ยุทธวิธีต่อสู้กับกิเลสมาร (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย sss12, 18 ตุลาคม 2010.

  1. sss12

    sss12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +1,081
    ยุทธวิธีต่อสู้กับกิเลสมาร (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)


    กิเลส เปรียบเหมือนกับแม่น้ำธรรมดา น้ำต้องไหลจากที่สูงลงไปสู่ที่ต่ำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่มีอยู่ มันต้องพัดซัดลงไปในแม่น้ำหมดทุกแห่งทุกหนไม่มีเหลือหลอ

    แม้แต่แผ่นดินก็ซัดทลายไป มันมีพลังอย่างยิ่งใหญ่มนุษย์คนเราเหมือนกับสิ่งของที่มันซัดลงไปในแม่น้ำนั่นแหละ ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าหญิง

    ไม่ว่าชายหนุ่มแก่ถูกน้ำซัดไปทั้งหมด ที่เราเหลืออยู่นี้เหลือแต่กาก คือ ความเป็นคนเท่านั้น? ความจริงแล้วมันซัดลงไปในที่ต่ำ ที่ต่ำนั้นเขาเรียกว่าทางอบายมุข คือว่า ถ้าหากตกนรกแล้วเราก็ต้องลงต่ำ ไม่ได้ขึ้นสูงหรอก

    จิตของคนเราเหมือนกันมันตกลงไปในทางต่ำไปหาความเลวทรามเรียกว่า ตกนรก ถ้ามันขึ้นสวรรค์แล้วมันจะขึ้นไปข้างบน มันถึงจะขึ้นสวรรค์

    ท่านเปรียบไว้ก็ดีเหมือนกัน? นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนชั้นฟ้า แต่ก็ไม่มีใครเห็นสักที คนตายไปแล้วไปตกนรกหรือไปสวรรค์ก็ไม่กลับมาบอกพวกเรา แต่พวกเราคาดคะเนเอาว่า ทำบุญแล้วสบายใจนั่นคือสวรรค์

    ทำบาปแล้วเศร้าใจนั่นคือนรกว่าถึง เรื่องกิเลส มันพัด มันซัด เอาจิตใจของคนไปในทางเลวเสียส่วนมาก คิดดู ใจของเราทุกๆ คนที่มันซัดไปนั้นวันหนึ่งๆ มันซัดไปกี่มากน้อยแล้ว

    เดี๋ยวคิดถึงโน้น เดี๋ยวคิดถึงนี่ คิดถึงบ้านเรือน คิดถึงลูกถึงหลาน คิดถึงการถึงงาน คิดถึงเรื่องความมี ความจน คิดถึงเรื่องความทุกข์ความโศก ความคับแค้นแน่นใจ สารพัดทุกอย่าง

    มันซัดเราให้จิตหมุนไปอย่างนี้ ไม่มีหยุดเลย? คนเราเกิดขึ้นมาก็เปรียบเสมือนกับว่า เอามาวางไว้บนกองขยะ มดแมงอะไรต่างๆ สารพัดทุกอย่างตอมอยู่นั่นแหละ

    กิเลสทั้งหลายก็เหมือนกับมดแมงบนกองขยะอันนั้นแหละ สารพัดที่มันจะรุมล้อม สารพัดที่มันจะกัดแทะและกัดกินใจของเราก็มีแต่ทุกข์ระทมเท่านั้น

    การที่เราไม่รู้ใจอย่างเดียวเป็นเหตุให้ต่ำช้าเลวทรามทุกสิ่งทุกประการ ถ้าเรารู้ใจเสียอย่างเดียว ความเลวจากใจก็จะไม่มีแก่เราเลย เรารู้แต่ว่าใจ เข้าใจแต่ว่าใจ

    แต่ตัวใจแท้ๆ นั้น มันอยู่ที่ไหนกัน น้ำซัดไปมันไม่กลับคืนมาสักที ไหลเอื่อยเรื่อยไป จนกระทั่งตกทะเล กิเลสทั้งหลายก็ซัดเอามนุษย์ของเราไปเหมือนกันนั่นแหละ

    น้ำนั้นของไม่มีตนมีตัวหรอก แต่มีกำลังแรงที่สุดสามารถที่จะพัดเอาตัวของเราไปตกในที่ต่ำได้ กิเลสของเราก็ไม่มีตนมีตัวเหมือนกัน แต่มันอาจซัดเอาคนไปตามชอบใจมันได้

    ตัวจิตหรือตัวใจอันนี้แหละ ไม่มีตนมีตัว ถ้าเรารู้เรื่องจิตเรื่องใจเสียแล้ว มันง่ายนิดเดียวฝึกหัดปฏิบัติกรรมฐานก็เพื่อชำระใจ หรือต่อสู้กับกิเลสใจนี้

    ถ้าไม่เห็นจิตหรือใจแล้วก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับกิเลสตรงไหน? เพราะกิเลสเกิดที่ใจ

    สงครามไม่มีสนามเพลาะ ไม่ทราบว่าจะรบอย่างไรกัน ต้องมีสนามเพลาะสำหรับยึดไว้เป็นที่ป้องกันข้าศึก มันจึงค่อยรู้จักรบ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ ขอให้พากันพิจารณาทุกคนๆ

    เรื่องใจของตน เวลานี้เราเห็นใจแล้วหรือยัง ใจหรือจิตของเรานั้นมันอยู่ที่ไหน มีอาการอย่างไร

    เรื่องกิเลสเป็นของมีสำหรับโลก ตั้งแต่เกิดขึ้นมา พอเกิดขึ้นมาก็มีแล้วมีพร้อมหมดทุกอย่าง กิเลสนั้นเรียกว่า โลก ถ้ามีกิเลสแล้วก็เรียกว่า โลก ถ้าทำเป็นแล้วกิเลสนั้นท่านเรียกว่าโลก

    สรรเสริญนินทาก็เป็นโลก ได้ลาภเสื่อมลาภก็เป็นโลก ได้ยศเสื่อมยศก็เป็นโลก โลกธรรมทั้งแปดมันไหลซัดเอาเราไป เสียใจ พระพุทธเจ้าท่านก็เทศนาว่า

    สัมปะโยคะ วิปปะโยโค ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก คนทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องมีทุกคน

    เรื่องเหล่านี้แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกัน แต่ท่านชำระของพระองค์ให้หมดสิ้นเสียจากสันดานไม่ให้เหลือหลอเรียกว่า วิสุทธิธัมมสันตนัง คนอื่นๆ ไม่ชำระจะหวงไว้ให้มันซัดเอาไปตามใจมัน

    ดีเหมือนกันเราไม่ต้องเดิน กิเลสมันพัดไปในที่ต่ำให้เร็วขึ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง กอบโกยเอาให้พอเถอะ ใครจะเอาเท่าไรก็เอาเถอะ ผู้ใดโกยได้มากก็จะหนักมาก

    ทุกข์มาก เดือดร้อนมาก ผู้ใดขัดเกลากิเลสสละออกมากก็เบามาก ผู้ใดขัดเกลากิเลสออกน้อยก็เบาน้อย? อาตมายังพูดว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็ดี

    ท่านสละหมด กิเลสไม่เหลือเลยในพระทัยของพระองค์ ในหัวใจของท่านก็ไม่เหลือเลย คนเราเกิดขึ้นมาแล้วมาแย่งชิงกัน ว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นของดิบของดีวิเศษวิโสแย่งแข่งดีแข่งเด่น

    แย่งชิงกันความเป็นใหญ่เป็นโต แย่งลาภ แย่งยศความสรรเสริญทั้งปวงกลัวแต่ไม่ได้เป็นของเรา แท้ที่จริงมันของทิ้งของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    พระองค์ทิ้งไปแล้ว เราก็หาว่าเป็นของดีอยู่ อาการทั้งหลายเหล่านี้แหละเรียกว่า จิตตกต่ำ จิตไม่มีอิสระในตัว? ถ้าหากรู้เรื่องของเหล่านี้ว่าเป็นของเลวทรามของไม่ดี จะรักษาตนได้

    ไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับของกิเลสอันนี้เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นใหญ่อันนี้ไม่ได้เป็นใหญ่เหนือโลกหรอก ใหญ่เฉพาะตัวเอง โลกเขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นไปเถอะ

    แต่มีอิสระในตัว ไม่อยู่ในบังคับของกิเลส คนที่มีอิสระในตัวย่อมอยู่เป็นสุข
    คนที่เอาไม่ชนะโลกย่อมอยู่เป็นทุกข์ พระองค์ทรงเอาชนะตัวนั้น

    คนอื่นไม่กระทบกระเทือนกิเลสของใครจะมีมากน้อยสักเท่าไรก็ไม่กระทบกระเทือนใคร การเอาชนะโลก โดยเอาชนะคนอื่นนี่กระทบกระเทือนเดือดร้อนแน่ หมายจะเอาชนะเขา

    แต่แท้ที่จริงเอาชนะไม่ได้สักคนเดียว จะใหญ่สักเท่าไรก็ใหญ่เถอะ มีอำนาจวาสนาสักเท่าไรก็มีไปเถอะ หงายหลังราบเลย


    ** พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราว่าอย่าอยู่ปราศจากที่พึ่ง จงมีที่พึ่งไปเป็นเครื่องอยู่ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะให้มั่นคง น้ำคือกิเลสจึงจะไม่ซัดไปในที่ต่ำ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

    ปะทีปัง นะคะเวสถะ ยังโอโฆนาภิวีรติ ท่านทั้งหลายจงพากันหาที่พึ่งอันน้ำจะไม่ท่วมถึงน้ำคือ กิเลส คือ โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ย่อมไหลท่วมท้นซัดเอามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้ไหลไปอยู่

    เมื่อท่านทั้งหลายหาที่พึ่งได้แล้ว (คือจิต) น้ำก็จะไม่ท่วมซัดเอาตัวของท่านไปได้ จะอยู่เป็นสุขสบายแล แท้จริงพระองค์ทรงสอนให้เรามีเกาะมีแก่งเป็นเครื่องอยู่ เราพากันจมน้ำอยู่

    น้ำซัดไปก็ไม่รู้จักว่ามันซัดไป อย่างว่าเราโกรธเขา เราเห็นใจ เราโกรธเราก็หยุดเสีย ไปอยู่กับใจเราเสีย เรารักเขา เราก็หยุดลงที่ใจนั่นแหละ อย่าไปรักเขา

    เราอิจฉาริษยาเขามันก็ใจนั่นแหละเป็นคนอิจฉาริษยา น้อมเข้ามาที่ใจนั่นแหละ อย่าไปอิจฉาริษยาเขา นั่นแหละ ได้ชื่อว่ามีเกาะหาแก่งเป็นที่พึ่งอย่าให้มันซัดเราไปที่ไปโกรธเขานั้น

    มันซัดเราไปแล้วที่ไปรักเขานั้น มันซัดเราไปแล้ว มันซัดเอาเราไปไกลจนกระทั่งโกรธ รัก อิจฉาเขาแล้ว ถ้าหากเรามีเกาะไว้เป็นที่พึ่ง เข้าหาเกาะคือ? รักษาจิตให้มั่นคงแล้ว


    เราจะพ้นทุกข์ได้ เพราะมีเกาะมีแก่งเป็นที่พึ่ง

    พระพุทธเจ้าท่านสอนน้อยนิดเดียว ไม่ได้สอนมากหรอกสอนให้เห็นใจของตนเท่านั้นแหละพอ เรียนมาก รู้มาก ถ้าไม่เห็นใจของตนเองแล้วละก็หมดเรื่อง

    เรียนมากรู้มากส่งออกไปเลยไม่รู้ตัวว่า นั่นน้ำมันซัดไป ผู้เรียนน้อย เรียนรู้ใจ ให้รักษาใจให้มั่นคงได้ก็พอแล้ว จะพ้นจากทุกข์ได้ก็เพราะใจ คือ เรารักษาของเราไม่ให้น้ำซัดไป

    ถ้าหากเรารักษาใจเราได้จริงๆ จังๆ จะให้มันโกรธก็ได้ จะไม่ให้มันโกรธก็ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็ได้ลองคิดดูเถิด สบายใจไหม มันจะโกรธแล้วไม่โกรธ มันจะสบายใจไหมละ หรือว่าไม่สบาย

    ไฟไหม้เผาบ้านที่อยู่ของเรา มันจะสบายที่ไหน เอาชนะคนอื่นมันเป็นอย่างนั้นแหละ

    ถ้าเอาชนะตนเองสงบนิ่งเฉยไปไม่มีโกรธ มีแต่สบาย ทุกคนก็สบายไปหมดทำอะไรๆ ก็หาความสบายด้วยกันทั้งนั้นแหละ หาเงินหาทองข้าวของอะไรทั้งหมด

    หาความสบายทั้งนั้น ทางโลกเขาว่า คนไม่รู้จักโกรธคือคนไม่มีจิตใจ อยู่เฉยๆ มันจะมีดีอะไร อย่าไปเชื่อคำพูดของเขา จะเสียคน เราเชื่อตัวของเราดีกว่า

    กิเลส เหล่านี้คือ โลภ โกรธ หลง เป็นต้นของเรามีแยะแต่เราไม่เอามาใช้ เพราะมันทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อน เป็นทุกข์ เราไม่เอามาใช้ดีกว่า

    ทั้งหมดที่พูดมานี้ ความรักก็ดี ความชังก็ดี ความโกรธเกลียดอะไรต่างๆ หมดทุกอย่าง นั่นเรียกว่า กิเลส เราต้องการละกิเลส ภาวนาทำสมาธิก็ต้องการละกิเลสนั่นแหละ

    กลแสนไกลไปฟังเทศน์ฟังธรรม ไปหาครูบาอาจารย์ ไปที่ไหนก็ไปเถอะ ละกิเลสที่ใจนี้ได้แล้วก็เป็นพอ ถ้าละไม่ได้ก็เท่าเดิมนั่นแหละ ไปไกลเท่าไรก็ไปเถอะ

    มันยากเรื่องกิเลสของคนมันมีแทบทุกคนนั่นแหละ ถ้าเราชำระกิเลสแล้วสบาย ถ้าไม่ชำระก็เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา



    ** ยุทธวิธีต่อสู้กับกิเลสมาร **

    ตัวของเรานี้ที่แท้จริงแล้ว? เป็นสนามต่อสู้กับกิเลสทั้งหลายโดยเฉพาะ ไหนจะต้องต่อสู้กับความอดยากนานาประการ เกิดขึ้นมามีรูปนามแล้วจะต้องมีความหิวโหย อยากนั่น อยากนี่ จำเป็นจะต้องหาสนองให้ตามความต้องการของร่างกาย?

    ร่างกายอันนี้ยังแยกออกไปอีก คือ? เป็นตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑ แต่ละอย่างก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน

    เมื่อคนหนึ่งต้องการสิ่งหนึ่งแล้วทุกคนต้องพร้อมกันทำสนองให้ตามความต้องการของเขา หามาให้ยังไม่ทันสนองตามความต้องการ หรือได้มาแล้วแต่ไม่พอกับความต้องการ

    เดี๋ยวคนโน้นก็ต้องการอีกแล้ว วิ่งไปหาให้คนโน้นอีก วิ่งไปวิ่งมา หาให้คนโน้นบ้าง คนนี้บ้างอยู่ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่

    บรรดาสิ่งที่ต้องการทั้งหลายเหล่านั้นโดยมากเป็นสิ่งที่ไม่มีในตัวทั้งนั้น สิ่งที่ไม่มีในตัวจึงต้องหายาก สิ่งที่ไม่มีในตัวและของหายากนี่แหละ เมื่อต้องการเข้าเมื่อไม่ได้

    ตามปรารถนาจึงเกิดลักขโมยขึ้นนี่แหละ คือ กิเลส

    ตา มีไว้ให้ดูรูป แต่มันมิใช่ดูเฉย ๆ มันจะต้องดูหลายอย่าง เป็นต้นว่า ดูเห็นเป็นของสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง สวยก็ชอบใจปรารถนาอยากได้ไว้เป็นของตัว

    ไม่สวยก็เกลียดชังไม่ปรารถนาอยากดูอยากเห็นเป็นต้น ถ้ารูปนั้นเป็นของมีอยู่ในตัวของเราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารูปนั้นเป็นของนอกจากตัวของเราแล้วนั่นแหละจะเป็นเรื่องยุ่งใหญ่

    ยุ่งเพราะขโมยของกันและกันมนุษย์ในโลกนี้เป็นขี้ขโมยกันทั้งหมดบ่าว สาว หนุ่ม แก่ เฒ่า ชรา ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ๆ ก็ขี้ขโมย กันทั้งนั้น

    แม้แต่บรรพชิตผู้อยู่ในพุทธศาสนาก็ไม่พ้นขี้ขโมย เมื่อตามองเห็นรูปสวยงามของลูกหลานหรือภรรยาสามีของใครก็ไม่รู้ละ จำต้องลักขโมยเอามาให้ได้อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ารูปนี้สวยจริง

    ถ้ามากหน่อยก็ติดตาอยู่ไม่รู้หาย อยากมากก็ถึงกับฉุดหรือแย่งชิงเอาจนได้ เรียกว่าขี้ขโมย ขี้ขโมย แต่เบื้องต้นโดยเขาไม่รู้หรอกว่ารักหรือชอบเขา ที่เขาไม่รู้นี่ซี่เรียกว่าขี้ขโมย?

    บ้านใด เมืองใด มีแต่ขี้ขโมย มาก ๆ บ้านนั้นเมืองนั้นย่อมอยู่ไม่เป็นสุข คนอยู่ในโลกด้วยกันเป็นผู้ไม่มีศีล นำความเดือดร้อนมาสู่โลกนี้ข้อ ๑ ล่ะ ถ้าอยากให้โลกนี้อยู่เป็นสุขแล้ว

    จงขจัดตัวต้น คือ หัวใจของแต่ละคนเสีย อย่าให้เป็นขี้ขโมยก่อน คือ ตา เห็นรูปให้รู้ว่าเห็นรูปแต่อย่าไปปรุงแต่ง ให้มันสวยงามหรือขี้เหร่ เมื่อปรุงแต่งว่าสวยงามหรือขี้เหร่แล้ว ก็อย่าไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ รูปนี้เกิดขึ้นมาด้วยบุญกรรมตกแต่งไม่มีใครแต่งเอาได้ เกิดขึ้นมาแล้วก็เสวยวิบาก มีสุขมีทุกข์อยู่ตลอดเวลาจนกว่าชีวิตจะหาไม่

    ตามีหน้าที่ไว้เห็นรูปก็ดูไป ดูวิบากของกรรมซึ่งมันแสดงท่าทีกิริยาต่างๆ ของมัน แล้วตาก็ไม่เป็นขี้ขโมย ตาก็มีศีลบริสุทธิ์ไปคนหนึ่งล่ะ


    หู มีไว้สำหรับฟังเสียง ก็ฟังไปอย่าไปขี้ขโมยเอาเสียงของคนอื่นก็แล้วกัน เสียงเป็นของไม่มีตัวตน เสียงเกิดจากรูปธาตุภายนอกกระทบกันจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว

    หูไปรับรู้เอามายึดแล้วก็ปรุงแต่งไปต่างๆ นานาว่า เพราะบ้าง ไม่เพราะบ้าง บางทีถ้าเสียงนั้นเพราะก็ชอบใจ ถ้าเสียงนั้นไม่เพราะก็โกรธเอา เสียงเป็นนามธรรม

    แต่ถึงขนาดนั้นก็ไปยึดขโมยมาจนได้มีพระเขมรรูปหนึ่ง ก่อนเธอออกปฏิบัติกรรมฐาน เธอเป็นนักพิณพาทย์เวลาออกมาปฏิบัติกรรมฐาน ทำความสงบ

    ได้ยินเสียงพิณพาทย์ฆ้องวงที่ไหนเขาตีไม่ถูกจังหวะ เธอไปแต่งของเขาหมด ทำอย่างนั้นไม่ถูก ไม่ดี ไม่ถูกจังหวะ ไม่ถูกเพลงอย่างนั้น ทำอย่างนั้นถึงจะถูก จะเพราะ เลยไม่เป็นอันภาวนา บางทีก็ถึงลุกออกจากภาวนาก็มี ถึงขนาดนั้น ขี้ขโมยตัวนี้แม้ขนาดพระบวชแล้ว ผ้าเหลืองหุ้มไว้ก็ไม่ฟังนี่ขโมยคนที่ ๒

    จมูก มีไว้สำหรับสูดลมหายใจเข้าหายใจออกไม่พอพร้อมกันนั้นจะต้องสูดเอากลิ่นเหม็นและกลิ่นหอมเข้าไปอีกด้วย บางทีกลิ่นเหม็นไม่พอใจก็จำต้องอดทน ทนไม่ไหวก็ต้องเอามืออุดรูจมูกไว้ ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องวิ่งหนี บรรดาอวัยวะในตัวคนเรานี้ที่มีอยู่ทั้งหมด จมูกเป็นของที่น่าสงสารที่สุด กลิ่นที่เหม็นและน่าเกลียดที่สุดก็ต้องสูดเอา

    ถ้าไม่สูดเอาลมก็ไม่มีลมเข้าปอด ถ้าสูดเอากลิ่นเหม็นเข้าปอด ก็จะเกิดปอดอักเสบ แต่ถึงขนาดนั้นจมูกก็ต้องเป็นขี้ขโมยกับเขา ขี้ขโมยของจมูกก็ยังดีหน่อยไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยเท่าขี้ขโมยของตา

    เทวดาองค์หนึ่งเห็นพระดมกลิ่นดอกไม้ จึงบอกว่า ท่านลักขโมยของเขาทำไม พระบอกว่าเราไม่ได้ขโมยของใครเราดมกลิ่นดอกไม้เฉยๆ เทวดาบอกว่า นั่นแหละขโมยของเขาแล้ว กลิ่นดอกไม้มันไปตามลม เราได้รับสูดเอามาดมเป็นการขโมย ก็ไม่สำรวม

    ลิ้น มีไว้สำหรับชิมรสชาติของอาหาร หวาน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม ถ้าไม่รู้จักรสชาติเหล่านี้แล้ว คนเราก็อยู่ไม่ได้ต้องตาย นอกจากจะรู้จักรสชาติเหล่านั้นแล้ว

    ยังต้องมีไว้สำหรับพูดให้รู้จักภาษาสำเนียงเสียงสั้น เสียงยาวเป็นต้นลิ้นนี้ถ้าไม่มีคนมาหยิบยื่นส่งให้ก็จะไม่ได้รับรสชาติเลย ด้วยเป็นที่อาศัยคนอื่นนำมาส่งให้นี้แหละ

    เมื่อได้รับรสชาติที่ชอบใจพอใจจึงยึดไว้ อยากให้รสนั้นอยู่นาน ๆ เมื่อรสนั้นหายไปแล้วก็เสียดายอยากได้มาอีก เมื่อไม่ได้ก็ดิ้นรนเดือดร้อนอยากได้ รสชาตินั้นไม่หาย จึงเป็นขี้ขโมยอยู่แต่ภายในบ้านของตน


    กาย มีไว้สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง และสิ่งที่อ่อนนุ่มนวลเป็นต้น กายนี้ไม่ใช่มีไว้แต่เพียงรับสัมผัสเท่านั้น มีไว้เพื่อรับรองทัพพสัมภาระทุกอย่างอีกด้วย

    คนเกิดมาต้องตั้งกายนี้เป็นหลักเสียก่อน แล้วจึงแยกออกเป็น ตา หู จมูก ลิ้น และใจ ให้รับหน้าที่เป็นส่วน ๆ ไป ถ้าจะว่าไปแล้วคนเกิดมามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะกาย

    กายได้ชื่อว่าเป็นพ่อบ้านของอวัยวะทั้งปวง ตา หู จมูก ลิ้น และ ใจ เมื่อจะทำหน้าที่ของตน ๆ ต้องเกี่ยวเนื่องถึงกายทั้งนั้น เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง


    ธรรมชาติจึงเอามารวมไว้ที่หัวแห่งเดียวใกล้กับสมอง เพื่อใช้การงานให้สะดวกขึ้น กายนี้แปลกจาก ตา หู จมูก และลิ้นหน่อย ถึงคนไม่นำมาให้เขาก็เอามาสัมผัสเองก็ได้

    ขอให้มีเถอะ สิ่งที่เขาต้องการแล้วจะอยู่ใกล้อยู่ไกลสักปานใด จำต้องนำมาจนได้ และสิ่งที่กายนำมาสัมผัสนั้น ก็ขโมยเขามาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย ถึงรู้ก็ขโมยเขามาก่อนแล้วจึงเรียกว่าขี้ขโมยคนหนึ่ง

    ใจ เป็นขี้ขโมยคนที่หก นี่ยิ่งร้ายกาจมาก ขโมยจนไม่เลือกหน้าไม่เลือกเวลาและบุคคล ขอแต่ให้ประสบอารมณ์ไม่ว่าดีหรือชั่ว หยาบและละเอียด ขโมยเอามาทั้งหมด

    เจ้าของเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม เรียกว่า ขโมยทั้งนั้น ถึงคนอื่นไม่เสียหาย แต่ของเราผู้ขโมยนี่ซี่เสียหาย เสียหายเพราะจิตไม่อยู่เป็นปกติคิดส่งส่ายออกไปภายนอก

    รวมความแล้วทั้งหกคนเป็นขี้ขโมยพร้อม ๆ กัน ไม่มีสำรวมจิตใจบังคับของตนได้ ผู้มีอายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ไม่สำรวม ปล่อยให้ส่งส่ายตามอารมณ์ของตนหาลักขโมยของเขา

    เป็นขี้ขโมยโดยแท้ ถ้าเป็นขี้ขโมยในบ้าน (คือกายนี้) ทั้งหกคนแล้ว บ้านอื่นๆ นับเป็นล้านก็เป็นขโมยด้วยกันหมดมันก็ยุ่งละซี

    กิเลสมันซัดพาเอามนุษย์ให้ลอยไปตามกระแสน้ำหาที่เกาะเกี่ยวไม่ได้เหมือนกับคนตกน้ำจวนจะจมอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทว่า

    ปทีปํ นคเวสถยํโอโฆนาภิกีรติ เมื่อกิเลสพาเอาสัตว์ทั้งหลายไหลไปอยู่ สูทั้งหลายจึงหาที่พึ่งคือเกาะที่น้ำท่วมไม่ถึง (คือความสงบแห่งใจ) ดังนี้

    กิเลสเป็นของเกิดมีขึ้นที่ตัวของเรานี้ทั้งหมด ผู้เห็นโทษทุกข์ในกิเลสแล้วตั้งใจจะต่อสู้กับกิเลส พึงตั้งสนามรบลงที่กายนี้เสียก่อน (คือที่อายตนะทั้งหก) ให้เป็นหลัก

    แล้วตั้งป้อมยามเฝ้ารักษา (คือตัวสติ) เมื่อกิเลสเข้ามาทางไหนก็จะได้รู้กิเลส ก็คือตัวจิตนั่นเอง มันหลอกลวงจิตทำปัญญาให้เสื่อม เจ้ากิเลสว่าเป็นของมิใช่กิเลสนั้นยามให้ข้าศึกเข้ามาแล้ว

    รักษาสนามไม่ดี ข้าศึกมันตีสนิทกับยาม ยามเลยเผลอไป ยามต้องไม่สนิทกับใคร และรักษาหน้าที่ให้แข็งแรงที่สุดเห็นคนมาต้องรายงานผู้บังคับบัญชาให้ทราบเป็นระยะ ๆ

    ถ้าเห็นว่าเป็นข้าศึกต้องยิงอย่าให้ข้าศึกศัตรูทันตั้งตัวได้ ถ้าข้าศึกอยู่ไกลแสนไกลกระสุนก็สามารถยิงถึงได้ แล้วก็ยิงไม่พลาด

    สามารถถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ให้แตกกระจายไปได้ นักรบที่ดี กล้าหาญ เชี่ยวชาญต่อข้าศึกกิเลสมาร ต้องมีลักษณะอย่างนี้ยิงเร็ว และยิงไว ยิงไกล ยิงถูกข้าศึกหมู่ใหญ่

    กิเลสมารมีราคะเป็นต้นเกิดขึ้นด้วยการดำริแล้ว รีบเร่งให้มีสติ กำหนดประหารอย่าให้ทันเกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เรียกว่า ยิงเร็ว กิเลสมารถึงมันจะเกิดขึ้นห่างไกลจากตัวของเรา

    แต่มันเกี่ยวเนื่องถึงตัวของเราก็ให้รีบเร่งตั้งสติ กำหนดเอากิเลสนั้นมาเป็นอารมณ์ ให้เห็นมูลของมันแล้ว ทำลายเสีย เรียกว่า ยิงไกล สรรพกิเลสทั้งปวงซึ่งมี ราคะ โทสะ โมหะ

    เป็นแม่ทัพนำพาเอากิเลสทั้งปวงมารุมล้อม ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง ต้องกำจัดด้วยอนัตตาเป็นอาวุธถูกข้าศึกหมู่ใหญ่ราบเรียบไปหมด เราได้แม่ทัพทั้งสามคนนี้ไว้ในกำมือแล้ว เราไม่กลัวข้าศึกภายในของเราซึ่งจะมาราวีทำลายสมาธิเราได้


    นักภาวนาทั้งหลายที่ตั้งใจจะสู้กับกิเลสกันจริงๆ จังๆ พอกิเลสเข้ามาเลยสารภาพให้กิเลสเสีย แต่เราเข้าใจว่าเราชนะกิเลส กิเลสมันหลอกลวงให้เราหลงเชื่อมัน

    บางคนเมื่อฝึกหัดไปๆ พอจิตสงบเข้าถึงอัปปนาสมาธิซึ่งตนไม่เคยได้เลย ก็เข้าใจว่าตัวหมดกิเลสแล้วก็ยิ้มย่องผ่องใสอยู่คนเดียว หรือคุยโม้ว่ามรรคผล นิพพาน ฌาน สมาบัติ

    เป็นของทำง่ายนิดเดียว แต่หาได้รู้ไม่ที่เป็นอยู่นั้นคืออะไร อยู่ชั้นไหน

    บางคนกิเลสมันลวงว่า ทำความเพียรมามากแล้วพักผ่อนเสียเถอะ ทำมากไปหรือตึงไปหรือเครียด เดี๋ยวจะเกิดอัมพาตแขนขาเสียแล้ว ทำความเพียรจะไม่ได้? หรืออายุสั้น เราจะทำประโยชน์ส่วนรวมไม่ได้ บางคนกิเลสมันลวงว่า หนาวนัก ร้อนนัก หรือนั่งนาน เมื่อยขา เจ็บหลัง ปวดเอวเป็นต้น

    เราพักเสียก่อนแล้วค่อยทำทีหลังดังนี้ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ถูกกิเลสมันลวงให้โอนอ่อนตามมันทั้งสิ้น? ถ้านักต่อสู้กันจริงๆ จังๆ แล้วคำว่า ทำความเพียรมากแล้วพักผ่อนให้ร่างกายมีกำลัง หรือ กลัวต่อเย็น ร้อน หรือ ปวดโน่น ปวดนี่

    รวมเรียกว่า กลัวตายนั่นเอง ย่อมไม่มีแก่โยคาวจรกุลบุตรเลย มีแต่เพ่งทำความเพียรเพื่อบรรลุตามเป้าหมายของตนอย่างเดียว

    แม้แต่คำว่า ทำความเพียรเพื่อมรรคผลชั้นนั้นๆ ก็ไม่มี จะมีแต่เพ่งความบริสุทธิ์แห่งใจเท่านั้น เห็นสิ่งใดเป็นไปเพื่อความเศร้าหมองของใจจะพยายามชำระแต่สิ่งนั้นให้หมดสิ้นไปเท่านั้น






    คัดลอกจาก โพธิญาณฉบับที่ ๑ ปีที่ ๖ เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐
    ที่มา: ยุทธวิธีต่อสู้กับกิเลสมาร หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
     

แชร์หน้านี้

Loading...