมธุปูปฺผังปาสาทดอกผึ้งให้เป็นทานนั้นแล

    05 อานิสงส์ถวายต้นกัลปพฤกษ์


    .....สมัยนั้นพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหารในกรุงสาวัตถี ในทางที่โคจร
    บิณฑบาตนั้นมีกะฏุมพีผู้หนึ่ง ชื่อว่า ติสสมาณพ เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสพร้อมกับภรรยาของตน ช่วยกันทำ
    ต้นกัลปพฤกษ์และมีบริขาร ๘ ประการเป็นต้นว่ามีสบง จีวรและของควรเคี้ยวควรฉัน นำมาแขวนห้อย
    ไว้ตามต้นผ้ากัลปพฤกษ์ นั้น แล้วนำไปถวายแก่องค์สมเด็จพระศาสดา แล้วก็กราบทูลถามว่า
    ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลทั้งหลายที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธามาสร้างต้นกัลปพฤกษ์
    ถวายบูชาแก่พระพุทธเจ้ามีอานิสงส์เป็นอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าข้า

    ..... องค์สมเด็จพระมุนีนาถพระศาสดาจึงทรงตรัสพระธรรมเทศนาว่าดูกรติสสะบุคคลทั้งหลายผู้ใด
    มีใจศรัทธามาก่อสร้างกัปปรุกขัง ยังต้นกัลปพฤกษ์ ถวายบูชาคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการนี้แล้ว
    จะเป็นผู้มีอานิสงส์มากึง ๑๖ กัล์ป และบุคคลผู้กระทำนั้น ครั้นสิ้นชีพไปแล้วก็จะไปเกิดบนสวรรค์
    ครั้นจุติจากสวรรค์แล้ว ก็จะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้จะครองสมบัติพระจักรพรรดิราชในบ้านน้อยเมืองใหญ่
    ถึง ๒๘ ชาติ ครั้นเมื่อ ติสสมาณพกับภรรยา ได้ฟังพระธรรมเทศนาอานิสงส์อย่างนี้จบลงแล้ว
    ก็เกิดโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วกราบทูลลาต่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปสู่บ้านเรือนของตน
    ครั้นติสสะมาณพอยู่จนสิ้นอายุ ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนดาวดึงส์เทวโลกสถานมีวิมานสูง
    ๗ โยชน์ มีนางอัปสรหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร ก็ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายต้นกัลปพฤกษ์มีบริขาร ๘ ประการ
    ดั้งนี้เป็นต้น



     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    06 อานิสงส์ถวายอัฏฐะบริขาร


    .....ในกาลครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จอาศัยกรุงสาวัตถี อันเป็นที่
    โคจรบิณฑบาต เสด็จประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ณ ป่าเชตวันในกาลครั้งหนึ่งมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่
    ในบ้านสถาน ชื่อว่า หะโตสะเศรษฐีปลูกโรงมณฑปไว้หน้าเรือนของตน และทำสร้างแปลงอัฏฐะ
    บริหาร ๘ ประการเป็นต้นว่า ผ้าจีวร สบง สังฆาฏิ บาตรและผ้ากรองน้ำ คิลานเภสัช และขวานสิ่ว
    เสื่อสาดอาสนะ ครบเครื่องอัฏฐะ แล้วทำการมหรสพอันยิ่งใหญ่ประจบครบ ๗ วัน แล้วจึงนำกอง
    อัฏฐะเข้าไปสู่ป่าเชตวัน ณ บุพพรามวิหารอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถวายบิณฑบาต
    และอัฏฐะแก่พระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เสร็จจากการภัตตากิจแล้วก็กราบทูลถามถึง
    องค์ผู้เจริญ อันบุคคลที่มีจิตศรัทธาประสันนาการ มาสร้างอัฏฐะ บริขาร ๘ ประการให้เป็นทาน จะได้
    อานิสงส์อย่างไรพระเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า ดูกรเศรษฐีบุคคลใดที่มีใจ
    ศรัทธาเลื่อมใสมาก่อสร้างบริการ ๘ ประการ ถวายเป็นทานก็จะได้อานิสงส์ ๓๖ กัล์ป บุคคลผู้นั้นจะไม่
    ไปสู่อบายภูมิได้ ๑๐๐ ชาติ จะได้เสวยสมบัติในชั้นสวรรค์ภายหลังจะได้พระนิพพานสมบัติ อันสิ้นภพ
    สิ้นชาติสิ้นทุกข์สิ้นภัยไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การถวายทานด้วยเครื่องอัฏฐะบริขารนี้เป็น
    เยี่ยงอย่างประเพณีแห่งพระบรมโพธิสัตว์สืบ ๆ กันมา พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาเทศนาว่า
    ดูกรเศรษฐีในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ในครั้งพระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมีบริบูรณ์ ได้ตรัสรู้
    ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาโปรดเวไนยบรรพ
    สัตว์ ให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และทางนิพพาน ครั้งนั้นยังมีบุรุษเข็ญใจเลี้ยงชีวิตด้วยความลำบากไปเที่ยว
    เก็บผักหักฟืนมาขายเลี้ยงชีวิตอยู่มาวันหนึ่งไปเห็นพระปัจเจกโพธิองค์หนึ่ง อยู่ในป่า ก็มีจิตศรัทธา
    เลื่อมใสในพระปัจเจกโพธิเข้าไปถวายอภิวาท แล้วแบกเอามัดฟืนและผักกับมาขายได้เงินพอสมควร
    แล้วจึงนำไปซื้อผ้าแพรมาทำเป็นผ้าสบง จีวรสังฆาฏิบาตรครบเครื่องอัฎฐะแล้วจึงนำเข้าไปถวายแก่
    พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วจึงตั้งปฏิธานด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าได้ทำทานในครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจาก
    ความเข็ญใจได้ยาก เหมือนดั่งชาตินี้และเมื่อข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารตราบใดขอให้ข้าพเจ้า
    บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำแนกแจกทานแก่ท่านผู้มีศีล และคนยาจกวณิพกคนขอทุกทั่วหน้า
    และขอให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณครั้นปรารถนาแล้วก็กลับไปสู่บ้านเรือนของตน
    ขวนขวายหาเลี้ยงมารดาตราบเท่าสิ้นอายุ ก็ไปบังเกิดสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานทองสูง ๒๘ โยชน์ มีนาง
    ฟ้าเทพอัปสร ๕๐๐ เป็นบริวาร ครั้นจุติจากตุสิตพิภพแล้ว มาถือกำเนิดในตระกูล สากยะเสตะราชกรุง
    สาวัตถี บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ ครั้นเจริญวัยขึ้นก็ได้เสวยราชสมบัติแทนบิดา ทรงพระนามว่าสมเด็จ
    พระยาปัสเสนทิโกศลในกาลบัดนี้ ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว หะโตสะเศรษฐีได้ทูลลาไปสู่เรือนของ
    ตนครั้นเมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็ไปบังเกิดในดุสิต เสวยทิพย์สมบัติ มีวิมานทองสูง ๒๐ โยชน์ มีเทพอัปสร
    ๓ หมื่น เป็นบริวาร



     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    07 อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก

    ...ในกาลครั้งนั้นองค์สมเด็จพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พร้อมภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป
    ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้นำเครื่องสักการะทั้งหลาย
    เข้าไปสู่พระเชตะวันมหาวิหารถวายอภิวาท แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควร
    ส่วนข้างหนึ่งแล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอันบุคคลใดกระทำสักการะบูชาสรงเถราภิเษก
    แก่สงฆ์ ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธาจะได้ผลอานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จึงตรัสว่า ดูกรมหาราช บุคคลใด มีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการในเมื่อปรารถนาอันใด
    ก็จะสมความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกประการ การทำเถราภิเษกนี้ได้ทำกันสืบ ๆ มาในครั้งพุทธเจ้าก่อน ๆ

    ... แล้วพระองค์ทรงแสดงสืบต่อไปว่า ในกาลครั้งนั้นเป็นสมัยครั้งศาสนาของพุทธเจ้าเมธังกร ยังมี
    พระยาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าวิชัยยะ ได้เสวยสมบัติในเมืองสารนครประกอบไปด้วยทศพิธราช
    ธรรม ๑๐ ประการ มีเถระองค์หนึ่งชื่อว่าอุสสาเป็นอันเตวาสิกแห่งพุทธเจ้าเมธังกร
    พระยาวิชัยยะได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหาเถระเข้ามาในเมือง พระยาวิชัยยะก็มีใจศรัทธาเลื่อมใสใน
    อิริยาบถ ของพระมหาเถระเจ้าเสร็จไปต้อนรับนิมนต์ให้ไปสู่ปราสาทของพระองค์ แล้วก็จัดแจงสรง
    เถราภิเษกด้วยน้ำหอม เสร็จแล้วถวายภัตตาหารตั้งความปรารถนาว่า ปวงชนทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขต
    ขัณฑเสมา ขอจงตั้งอยู่ในโอวาทคำสอนของพระองค์ทุกเมื่อ และขอให้ข้าพระองค์ได้พ้นจากทุกข์ภัย
    เวร ข้าศึกศัตรูทั้งหลายด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ในอนาคตกาลโน้นเทอญ พระมหาเถระเจ้าก็
    ได้อนุโมทนาแห่งพระยาวิชัยยะ แล้วถวายพระพรทิพย์ ๑๐ ประการ ลากลับไปสู่สำนักแห่งพระมหา
    เถระเจ้า พระยาวิชัยยะได้รับพร แห่งพระมหาเถระแล้วมีจิตยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ ต่อบุญกุศลของพระ
    องค์ที่ทรงกระทำไว้ ครั้นจุติจากโลกแล้วก็ไปอุบัติ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพิภพ มีวิมานทองสูง
    ๒๒ โยชน์มีนางเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็นบริวาร ครั้นสิ้นชีพเทวบุตรแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเจ้าพระสิริตะ
    เสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ได้มาเกิดเป็นองค์พระตถาคตเดี๋ยวนี้แล



     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    08 อานิสงส์บวช


    ...บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการ
    บรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชา
    ทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์
    ๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้า
    อุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้
    บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะ
    เห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไป
    บวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณร
    ครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพัก
    ผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้
    กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราช
    ทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟ
    แดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของ
    ลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยัง
    ได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึง
    นำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้น
    ไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้า
    ปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น



     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    09 อานิสงส์สร้างศาลาโรงธรรม


    ...อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้สร้างอารามเชตวันมหาวิหารถวายแก่ พระศาสดา และสาวกทั้งหลาย
    อยู่มาวันหนึ่งพระสาวกก็ปรารภกันว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี มีจิตศรัทธา
    สร้างวัดวาอารามทั้งหลายถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้า กับทั้งเป็นผู้เลี้ยงคุ้มครองรักษาพระศาสดาจะ
    เป็นประโยชน์อย่างไรหนอ สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงทราบโดยพระญาณของพระองค์แล้วเสด็จมา ใน
    ที่พระสงฆ์ประชุมนั้น แล้วทรงถามดูกรภิกษุทั้งหลายได้ประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุมีพระอานนท์
    เป็นต้น ก็กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ปรึกษากันด้วยเรื่องอนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้ก่อสร้าง
    อาคามถวายพระพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ จะได้อานิสงส์แก่ท่านอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลครั้งหนึ่งมีพระเจ้าสุทัสน์ได้เสวยราชสมบัติเป็น
    กษัตริย์ในเมืองสุทัสน์นคร ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าปิยทัสสีได้สร้างอารามเป็นทานแก่พระพุทธ
    เจ้าปิยทัสสี แล้วตั้งปณิธาน ความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด เมื่อ
    สิ้นชีพตามอายุขัยแล้วก็ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เสวยสมบัติทิพย์มีนางฟ้าเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็น
    บริวาร มีวิมานทองสูง ๔๕ โยชน์ มีอายุยืนนานได้พันปีทิพย์ ครั้นจุติก็มาเกิดเป็นบุตรพยากาวิตะ
    กษัตริย์ ในเมืองเสถะนคร ชื่อว่ารามวัตติกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วได้ดาบกายสิทธิ์ มีวชิราเพชรช้างแก้ว
    ม้าแก้ว วัวแก้ว ปราสาทแก้ว เกิดขึ้นด้วยบุญกุศลราศี ที่ได้ก่อสร้างอารามศาลาให้เป็นทาน ครั้นได้ละ
    จากอัตตภาพนั้น ก็ได้เสริมสร้างบารมีจนมาเกิดเป็นองค์พระตถาคตในกาลบัดนี้เมื่อพระบรมศาสดาได้
    แสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้วเหล่าภิกษุทั้งหลายก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ
    อนาคามีและพระอรหันตปฏิสัมภิทาญาณ



     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    10 อานิสงส์สร้างกุฎีวิหาร


    ......ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่ ณ ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระองค์เที่ยว
    โปรดเวไนยสัตว์ให้ได้มรรค ๔ ผล ๔ ในครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ได้ครองราชสมบัติที่กรุงราชคฤห์ก็มี
    จิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า แล้วก่อสร้างกุฎีวิหารในพระราชอุทยานเวฬุวัน สวนป่าไม้ไผ่ ให้
    เป็นวัดแรกในพุทธศาสนาถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พร้อมกับถวาย
    ภัตตาหารเป็นสังฆทานสมเด็จพระบรมศาสดา พร้อมกับภิกษุสงฆ์เสร็จภัตตากิจแล้ว พระเจ้าพิมพิสาร
    ทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธา ปสันนาการ เลื่อมใสมาก่อสร้างกุฎี
    วิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น จะได้ผลานิสงส์เป็นประการใด ขอให้พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา
    ให้ข้าพุทธเจ้า พร้อมบริษัททั้งหลายให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดา
    ทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร บุคคลผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระ
    รัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฎีวิหารศาลาคูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทาน จะประกอบด้วยผลอานิสงส์มาก เป็น
    อเนกประการนับได้ถึง ๔๐ กัลป์

    พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า อดีต ในอดีตกาลล่วงมา
    แล้ว พระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลกยังศูนย์เหล่าอยู่สิ้นกาลช้านานในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิ
    เจ้าทั้งหลายก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้ เมื่อพระปัจเจกโพธิเจ้าก็อาศัยในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งมี
    ความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นว่านแคว้นกาสิกราชมาอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้
    บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพ
    ตามเคย ก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวาย
    นมัสการแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้ พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่า
    ดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้ว อาตมาเที่ยวแสวงหากุฏีวิหาร ที่จะจำพรรษา นายช่างก็อาราธนา
    ให้อยู่จำพรรษาในที่นี้พระปัจเจกโพธิ ทรงรับด้วยการดุษณียภาพสองคนพ่อลูกก็ดีใจ จึงขออาราธนา
    พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปสู่เรือน ถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิสองคนพ่อลูกก็เที่ยวตัดไม้แก่นมาทำ
    สร้างกุฎีวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ และทำที่จงกรมเสร็จแล้วขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้เป็น
    สุขเถิดพระเจ้าข้า

    ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปฏิธานความปรารถนา ขอให้
    ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจ และขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์
    หนึ่งเถิด พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญ นายช่างสองคนพ่อลูกอยู่จนสิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกริริ
    ยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร
    เสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลช้านานจุติจากสวรรค์นั้นแล้วก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของ
    พระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานคร ทรงพระนามว่ามหาปนาทกุมาร ๆ เจริญวัยขึ้นได้
    เสวยราชสมบัติ เป็นพระยาจักรพรรดิราช ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฎีวิหารถวายเป็นทานแก่
    พระปัจเจกโพธิ ครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติสวรรค์
    สมบัติ แล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิ ก็ได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่
    ใน ๓ ฤดู ครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในศาสนาของตถาคตดังนี้แล ส่วน
    เทพบุตรองค์พ่อนั้น ยังเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัส
    สัพพัญญู เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ พระอัครมเหสีสมเด็จ
    พระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่าสังขกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนาม
    ว่าสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวาร พระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้าน
    เมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์ กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ ก็ได้ถึงอรหันต์ได้เป็นอัคร
    สาวกเบื้องขวา ทรงพระนามอโสกเถระ ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฎีให้เป็นทานนั้นแล อันเป็นบุญให้ถึง
    ความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ

     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    11 อานิสงส์สร้างเวจกุฏี (ห้องน้ำ)


    .....ใจความว่า พระศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร แห่งกรุงสาวัตถี
    มีมาณพคนหนึ่งเป็นช่างทองทำการขายทองรูปพรรณอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น จนมั่งมีโภค
    ทรัพย์สมบัติมากอยู่มาวันหนึ่งมาณพนั้นมาคิดว่า เราค้าขายทองก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
    ทรัพย์ที่หามาได้โดยยาก ก็ไม่อยากจะให้สูญหายไปโดยเร็ว ตริตรองหาวิธีที่จะเก็บทรัพย์ให้ได้อยู่นาน
    ก็ไม่พบวิธีที่จะป้องกันความเสื่อมเสียของทรัพย์ได้ เพราะว่าทรัพย์เป็นของกลางเป็นเครื่องอาศัยของคน
    ทุกคน สุดแล้วแต่ใครจะขยันหมั่นเพียรหามาได้เท่านั้น ถึงแม้จะหามาได้มากก็ดี ถ้าขาดปัญญาเป็น
    เครื่องรักษาทรัพย์แล้วทรัพย์นั้นก็ไม่คงทนอยู่ได้ แม้จะอยู่ได้ตลอดไปตนเองก็มีชีวิตยืนนานที่จะบริโภค
    ต่อไปไม่ได้เพราะความตายย่อมมาพรากตนให้หนีไปเสียจากทรัพย์เมื่อสิ้นชีพแล้วทรัพย์เหล่านั้น ก็ไม่
    ติดตามตนไปปล่อยไว้ให้คนอื่นเขาใช้สอยอย่างสบาย เห็นมีอยู่แต่อย่างเดียวเท่านั้น ที่จะติดตามตัวไป
    ในอนาคต คือฝังทรัพย์ไว้ในพุทธศาสนาเมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็คิดดูว่าจะทำอะไร สิ่งอื่น ๆ ก็มีผู้ทำไว้หมด
    แล้ว ก็เห็นแต่เวจกุฎีเท่านั้นที่ยังไม่มีใครทำเลย

    เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจึงได้สร้างขึ้นเมื่อสำเร็จแล้วยังได้สร้างโรงไฟ แลที่สำหรับอาบน้ำอีกด้วย
    เมื่อเสร็จสรรพดีแล้ว ก็ทำการฉลองอย่างมโหฬารและมอบถวายแก่ ภิกษุสงฆ์
    มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นประธานแล้วตั้งปฏิธานความปรารถนาว่าข้าแต่ท่านผู้
    เจริญ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานตราบใด ขึ้นชื่อว่าความทุกข์อันเกิดแต่โรคต่าง ๆ อย่าได้มาแผ้ว
    พานต่อข้าพเจ้าเลย อิมินาทาเนน ด้วยอำนาจผลทานนี้พระสารีบุตรก็อนุโมทนาว่า ขอให้ความ
    ปรารถนาจงเป็นผลสำเร็จเถิดมาณพนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทผลทาน ให้สมาทานศีลครั้นทำกาลกิริยาตาย
    ไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์เทวโลก มีสมบัติวิมานทอง มีเทพอัปสรเป็นยศบริวาร อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้ง
    หลายนั่งสนทนา ถึงมาณพผู้นั้นอยู่พระศาสดาเสด็จมาถึงในที่นั้นแล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอ
    นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ

    พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นรชนทั้งหลายเกิดมาได้พบพระพุทธเจ้าและในขณะที่พุทธศาสนายังประดิษฐานอยู่
    จะเป็นผู้เศร้าโศกในอบายภูมิ เป็นจำนวนมากมาณพที่เป็นช่างทองนี้ได้พบทั้ง
    สองประการแล้วไม่เป็นผู้ประมาท ได้สร้างเวจกุฎีถวายบูชาพระรัตนตรัยด้วยศรัทธาเลื่อมใส ได้เสวย
    สุขในสุคติโกลสวรรค์ และเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพาน แม้ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระ
    นามว่าตัณหังกร เราตถาคตก็เคยสร้างเวจกุฎี และที่สำหรับอาบแก่พระภิกษุสามเณรได้ตั้ง
    สัตยธิษฐานว่า ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล ด้วยผลแห่งอานิงส์
    ที่ข้าพระองค์ได้สร้างเวจกุฎีให้เป็นสาธารณะทานนี้ ตถาคตครั้นทำลายขันธ์แล้วก็ไปบังเกิดสวรรค์เสวย
    ทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดุสิตครั้นจุติจากชาตินั้นแล้ว ได้ท่องเที่ยงอยู่สังสารวัฎฎ์จนบารมีเต็มเปี่ยมแล้วจึงตรัส
    เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตถาคตนี้เอง ก็สมดังคำปรารถนาในครากาลครั้งโน้นทุกประการ เมื่อจบ
    พระธรรมเทศนาจบลงแล้วชนทั้งหลายเป็นอันมากได้ดวงตาเห็นธรรม ต่างก็รื่นเริงบันเทิงใจในเวจกุฎี
    เป็นยิ่งนัก

     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    12 อานิสงส์กฐินทาน


    ......ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอุบัติในโลก มีบุรุษเข็ญใจไร้ญาติพี่น้องทั้งทรัพย์
    สินเงินทองก็ขาดแคลนอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองพาราณสี ไปหาสิริธรรมมหาเศรษฐีมีทรัพย์
    ๘๐ โกฏิ แล้ววิงวอนขออยู่เป็นลูกจ้าง ท่านเศรษฐีมีความสงสารจึงถามว่ามีความรู้อะไรบ้าง บุรุษเข็ญ
    ใจบอกว่า ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่กำลังกายเท่านั้นท่านเศรษฐีกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นเจ้าจง
    ไปรักษาหญ้าเราจะให้ข้าววันละหม้อ

    ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บุรุษก็รักษาหญ้าจนมีชื่อว่า ติณณปาละ อยู่มาวันหนึ่ง ติณณปาละมาคิดว่าตัวเรานี้ ในชาติปางก่อนคงจะไม่ได้ทำบุญกุศลอันใดไว้เลย มาถึงชาติ นี้เราจึงได้ลำบากยากแค้น แม้แต่อาหารจะรับประทานไปวันหนึ่งๆ ก็ทั้งยาก แต่นี้ต่อไปเราจะต้องขวนขวายให้ทานทุก ๆ วัน เมื่อมีความตั้งใจอย่างนี้แล้ว ก็แบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน ๆ หนึ่ง ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งไว้บริโภคเองทำอย่างนี้มาตลอดทุก ๆ วันมิได้ขาดด้วยอำนาจบุญกุศล ที่ติณณปาละทำนั้น ก็ทราบไปถึงสิริธรรมเศรษฐีผู้เป็นนายจ้างจึงสั่งให้เพิ่มอาหารขึ้นอีกเป็น ๓ ส่วน
    ติณณปาละก็แบ่งออกไปอีกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่งให้แก่ยาจก อีกส่วน
    ตนเก็บไว้บริโภค ทำอยู่อย่างนี้เป็นลำดับมา
    จนถึงฤดูออกพรรษาประชาชนและท่านสิริธรรมเศรษฐีได้พากันทำกฐินทานเพื่อจะถวายแก่ภิกษุสงส์ ผู้อยู่จำพรรษาด้านไตรมาส สามเดือน ติณณปาละได้ทราบ ข่าวดังนี้แล้วก็เข้าไปหาสิริธรรมเศรษฐีถามถึง
    อานิสงส์ผลของกฐินทานว่าการถวายทานอย่างนี้ คงจะมี ผลเป็นอันมาก เพราะประชาชนไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันหลายคนเศรษฐีบอกถึงคุณานุภาพ ของกฐินทานโดยละเอียดจนติณณปาละเกิดศรัทธาแก่กล้า ก็ถามว่าอีกเมื่อไรจะถึงกำหนดถวาย เศรษฐีบอกว่าอีก ๗ วัน

    ติณณปาละก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตนก็คิดว่าจะนำของไปเห็นวัตถุทานก็ไม่มี เห็นอยู่แต่ผ้านุ่งผืน
    เดียวเท่านั้นที่จะนำเข้าเป็นส่วนกฐินทานได้ เมื่อจะเปลื้องผ้าออกทาน ตัวกิเลสคือความตระหนี่เหนียว
    แน่นก็มากั้นไว้ถ้าสละผ้าผืนนั้นแล้วเราจะไหนนุ่ง มีอยู่ผืนเดียวเท่านี้ ผลที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเรา
    จะต้องถวายแน่ ก็เปลื้องผ้ามาทำการซักฟอกและย้อมด้วยน้ำฝาดตนเองก็เอาใบไม้มานุ่ง ป้องกันความ
    อายเท่านั้น แล้วรีบนำผ้าไปหาเศรษฐี มอบอนุโมทนาผ้านั้นเข้าเป็นส่วนบริวารของกฐินนั้น เศรษฐีก็รับ
    อนุโมทนานำผืนของติณณปาละเข้าเป็นส่วนผ้าบริวาร ซึ่งยังขาดอยู่ผืนหนึ่งแล้วนำไปถวายแก่พระภิกษุ
    สงฆ์
    เสียงโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยเสียงสาธุการของเทวดาทั่วทั้งอากาศและปฐพี พระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ตกพระทัยกลัวว่าจะมีมรณภัยมาถึงพระองค์รับสั่งให้หาปุโรหิต
    แล้วตรัสถามถึงเหตุโกลาหลอื้ออึงนั้น ในครั้งนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งที่รักษาอยู่เศวตฉัตรจึงกล่าวว่า ดูกร
    มหาบพิตรเสียงโกลาหลอื้ออึ้งนั้น มิใช่ว่าจะมีภัยมาถึงพระองค์นั้นเป็นเสียงของเทวดาทั้งหลายในหมื่น
    โลกธาตุได้สาธุการส่วนบุญของติณณปาละเป็นคนเข็ญใจ รักษาไร่หญ้าของเศรษฐี ได้เปลื้องผ้านุ่งของ
    ตนออกมาเข้าส่วนกฐินทาน พระองค์อย่าตกพระทัยไปเลย พระราชาทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงปีติยินดี รับ
    สั่งให้หาติณณปาละพร้อมทั้งส่งผ้าสาฏกคูหนึ่ง ราคาผืนละหนึ่งแสนกหาปณะไปพระราชทาน นาย
    ติณณปาละก็นุ่งสาฎกเข้าเฝ้าพระราชา ครั้นพระราชาทรงขอซื้อส่วนกุศลด้วยทรัพย์มีประมาณพันหนึ่ง
    จนทวีขึ้นเป็นลำดับจนถึงแสนกหาปณะ ติณณปาละ ก็ไม่ขายให้ตามพระประสงค์ได้จึงกราบทูล จะ
    ทรงซื้อด้วยทรัพย์นั้นไม่ได้ พระเจ้าข้าถ้าหากพระองค์จะอนุโมทนาส่วนบุญนี้ได้อยู่
    พระเจ้าข้า พระราชามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งให้คนดีฆ้องร้องประกาศตลอดทั้งพระนครแล้วพระราช
    ทาน ช้าง ม้า โค กระบือ ข้าทาส ชายหญิงอย่างละหนึ่งร้อย บูชาแก่ติณณปาละเป็นอันมาก แล้วตั้งไว้
    ในตำแหน่งเศรษฐีส่วนพ่อค้าคฤหบดีเศรษฐี ก็พากันสละทรัพย์เป็นจำนวนมากออกบูชาคุณติณณปาละ
    เป็นสมบัติมากมาย ที่ติณณปาละได้แล้วก็ด้วยบุญกุศลเจตนาอันแรงกล้า จึงเป็นผลสำเร็จให้ผลทันตา
    เห็นในปัจจุบันชาติ ครั้นติณณปาละทำกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์
    ครั้นถึงพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส ติณณปาละเทวบุตร ก็จะจุติลงมาอุบัติเป็นราชโอรส แห่งนครมัณฑาลวดี ครั้นต่อมาเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา อยู่ ๔ หมื่นปีแล้วออกบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา สำเร็จพระอรหันต์องค์หนึ่งของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีนามว่าติณณปาละเถระ ดังนี้เป็นต้น ตสฺมา สาธโว เมื่อสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ทราบรู้เหตุรู้
    ผลของการถวายผ้ากฐินทานว่ามีอานิสงส์อย่างไรแล้วก็ขออย่าให้ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นผู้ประมาท ใน
    เมื่อถึงคราวกาลสมัยที่จะถวายก็ควรจะถวายก็ควรทำจะเป็น ของมากน้อยอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญอยู่
    ว่าให้ทำและทำด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง แล้วตั้งความปรารถนาของตนไว้ด้วยดี มิใช่ว่าทำเห็นแต่หน้าหา
    ความศรัทธามิได้ ทรัพย์ที่เราสละไปก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ ถ้าเราทำด้วยความเต็มใจแล้วถึงแม้จะน้อยก็
    ย่อมมีอานิสงส์มากดังเรื่องติณณปาละ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    13 อานิสงส์ถวายผ้าอาบน้ำฝน


    ....การถวายผ้าอาบน้ำฝนมีผลานิสงส์อย่างไร เป็นใจความว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถีในวันนั้นเป็นวัน ๘ ค่ำ นางวิสาขาได้ถือเครื่อง
    สักการะ พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมากไปสู่สำนักพระพุทธเจ้าถวายเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยแล้ว
    บังเอิญฝนตก พระภิกษุทั้งหลายได้เปลือยกายอาบน้ำฝนกันมากมาย นางวิสาขาเห็นเช่นนั้นแล้วก็เกิด
    ความละอาย และคิดในใจว่าพระภิกษุไม่มีผ้าสำหรับอาบน้ำฝน ก็บังเกิดมีจิตศรัทธา คิดจะสร้างผ้าอาบ
    น้ำฝนถวายเป็นทานแล้วก็กลับไปสู่กรุงสาวัตถี จัดแจงหาผ้าได้พอสมควรแล้วพอตอนเย็นก็พาบริวาร
    และผ้านั้นมาสู่สำนักพระพุทธองค์แล้วถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้น แก่องค์พระศาสดาพร้อมทั้งภิกษุทั้งหลาย
    แล้วกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้มีผลานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า
    พระองค์ได้ตรัสเทศนาว่า ดูกรนางวิสาขา ถ้าบุคคลใดมีจิตศรัทธานำผ้าอาบน้ำฝนมาถวายแก่พระภิกษุ
    ในพุทธศาสดาจะมีผลานิสงส์เป็นอเนกประการแล้วพระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงต่อไปว่าใน
    ศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีหญิงเข็ญใจคนหนึ่ง มีนามว่า อมัยทาสีอยู่มาวันหนึ่งนางได้
    เห็นคนทั้งหลาย นำผ้ากาสาวพัตรไปสู่สำนักภิกษุสงฆ์ให้เป็นทาน โดยกระทำให้เป็นผู้อาบน้ำฝน
    นางอมัยทาสีก็มีศรัทธาอยากจะทำบุญกับเขาบ้าง นางก็คิดว่าจะทำอย่างไรดีหนอ ที่เราจะได้ทำบุญใน
    คราวนี้บ้าง พิจารณาผ้าที่จะให้ทานก็ไม่มี รีบไปหามารดา แล้วบอกความจำนงของตนให้มารดา มารดา
    ก็ตอบว่า เราจะเอามาแต่ที่ไหน เราก็เป็นทาสเขาอยู่ นางอมัยทาสี เมื่อได้ยินดังนี้น้ำตาก็ไหลด้วยความ
    เสียใจ มารดาของนางก็มีจิตสงสาร จึงแนะนำให้นางอมัยทาสีไปขึ้นค่าตัวกับนายนางได้รับคำแนะนำ
    เช่นนั้นแล้วก็มีความยินดีจึงรีบไปหานายของนาง ฝ่ายเศรษฐีผู้เป็นนายก็ปฏิเสธไม่ยอมให้นางอมัยทาสี
    ขึ้นค่าตัว นางไม่มีความสบายใจนางมาคิดว่าเมื่อชาติก่อนนี้เราไม่ทำบุญให้ทาน มาชาตินี้เราจึงได้ตก
    ระกำลำบาก ถึงเวลาจะทำบุญกับเขาบ้างก็จะไม่ทำกับเขาคราวนี้จะเป็นตายอย่างไรจะต้องขอทำบุญให้
    ได้ในครั้งนี้ ด้วยจิตศรัทธาแรงกล้านางอมัยทาสีทนความอับอาบขายหน้า ได้สละผ้าห่มแล้วนำใบไม้มา
    เย็บกลัดพอปกปิด บรรเทาความอายแล้วเอาผ้าซักฟอกให้หมดความสกปรกแล้วนำดอกไม้ธูปเทียน
    พร้อมด้วยผ้าไปสู่ธรรมศาลาถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้นในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ก่อนเข้าพรรษาพร้อมกับ
    มหาชนทั้งหลาย แล้วตั้งความปรารถนาว่า ด้วยอานิสงส์ที่ตนได้กระทำบุญในคราวครั้งนี้ ขึ้นชื่อว่า
    ความยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์อย่าได้มีในชาติต่อ ๆ ไป จนถึงพระนิพพาน และขอให้พบพระศาสนา
    พระศรีอริยเมตไตรย์ เมื่อคำปรารถนาของนางจบลงแล้ว เทวดาทั้งหลายก็ซ้องสาธุการสนั่นหวั่นไหว
    ด้วยอานิสงส์ของนางอมัยทาสีทำบุญในคราวครั้งนั้น อยู่มาได้ ๗ วัน พระเจ้าพันธุมหาราช ได้เสด็จไป
    พบนางกำลังหาบฟืนมาในระหว่างทางก็เกิดความปฏิพัทธ์รักใคร่ในตัวนางมาก จึงตรัสปราศรัยไต่ถาม
    ความตลอดแล้วจึงยกนางขึ้นราชรถนำเข้าไปสู่พระนคร อภิเษกนางให้อยู่ในตำแหน่งอัครมเหสี ครั้น
    ทำลายขันธ์แล้วนางได้ไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานทองสูง ๑๕ โยชน์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๓ พัน ครั้น
    เสวยทิพย์สมบัติแล้วจนในชาติสุดท้ายนางจะได้เกิดในศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ได้บรรลุธรรมพิเศษ
    ดังนี้แล พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ชนทั้งหลายก็ได้ดวงตาเห็นธรรมส่วนนาง
    วิสาขาก็ตั้งอยู่ในพระรัตนตรัย
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    14 อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา

    ....เมื่อสมัยครั้งพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง
    เป็นผู้มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ชื่อว่าติสสะ ได้พร้อมใจกับภรรยาของตนเย็บและย้อม ซึ่งจีวรสบง
    สังฆาฏิ ได้ถวายเสร็จแล้วก็ทูลลากลับไปสู่เคหาของตน

    ... ในกาลครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบ ด้วยฤทธานุภาพ
    สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรกเป็นต้น
    ครั้งแล้วพระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลัง
    อื่น ๆ และมีนางเทพกัญญา พันหนึ่งแวดล้อมปราสาทนั้น แต่ไม่มีเทพบุตรอยู่ในปราสาทหลังนั้น พระ
    เถระเจ้าได้ไต่ถามกับนางเทพอัปสรนั้น ได้ทราบโดยตลอด จึงลงจากเทวโลกเข้าไปสู่สำนักพระบรม
    ศาสดากำลังมีพุทธบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมอยู่ พระเถระเข้าไปถวายอภิวาท แล้วก็ทูลถามถึงอานิสงส์
    ถวายผ้าจำนำพรรษายังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ ว่าปราสาททิพย์ได้รอคอยอยู่ในเทวโลก เพราะเกิดจาก
    ผลทานของการถวายผ้าจำนำพรรษา จะมีบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงตรัสว่า
    ดูกรโมคคัลลานะ ผ้าจำนำพรรษาที่ติสสะอุบาสกได้กระทำไว้นั้น ก็ได้ปรากฏแก่เธอเองแล้วมิใช่หรือ
    พระโมคคัลลานะ ทูลตอบว่าจริงแล้วพระเจ้าข้า
    สมเด็จภวันต์ตรัสต่อไปว่า โมคคัลลานะบุคคลผู้ใดมี ศรัทธา ได้ถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์
    มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น บุคคลผู้นั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายทำลายขันธ์ ไป
    ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป “ทานสคฺคโสปาณํ” ผลทานเป็นบันไดนำไปสู่สวรรค์
    ปิดกันเสีย ซึ่งอบายภูมิ บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีความยินดี
    สรรเสริญรอคอยบุคคลผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ ดุจนางอัปสรเทพกัญญารอคอยติสสะอุบาสกฉะนั้น เมื่อ
    จบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้ง ๔ มีความรื่นเริง ยินดีในพุทธพจน์นัก กลับเป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศล
    สัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ฝ่ายติสสะอุบาสกครั้นทำลายขันธ์ลงก็นำตนไปอุบัติขึ้นใน
    สัตตรัตนปราสาท เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีนางอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวาร
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    15 อานิสงส์ถวายผ้าเพดาน

    ....กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระมหาปชาบดีได้ถวายผ้าสาฎกพระอริยเมตไตร ซึ่งผ้าสำหรับพระพรรษา
    นั้น จึงเอาผ้าสาฎกผืนหนึ่งทำเป็นเพดาน พระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ผ้าสาฎกผืนหนึ่งทำเป็นระบาย
    เพดาน

    ครั้งนั้นสมเด็จพระสัพพัญญูได้ตรัสพยากรณ์ทำนายพระอริยเมตไตรว่าพระภิกษุนี้ในอนาคตกาล
    จักได้เป็นพระสัพพัญญู องค์หนึ่งมีนาม พระอริยเมตไตร ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ก็ตั้งอยู่ในศีล
    เจริญพระวิปัสสนา จนสิ้นอายุแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ด้วยอานิสงส์ถวายผ้าสาฎกทำเป็นเพดาน
    บำเพ็ญบารมีญาณ ๑๖ อสงไขยเต็มบริบูรณ์แล้วมีใจศรัทธาถวายผ้าทำเป็นเพดานกางกั้น พระสงฆ์และ
    พระพุทธรูปจะปรารถนาพระอรหันตภูมิ หรือพุทธภูมิก็จะได้สมความปรารถนาทุกประการ ดังกับ
    พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้เสด็จไปสู่สำนักพระบรมศาสดาพร้อมด้วยบริวารถวายนมัสการพระผู้มี
    พระภาคเจ้าแล้วนั่งที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทรงสดับพระธรรมเทศนาเมื่อฟังพระธรรมเทศนาจบลง
    แล้วก็ได้ทูลถามพระองค์ถึงอานิสงส์ถวายผ้าเพดานพระองค์ทรงประทานเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตร
    บุคคลผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายผ้าทำให้เป็นเพดาน เป็นทานในพระรัตนตรัย ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    จักได้เป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ ชาติ และบุคคลผู้นั้นอยู่ในสถานที่ใด
    เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายก็จักเคารพบูชาอยู่ทุกเมื่อ จบพระธรรมเทศนาแล้ว พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็
    ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลดังนี้เป็นต้น



     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    16 อานิสงส์ถวายผ้าพนัง

    ....ครั้งพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัพพัญญู เสด็จประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี
    สมเด็จพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้ถือเครื่องสักการบูชามีของหอมเป็นต้น พร้อมกับบริวารได้ไปสู่สำนัก
    พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นไปถึงแล้วก็บูชาด้วยเครื่องสักการะนั้น และนั่งที่
    สมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้านรชนชายหญิงมีจิตศรัทธาเลื่อมใส
    ใคร่จะสร้างผ้าพนังเป็นที่กำบังแดดและฝนในสถานที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่นั้น จักมีผลอานิสงส์
    เป็นอย่างไร

    ....... พระเจ้าข้าพระองค์ทรงเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตร นรชนคนใดมีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระ
    รัตนตรัยแล้ว ได้จัดหาผ้ามาทำเป็นผ้าพนังถวายเป็นทานอย่างนี้ ก็จักได้ผลานิสงส์ถึง ๑๖ กัลป์ ดูกร
    มหาบพิตร บุคคลใดได้สร้างผ้าพนังนี้ ก็จักได้เป็นพระอินทราธิราชถึง ๗ ชาติ และจักเป็นพระเจ้า
    จักรพรรดิราชเจ้าในประเทศน้อยใหญ่ถึง ๗ ชาติกับทั้งเป็นมหาเศรษฐีอีก ๗ ชาติ โดยลำดับจะปิดเสีย
    ซึ่งอบายภูมิ ถึงแม้จะเกิดมาในภพใดชาติใด อันคนและเทวดาทั้งหลายก็พากันเคารพสักการบูชา
    บุคคลนั้นอยู่ในที่ใดก็จะมีผ้ากางกั้น ไม่ให้หนาวร้อนอยู่ทุกเมื่อจะมีรูปสวยงดงามเป็นที่รักใคร่แก่คนทั้ง
    หลาย อิทํผลํ ด้วยทานการถวายผ้าพนังนี้

     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    17 อานิสงส์ก่อสร้างพระเจดีย์ทราย

    ....ในเมื่อพระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ บุพพารามมหาวิหารในนครสาวัตถีได้เทศนาถึงอานิสงส์
    ก่อเจดีย์ทรายแล้วตั้งความปรารถนาไว้ เป็นใจความว่าวันหนึ่งเป็นฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าวมาก
    พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงพักผ่อนพระอิริยาบถให้สบาย ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำไม่ห่างจากพระนคร
    เท่าใดนักได้ทรงทอดพระเนตรเห็นทรายขาวสะอาดราบเรียบดีนัก มีพระดำริว่าควรทำเป็นรูปเจดีย์ขึ้น
    เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ดีกว่าที่เราจะมาเดินเล่นโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อทรงดำริเช่นนั้น แล้วก็รีบลงมือ
    ก่อเป็นรูปเจดีย์ด้วยพระองค์เอง พวกบริวารทั้งหลายที่ตามเสด็จ ก็ลงมือก่อตามไปด้วย เมื่อสำเร็จแล้ว
    มองก็เป็นทิวแถวสวยงามเกิดมีความปิติยินดีเป็นที่ยิ่ง เพราะนับดูแล้วมี ๘ หมื่น ๔ พันองค์พระบรม
    กษัตริย์ทรงโสมนัสเป็นยิ่งนัก ก็เสด็จกลับมาสู่บุพพารามมหาวิหารถวายอภิวาท แล้วก็นั่งอยู่ส่วนข้าง
    หนึ่งแล้วกราบทูลถึงอานิสงส์ของการก่อพระเจดีย์ทรายบูชาพระรัตนตรัย ที่พระองค์ได้ทรงกระทำมา
    แล้ว โดยตลอด

    .... พระพุทธองค์ทรงโปรดประทานพระธรรมเทศนาว่า มหาราชดูกรมหาบพิตรนรชนหญิง
    ชายทั้งหลายเหล่าใด มีศรัทธาเลื่อมใสอุตสาห์พากเพียรพยายาม ทำการก่อสร้างพระเจดีย์ทรายใหญ่น้อย
    ก็ดี มีจำนวนถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์นั้น หรือว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ก็จะไม่
    ไปสู่อบายภูมิตลอดร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติบริวารเป็นอันมาก ครั้น
    ตายไปจากมนุษย์โลก ก็จะไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ แม้พระตถาคตก็เคยได้กระทำมาแล้ว ใน
    ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีอยู่แล้วพระองค์นำอดีตนิทานมาแสดงต่อไปว่า

    ครั้งนั้น
    พระตถาคตได้เกิดในตระกูลอนาถา พอเจริญวัยขึ้นก็ต้องเข้าป่าแสวงหาฟืนมาขายเลี้ยงชีพ กระทำอย่าง
    นี้เป็นอาจิณ อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นทรายขาวสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องในราวป่า ก็มีจิตผ่องใสศรัทธาใคร่จะ
    ก่อพระเจดีย์บูชาพระรัตนตรัย จึงสละเวลาไม่ตัดฟืนทั้งวัน ได้ก่อพระเจดีย์ทรายเสร็จแล้วได้ฉีกผ้าห่ม
    ผืนหนึ่งปักเป็นธงชัย แล้วบูชาพระรัตนตรัยในพุทธบาทศาสดาของพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้ง
    ความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณ ในอนาคตกาลโน้นเทอญ ครั้นทำลายขันธ์แล้ว
    ไปเกิดอยู่ชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูง ๑๒ โยชน์ เสวยทิพย์สมบัติอยู่ถึง ๒ พันปีทิพย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วได้
    จุติมาเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ได้ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์โลก บำเพ็ญบารมีญาณจน
    เต็มเปี่ยมดีแล้ว จึงได้มาอุบัติเป็นพระตถาคต ดังที่มหาบพิตรปรารภอยู่ขณะนี้ เมื่อจบพระธรรมเทศนา
    ลงแล้ว พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายก็มีความยินดีโสมนัส ในการที่พระองค์ทรง
    ก่อ พระเจดีย์ทรายบูชาคุณพระรัตนตรัยโดยไม่เปล่าประโยชน์

     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    18 อานิสงส์ถวายพระเจดีย์ข้าวเปลือก

    ....สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระศาสดาเสด็จประทับ อยู่ในบุพพารามมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี
    ทรงพระปรารภพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นโกศลและกาสี โดยพระเจ้าปัสเสนทิโกศล
    แวดล้อมไปด้วย เสวกามาตย์ราชบริพารทั้งหลายได้เสด็จไปทอดพระเนตรชาวนา เพื่อเป็นการพักผ่อน
    พระราชหฤทัยทรงสบายในทุ่งนา ที่ไม่ห่างไกลจากพระนครเท่าไรนักได้ทอดพระเนตรเห็นชาวนากำลัง
    นวดข้าว แล้วนำมากองพูนสูงใหญ่ ก็พอพระราชหฤทัยจึงเสด็จลงจากพระราชยาน พร้อมด้วย
    เสวกามาตย์ราชบริพารทั้งหลาย แล้วทรงชักชวนชาวนาให้เอาข้าวมารวมก่อ เป็นรูปเจดีย์บูชา
    พระรัตนตรัย พระองค์ทรงรับก่อด้วยพระองค์ เมื่อก่อเสร็จแล้วก็รับสั่งให้ทำโรงฉันในสถานที่นั้น แล้ว
    เสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวาร ๕๐๐ รูปไปรับ
    บิณฑบาตในวันพรุ่งนี้เช้า ณ โรงฉันในทุ่งนาเพื่อเป็นการฉลองรูปเจดีย์ที่ก่อด้วยข้าวเปลือกสมเด็จ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณียภาพ

    พอรุ่งเช้า พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้เสด็จไปยังโรงฉันใน ทุ่งนานั้น
    ไปคอยรับเสด็จพระพุทธเจ้ากับภิกษุ ๕๐ รูป ให้เสด็จนั่งเหนืออาสนะแล้ว ก็ถวายอาหาร
    บิณฑบาต แก่พระพุทธเจ้า พร้อมกับภิกษุเหล่านั้นเสร็จจากภัตตกิจแล้วพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ก็กราบ
    ทูลถามถึงผลานิสงส์ที่ได้ก่อเจดีย์ด้วยข้าวเปลือกนี้ ให้เป็นทานจะมีผลานิสงส์เป็นประการใดพระพุทธ
    เจ้าข้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนาว่าดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายใดมี
    จิตศรัทธาเลื่อมใสก่อสร้างพาลุกเจดีย์ ยังกองข้าวเปลือกให้เป็นทานดังที่มหาบพิตร กระทำอยู่ในขณะนี้
    ด้วยศรัทธา อันแรงกล้า มีความปีติปราโมทย์ปรีดายินดี บุคคลผู้นั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิตลอดร้อยชาติ
    ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมั่งครั่งด้วยทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก ครั้นตายไปจากมนุษย์ก็จะไปเสวยในทิพย์
    สมบัติ

    แม้พระตถาคตแต่ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีธรรมอยู่ก็ได้ก่อเจดีย์ด้วยข้าวเปลือก
    โดยพระองค์ได้เกิดในตระกูลชาวนา เมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ต้องทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพ อยู่มาวันหนึ่งเห็น
    พระปัจเจกโพธิเจ้า อยู่ในราวป่าก็มีจิตเลื่อมใสได้สละข้าวเปลือกก่อเป็นเจดีย์ ครั้นทำเสร็จแล้วก็เอาผ้า
    แพรมาทำเป็นธงปักประดับพระเจดีย์ครั้นทำเสร็จแล้ว ก็ไปอาราธนาพระปัจเจกโพธิออกมา ถวาย
    ภัตตาหารทำการสักการบูชาแก่พระรัตนตรัย แล้วตั้งปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ใน
    อนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ครั้นอยู่จนอายุแล้วได้ไปเกิดชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูง ๑๒ โยชน์ อยู่ได้
    ประมาณ ๔ พันปี ทิพย์เมื่อจุติจากเทวโลกแล้ว มาเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสีได้ท่อง
    เที่ยวอยู่ในมนุษย์โลกและเทวโลกบำเพ็ญบารมีจนเต็มดีแล้ว จึงได้มาตรัสรู้เป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระตถาคตดังที่ได้ปรากฏแก่มหาบพิตรอยู่ขณะนี้ เมื่อพระธรรมเทศนา
    จบลงแล้วพระปัสเสนทิโกศล พร้อมข้าราชบริพารก็พากันยินดีโสมนัสเป็นยิ่งนัก

     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    19 อานิสงส์ก่อเจดีย์เกลือ

    ......ในถ้ำสัตตบรรพตในที่ใกล้ทะเลน้ำเค็มในแคว้นกาสีในกาลครั้งนั้นมีบุรุษเข็ญใจสามคนพี่น้อง
    อยู่ในราวป่านั้น อยู่ด้วยความยากจนเสาะแสวงหาเลี้ยงชีพด้วยความอด ๆ อยาก ๆ เรียกกันว่าหาเช้า
    กินค่ำอยู่มาวันหนึ่ง ทุคคตะผู้พี่ใหญ่ได้มองเห็นเมล็ดเกลืออยู่ตามริมหาดขาวสะอาดมาก จึงชักชวนกัน
    มากวาดตะล่อมให้กองก่อเป็นรูปสูงเพียงศอกหนึ่งเสร็จแล้วเอาผ้าเท่าที่มีอยู่มาฉีก ทำเป็นธงชัยปัก
    ประดับที่เจดีย์เกลือนั้น ทุคคตะ สามคนพี่น้องก็พากันเคารพบูชาด้วย ความเลื่อมใสเป็นเวลาพอดีที่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ได้เสด็จไปพบ ทุคคตะสามพี่น้อง กำลังกราบไหว้บูชาพระ
    เจดีย์อยู่

    ...... พระองค์จึงตรัสว่า "ดูกรท่านกำลังทำอะไร" ทุคคตะ สามพี่น้องทูลตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ด้วยพวกกระผมสร้างพระเจดีย์ด้วยเกลือถวายบูชาพระรัตนตรัย พวกกระผมจะทำการบูชาด้วยสิ่งอื่นก็
    ไม่มี พวกกระผมเป็นคนอนาถามาพบเห็นเกลือ ซึ่งขาวสะอาดจึงได้มาทำพระเจดีย์อย่างนี้พระเจ้าข้า
    พระองค์ทรงตรัสว่าดูกรทุคคตะ บุคคลที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสได้ก่อสร้างพระเจดีย์ด้วยวัตถุอะไรก็ตามมี
    เกลือเป็นต้น บุคคลผู้นั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิจะได้สมบัติมหาศาลในมนุษย์โลก แล้วจะได้เสวยทิพย์
    สมบัติในสวรรค์ การทำก่อพระเจดีย์ด้วยเกลือมิใช่ว่าเธอทั้งหลายได้ทำเพียงเท่านี้

    พระตถาคต เมื่อครั้ง เป็นโพธิสัตว์ ก็ได้เคยมาทำมาแล้ว เหมือนกับเธอทั้งหลายนี้และ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระธรรม เทศนาจบลงแล้วก็เสด็จไปสู่ถ้ำบรรพต
    ส่วนทุคคตะสามพี่น้องได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
    แล้วก็ตั้งปฏิธานความปรารถนาว่าขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระอรหันต์เถิด ครั้นตั้งความปรารถนาแล้วบุรุษ
    เข็ญใจทั้งสามไปสู่บ้านเรือนของตน ขวนขวายหาเลี้ยงชีพจนตราบเท่าสิ้นอายุ เมื่อทำกาลกิริยาตายไป
    เกิดในดุสิตพิภพหมดทั้งสามพี่น้อง มีวิมานอยู่กันคนละหลังสูง ๒๕ โยชน์ มีนางเทพอัปสรคนละ
    ๕๐๐ เป็นบริวาร วิมานของเทพบุตรทั้ง ๓ นั้น วิจิตรไปด้วยฉัตรธง ประดับด้วยไม้กัลปพฤกษ์ และ
    สวนอุทยาน แวดล้อมไปด้วยรัศมีเรืองรองพื้นนั้นก็ดาดาษไปด้วยทองงามบริสุทธิ์สะอาด เสวยทิพย์
    สมบัติอยู่บนวิมาน ครั้นถึงพระศาสนาพระศรีอริยเมตไตรลงมาเป็นพระสัพพัญญู โปรดสรรพสัตว์ทั้ง
    หลายเทพบุตรทั้งสามองค์ก็จุติลงมาเกิดเป็นเศรษฐี ในเมืองเกตวดีนคร เจริญวัยขึ้นมาก็ได้ออกบรรพชา
    อุปสมบทในศาสนาพระศรีอริยเมตไตร ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ด้วยอำนาจบุญกุศลได้กระทำก่อเจดีย์
    เกลือ บูชาพระรัตนตรัยนั้นแล

     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    20 อานิสงส์รักษาศีล

    ......พ่อค้าสำเภา ได้ไปค้าขายหัวเมืองต่าง ๆ ในท้องมหาสมุทรอยู่มาวันหนึ่งเกิด
    มรสุมพายุพัดอันแรงกล้า จนพวกพ่อค้าสำเภาหมดปัญญาแก้ไขได้คิดทอดอาลัยตามแต่บุญกรรม หัว
    หน้าพ่อค้าสำเภาเรียกมาพร้อมกัน ๕๐๐ คน ให้สมาทานศีลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไปในชาติหน้ากันเถิด
    เมื่อสมาทานศีลจบแล้ว เรือสำเภาก็แตก จมลงในมหาสมุทรนั้น พ่อค้า ๕๐๐ คน ถึงแก่ความตายพร้อม
    กันหมดด้วยอำนาจรักษาศีลด้วยความตั้งใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็ไปเกิดในสวรรค์มีวิมานทองเป็นที่อยู่
    ตลอดทั้ง ๕๐๐ คน
    --------------------------------------------------------------------------


     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    21 อานิสงส์ถวายดอกไม้ธูปเทียน

    ......ในครั้งพุทธกาลก็มีผู้กระทำมาแล้วย่อมมีผลานิสงส์อย่างอเนกประการ คือ นายสุมนมาลากร
    มีเรื่องอยู่ว่านายสุมนมาลาการนี้ เก็บดอกมะลิมาถวายพระเจ้าพิมพิสารวันละ
    ๘ ทะนาน และรับเงิน ๘ กหาปณะต่อวัน ขณะที่เขาเก็บดอกไม้อยู่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก
    บิณฑบาตภายในพระนคร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เป็นบริวาร นายสุมนมาลาการเห็นก็เกิด
    จิตเลื่อมใสคิดอยากจะทำบุญแก่พระตถาคต แต่ไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากดอกไม้ จึงเอาดอกไม้เหล่านั้น
    บูชาพระองค์ โดยไม่เกรงกลัวพระราชาจะทรงกริ้วโกรธ ถึงแม้จะถูกพระราชาประหารชีวิตก็ยอมตาย
    การบูชาดอกไม้ของนายมาลาการได้กระทำซัดดอกไม้ขึ้นไปในเบื้องบน ของพระตถาคต ๒ กำมือ ดอก
    ไม้เกิดอัศจรรย์ขึ้นไปประดิษฐานเบื้องบนเป็นเพดานกั้นพระเศียรพระตถาคต แล้วก็ซัดไปทาง
    พระหัตถ์ขวา ๒ กำด้านพระปฤษฎางค์ ๒ กำ พระหัตถ์ซ้าย ๒ กำ รวมทั้งหมด ๘ กำดอกไม้เหล่านั้นได้
    เกิดอัศจรรย์แวดล้อมพระตถาคตอยู่ตลอดเวลานายมาลาการเห็นดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก ได้ถือกระเช้าเปล่า
    ไปเรือนฝ่ายภรรยาเห็นไม่มีดอกไม้ในกระเช้านายมาลาการบอกแก่ภรรยาว่าได้เอาดอกไม้บูชาพระ
    ตถาคตแล้วนางได้ตอบว่าธรรมดาพระราชาเป็นผู้ดุร้าย กริ้วคราวเดียวก็ทำความพินาศให้ถึงความตาย
    ดังนั้นความพินาศนี้พึงมีแก่เรา เพราะเธอได้ทำกรรมไว้

    นางได้อุ้มลูกไปเฝ้าพระราชาทูลขอหย่ากับ นายมาลาการกับพระองค์
    พระราชาทรงทราบความต่ำทราม แห่งจิตของนาง แล้วก็ทำเป็นกริ้วและอนุญาต
    ให้นางหย่ากับนายมาลาการ แล้วพระราชาได้เสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาถวายบังคมทูลอาราธนา
    พระศาสดาไปรับภัตตาหารในพระราชวังพระศาสดาทรงทราบพระราชหฤทัยของพระราชา พระองค์
    ทรงรับอาราธนาแล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระราชา แต่พระศาสดาทรงพระประสงค์ จะประทับที่
    พระลานหลวง จะประกาศคุณงามความดีของนายมาลาการพระราชาทรงอังคาส พระศาสดาพร้อมด้วย
    ภิกษุสงฆ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามส่งเสด็จพระศาสดาไปสู่วิหารเสด็จกลับมาตามนายมาลาการ ถวายถึง
    สาเหตุที่ถวายดอกไม้แก่พระศาสดา พอทราบเรื่องแล้วทรงพระราชทานรางวัลอย่าง ๘ ชนิด
    มีช้าง ๘ เชือก ม้า ๘ ตัว ทาส ๘ คน ทาสี ๘ คน กหาปณะ ๘ พัน นารี ๘ นาง และเครื่องประดับอย่าง
    ละ ๘ และบ้านส่วยอีก ๘ หมู่บ้านเป็นอันว่ากรรมดีได้สนองผลให้แก่นายสุมนมาลาการในวันนั้นเอง

     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    22 อานิสงส์ถวายหมากเบ็งบูชา

    ......องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในวิหาร เมืองสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐
    รูปเป็นบริวาร ครั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลได้ทรงตบแต่งดอกไม้ ของหอมพร้อมกันยังขันหมากเบ็งมี
    ข้าวพันก้อนด้วยความประณีตบรรจงเสด็จไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อม
    ข้าราชบริพารทั้งหลาย เมื่อถวายเสร็จแล้วพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ได้กราบทูลถามถึงผลอานิสงส์ของ
    การสร้างหมากเบ็งบูชาแก่สมเด็จพระพุทธเจ้า และพระอริยสาวก จะมีอานิสงส์เป็นอย่างไร

    พระพุทธ องค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภารบุคคลใดมีใจศรัทธา
    ใคร่จะทำหมากเบ็งกับข้าวพันก้อนถวายบูชา พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์
    ผู้นั้นเมื่อทำลายขันธ์ไปแล้วก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขสิ้นกาลช้านาน

    ดังกับหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งได้ถวายหมากเบ็งบูชา พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ครั้นทำกาลกิริยาตายไปก็บังเกิดในดาวดึงส์เทวสถาน มีวิมานทองสูงสิบสองโยชน์
    มีนางฟ้าพันหนึ่งเป็นบริวารได้เสวย ทิพย์สมบัติ มากมายดังนี้แล ดูกรมหาบพิตร
    อันบุคคลได้ให้หมากเบ็งบูชาพระรัตนตรัยมีผลมากนักเป็นสำดับชั้นตามขั้นหมากเบ็ง คือว่าเมื่อตนได้
    ตายไปจากมนุษย์โลกนี้แล้วก็ไปอุบัติในบนสวรรค์ชั้นจตุมหาราช เมื่อจุติจากชั้นจาตุมหาราชแล้วก็ได้
    ไปอุบัติขึ้นในชั้นดาวดึงส์ จนถึงชั้นกามาพจรเป็นที่สุดตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำไว้ได้ เสวยสมบัติ
    ทิพย์มีวิมานอันงามวิจิตร และมีนางเทพกัญญาอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร นานได้ ๙ ล้านปี ในเมือง
    มนุษย์จะมีร่างกายผ่องใส ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมความปรารถนาทุกประการ ครั้นจบพระธรรม
    เทศนาแล้วพระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลายก็มีจิตยินดีปลาบปลื้มบันเทิงใจ ดัง
    นี้เป็นต้น

     

แชร์หน้านี้

Loading...