มีปัญหาเวลานั่งสมาธิครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย xanxus, 3 มกราคม 2012.

  1. xanxus

    xanxus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +175
    ตอนนี้ผมหันมานั่งสมาธิครับ พอนั่งแล้ว ใจมันคิดไปเองครับทั้งๆที่พยายามให้สงบ ทั้งนับเลขก้อแล้ว อะไรก้อแล้ว เหมือนใจมันคิดไปเอง มันเหนภาพเหมือนเรากำลังเพ้อเจ้ออะไรซักอย่าง บางทีก้อเหมือนได้ยินเสียงในใจ คล้ายๆกับเรากำลังร้องเพลงในใจ ครับ

    พี่ๆพอมีวิธีแนะนำให้ จิตใจสงบเวลานั่งสมาธิมั้ยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. ตาเฒ่าแก่

    ตาเฒ่าแก่ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    มีปัญหาเวลานั่งสมาธิ

    ดีใจด้วยที่มีสติรู้ ต่อไปคือ รู้เหมือนคนแปลกหน้าเดินผ่านหน้าบ้าน
     
  3. บัวทิพย์

    บัวทิพย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2005
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +38
    อยากสงบมันก็ไม่สงบ ต้องไม่อยากจึงจะสงบ
     
  4. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +1,117
    คุณจิตฟุ้งซ่าน คิดเรื่อยเปื่อยแต่ยังมีสติอยู่บ้างรู้ว่าคิดโน้นคิดนี่ คุณลองทำนะคะ ก่อนนั่งสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรมก่อน แล้วกราบสติปัฎฐาน 4 คะ และนั่งสมาธิ กำหนดคำบริกรรมแล้วแต่คุณจะใช้อะไร พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ คุณต้องรวมจิตก่อนคะ จูจู่นั่งไม่ได้ คนเราบุญกรรมไม่เหมือนกัน คุณลองทำดูนะคะ บุญรักษาคะ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    ความจริงอย่างน้อยคุณถือว่าดีนะครับ...ที่คุณยังสามารถรู้ว่าจิตมันคิดฟุ้งซ่าน...และมันคิดของมันเอง...ไม่ใช่เราไปสั่งให้มันฟุ้งเอง....สิ่งนี้บ่งบอกได้เลยครับ...ว่าแม้แต่จิตของเราเอง...เรายังควบคุณมันไม่ได้...ถ้าคุณมองต่อไปคุณจะรู้ว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง....คือเรื่องมันต่อเรื่องไป...จบแล้วต่อ..ต่อแล้วมันก็จบ..เหนื่อการบังคับของเราไป....จินมันไม่เที่ยง...จินมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา...เพราะถ้ามันเป็นของเรามันต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา.....ฉะนั้น....เราเป็นเพียงผู้ดูครับ....มันฟุ้งก็ดูว่ามันฟุ้ง...แค่รู้แค่ดู...เราจะไม่เป็นผู้ไปประพันธ์ต่อ.....ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ ในความฟุ้งนั้น.....แยกออกมาครับ...เป็นเพียงผู้ตามรู้ตามดูความฟุ้งนั้น....แล้วการภาวนาคุณจะประจักษ์ด้วยตนเองครับ...
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ก็เพราะจิตไม่สงบ เราจึงต้องฝึกให้มันสงบ มั่นฝึกๆๆฝึกด้วยกลวิธีให้จิตสงบ มองมุมนี้แล้ว เราจะเข้าใจเลยว่า ทำสมาธิกรรมฐานทำไม
     
  7. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    ตามความรู้อันน้อยนิด ในเมื่อมันคิด ก็ปล่อยให้มันคิดไปครับ ตามดูไปเรื่อย ๆ
    พิจารณาไปเรื่อย ๆ มีสติแบบนี้ถูกแล้วครับ
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เวลามันฟุ้งซ่านหนักๆ อย่าไปบังคับมันนะครับ ปล่อยเลย จิตนี่เหมือนวัวเหมือน
    ควาย ถ้ามันแวะออกนอกทางไปกินหญ้าจะไปดึงมันก็ไม่ได้ ต้องค่อยๆ ฝึก พอ
    มันกินได้หน่อยค่อยต้อนมันกลับฝึกจนมันเคยชิน
     
  9. pengkasit2009

    pengkasit2009 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +72
    ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ ผมเป็นคนฟุ้งซ่านเหมือนกัน สาธุอนุโมทนา
     
  10. xanxus

    xanxus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +175
    อย่างงี้หมายความว่าผมมาถูกทางรึป่าวครับ ???

    ขอบคุณทุกคำตอบพี่ๆมากครับ
     
  11. วัชรวงศ์

    วัชรวงศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +7
    กระผมจะพยายามตอบเพิ่มเติมโดยสัมมาทิฏฐินะครับ

    1.สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากนิวรณ์ 5 ให้ใช้พละ5 แลอิทธิบาท4 เป็นตัวกำจัดนิวรณ์5
    2.รากเหง้าวิปัสนากรรมฐาน มีศีลที่บริสุทธิ์1 จิตที่บริสุทธิ์1 เพราะฉะนั้นก่อนการเจริญวิปัสนากรรมฐานจึงควรสมาทานศีลแลจิตให้บริสุทธิ์เสียก่อน แลสมาทานอธิฐานจิตว่าขอให้การปฏิบัติครั้งนี้เป็นไปโดยสัมมาทิฏฐิเพื่อระงับแลดับกิเลส ตามดูพจารณากิเลสในจิตโดยมีศีลแลจิตที่บริสุทธิ์โดยมีสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวแลพึงระงับแลดับกิเลสด้วยกองกรรมฐานทั้ง40แลสติปัฏฐาน4ตามแต่จริตของของแต่ละรูปนาม
    3.แลขณะเจริญวิปัสนากรรมฐาน ในการเอาชนะมาร5ตามข้อมูลที่อ้างอิงโดยสัมมาทิฏฐิดังนี้
    วิธีเอาชนะมารทั้ง 5
    พุทธวิธีพิชิตมาร
    มารเธยยสูตร
    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้น
    ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑
    เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑
    เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบแล้วด้วยธรรม ๓ ประการนี้แล ก้าวล่วงบ่วงแห่งมารแล้ว ย่อมรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ฉะนั้นฯ”
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สุภสูตรที่ ๓
    “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ อุรุเวลาประเทศ ก็โดยสมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้งในราตรีอันมืดทึบ และฝนกำลังตกประปรายอยู่ ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้ามขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาคจึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วแสดงเพศต่างๆ หลากหลาย ทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ในที่ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาค ฯ
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้จึงตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาลอันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะทำการจำแลงเพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ฯ
    และชนเหล่าใดสำรวมดีแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา และ ด้วยใจ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาร ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้เดินตามหลัง ฯ
    ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ”
    นั่นคือ การสำรวมระวังอายตนะ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้พลั้งเผลอกระทำผิดคิดชั่ว ปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปตามกิเลสมาร ก็เพียงพอที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในอำนาจมาร ทำให้เรามีกำลังสติในการต่อสู้กับมารต่อไปได้ เมื่อสำรวมระวังได้แล้วก็ต้องระวัง อย่ายึดมั่นหรือหวงแหนสิ่งที่เกิดจาก “ตัวกู ของกู” ปล่อยวางขันธ์ 5 ว่า “ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา” มันจะปวด จะทุกข์ หรือจะตายก็ช่างมัน เอาจิตของเรามุ่งสู่พระนิพพานเท่านั้น

    ดังพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ณ พระนครสาวัตถี ความว่า
    [​IMG]“ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ มารเป็นไฉนหนอ?
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราธะ รูปเป็นมาร เวทนาเป็นมาร สัญญาเป็นมารสังขารเป็นมาร วิญญาณเป็นมาร ดูกรราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น
    ครั้นหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี”
     
  12. gentboy

    gentboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +240
    ผมขอแนะนำ พระพุทธพจน์ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความคิด ในอนัตตลักขณสูตรแล้วกันครับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าสังขารคือความคิดดีและคิดชั่วนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร์
    สังขารนี้ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทำให้ลำบากใจ
    เราย่อมได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่าขอให้เรามีแต่ความคิดดีตลอดไปเถิด อย่าได้มีความคิดชั่วเลยก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา
    แต่ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอนัตตามิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงชอบคิดแต่เรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจ
    และเมื่อสังขารมันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา ถ้าปรารถนาว่าขอให้เรามีแต่ความคิดที่ดีตลอดไปเถิด อย่าได้มีความคิดชั่วเลยก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา
    เพราะฉะนั้นเมื่อความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นก็ให้กำหนดรู้ดูความคิดฟุ้งซ่านเช่น ฟุ้งซ่านหนอๆ ไปเรื่อยจนความคิดฟุ้งซ่านหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2012
  13. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166

    ใจมันคิดไปเองครับทั้งๆที่พยายามให้สงบ.....

    มันก็เป็นธรรมดา เมื่อ ประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดลง ประตูใจมันจะคิดนั่น คิดนี่ นี่แหละคือวิจารย์ในสมาธิ คนส่วนใหญ่คิดแต่ว่าวิจารย์คือคำบริกรรมเท่านั้นซึ่งความคิดที่ผุดขึ้นก็นับเป็นวิจารย์ในการภาวนา

    แต่เมื่อสมาธิสูงขึ้นมันก็ละได้เองด้วยอำนาจฌาน อย่าไปทุกข์เพราะเราห้ามมันไม่ได้ไปยึดมันก็ทุกข์
    เพราะเราเป็นผู้ภาวนากำหนดรู้ตามจริง ผลคือสติเพิ่มขึ้น สามธิดีขึ้นเอง เพียงแค่ตามรู้ที่มันคิดเดี่ยวมันก็สงบไปเอง

    พยายามภาวนาทำให้มาก เมื่อได้ฌานสูงขึ้นมันก็สิ้นสงสัย

    เจริญพร
     
  14. นางสาวอยู่จ้ะ

    นางสาวอยู่จ้ะ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +3,865
    1. ลองภาวนาแบบเบาๆ ทั้งวัน ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้
    ให้จิตมีที่ยึดไว้บ้าง พอถึงเวลานั่งสมาธิ จิตจะรวมกันได้ดี
    กว่าปล่อยให้ฟุ้งซ่านทั้งวัน

    2. ก่อนภาวนา 3 ชั่วโมง ห้ามฟังเพลง ดูทีวี เกม internet
    facebook (ตัดตัวฟุ้งทุกอย่างไปเลย แม้แต่ข่าวทีวีก็ให้งด
    ไปหาอ่านหนังสือพิมพ์เอา แต่ให้อ่านเฉพาะหัวข้อข่าวพอให้รู้ว่า
    ใครทำอะไร คืออย่ามีอารมณ์ร่วมมาก)

    ทำสมาธิทุกวัน ดีทุกวันนะคะ สั่งสมอริยสมบัติเอาไว้ เป็นฐานของ
    ปัญญา ถ้าตัวปัญญาของเราแข็งแกร่ง เวลาใครมาหลอกเรา ก็จะรู้ได้
    เลย เหมือนมันผุดขึ้นมาเองน่ะค่ะ
     
  15. Ankamang

    Ankamang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    มาถูกทางแล้วครับ ตามดูตามรู้มัน พอเรารู้ว่าเราคิดเดี๋ยวมันก็หาย ถ้ามันไม่หายก็แสดงว่าเรากำลังปรุงแต่มัน ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในห้าขันธ์ หรือทั้ง5ขันธ์กำลังปรุงมันอยู่ ทุกเวลาทุกนาที ฝึกทุกวันฝึกให้รู้ตามดูมันให้เห็นกายในกาย!!!
     
  16. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ขึ้นอย่กับว่าทำเปนประำจำหรือเปล่า เพราะเหนที่ตอบในนี้ ไม่่เหนว่ามีใครบอกว่ามาผิดทางสักกะคน ถ้าทำสมาธิไปเพราะใจอยากให้สงบ จะมีความอยากและอุปาทานครอบงำ ยังงี้ไม่เรียกว่าฝึกสมาธิ แต่ถ้าทำเพื่อลดความอยาก ทำเพื่อไม่อยากหรือต้องการอะไรไม่ว่าจะเปนฌาน ญานหรืออภิญญา ให้สนใจกับอารมณ์ที่ทำขณะนี้
    ยังงี้เรียกว่าเป็นการฝึกสมาธิครับ ควรไ่ม่ทิ้งคำภาวนาด้วย คำภาวนา เปนกุญแจที่นำไปสู่ความสงบ จิตจะรวมหรือไม่รวม หรือจะฟุ้งซ่านตลอด ก้เปนไปตามธรรมชาติของจิต ไม่ต้องไปสงสัยอะไรมาก หน้าที่คืออย่กับจิตใจตัวเองให้ได้
    และนั่งให้ได้ตามทีเรากำหนดไว้ ทำสิบนาที ก้นั่งให้ได้สิบนาที ตามกำลังของเรา
     
  17. wutthik

    wutthik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +493
    อยากแนะนำนะครับไม่ใช่ผมเก่งนะทำมามากแล้วภาวนาทุกอย่างทุกท่า ไม่ดีเท่าที่ควรจนมาพบแนะนำ ตอนหายใจเข้าก็ภาวนาว่า หายใจเข้าก็รู้ ตอนหายใจออกก็ภาวนาว่า หายใจออกก็รู้ ทำติดต่อต่อเนืองภาวนาไปเรื่อยๆ " หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ "ลองทำดูอาจถูกกับจริตคุณนะ คำภาวนานี้จะได้ทั้งสติและเห็นลมหายใจของเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2012
  18. นิมิตา

    นิมิตา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +4
    คุณรู้ตัวว่าจิตใจฟุ้งซ่านก็แสดงว่า เป็นเรื่องที่ดีครับ


    พอรู้สึกว่าฟุ้งซ่านก็กำหนด ฟุ้งหนอ ครับ

    แล้วก็กำหนดกลับมาที่เดิม เช่น พุทธโธ หรือ ยุบหนอ พองหนอ ตามที่คุณฝึกมาครับ
     
  19. ดอกไม้ป่่า

    ดอกไม้ป่่า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +14
    เป็นอยู่แต่ใช้วิธี รู้ทันตามความคิด ว่าคิดอะไรมันจะดับเอง เมื่อเกิดก็รู้ ใจคิดอะไรก็รู้ว่าคิดอะไร ทำไปเรื่อยๆ
     
  20. xanxus

    xanxus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +175
    ขอบคุณ พี่ๆ และ ทุกๆท่าน สำหรับคำตอบครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...