มีพระจริงและพระปลอม !!!! (หลวงตามหาบัว เทศนา )

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 27 กันยายน 2006.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,977
    [​IMG]



    พระจริงพระปลอม แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2505

    พระจริงพระปลอม

    พระในครั้งพุทธกาลเป็นพระพุทธเจ้าก็มี พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระสาวกอรหันต์ก็มี แต่ต่อมาในสมัยพระของพวกเรานี้จะเป็นพระอะไรก็ยังเรียกตายตัวไม่ได้ ถ้าเป็นพระชอบบอกบัตรบอกเบอร์ก็ต้องเรียกตามชื่อว่า พระบัตรพระเบอร์ พระสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรม พระดูฤกษ์งามยามดี พระลงเลขลงยันต์ พระตะกรุดคาถา เหล่านี้ล้วนแต่พระทั้งนั้น ไม่ทราบว่าพระองค์ไหนเป็นพระของเขาและพระรูปไหนเป็นพระของเรา เพราะพระคละเคล้ากันด้วยพระ ไม่สามารถจะแยกพระออกจากพระได้ ส่วนพระของพระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านปฏิบัติตนของท่านอย่างใดจึงกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา และกลายเป็นพระสาวกอรหันต์ขึ้นมา พระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้

    มาถึงพระของพวกเรานี้กลายเป็นพระทันสมัย เรียกว่าพระสมัยใหม่ มีทุกอย่างไม่แพ้โลกเขาเลย ตนก็ไว้ใจตนเองไม่ได้ทั้งๆที่ตนก็เป็นนักบวช นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ โกนผมโกนคิ้ว ปฏิญาณตนเป็นพระเช่นเดียวกันกับพระสมัยพุทธกาล การงานของพระทุกๆอย่างโดยมากออกจากความรู้สึกและความชอบใจ ส่วนจะเป็นเป็นไปตามแถวแนวแห่งหลักธรรมนั้นยังเป็นปัญหาที่ตีไม่แตก เพราะเหตุนั้น พระในสมัยพุทธกาลกับพระสมัยปัจจุบันจึงต่างกันในปฏิปทาเครื่องดำเนิน แม้จะอยู่ในวงศ์นักบวชและพระโอวาทของพระพุทธเจ้าอันเดียวกันก็ตาม แต่โอวาทสำคัญคือโอวาทของกิเลสตัณหาอาสวะมันครอบอยู่ที่หัวใจของเราทุกๆท่าน เมื่อเรามีความใคร่ใผ่ใจต่อโอวาทอันจอมปลอมซึ่งฝังอยู่กับใจของเราแล้ว ความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจ ทุกๆอาการ จะต้องกลายเป็นของปลอมจากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าไปหมด ไม่มีอันใดจะปรากฎเป็นความจริงขึ้นมาทางกาย วาจา ใจของพวกเรา ผลอันจะพึงได้รับต้องเดินตามรอยแห่งเหตุที่ตนได้ดำเนินไปแล้ว การดำเนินเหตุของพระพุทธเจ้าก็ดี ของพระสาวกก็ดี จนได้มาเป็นสรณะของพวกเราทุกวันนี้ กับพวกเราทั้งหลายที่ได้เปล่งวาจาเป็นพระของพระพุทธเจ้า เป็นพระศากยบุตร จะเหมือนกันหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับพระโอวาทของพระพุทธเจ้ามาปกครองจิตใจของเรา และโอวาทอันจอมปลอมซึ่งฝังอยู่ในหัวใจของเราทั้งวันทั้งคืนนั้น นี่ขอให้เราทั้งหลายพิจารณา ถ้าเราเห้นว่าพระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าเทวทัตที่ฝังอยู่ในหัวใจของเราแล้ว เราก็จะกลายเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยความบริสุทธิ์เป็นขั้นๆขึ้นไป จนถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงคือ สาวกอรหันต์

    การที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนานหรือไม่นาน จะไม่เป็นปัญหาอันใดกับท่านผู้บำเพ็ญตนอยู่กับธรรมของท่าน จะปรากฎผลขึ้นมาตามลำดับแห่งเหตุเสมอไปเหตุที่เราบำเพ็ญตนอยู่กับธรรมของท่าน จะปรากฎผลขึ้นมาตามลำดับแห่งเหตุเสมอไป เหตุที่เราบำเพ็ญถูกต้องแล้วกับผลอันชอบธรรมซึ่งผู้ปฏิบัติจะควรได้รับ จะไม่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือนิพพานไปแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับหลักสวาขาตธรรมและนิยยานิกธรรมโดยถ่ายเดียว เราทุกท่านจงตัดสินใจว่าจะน้อมตนไปสู่โอวาทใด โอวาทอันสำคัญที่พร่ำสอนตนอยู่ตลอดเวลา คือโอวาทที่เกิดจากวัฏฏะเป็นครูสอน ใครจะสอนหรือไม่ก็ตาม ธรรมชาตินี้เป็นครูสอนโดยลำพังตนเอง เพราะความชำนาญและเชี่ยวชาญในทางสายนี้มานาน จนไม่สามารถจะนับอ่านได้ว่ากี่กัปกี่กัลป การเกิดๆตายๆซึ่งมีประจำอยู่ในสัตว์และสังขารทั่วๆไป ไม่มีใครจะสามารถคัดค้านกันได้ว่ามีมากน้อยต่างกันเท่าไร ไม่เหมือนกับสมบัติภายนอกซึ่งมองเห็นด้วยตาเนื้อว่า คนนั้นมีมาก คนนี้มีน้อย พอจะมาเทียบเคียงหรือวัดเหวี่ยงกันได้

    ถ้าเราเป็นผู้มุ่งหวังความเป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าแล้ว จงเป็นผู้หนักในพระโอวาท ซึ่งเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หลุดจากพระโอษฐ์ของพระองค์ออกมาเป็นธรรมทั้งแท่ง แล้วน้อมมาปฏิบัติดัดกาย วาจา ใจของตนให้เป็นไปตาม อย่างนี้จึงจะเป็นไปได้ในแถวแห่งธรรมที่พระองค์และสาวกได้ผ่านไปแล้ว ถ้าเรายังจะเห็นเรื่องความเห็นของเรา ซึ่งเป็นตัวหลอกลวงอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นของดีด้วยแล้ว แม้เราจะเปล่งวาจาว่าเป็นศิษย์ของพระตถาคตก็สักแต่คำพูดเท่านั้น ไม่ปรากฎผลอันใดให้เป็นความสมหวังตามคำกล่าวอ้างนั่นเลย

    ยิ่งสมัยทุกวันนี้ ไปและอยู่ที่ไหนๆเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่เป็นภัย ผู้หนักในธรรมปลีกตนลำบากเนื่องจากภาวะต่างๆเป็นเครื่องบังคับไปในตัว แทบจะกล่าวได้ว่า "ตกภาวะคับขัน" แต่ตามธรรมดาสิ่งแวดล้อมเป็นของเคยมี ต่างกันที่มีมากมีน้อยและน่าสะดุดตาสะดุดใจต่างกันมากน้อยเท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราจะเห็นสิ่งแวดล้อมซึ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นของแปลกและอัศจรรย์แล้ว จิตใจจะมีความคึกคะนอง ความรักใคร่สนใจฝักใฝ่ต่อสิ่งเหล่านั้น แล้วยึดถือมาเป็นอารมณ์เครื่องกดขี่จิตใจให้เพิ่มความกังวลมากขึ้น หนักเข้าไม่เป็นอันหลับนอน และยิ่งตัดทอนการศึกษาปฏิบัติธรรมให้น้อยลงจนไม่มีความฝักใฝ่ในธรรมเหลืออยู่เลย จนลืมพระโอวาทของพระพุทธเจ้าและกลับเห็นโอวาททั้งหมดกลายเป็นข้าศึกต่อตนเอง กลายเป็นข้าศึกต่อส่วนรวม และกลายเป็นข้าศึกต่อโลกทั่วดินแดน แท้ที่จริงโอวาทของพระพุทธเจ้าไม่เคยเป็นข้าศึกต่อผู้ใด แต่กลับเป็นพระโอวาทที่ระงับดับไฟ คือความรุ่มร้อนภายในใจของสัตว์ให้ระงับดับไป ตามกำลังความสามารถของผู้ปฏิบัติตามพระโอวาทด้วยความสนใจ ต้องระงับดับได้ซึ่งกองเพลิงอันเผาผลาญอยู่ภายในใจอย่างแน่นอน

    สิ่งของบางอย่างเป็นคุณสำหรับโลก แต่กลับเป็นภัยสำหรับนักบวช ฉะนั้นขอให้คำนึงถึงตัวของเรากับสิ่งที่กล่าวมา และพึงคำนึงเสมอว่าพระมีความหมายแค่ไหน คำว่าพระ แปลว่า ประเสริฐ ถ้าเป็นเรื่องของคนก็แปลว่า คนประเสริฐ ถ้าแยกออกไปสู่การงานก็แปลว่า การงานประเสริฐ ที่จะเป็นไปเพื่อความประเสริฐหรือให้ถึงแดนแห่งความประเสริฐ เราต้องพิจารณาเสมอ

    พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระมาโดยลำดับ ด้วยปฏิปทาที่ดำเนินตามสวากขาตธรรมซึ่งตรัสไว้ชอบแล้ว การดำเนินทุกๆอาการที่เคลื่อนไหวของศิษย์พระตถาคตในครั้งนั้น ปรากฎว่าดำเนินไปโดยชอบ สมกับคำว่าสวากขาตธรรมที่ประทานไว้ ผลที่ได้รับจึงปรากฎแต่ต้นว่า ท่านองค์นั้นสำเร็จเป็นโสดา ท่านองค์นั้นสำเร็จเป็นพระสกิทาคา ท่านองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา และท่านองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์อยู่ในที่นั้นๆ นี่คือผลที่สืบเนื่องมาจากสวากขาตธรรมกลายเป็นนิยยานิกธรรมต่อตนเอง คือยังผู้ปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ได้ด้วยเหตุนี้ ก็ธรรมที่ประทานไว้สาวกทั้งหลายดำเนินตามปรากฎผลอย่างนี้ มาสมัยทุกวันนี้เป็นพระของใคร

    เราทุกท่านก่อนบวชต่างก็เปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ด้วยกันทั้งนั้น คำว่า พุทธํ ธมมํ สรณํ คจฉามิ แม้แต่สามเณร เถร ชี ก็ไม่เคยละเว้น แต่เหตุใดเราจึงกลายเป็นเหมือนพระอิฐพระปูนซึ่งไม่มีความสำคัญในมรรคผลนิพพานไปเสียหมด โดยกลายเป็นพระหนังสือพิมพ์ กลายเป็นพระวิทยุ กลายเป็นพระโทรทัศน์ กลายเป็นพระบัตรพระเบอร์ พระสะเดาะเคราะห์สะเดาะกรรม ล้างบาปล้างเวร ไปเสียอย่างนั้น พระที่กล่าวมานี้เป็นพระของพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระของใคร ถ้าปลอมด้วยความประพฤติ ปลอมด้วยความรู้ความเห็นและความเข้าใจไม่ถูกหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะจัดว่าเราเป็นพระที่ชอบธรรมหรือไม่ และผลที่พึงได้รับจะชอบธรรมหรือไม่อีกเหมือนกัน สมัยทุกวันนี้เราเป็นพระอย่างนี้กันเสียมาก

    ขอให้เราทั้งหลายสำนึกตัวเสมอว่า เราเป็นพระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามกระเดื่องเลื่องลือทั่วทั้งไตรภพ ด้วยพระเกียรติและข้อปฏิบัติพร้อมทั้งพระวิสุทธิคุณ ควรที่พวกเราจะเทิดทูนพระองค์ท่านด้วยความประพฤติดีและข้อปฏิบัติชอบ สิ่งเหล่านี้โลกเขามีหรือนำไปใช้ไม่มีโทษและกลับเป็นประโยชน์สำหรับโลก แต่ทางพระเมื่อนำสิ่งเหล่านี้มาประกอบหรือสนใจใช้สอยแบบโลกเขา ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียเป็นไปเพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นไปเพื่อความกังวล เป็นไปเพื่ออารมณ์ของโลกและเผาลนจิตใจไม่มีวันสร่าง ยิ่งกว่านักดื่มสุราเสียอีก ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี จะขาดจากความสนใจต่อการรักษา และกลายเป็นความมั่นคงและฉลาดไปในทางเสื่อมเสียโดยไม่รู้สึกตัว

    ยกตัวอย่างเช่น วิทยุ ได้ฟังแล้วต้องติดใจ ยิ่งโทรทัศน์ ทั้งได้เห็นทั้งได้ยินด้วยจะต้องเพิ่มกิเลสขึ้นในขณะได้เห็นได้ยินโดยไม่ต้องสงสัย สิ่งเหล่านี้โลกเขาดูเขาฟังไม่มีความเสียหายเพราะเขาเป็นโลก มิใช่เป็นพระเป็นนักบวช แต่เรื่องของธรรมที่เกี่ยวกับนักบวชแล้ว ต้องมีความเสื่อมเสียทางด้านจิตใจลงเป็นลำดับ ก่อนที่เขาจะปิดสถานีทุกๆแห่ง เขาต้องประกาศรายการว่าเวลาเท่านั้นประกาศเรื่องนั้น เวลาเท่านั้นจะออกเรื่องนั้น อย่างนี้ทุกๆวันไป เราผู้คอยเงี่ยหูฟังและดูด้วยความสนใจใคร่ต่อรายการนั้นๆ ยิ่งกว่าพระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า จะต้องฝังลงที่จิตใจแบบถอนไม่ขึ้น หรือแบบไม่ยอมถอยเอาเลย พอจวนถึงเวลาเขาประกาศและออกตามรายการเท่านั้น แม้จะมีธุระจำเป็นในหน้าที่ของสมณะ เช่น ถึงเวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ศึกษาเล่าเรียนท่องจำ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาอบรมจิตใจ และฟังโอวาทจากครูอาจารย์ ต่างก็ปล่อยวางเสียสิ้นไม่มีอันใดเหลือ กลายเป็นเรื่องของรายการต่างๆทำหน้าที่แทนเป็นประจำไปเสียหมด เพราะฉะนั้น จิตจึงกลายเป็นโลกโดยตลอด แม้อาการของ กาย วาจา ใจ ทุกส่วนก็เคลื่อนไหวไปตามเรื่องเหล่านั้นเสียสิ้น แล้วเราจะหาพระ ความประเสริฐ ความสงบเยือกเย็นใจจากธรรมของพระพุทธเจ้าได้ที่ตรงไหน เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้แล้วเราจะหามรรคผลนิพพานที่ไหนมา เพราะมรรคผลนิพพานไม่เกิดจากสิ่งเหล่านั้น

    การบวชหรือการปฏิบัติธรรมมุ่งเพื่อจะแก้สิ่งกังวลและมัวหมองจากจิตใจของตนให้ได้รับความสงบเยือกเย็น เพราะเหตุแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องอบรมเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์หนังสือเพลิน จะสามารถทำจิตใจของนักบวชให้ได้รับความสงบเยือกเย็น และกลายเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดสามารถสั่งสอนประชาชนให้มีศีลธรรมอย่างถึงจิตถึงใจ ได้ความเชื่อความเลื่อมใสฉลาดและเคารพพระศาสนา มาจากสิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย นอกจากจะเป็นที่ดูถูกเหยีดหยามของประชาชนพุทธบริษัท และคนต่างชาติถือศาสนาอื่นเท่านั้น

    ฉะนั้น เราทุกท่านผู้เป็นนักบวชและนักปฏิบัติ จงเทิดทูนตนเองและพระศาสนาด้วยข้อปฏิบัติอันถูกต้องตามหลักธรรม จะเป็นความเจริญแก่ตนและชาติบ้านเมือง ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะกลายไปว่า พระกับฆราวาสไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกกัน เพราะลำพังผ้าเหลืองอยู่ในร้านค้าต่างๆมีถมเถไป เพียงผ้าเหลืองเท่านั้นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ได้แล้ว ร้านค้าไตรจีวรมีทั่วไปจะเอาสักเท่าใดก็ได้ เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้ามาในวัด การที่เขาเข้ามาในวัดเนื่องจากเขามีความเชื่อความเลื่อมใสในพระสงฆ์องค์นั้นๆในวัดนั้นๆ เขาไม่มีความเชื่อความเลื่อมใสและก้าวหน้าเข้ามาในวัดเพราะพระมีวิทยุ เพราะพระมีโทรทัศน์ และเพราะพระมีหนังสือพิมพ์หนังสือเพลิน และเพราะพระมีโรงลิเกละคร โรงระบำที่เต้นรำต่างๆ และโรงหมัดโรงมวยอยู่บนกุฏิคืออยู่ในโทรทัศน์ มีเครื่องประกาศโฆษณาอยู่ในกุฏิคือวิทยุ และมีข่าวอยู่บนกุฏิคือหนังสือพิมพ์ สิ่งเหล่านี้มีถมไปในร้านค้า เอาเงินใส่รถยนต์ไปซื้อ บรรทุกรถไฟไปก็ไม่หมด ไม่เป็นสิ่งที่จะให้ประชาชนเป็นที่เคารพเลื่อมใสได้จากกิจกรรมของพระที่ทำไปโดยวิธีนี้ และจะให้เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระพุทธเจ้าได้ที่ตรงไหน

    เมื่อเราปฏิญาณตนว่าเป็นศิษย์พระตถาคต แต่ทำกาย วาจา ใจของตนให้ล้มละลายไปตามกระแสแห่งโลกอย่างเต็มที่เช่นนี้แล้ว จะให้เขากราบสนิทได้อย่างไร วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โรงลิเก ระบำ โรงหมัดโรงมวยและการละเล่นต่างๆ ฆราวาสเขามีไม่อด ไม่จำเป็นที่เขาจะพยายามแบกร่างเข้ามาสู่วัด โดยสละเวล่ำเวลาและกิจการต่างๆ ทั้งเงินทองของมีค่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาในวัด การที่เขาเข้ามาในวัดก็เพื่อจะกราบไหว้พระซึ่งเป็นเพศที่เย็น และความประพฤติปฏิบัติเป็นที่จับจิตจับใจเป็นที่เคารพเลื่อมใส เป็นที่ไว้วางใจ เป็นที่ดับทุกข์ดับร้อนสำหรับผู้มีความทุกข์ร้อนภายในให้จืดจางหายไปได้ เพราะอำนาจแห่งเพศของพระ ข้อปฏิบัติของพระ และโอวาทของพระที่กล่าวออกด้วยหลักธรรมอันเยือกเย็นซึ่งเกิดจากข้อปฏิบัติของพระจริงๆ ขอให้ทุกท่านจงตะหนักใจในเรื่องที่กล่าวมา

    เวลานี้ศาสนากำลังจะล้มเหลวในตัวของเราเอง ส่วนในคัมภีร์ที่ท่านจารึกหรือพิมพ์เก็บรักษาไว้ในตู้หรือที่ต่างๆยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ ไม่บกพร่องหรือสูญหายไปแม้แต่น้อย แต่มันบกพร่องสำหรับผู้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักของพระธรรมวินัย แม้ตนเองก็ไว้ใจตนเองยังไม่ได้ แล้วจะให้คนอื่นมาไว้ใจตนได้ที่ไหน โลกร้อนวิ่งเข้ามาพึ่งเรา เราก็กลายเป็นเพลิงทั้งกองไปเสีย จึงไม่ทราบว่าใครจะเป็นที่พึ่งพิงของใครได้

    พระพุทธเจ้าปรากฏว่าเป็นที่พึ่งของโลก และพระสงฆ์สาวกปรากฎว่าเป็นสรณะของโลก เป็นที่ร่มเย็นของโลก แม้โลกเขายังละกิเลสไม่ได้ก็ตาม ขณะที่เขาเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้าและมากราบไหว้พระสงฆ์ เขายังได้รับความแช่มชื่นเบิกบานจิตใจโดยมีความรู้สึกว่าได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ทั้งส่วนพระกาย พระวาจาและส่วนแห่งพระทัย และได้เข้ากราบไหว้พระสงฆ์สาวกผู้มีศีลบริสุทธิ์ ทรงไว้ซึ่ง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ แม้เขาจะไม่ได้สมบัติอันล้นค่าอย่างพระพุทธเจ้าแลสาวกได้ก็ตาม เพียงเขาก้าวเข้ามาพึ่งพิงร่มเงาของพระเท่านั้นก็ได้รบความร่มเย็นเป็นสุขอบอุ่นใจไปนาน

    แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาสู่วัดของพวกเราแล้วเห็นแต่วิทยุ เห็นแต่โทรทัศน์ และเห็นแต่หนังสือพิมพ์หนังสือเพลินเกลื่อนอยู่ในวัด ในกุฏิพระ พูดออกคำใดเป็นการบ้าน การเมือง พูดเป็นโลกเป็นสงสารไปหมด กิริยาที่ทำทั้งหมดเป็นอาการของฆราวาสจิตที่คิดออกมาทุกๆอาการที่เคลื่อนไหวล้วนแต่เป็นการบ้านและการเมืองทั้งนั้น ไม่มีมารยาทอันสงบพอเป็นเครื่องหมายแห่งสมณะเหลืออยู่บ้างเลย แล้วจะให้โลกไว้ใจและกราบไหว้ใครลงได้อย่างสนิทใจ และจะให้เขาฝากจิตฝากใจฝากเป็นฝากตายไว้กับใคร เมื่อนักบวชผู้รักษาศาสนาอันเป็นบ่อแห่งความร่มเย็น ได้กลายเป็นกองเพลิงไปหมดทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างนี้ แล้วเราจะหาว่าโลกไม่ดีมันไม่ได้ โลกเขาดีเพราะยังรู้จักแสวงหาที่พึ่ง ไม่เหมือนพระเราซึ่งกำลังเห่อกันทำลายที่พึ่งของตน คือข้อปฏิบัติได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพาน

    โลกเคยเป็นโลกมาแต่กัปไหนกัลปใด แม้พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นในโลกและอาศัยในโลกเป็นอยู่ตลอดวันพระองค์ปรินิพพาน ไม่เคยได้ยินว่าพระองค์อดอยากขาดแคลนเพราะโลกเขาไม่สนใจ พระสงฆ์สาวก็เช่นเดียวกัน ต่างก็มีความเป็นอยู่โดยสมบูรณ์ บริบูรณ์ ชีวิตจิตใจเป็นอยู่ด้วยอาหารปัจจัยซึ่งออกมาจากโลก คือญาติโยมทั้งนั้นเป็นผู้อุปถัมภ์ดูแล ด้วยความสนอกสนใจใคร่ต่อบุญกุศลจริงๆ พระพุทธเจ้าและสาวกท่านเป็น ปุญญกเขต คือเนื้อนาบุญของท่านด้วย เป็นเนื้อนาบุญของโลกให้ได้รับความร่มเย็นอย่างท่านด้วย

    ส่วนพวกเราจะเป็นเนื้อนาอะไร และจะทำความร่มเย็นให้โลกอาศัยได้แค่ไหน เมื่อตนก็กำลังร้อนเพราะการแสวงหาไฟมาเผาตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่แลเรื่องพระศาสนาล่มจมในนักบวชของพวกเราผู้ไม่สนใจในข้อปฏิบัติ เมื่อโลกเขาจะว่ากล่าวตักเตือนก็ลำบาก เพราะเห็นแก่ผ้าเหลืองอันเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระเกียรติอันสูงสุด เป็นแต่มองดูพระด้วยความสลดสังเวชใจในลูกศิษย์ของพระตถาคต เมื่อเลยตามเลยทำไปๆ จนเคยชินติดสันดานถึงขั้นไร้ความสำนึกแล้ว เลยกลายเป็นผู้หมดยางอายต่อการตำหนิติเตียนไปเสียสิ้น ใจจึงกลายเป็นโลกไปเสียทั้งดวงในร่มผ้าแห่งการสาวพัสตร์

    ที่ถูกเราควรจะคิดถึงใจของเรา เพียงเราจะก้าวเข้าสู่วัดหาครูอาจารย์องค์นั้นๆ ในวัดใดก็ตาม ก่อนจะก้าวเข้าไป เราต้องคิดจนเต็มใจเหมือนกันว่าควรจะก้าวเข้าไปหาอาจารย์องค์ไหน อยู่วัดอะไร เมื่อก้าวเข้าไปหาท่านแล้ว อาจารย์องค์นั้นๆเป็นอย่างไร พอจะให้ความร่มเย็นและอุบายต่างๆ เป็นกำลังใจให้ได้รับความเชื่อความเลื่อมใสมากน้อยเพียงไรหรือไม่ เราต้องคำนึงเหตุผลดี-ชั่วด้วยกันทุกคน คิดอ่านไตร่ตรองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนแน่วแน่ในใจแล้วจึงตัดสินใจเข้าไปหาอาจารย์องค์นั้นๆนี่เพียงเราเองก็ยังคิดอย่างนี้

    โลกย่อมมีความรู้สึกคือหัวใจอันเดียวกัน ร้อน ใครก็ต้องทราบ เมื่อเป็นเช่นนี้สถานที่เย็นและบุคคลเย็นจะไม่ทราบอย่างไร และในขณะเดียวกันสถานที่ร้อนและบุคคลร้อนเขาก็ต้องทราบเช่นเดียวกัน หัวใจของเราร้อนเรายังทราบได้ หัวใจของประชาชนต้องทราบในความรู้สึกของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น และพยายามเสาะแสวงหาสิ่งที่จะเป็นคุณแก่ตนเอง แต่ความสุขที่เกิดจากโภคทรัพย์ส่วนนั้นเขาแสวงหาของเขาเองโดยไม่มาเกี่ยวข้องกับพระ แต่การปกครองจิตใจ ปกครองบ้านเรือนครอบครัวสถานที่การงานและวงสังคมนั้นๆ ต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องปกครอง ยิ่งเป็นผู้มุ่งความสุขทางด้านจิตใจโดยเฉพาะด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นวัดและพระสงฆ์เป็นของสำคัญและจำเป็นยิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้น แล้วใครจะสามารถให้ความร่มเย็นแก่ตัวเอง และแก่โลกซึ่งเป็นอันดับที่สอง นอกจากทำตัวให้มีความร่มเย็นภายในใจแล้วให้ความร่มเย็นแก่คนอื่นได้ เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์ทำความร่มเย็นในพระทัยก่อน แล้วจึงทำความร่มเย็นแก่โลกด้วยพระเมตตาตลอดวันเสด็จปรินิพพาน สาวกทั้งหลายก็ทำหน้าที่ให้ความร่มเย็นแก่โลกโดยถ่ายทอดกันมาเป็นลำดับ นับแต่วันสำเร็จมรรคผลตรัสรู้ธรรมจากพระพุทธเจ้าด้วยข้อปฏิบัติของตน

    ส่วนพวกเราจะให้ความร่มเย็นแก่ใจตนเองด้วยอะไร นอกจากหลักธรรมที่กล่าวมานี้เท่านั้น จะไม่มีอะไรเป็นเครื่องร่มเย็นสำหรับหัวใจของพระเรา และไม่มีอะไรจะให้ความร่มเย็นแก่โลกนอกจากธรรม คือความร่มเย็นที่มีอยู่ภายในใจอันเกิดจากข้อปฏิบัติของเรา แล้วถ่ายทอดแก่ท่านผู้ประสงค์ความร่มเย็นมาอาศัยพึ่งพิงกับพระ จะเป็นกาลเป็นคราวหรือชั่วระยะหนึ่งก็ตาม จะให้นอกไปจากพระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ไม่มี

    คำว่า มัชฌิมา มีความหมายแค่ไหน ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ตายตัวอยู่เสมอ ไม่มีการยักย้ายผันแปรไปจากมัชฌิมาถึงความเป็นอื่นแม้แต่บทเดียวบาทเดียวคาถาเดียว ในบรรดาพระโอวาทที่ประทานไว้แล้ว เหตุใดผลจึงไม่ปรากฎเป็นที่พึงพอใจสำหรับพวกเราเหมือนครั้งพุทธกาลเล่า หรือจะอวดฉลาดหาว่าพระศาสนาเรียวแหลม อะไรเรียวแหลมบ้าง ถ้าจะพูดถึงเรื่องอริยสัจธรรมทั้งสี่มีอยู่ในภายในใจของพวกเราหรือไม่ หรือมีอะไรบกพร่องไปบ้าง พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดรู้ทุกข์ พิจารณาเรื่องทุกข์ จะเป็นหินลับปัญญาให้คมกล้าสามารถตัดกิเลสตัวลุ่มหลงอันสืบเนื่องมาจากอวิชชาเสียได้ ด้วยอำนาจของมรรคคือปัญญา จะปรากฎเป็นนิโรธขึ้นมาที่ใจดวงนี้

    นี่ธรรมที่กล่าวนี้ก็มีอยู่ในกายในจิตนี้ทั้งนั้น ถ้าเราสนใจตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ผลเป็นเครื่องตอบแทนจากข้อปฏิบัติชอบ ใครจะมาบังคับหรือกีดกันไม่ได้ เพราะคำว่ามัชฌิมานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครๆ เป็นศูนย์กลางแห่งธรรมอยู่เสมอ ศูนย์กลางทั้งข้อปฏิบัติและศูนย์กลางทั้งผลจะพึงได้รับ ไม่เข้าใครออกใครทั้งนั้น เมื่อเราปฏิบัติให้ถูกต้องตามสวากขตธรรมที่พระองค์ประทานไว้แล้วอย่างตายตัว ฉะนั้น ขอให้ทุกท่านจงอย่าประมาทนิ่งนอนใจ จะเสียวันเสียเวลาและชีวิตจิตใจไปวันละเล็กละน้อย ตายแล้วได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์จะได้ในขณะที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายแล้วหมดราคา แม้อวัยวะยังมีอยู่ยังไม่สลายจากกันก็ตาม พอความรู้สึกออกจากร่างแล้วเขาเรียกว่าคนตายกันทั้งนั้น และจะทำประโยชน์อะไรได้เล่าเพราะ ศีล สมาธิ ปัญญา พระนิพพาน ไม่เคยปรากฎมีในคนตาย ตลอดปฏิปทาทุกข้อพระองค์ไม่ได้ทรงประทานให้แก่คนตาย แต่ประทานให้ไว้สำหรับคนเป็นที่มีความรู้สึกดี-ชั่ว, สุข-ทุกข์อยู่เท่านั้น

    วันนี้ได้อธิบายเรื่องพระของพระพุทธเจ้า และพระในสมัยของพระพุทธเจ้ากับพระของพวกเราอยู่ ณ บัดนี้ว่าจะเป็นพระที่ต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อให้ท่านผู้ฟังเป็นนักปฏิบัติด้วยกันได้วินิจฉัยและสนใจแก้ไขตนเอง เมื่อพระของเราได้บกพร่องไปในส่วนไหน แล้วจะได้ปรับปรุงพระของตนให้สมบูรณ์ขึ้นมาตามพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผลตอบแทนจะกลายเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติคือ ความบริสุทธิ์ภายในใจของตน จัดเป็นพระที่แท้จริง และเป็นพระไม่เสียทีที่ได้ครองผ้ากาสาวพัตร์ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ได้รับทั้งเหตุที่ชอบและผลเป็นที่พึงพอใจ

    พระของพระพุทธเจ้าก็ดี พระของสาวกก็ดี ได้ปรากฎขึ้นมาจากการทวนกระแสโลก ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการวิ่งตามกระแสโลกเหมือนอย่างพวกเรา ซึ่งกำลังวิ่งตามกระแสของโลกอยู่ในขณะนี้ กระแสของโลกนั้นพึงทราบดังนี้ สิ่งใดที่เป็นข้าศึกต่อใจ แต่ใจชอบคิดชอบใฝ่ฝัน พึงทราบว่านั่นคือการวิ่งตามกระแสของโลก คำว่าโลกไม่ได้หมายถึงใคร แต่หมายถึงหัวใจของเราโดยเฉพาะ หัวใจย่อมหมุนเวียนต่อตนเองและหลอกลวงตนเองเสมอ โดยยึดสิ่งแวดล้อมภายนอกมาเป็นตัวเหตุ แล้วทำความหมุนตัวเองให้เป็นไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลา ที่เรียกว่าใจหมุนไปตามกระแสของโลก แล้วเกิดความร้อนขึ้นมาภายในใจของตน แล้วเกิดความร้อนขึ้นมาภายในใจของตน แต่เราอย่าไปเข้าใจเอาเองว่า โลกได้เป็นข้าศึกต่อเรา แท้จริงอะไรทั้งหมดในโลกไม่เคยเป็นข้อศึกต่อใครทั้งนั้น นอกจากตัวเป็นข้าศึกต่อตัวเอง ทุกความเคลื่อนของกาย วาจา ใจที่หมุนไปตามกระแสของโลกโดยไม่หยุดยั้งเท่านั้น ไม่มีอันใดเป็นข้าศึกต่อเราได้เลย

    เพราะเหตุนั้น การบวชในพระศาสนานับว่าเป็นผู้มีโอกาสเต็มที่กว่าใครๆ แม้ทางรัฐบาลก็ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้บวชเป็นพระเป็นเณรในพระพุทธศาสนา โดยไม่หวังอะไรเป็นผลตอบแทนจากการใช้สิทธิพิเศษ นอกจากการหวังบุญกุศลต่อผู้บวช และหวังให้ช่วยเป็นกำลังสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติ บ้านเมืองทางด้านจิตใจ อันเป็นการส่งเสริมนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่งในการประกอบคุณงามความดีเพื่อตนและส่วนรวม

    ถ้าเราทั้งหลายซึ่งเป็นนักบวชไม่สามารถเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าได้แล้ว ก็ไม่ทราบว่าใครจะเดินได้ในโลกมนุษย์นี้ คำว่า รุกขมูลเสนาสนํ เป็นต้น บรรดาฆราวาสผู้ครองเรือนทั่วๆไปจะทำอย่างนักบวชไม่ได้ คำนี้พระพุทธเจ้าพระองค์สอนพระของท่านเพื่อให้เข้าถึงแก่นของพระที่แท้จริง ท่านสอนอย่างนี้ ที่ไหนเป็นที่สงัดวิเวกเป็นป่าเป็นเขา เป็นที่ควรแก่การเพาะสันติธรรมภายในใจของพระท่าน เพื่อเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ผู้บำเพ็ญและแก่โลกทั่วๆไป พระองค์ท่านสอนพระของท่านให้ไปอยู่ให้ไปบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้น ท่านสอนให้ไป สอนให้อยู่ด้วยความกล้าหาญไม่อาลัยในชีวิตจิตใจ เป็นก็มอบไว้กับพระธรรมคือคติธรรมดา ตายก็มอบไว้กับหลักแห่งสวากขาตธรรม ดำเนินตามธรรมที่พระองค์ตรัสชอบแล้วเสมอไป เพื่อนิยยานิกธรรมนำตนให้พ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น

    บรรดาสาวกในครั้งพุทธกาลท่านเดินก้าวหน้าด้วย สุปฏิปนโน เสมอไปอย่างนี้ ไม่ได้เดินแบบถอยหลังเหมือนอย่างพวกเราเดินอยู่ในขณะนี้ การเดินถอยหลังเป็นอย่างไร ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับเครื่องสัมผัส ใจกับธรรมารมณ์ เหล่านี้ แม้จะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งกระทบกันเข้า ก็พร้อมที่จะถอยหลังเข้าสู่ความยินดียินร้ายและติดพันในทางใจ ซึ่งเป็นลักษณะแห่งการยอมจำนนต่อสิ่งแวดล้อมอย่างราบคาบตลอดกาล ไม่มีการต่อสู้พอหวังมีชัยชนะติดมือขึ้นมาบ้าง ทุกขณะที่อารมณ์มาเฉียดๆเท่านั้น จิตวิ่งถอยหลังอย่างสิ้นท่าทุกที แล้วจะหวังวิวัฎฎะคือพระนิพพานจากการก้าวหน้าของนักถอยหลังมาแต่ที่ไหน เพราะสิ่งใดที่จะเป็นภัยต่อตนเองแล้ว ชอบคิดชอบปรุงและชอบเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ทั้งพึงทราบว่าเดินถอยหลังทั้งนั้น

    พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น และประทานให้พวกเราทั้งหลายได้สดับรับรสอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการถอยหลัง ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการท้อแท้อ่อนแอ ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ลิ้นแก่ปากความอยากหิวโหย ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่หลับแก่นอน ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการหึงหวงในชีวิตจนเลยขอบเขต แต่ธรรมเกิดขึ้นจากความอาจหาญร่าเริงต่อความเพียร เกิดขึ้นจากการสละเป็นสละตายต่อหลักความจริงคือพระธรรมเสมอไป จนกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยความรอดตาย ให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้พระองค์ท่านผู้รอดตาย และพระธรรมที่เกิดขึ้นจากความรอดตายของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระสาวกอรหันต์ลูกศิษย์พระตถาคตผู้รอดตาย ซึ่งก็ต้องสวมรอยพระบาทของพระองค์ท่านมาด้วยความรอดตายเหมือนกัน ก่อนจะปรากฎองค์เป็นสาวกผู้ลือนามแต่ละท่านๆ

    ฉะนั้น ขอให้พวกเราทุกท่านจำแนวทางของพระพุทธเจ้าไว้ว่าท่านดำเนินอย่างไร เราต้องดำเนินตามอย่างถึงจิตถึงใจ จะสมคำว่า ธมมํ สรณํ คจฉามิ เราขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งจริง และพระสาวกท่านดำเนินการอย่างไรจึงเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน พ้นจากแก่งกันดารนี้ไปได้ ไม่หมุนเวียนเกิดเวียนตายเหมือนอย่างสัตว์โลกทั่วๆไป เราต้องน้อมมาเป็นคติข้อเตือนใจตลอดกาล จะสมคำว่า สงฆํ สรณํ คจฉามิ เราขอถึงพระสงฆ์องค์เลิศเป็นที่พึ่งจริง ไม่เช่นนั้นจะเป็นโมฆบุรุษถือเพศนักบวชทำตนเป็นพระอาศัยชาวบ้านเขากิน แล้วกลายเป็นกาฝากขึ้นในวงแห่งพระศาสนา โดยอาศัยผ้ากาสาวพัสต์เป็นโล่บังหน้าเกาะชาวบ้านเขากิน

    เช่นบางคนเขาว่า นักบวชเป็นกาฝากเกาะชาวบ้านกิน นี้ไม่ใช่เป็นการตำหนิผิดเสียทีเดียว ยังมีถูกซึ่งควรรับไปพิจารณาสำหรับท่านผู้มีธรรมในใจไม่ลำเอียง เพราะนักบวชอาศัยเกาะชาวบ้านเขากินโดยไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากตัวเอง และไม่ได้ทำโลกให้เจริญด้วยอุบายใดๆ ที่จะให้เขาเกิดความเฉลียวฉลาดและเกิดความร่มเย็น เพราะเหตุแห่งการมาคบค้าสมาคมกับพระได้เลยนั้นมีจำนวนไม่น้อย พระประเภทนี้เรียกว่าพระกาฝาก เพราะเกาะชาวบ้านเขากินเปล่าๆ

    เรียนวิชาทางโลกด้วยเพศของพระ ความประพฤติทางกาย วาจา ใจกลายเป็นโลกไปเสียสิ้น ไม่มีความสนใจใคร่ต่ออรรถธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่อาศัยชาวบ้านเขากินโดยไม่ต้องซื้อต้องหา ศาลาในวัดก็เขาสละทรัพย์สร้างขึ้นให้อยู่ กุฎิทุกหลังก็เป็นภาระของประชาชนช่วยกันสละทรัพย์ปลูกสร้างขึ้นให้อยู่ ถาด กระโถน ด้วย จาน ฯลฯ เครื่องใช้ภายในวัดในกุฏิก็เป็นของประชาชนมีศรัทธานำมาถวายไว้ เพื่อให้ความสะดวกของพระเณรในวัด แต่แล้วก็ทำงานในหน้าที่ของโลกไปเสีย ให้ผิดจากหลักธรรมของสมณะซึ่งควรจะทำตามหน้าที่ของตนผู้เป็นนักบวชตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทานไว้ กลับกลายเป็นอย่างอื่นไปเสีย เช่นนี้เรียกว่าพระกาฝาก ทำบ้านเมืองให้ล่มจมไปได้ และทำพระศาสนาวัดวาอารามตลอดเพื่อนฝูงซึ่งเป็นเพศอันเดียวกันให้ล่มจมไปด้วยโดยไม่มีความผิด แต่อาศัยเพศอันเดียวกันทำให้เปื้อน

    ถ้าเป็นพระประเภทนี้ แม้เขาจะติเตียนว่าเป็นพระกาฝาก พระเกาะชาวบ้านกินนั้นจัดเป็นการตำหนิที่ชอบธรรม เพราะเป็นการตำหนิเพื่อให้ผู้ผิดแก้ไขส่วนบกพร่องของตน ไม่ใช่ตำหนิเพื่อเป็นการล้างผลาญพระศาสนาและนักบวชที่ดีทั่วๆไปให้ล่มจมไปด้วย เพราะพระพุทธเจ้าแลพระสาวกทั้งหลายไม่ได้ทำอย่างนี้ ท่านอาศัยชาวบ้านเขามาเสวยและมาฉันนับแต่วันเสด็จออกทรงผนวชด้วยกันทั้งนั้น แต่พอยังธาตุขันธ์และมีชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ เพื่อความเพียรและความอยู่สบายในทิฏฐธรรมเท่านั้น

    อยู่ที่ไหนก็เพียร ไปที่ไหนก็เพียร อดก็เพียร อิ่มก็เพียร ในอิริยาบถทั้งสี่เต็มไปด้วยความเพียร ไม่ทรงละความเป็นศาสดาของโลกด้วยพระอริรยาบถใดๆ ทรงเป็นศาสดาอยู่ตลอดเวลาและทุกๆพระอาการที่เคลื่อนไหว แม้พระสาวกก็ทำหน้าที่ในความเป็นสาวกอยางสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่องในอิริยาบถใดๆ เพื่อผู้ใคร่ต่อการศึกษาในความเคลื่อนไหวของท่านให้ได้รับประโยชน์ทุกเวลา เพราะพระพุทธเจ้าแลสาวกต้องเป็นครูสอนโลกทุกๆความเคลื่อนไหว ไม่เพียงก้าวขึ้นบนธรรมาสน์อาสนะแล้วจึงจะจัดเป็นศาสดาสอนโลก ทรงเป็นศาสดาและสาวกอยู่ตลอดเวลา เป็น ปุญญกเขต ของท่านและของโลกอยู่ตลอดกาล

    พระที่กล่าวนี้ไม่ใช่พระกาฝาก เป็นพระปุญญกเขตของโลกให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ใครมีข้อข้องใจไปปรึกษาอรรถธรรม จะเป็นข้อลี้ลับหรือจะเป็นทางโลกคือทางบ้านเรือนครอบครัวก็ตาม เกิดการทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงกันได้ เมื่อนำเรื่องข้องใจที่ตนไม่สามารถแก้ไขได้ไปกราบทูลหรือเรียนศึกษากับท่าน ท่านอาจจะให้อุบายต่างๆมาเป็นเครื่องพยุงน้ำใจ แล้วปฏิบัติตามพระโอวาทของท่าน สามารถจะยังสิ่งร้าวรานให้กลับกลายเป็นของดีขึ้นมาและกลับใช้ได้อีกต่อไป ฉะนั้น จึงควรจะเทิดทูนว่าพระโอวาทนั้นเป็นคุณแก่โลก

    ผู้เป็นนักบวชปรพฤติตนตามพระโอวาทก็กลายเป็นปุญญกเขตขึ้นมาให้โลกได้กราบไหว้บูชา ให้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ให้โลกได้รับความสุขความเจริญ ให้โลกได้บุญได้คุณ ให้โลกได้รับความเฉลียวฉลาดหรือมีความอบอุ่น เพระมีพระปฏิบัติเป็นปุญญกเขตไว้เป็นหลักใจในวัดหรือนอกวัด วัดมีมากเท่าไรโลกก็มีความร่มเย็นมากและพระมีมากเท่าไรโลกยิ่งมีความอบอุ่นและร่มเย็นมาก เพราะเหตุใด เหมือนวัตถุเครื่องใช้สอยและอาหารการบริโภคมีมาก ย่อมทำความสะดวกสบายให้แก่ประชาชนและบรรดาสัตว์ทั่วๆไปไม่ให้อดอยากขาดแคลน มีความสุขความเจริญทั่วหน้ากัน ความเบียดเบียนกันและกันก็น้อยลง

    แต่ถ้าตรงกันข้าม วัดและพระมีมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นภัยต่อโลกมากขึ้น ไม่ใช่คำว่าพระคือนักบวชจะเป็นคุณต่อโลกโดยถ่ายเดียวตามที่เข้าใจกันก็หาไม่ พระที่กลายเป็นพิษเป็นภัย เป็นข้าศึกต่อโลกก็ยังมี ดังที่เห็นๆกันอยู่ในสมัยปัจจุบันทุกๆวันนี้ ท่านทั้งหลายก็พอจะทราบได้ด้วยหูห้วยตาของตนเอง จากการประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ทั้งทางวิทยุบ้าง (จนถึงกับรัฐบาลก็ยังหวั่นวิตก ไม่ไว้ใจในพระประเภทนี้) นี่คือพระที่เป็นข้าศึกต่อโลก อาศัยข้าวของเขามากิน แล้วยังกลับเป็นศัตรูต่อชาติ ต่อพระศาสนา ต่อพระมหากษัตริย์ และต่อรัฐธรรมนูญ นี่คือพระที่เป็นข้าศึก ไม่ใช่เป็นพระปุญญกเขตของตนและปุญญกเขตของโลก

    บัดนี้เราทั้งหลายได้มีโอกาสวาสนาอำนวยมาบวชในพระพุทธศาสนา มุ่งหน้าจะเป็นปุญญกเขตของตน เพื่ออันดับต่อไปจะได้เป็นปุญญกเขตของพระศาสนาและของชาติบ้านเมือง ตลอดกุลบุตรสุดท้ายภายหลังให้เป็นความรุ่งเรืองได้แล้วไซร้ จงเป็นผู้มีความสนใจใคร่ต่อข้อปฏิบัติ อย่ามีความเกียนคร้านและสะเพร่ามักง่าย ซึ่งไม่ใช่ทางเดินของนักปราชญ์ พระพุทธเจ้าไม่ทรงพาเดิน และอย่าเห็นสิ่งที่จะเป็นข้าศึกแก่ตนและส่วนรวมว่าเป็นของดี การอันใดถ้าผิดจากความเป็นสมณะจงงดเว้นทันที จนดำเนินตนอยู่ในกรอบแห่งศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางเดินของนักบวชผู้มุ่งแดนแห่งความพ้นทุกข์ แม้โลกเขาไม่ได้บวชก็จะพลอยได้รับความร่มเย็น เหมือนอย่างเราได้รับความสะดวกและร่มเย็นจากโลกอยู่ทุกวันนี้ เช่น กุฎี ศาลา ที่พักอาศัยเป็นมาจากโลกให้ความอนุเคราะห์ เครื่องอาศัยทุกอย่างที่ได้ครองตัวมีชีวิตเป็นมาล้วนแล้วแต่โลก คือศรัทธาญาติโยมช่วยกันทะนุบำรุง นี่โลกให้ความร่มเย็นแก่พวกเราได้อย่างนี้

    ส่วนเราจะสามารถให้ความร่มเย็นแก่โลกด้วยวิธีใด เพราะเราไม่ได้ทำไร่ทำนาซื้อขาย แต่นาของเราคือปุญยกเขตอันเกิดจากประพฤติดีปฏิบัติชอบในตัวเราเอง โลกเขาไม่ได้บวชในพระศาสนาก็ควรจะอาศัยเราได้เมื่อเรามีปุญญกเขต เช่นเดียวกับเราอาศัยเขาฉะนั้น จงเทียบเคียงดูคุณของโลกกับคุณของพวกเราจะควรปฏิบัติต่อกันให้สม่ำเสมอ อย่างมองดูโลกตัวเท่าหนู มองดูเราตัวเท่าพระ แต่จงมองดูพระกับโลกคือคนตาดำๆด้วยกัน มีความรู้สึกอันเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างมีบุญคุณต่อกัน

    คนเราโดยมากมักมีนิสัยชอบดูถูกเหยียดหยามต่ออีกฝายหนึ่ง เนื่องจากมองข้ามตัวโดยเห็นคนอื่นตัวเท่าหนู เห็นตัวเราเท่าตัวช้าง จึงเห็นช้างมีราคา เห็นหมูหมาเป็นสัตว์ต่ำ ที่ถูกควงให้อภัยต่อสัตว์โลกด้วยกัน ย้อนเข้ามาหาพระกับญาติโยมออกจากคนๆเดียวกัน ต่างฝ่ายก็มีคุณค่าด้วยกัน ต่างก็อาศัยกัน โปรดพากันสำนึกในตัวเรากับโลกสม่ำเสมอกันอย่างนี้

    ศีล อย่าพึงเข้าใจว่าจะเป็นหน้าที่ของใครรักษาให้บริสุทธิ์ นอกจากเราผู้มีหน้าที่พร้อมอยู่แล้ว สมาธิคือความมั่นคงของใจ ก็ใจเราเป็นอะไรจึงไม่มั่นคง เพราะใจเป็นโลกจึงหาความมั่นคงไม่ได้ ถ้าใจเป็นธรรมแล้วจะหนีความมั่นคงไปไม่ได้ คำว่าใจเป็นโลกนั้นเพราะใจกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ความกระเพื่อมของใจเพราะความเขย่าตนเอง เช่น น้ำแม้จะใสสะอาด แต่ถูกเขย่าอยู่เสมอย่อมจะขุ่นโดยดี นี่ใจของเราตามธรรมดาก็ขุ่นมัวอยู่แล้ว ยิ่งถูกเขย่าด้วยตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับเครื่องสัมผัส ธรรมารมณ์กับใจ คลุกเคล้ากันเข้าแล้วกลายเป็นจิตขุ่นมัวขึ้นมา เมื่อใจขุ่นมัวเพราะเรื่องของโลกล้วนๆ จะให้เป็นธรรมคือความใสสะอาด ความสงบเยือกเย็นและความสุขความเจริญได้อย่างไร

    ถ้าใจเป็นธรรม ทำตามพระโอวาทที่พระองค์ทรงสั่งสอน เช่นท่านสอนว่าจงฝึกจิตด้วยความเพียร เราก็ทำตามท่านด้วยความเพียร บังคับจิตด้วยสติเป็นพี่เลี้ยงพาดำเนิน มีปัญญาเป็นเครื่องส่องทาง จิตดำเนินตามแถวแห่งธรรมแล้วจะเป็นไปเพื่อความสงบโดยถ่ายเดียว จะไม่เป็นโลกขึ้นมาในใจดวงนั้น พระพุทะเจ้าและสาวกท่านเป็นธรรมเพราะท่านดำเนินตามธรรม เรามุ่งเป็นธรรม ธรรมนั้นเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าและเคยได้ปรากฎผลในพระองค์และสาวกมาแล้ว เมื่อเรานำมาปฏิบัติกลับกลายเป็นโทษต่อเรา มีอย่างที่ไหน ไม่เคยมีในที่ไหนๆ และไม่เคยมีในคัมภีร์ใดด้วย และจะไม่มีในกาลต่อไปด้วย

    ถ้าเราได้ปฏิบัติตามพระโอวาทซึ่งเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว เราจะกลายเป็นธรรมขึ้นมาภายในใจ เริ่มแต่ความสงบในสมาธิเป็นขั้นๆ ตามอำนาจแห่งการฝึกฝนทรมานของตน แล้วกลายเป็นสมาธิที่ละเอียด และปัญญาที่พิจารณาไตร่ตรองในความเคลื่อนไหวของใจตลอดอวัยวะทุกส่วนแห่งร่างกาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกส่วนแบ่งส่วนดูให้ชัดเจน ดูทั้งภายในภายนอกในส่วนแห่งกายนี้ ส่วนใดที่เป็นอตตาแฝงขึ้นมาคิดค้านธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตัสไว้ว่า อนตตา มีไหม ส่วนใดที่เป็นความสุขฝืนธรรมที่ตรัสไว้ว่า ทุกขํ มีไหม และมีธรรมชาติใดที่เที่ยงทนถาวรสามารถขัดฝืนธรรมที่ตรัสไว้ว่า อนิจจํ มีไหม ในอวัยวะของเราทุกๆส่วนเมื่อค้นดูแล้วก็เต็มไปด้วยไตรลักษณ์คือ อนิจจํ ทุกขํ อนตตา ซึ่งเป็นธรรมล้วนๆทั้งนั้น

    ใจที่เป็นไปในธรรมขั้นสูงไม่ได้ก็เพราะฝืนธรรมล้วนๆ จึงกลายเป็นโลกล้วนๆขึ้นมา ผลอันได้รับคือไฟเผาตัวเองให้รุ่มร้อนทั้งวันทั้งคืน ไปที่ไหนก็ร้อน อยู่ที่ใดก็ร้อน อยู่ในบ้านก็ร้อน อยู่ใวัดก็ร้อน อยู่ในป่าก็ร้อน ขึ้นไปอยู่บนภูเขาก็ร้อน อยู่ร่มไม้ก็ร้อน อยู่ในที่กลางแจ้งก็ร้อน หาความเย็นไม่มี แม้ที่สุดอิ่มก็ร้อน หิวกระหายก็ร้อน หนาวก็ร้อน ร้อนก็ยิ่งร้อนเพิ่มทั้งกายทั้งใจ ร้อนทั้งวันทั้งคืนภายในใจไม่เวลาสร่างและบรรเทาเบาลงได้ เพระไม่มีน้ำที่ไหนมาดับไฟกองนี้ได้ นอกจากน้ำคือธรรมโอสถเท่านั้น ที่เกิดจากข้อปฏิบัติอันถูกทางจึงจะสามารถดับไฟได้ กลายเป็นความร่มเย็นขึ้นมาที่ใจดวงนั้น

    การพิจารณาขันธ์ทุกๆขันธ์จงถือไตรลักษณ์เป็นทางเดินของปัญญา พิจารณาลงจุดนั้นเสมอ จะเป็นไตรลักษณ์ใดไม่ผิดทาง ขอให้ชัดเจนด้วยปัญญาเป็นสำคัญกว่าอื่น จะดูทุกข์ก็ขอให้ชัดเจน เพราะทุกข์มีอยู่ภายในกายในใจตลอดเวลาทำไมจะไม่เห็นทุกข์ ก็เราเป็นคนทุกข์เอง เราพิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราทำไมจะไม่เห็น พระพุทธเจ้าและสาวกดูทุกข์ของท่านและทุกข์ทั่วๆไปทำไมท่านจึงเห็น เราดูทำไมจะไม่เห็น ความรู้สึกคือใจเป็นอันเดียวกัน ความแปรสภาพแห่งส่วนต่างๆในร่างการและจิตใจของเรากระเทือนกันอยู่ตลอดเวลาทำไมจึงไม่รู้

    จงดูสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญา เวทนาก็เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์ มันเกิดดับกลับไปกลับมาอยู่เช่นนี้ จะถือเอาตัวจริงจากสิ่งเหล่านี้ได้ที่ไหน เพราะขันธ์ทั้งห้าคือไตรลักษณ์ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมแต่ละอย่างๆ เป็นไตรลักษณ์อย่างสมบูรณ์ จึงไม่อธิบายไปมาก เมื่อปัญญาได้สอดส่องค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา มีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา ปัญญาเป็นเครื่องฟาดฟันขุดค้นสิ่งที่มีอยู่กายในจิตทั้งภายในภายนอก ความรู้แจ้งเห็นชัดจะต้องเปิดเผยขึ้นมาที่ใจทันที อะไรจะมาปิดบังลี้ลับปัญญาไม่ได้ เพราะอำนาจของปัญญาแทงทะลุปรุโปร่งไปหมดทั่วทั้งโลกธาตุ ไม่มีอันใดจะอาจเอื้อมปิดบังปัญญานี้ได้ และสามารถแทงตลอดไปหมดทุกหนทุกแห่งโดยไม่มีขอบเขต จนเห็นแจ้งขึ้นในตนเอง ฉะนั้น จงสนใจในปัญญา แม้จะเป็นความราบรื่นต่อการดำเนินเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าและสาวก ท่านก็ดำเนินด้วยสติปัญญาอย่างนี้เหมือนกัน อย่าเข้าใจว่าท่านแหวกแนวไปคว้าเอาอะไรมาดำเนินให้นอกเหนือจากสติปัญญาและธรรมที่ท่านสอนไว้นี่เลย

    เราดำเนินตามพระโอวาทที่ประทานไว้แล้วโดยถูกต้อง จะผิดพลาดจากหลักความจริงและผลที่มุ่งหวังไปไม่ได้ ถ้าได้ดำเนินตามสวากขาตธรรมแล้วผลยังจะกลายเป็นอย่างอื่น พระธรรมจะเรียกว่าสวากขาตธรรมและเป็นนิยยานิกธรรมไปไม่ได้ ที่เป็นได้อย่างนี้เพราะธรรมของพระองค์ยืนหลักตายตัวต่อเหตุผล ทนต่อการพิสูจน์ตลอดกาล เพราะฉะนั้น ปัญหาข้อนี้จึงไม่ขึ้นอยู่กับธรรมว่าจะลำเอียงไปมา แต่ขึ้นอยู่กับเราจะต้องพิสูจน์ตัวเองเป็นลำดับไป

    จงเป็นผู้มีสติรู้ตัวเอง และมีปัญญาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของตัวเสมอไป เพราะหน้าที่ของเราซึ่งเป็นนักบวชมีเท่านี้ กิจการของโลกเรื่องของโลกต้องยกให้โลกเขา เราอย่าไปเกี่ยวข้องเสียดาย แต่การปฏิบัติถูกต้องตามพระโอวาทเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์โดยชอบแล้ว จงถือเป็นกิจจำเป็นและหน้าที่ของเราโดยเฉพาะ กิเลสตัวใดอาจเอื้อมเข้ามา จงบังคับกำจัดออกให้หมดด้วยน้ำใจกล้าหาญของนักบวช อย่ายอมให้เข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับจิตได้ จงพิจารณาตามที่กล่าวมานี้ กายทั้งท่อนมีเต็มอยู่ในตัวของเราจะไม่รู้อย่างไรเล่า ความรู้เห็นทางกายนี้ชัดเจนด้วยปัญญาฉันใด สภาพภายนอกทั่วๆไปซึ่งมีลักษณะนเดียวกัน ต้องรู้เห็นชัดเจนด้วยปัญญาฉันนั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประกาศตัวอยู่ตลิดเวลาอกาลิโก ถ้าปัญญาได้หยั่งลงสู่กองขันธ์ซึ่งเป็นคลังแห่งไตรลักษณ์แล้วต้องรู้ เมื่อรู้จริงแล้วต้องปล่อยวางทันทีจะยอมทนทุกข์ถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตนต่อไปอีกอย่างไร และจะไม่เห็นกระแสของใจซึ่งเที่ยวพลุกพล่านในอาการทั้งหลายเหล่านั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร

    ก็อะไรเล่าเป็นตัวโจรผู้ก่อเหตุแห่งความไม่สงบอยู่ทุกขณะ และเป็นข้าศึกตัวลือนามแห่งไตรถพ เริ่มพิจารณาเบื้องต้นก็เห็นว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสว่าเป็นข้าศึก เมื่อรู้แจ้งชัดด้วยปัญญาแล้ว สภาพนั้นก็เป็นสัจจะของจริงตามสภาพของตนๆ ไม่ปรากฎว่าเป็นข้าศึกต่อผู้ใด น้อมปัญญาย้อนหลังเข้ามาพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นข้าศึกแก่ตน แต่แล้วสิ่งเหล่านี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับสภาวะที่พิจารณาผ่านมาแล้วโดยเป็นสัจจะของจริงอันเดียวกัน ไม่เคยตั้งตัวเป็นข้าศึกต่อผู้ใด แล้วอะไรเล่าเป็นกงจักรหมุนตัวเองอยู่ในขณะนี้ อะไรเป็นผู้คว้าน้ำเหลวอยู่ตลอดเวลา อะไรเป็นผู้ฉลาดแต่กลับโง่ต่อตัวเอง อะไรเป็นผู้ชนะเขาแต่กลับแพ้ตัวเอง อะไรเป็นผู้หมุนไปตามสภาวะทั้งหลายและถือสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตนเป็นสมบัติของตน แต่ตนกลับเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัว

    เมื่อปัญญาได้พิจารณายอกย้อนจนรวมตัวแล้ว ไม่เห็นมีอะไรแม้แต่สิ่งเดียวจะประกาศตนออกมาว่า เป็นตัวกิเลสตัณหาวัฏฏะพาหมุนเวียนเปลี่ยนตัวเองให้เป็นไปต่างๆภายใต้วงล้อมของจัรตัวใด มีสิ่งเดียวคือวัฏจิตที่ท่านให้นามว่า อวิชชา เป็นนักท่องเที่ยว นักล่าภพล่าชาติความเกิดๆตายๆจนเจ้าตัวหลงความเป็นมาผ่านมาของตัวเอง ไม่ทราบว่าได้เที่ยวล่าภพล่าชาติไปที่ไหนบ้าง รู้และจำไม่ได้เลย นี่คือ วัฏจิต จิตดวงท่องเที่ยว และธรรมชาตินี้ไม่มีเครื่องมือใดๆจะสามารถพิสูจน์ขุดค้นและทำลายได้ นอกจากสติกับปัญญาประกอบกับองค์ความเพียรพิจารณาไม่หยุดยั้งเท่านั้น จึงจะสามารถทำลายธรรมชาตินี้ได้

    ปัญญาทำการถากถางสิ่งปกคลุมทั้งภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ทั้งภายในคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณออกจนหมดสิ้น ยิ่งเห็นกระแสของอวิชชาและตัวอวิชชาปรากฎตัวอย่างเต็มที่ และจะได้ปฏิเสธสภาวะทั้งหลายว่ามันไม่ใช่ตัวกิเลสตัณหาและไม่ใช่วัฏจักรแต่อย่างใด นอกจากความรู้รู้ที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลาผู้เดียวเท่านั้น ปัญญาขุดค้นลงไปว่าผู้รู้นี้เป็นอะไรอีก พิจารณาลงไปเห็นแต่ไตรลักษณ์เต็มตัวในวัฏจิตดวงนั้น ฉะนั้น ธรรมชาตินี้จึงเป็นกงจักรและเป็นโลกอย่างเต็มดวง เพราะถ้าไม่เป็นไตรลักษณ์ จะเป็นโลกและเป็นสมมุติไปไม่ได้ ต้องเป็นวิมุตติไป ความดีความชั่ว, สุข-ทุกข์ ซึ่งเป็นสมมุติเกิดมาจากไหน นอกจากจะเกิดจากจิตอวิชชาซึ่งเป็นตัวสมมุติด้วยกัน นี่เรื่องของปัญญา มาถึงขั้นนี้แล้วกลายเป็นปัญญาอัตโนมัติหมุนรอบตัวอยู่ตลอดเวลาไม่มีใครมาบังคับ เรื่องของตนมีมากมีน้อย, ผิด-ถูก, ดี-ชั่ว, หยาบ-ละเอียด จะรู้เท่าทันและปล่อยวางไปเป็นลำดับไม่รีรอ จะทนทานและปิดบังปัญญาไว้ไม่ได้

    เรื่องดี-ชั่ว, สุข-ทุกข์ เป็นต้น จะปรากฎขึ้นจากจิตอวิชชานั้นทั้งหมด และเห็นจิตอวิชชานั้นเป็นตัวกิเลสตัณหา ตัวกงจักรและตัวสมมุติอย่างเต็มดวง ธรรมชาตินี้ได้ถูกปัญญาสกัดฟาดฟันลงโดยไม่หยุดยั้ง ถึงกับตั้งตัวอยู่ไม่ได้ ที่มั่นของวัฏจิตคืออวิชชาก็แตกกระจายลงในขณะนั้น ปัญหาโลกแตกซึ่งเคยครองหัวใจมาเป็นเวลานานแสนกัปนับไม่ถ้วนก็ได้แตกกระจายหายสูญไป พร้อมๆกันกับอวิชชาได้ดับไป ธรรมอัศจรรย์ซึ่งมีอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่ไม่เคยปรากฎตัวเพราะอำนาจของอวิชชาปิดบังไว้อย่างมิดชิดก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างเต็มที่ในขณะเดียวกันกับอวิชชาดับไป ธรรมชาติที่รู้ว่าวัฏจักรหรือวิชชาดับไปนั่นแล ท่านให้นามว่าวิวัฏฏะหรือสอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังครองขันธ์อยู่

    เมื่อถึงธรรมชาตินี้แล้วจะว่าเป็นศิษย์พระตถคตหรือไม่ว่าก็ตาม เพราะไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดจาหรือดำริคิดเอาเฉยๆ แต่ขึ้นอยู่กับหลักธรรมชาติ เช่นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต" ต้องเห็นทางข้อปฏิบัติด้วย เห็นทางความรู้ความฉลาดด้วยปัญญาด้วย เห็นในหลักธรรมชาตินี้ด้วยเป็นสักขีพยานฉะนั้น จงพากันดำเนินตามอธิบายมานี้ คำว่าวิมุตติพระนิพพานทุกท่านจะได้ถามใครที่ไหน เพราะป็นธรรมตายตัวอยู่กับข้อปฏิบัติที่พระองค์ประทานไว้อย่างตายตัวแล้ว ขอให้ดำเนินแบบตายตัว สละเป็นสละตายเพื่อปฏิบัติ สมบัติอันล้ำค่านั้นจะเป็นของเรา เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาดเฉพาะพระองค์เดียว เป็นส่วนของใครของเราทุกท่าน ขอแต่ให้ดำเนินตามสวากขาตธรรม คำว่านิยยานิกธรรมการรื้อถอนตนออกจากสังสารจักร จะเป็นเรื่องของเราได้รับผลอย่างแน่นอน

    การแสดงธรรมเพื่อบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายที่ได้มารวมกันหลายท่าน และได้โยกย้ายมาจากสถานที่วิเวกต่างๆ ได้มารวมกันวันนี้เห็นว่าเป็นโอกาสอันควร จึงได้แสดงธรรมในฐานะเป็นกันเองให้ฟัง จงนำไปไตร่ตรองแล้วปฏิบัติต่อตนเองเพื่อความเป็นปุญญกเขตของตน และเป็นปุญญกเขตของโลกให้ได้รับความร่มเย็น เป็นที่พึ่งจิตพึ่งใจพึ่งเป็นพึ่งตายแก่ประชาชนทั้งหลาย จงระลึกถึงคำว่าปุญญกเขตของตนเป็นข้อที่หนึ่ง และปุญญกเขตของโลกเป็นข้อที่สองจะตามมาเอง เพราะเป็นธรรมเกี่ยวโยงกัน จงอย่าพากันหลงลืมปุญญกเขตดังกล่าวมา

    ในอวสานแห่งพระธรรมเทศนานี้ ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีความสะดวกกายสบายใจ ทั้งปฏิปทาเครื่องดำเนินจงเป็นไปตามพระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงจุดหมายปลายทาง คือ แดนแห่งวิมุตติหลุดพ้นไปได้ดังใจหมายโดยเร็วพลันทุกๆท่านเทอญ

    - จบ -
    __________________

    " ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น

    และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น "

    ครั้นได้ฟังธรรมนี้ สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า

    " สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา "



    :emo_003:..........
    --------------------------------------------------------------​
     

แชร์หน้านี้

Loading...