มูลเหตุของการเกิดศาสนา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 6 มีนาคม 2008.

  1. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    มูลเหตุของการเกิดศาสนา
    1. ความไม่รู้ (อวิชชา) หมายถึง ความไม่รู้ในเหตุผลของสิ่งต่าง ๆ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้มนุษย์เชื่อว่าเป็นการกระทำของอำนาจอันลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดความเชื่อทางศาสนา
    การบูชาบรรพบุรุษ เกิดจากความเชื่อว่าวิญญาณมีอยู่แล้ว อวิชชาในเรื่องวิญญาณนี้เป็นพื้นฐานของศาสนาทั่ว ๆ ไป เรียกความเชื่อในลักษณะนี้ว่า วิญญาณนิยม (Animism)
    2. ความกลัว สาเหตุที่มนุษย์เกิดความหวาดกลัว มาจากความไม่รู้เบื้องต้น เช่น กลัวภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ มนุษย์ไม่สามารถหาคำตอบให้ตนเองได้ จึงเกิดความกลัวตามสัญชาติญาณ ดังนั้น จึงต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจและเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น จึงต้องทำพิธีบวงสรวงให้เป็นที่พอใจของเทพเจ้าต่าง ๆ ทำให้เกิดพิธีกรรมของศาสนาตามมา
    3. ความต้องการที่พึ่งทางใจ มนุษย์ต้องการขจัดความทุกข์ทรมาน ความโหดร้ายของภัยธรรมชาติ จึงคิดหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้เกิดความเชื่อในพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้างก็ต้องการศูนย์รวมกำลังใจในการต่อสู้กับศัตรูของเผ่าอื่น ๆ ทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องวิญญาณของบรรพบุรุษ และเทพเจ้าประจำเผ่าต่าง ๆ เป็นต้น
    4. ความต้องการความสงบสุขของสังคม มนุษย์คิดค้นศาสนาขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือจัดระเบียบสังคมให้มีความสงบสุข ป้องกันมิให้มนุษย์เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    5. ความต้องการรู้แจ้งในสัจธรรม ศาสนาบางศาสนา เกิดจากการใช้ปัญญาแสวงหาสัจธรรมหรือความจริงในชีวิตมนุษย์ เพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์และมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ดังจะเห็นได้จากการเกิดของพระพุทธศาสนา
    6. ความเลื่อมใสศรัทธาและความจงรักภักดี มนุษย์ได้รับการถ่ายทอดความเชื่อจากบรรพบุรุษให้เคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวรูป เทพเจ้า ฯลฯ เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่ชีวิตและได้วิวัฒนาการกลายมาเป็นศาสนาในที่สุด
    7. ความยกย่องบูชาบรรพบุรุษและบุคคลสำคัญ การบูชาบรรพบุรุษประจำเผ่าและชนชาติของตน ที่เรียกว่า
     
  2. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=450 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD>
    <BIG><BIG>เราคำนวนอายุโลกได้อย่างไร</BIG></BIG>
    </TD></TR><TR><TD> การสร้างโลกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 22 ตุลาคม ในปี 4004 ปีก่อนคริสตกาล นักบวชชาวไอริช อาร์ชบิชอป เจมส์ อัชเชอร์ ได้คำนวนการกำเนิดของโลก ไว้เมื่อกลางศตวรรษที่ 17 และหลังจากการศึกษายุคสมัยของ อาร์ชบิชอปองค์ต่างๆ ตลอดจนการสืบทอดตระกูล อันยาวนานจากพระคัมภีร์ไบเบิลเก่า
    ใน ค.ศ. 1785 นักธรรมชาติวิทยาชาวสก็อตชื่อ เจมส์ ฮัตตัน โต้แย้งความเชื่อดั้งเดิมนี้ ว่าการก่อตัวของขุนเขา และการผุกร่อนของท้องแม่น้ำ คงต้องใช้เวลานานเป็นล้านๆปี ไม่ใช่แค่พันๆปี
    ข้อโต้แย้งดังกล่าวยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนเมื่อนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส อองตวน อองรี เบกเกอเรล ค้นพบกัมมันตภาพรังสีในปี ค.ศ. 1896 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราจึงคำนวนอายุโลกได้อย่างถูกต้อง
    ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเปลือกโลกแข็งตัวในราว 4700 ล้านปีก่อน โดยคำนวนได้จากการสลายตัวของแร่กัมมันตรังสี
    เมื่อหินหลอมละลายหรือลาวา (Lava) เย็นตัวลง และกลายเป็นหินแข็งนั้น จะมีธาตุกัมมันตรังสีถูกกักไว้ในหิน ธาตุเหล่านี้สลายตัวในอัตราที่แน่นอน ระยะเวลาที่กัมมันตรังสีสลายตัวไปครึ่งหนึ่งนั้น นักวิมยาศาสตร์ให้คำจำกัดความว่า "ครึ่งชีวิต" มีการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดเพื่อกำหนด ครึ่งชีวิตของธาตุแต่ละชีวิต โดยการวัดปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่มีในหินตัวอย่าง กระบวนการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี จึงเป็นเหมือนนาฬิกา ซึ่งเริ่มเดินเมื่อหินก้อนนั้นก่อตัวขึ้น
    ปริมาณของธาตุกัมมันตภาพรังสีที่เหลืออยู่ในหินนั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณดั้งเดิมที่มีอยู่ แต่สิ่งสำคัญก็คือการคำนวนอัตตราส่วนปริมาณของสารกัมมันตรังสี กับปริมาณของสารที่แปรสภาพไปในหินนั้น ยิ่งหินมีอายุมากขึ้น สารกัมมันตภาพรังสีก็ยิ่งน้อยลง และอัตราส่วนของสารในหินที่แปรสภาพไปจะเพิ่มขึ้น
    ในการตรวจสอบอายุของหินตัวอย่าง เราใช้วิธีคำนวนเวลาได้หลายวิธีด้วยกัน โดยวิธีที่ใช้กันทั่วๆไป คืกการคำนวนจากการสลายตัวของสารกัมมันตภาพรังสีโพแทสเซี่ยม -40 ซึ่งมีกระบวนการครึ่งชีวิตประมาณ 11900 ล้านปี หรืออาจจะคำนวนจากการสลายตัวของยูเรเนียมเป็นตระกั่ว (ครึ่งชีวิตเท่ากับ 4500 ล้านปี)
    ในการคำนวนอายุของโลก ปรากฎว่าประมาณครึ่งหนึ่งของยูเรเนียมที่มีมาแต่แรกเริ่ม ได้สลายตัวเป็นตระกั่วไปแล้วดังนั้นอายุของโลกก็จะประมาณ ครึ่งชีวิตของยูเรเนียม หรือราว 4500 ล้านปี.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.baanjomyut.com/library/miscellary/earth.html
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    โลก นับตั้งแต่ยุคแรกๆๆ

    ซึ่งมีนับไม่ถ้วน

    ตั้งแต่ ยังไม่มีมนุษย์

    เริ่ม จาก เป็น ละอองฝุ่นเล็กๆๆ

    รวมตัวกัน เป็นโลก

    และเข้ามาสู่ยุคแรกๆ และพัฒนาการมาเป็น

    ดาว และมีสิ่งมีชีวิตในยุคแรกๆ

    เกิดขึ้นมา และก็มาเรื่อยๆๆ

    จนยุคไดโนเสาร์ และอื่นๆๆๆ

    จนเข้าสู่ยุคแห่งการเกิดของมนุษย์

    และ ดำเนินมาหลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆยุค

    จนปัจจุบัน
     
  4. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off"><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ccffcc>
    <BIG><BIG>สัตว์โลกล้านปี (1)</BIG></BIG>
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>แรดดึกดำบรรพ์
    (Woolly Rhinoceros)
    ในยุคที่น้ำแข็งปกคลุมบริเวณขั้วโลกเหนือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคนั้น ต้องปรับสภาพตัวให้เข้ากับภูมิอากาศอันหนาวเย็น ดังจะเห็นได้จากแรดดึกดำบรรพ์นี้ที่มี ขนตามลำตัวยาวมาก เพื่อเป็นฉนวนป้องกันการสูญเสีย ความร้อนของร่างกาย ขนาดความยาวลำตัวประมาณ 1.5 เมตร บริเวณดั้งจมูกมีนอยาวถึง 2 อัน
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>แมมมอท
    (Woolly Mammoth)

    แมมมอทเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีอยู่ในโลกเราเมื่อประมาณ 25 ล้านปี และสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 2 ล้านปีมาแล้ว แมมมอทมีลักษณะคล้ายช้าง มีงายาวหนึ่งคู่ อาจเป็นไปได้ว่า แมมมอทถูกมนุษย์ยุคแรกๆ ล่าจนสูญพันธุ์ไปก็ได้
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>นกชนิดแรกของโลก
    นกเป็นสัตว์ปีกที่มีวิวัฒนาการ มาจากสัตว์เลื้อยคลาน จากซากฟอสซิลที่ขุดพบในชั้นหินแสดงให้เห็น อย่างชัดเจนว่าปีกกางปกคลุมด้วยขน ซึ่งไม่ปรากฎในไดโนเสาร์ชนิดใดเลย
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>บรรพบุรุษไดโนเสาร์
    บรรพบุรุษของไดโนเสาร์ ที่เกิดขึ้นระยะแรกมีขนาดเล็ก มีขาคู่หลังแข็งแรง และหางยาว สามารถวิ่งไปมาได้อย่างรวดเร็ว ขนาดความยาวลำตัวประมาณ 1 เมตร พบอยู่ในยุคไตรแอสซิค
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>ไดโนเสาร์ทรราชย์
    (Tyrannosaurus)

    ไดโนเสาร์ชนิดนี้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีความดุร้ายมากที่สุด ชอบล่าสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ชนิดที่กินพืชอื่นๆ เป็นอาหาร ปากมีขากรรไกรแข็งแรงและฟันคม ขนาดความยาวลำตัวประมาณ 15 เมตร ขาคู่หลังเจริญดีกว่าคู่หน้า
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    </TD><TD width=300>ต่อหน้า2</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER></TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ccffcc>
    <BIG><BIG>สัตว์โลกล้านปี (2)</BIG></BIG>
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>ไดโนเสาร์ใบเรือ
    (Dimetrodon)

    ไดโนเสาร์ใบเรือ เป็นไดโนเสาร์ที่กินเนื้อ ขนาดความยาวลำตัวประมาณ 3 เมตร ชอบล่าสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นอาหาร ลักษณะที่เด่นชัดเจน คือบริเวณกลางหลังมีครีบคล้ายใบเรือสำเภา สันนิฐานว่าใช้ระบายความร้อนของร่างกาย
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>ไดโนเสาร์สเตโกซอรัส
    (Stegosaurus)

    ไดโนเสาร์ชนิดนี้ เป็นไดโนเสาร์ที่กินพืชเป็นอาหาร ไม่มีนิสัยดุร้าย ด้วยเหตุนี้จึงมีโครงสร้างของร่างกาย คล้ายเกราะป้องกันตัว ลักษณะเป็นแผ่นแข็งกลางหลังสองแถว เป็นการลดอันตรายจากไดโนเสาร์ที่กินเนื้อ
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>ไดโนเสาร์ไตรเซอราทอป
    ไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งที่กินพืชเป็นอาหาร มีอาวุธป้องกันตัวเป็นเขา 3 ง่าม บริเวณต้นคอมีเกราะใหญ่แผ่คลุมคอและไหล่ ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ฟอสซิลที่ขุดพบอยู่บริเวณรัฐไวโอมิง มอนตานาและโคโรลาโด ในประเทศสหรัฐอเมริกา
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพวกแรก
    สัตว์ที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบกเป็นพวกแรก เมื่อประมาณ 350 ล้านปีมาแล้ว มีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน เรียกว่า อิชทิโอสเตอกา (Lchthyostega) มีขนาดยาวประมาณ 1 เมตร และนับเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดแรก ที่คล้ายคลึงกับซาลามานเดอร์ (Salamander) ปัจจุบัน แต่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว
    </TD></TR><TR><TD width=300>
    [​IMG]
    </TD><TD width=300>ปลามีปอด
    ในยุคดีโวเนียน เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว ปลาที่เคยหายใจโดยใช้เหงือก ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเล ได้อพยพมาอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ซึ่งในบางฤดูกาลน้ำในแม่น้ำหนองบึง แห้งแล้งลงบ้าง ปลาบางพวกจึงพัฒนาการตัวเอง ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดยมีปอดสามารถรับออกซิเจนจากอากาศได้ อย่างไรก็ตาม ปลามีปอดเหล่านี้ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...