มีชาติหน้าจริงหรือ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 15 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    คนในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังถามตัวเองว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วตายเลยคือสูญ หรือตายแล้วเกิดอีก ไม่เกิดได้ไหม? เลือกเกิดได้ไหม? เกิดเป็นคนหรือเป็นสัตว์ หรือเป็นผีเป็นเปรต หรือเป็นเทวดา เทพ พรหม ตายแล้วมีนรก มีสวรรค์จริงหรือ ตายแล้วอาจต้องไปรับทุกข์ทรมานจริงหรือ บางคนคิดว่าถึงแม้จะจริงคนที่รับทุกข์ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่รู้ว่าใครเพราะตนเองตายไปแล้ว ซึ่งนับเป็น มิจฉาทิฐิ คือความเชื่อผิด ผู้ที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้ดีที่สุดก็คือพระพุทธองค์ ในคืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในพระญาณแรกทรงระลึกชาติหนหลังจนนับไม่ถ้วนชาติ พระองค์จึงเข้าใจว่าพระองค์มาจากไหนตามคำถามที่ตั้งไว้ นอกจากพระพุทธองค์แล้วบรรดาพระอรหันต์หรือพระสงฆ์และฆราวาสที่ได้ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่รู้ภพรู้ชาติก่อนๆได้เท่านั้นที่จะรู้ชาติภพเดิมได้ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆไม่มีความสามารถที่จะรู้ แต่ควรได้เข้าใจว่าเราได้เกิดดับมาแล้วนับไม่ถ้วนชาติ และยังมีภพมีชาติรออยู่ข้างหน้าอีกมากมายนักที่เรียกว่าสังสารวัฏ ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งตรงกับหลักของธรรมชาติที่มีการวนเวียนเปลี่ยนรูปร่างไปไม่รู้จบ เช่นเดียวกับน้ำในทะเลที่ถูกความร้อน ระเหยเป็นไอน้ำขึ้นไปในอากาศ ต่อมารวมตัวเป็นเมฆฝน แล้วตกลงมาเป็นหยดน้ำรวมอยู่ในบ่อ บึง คลอง หนอง แล้วไหลลงแม่น้ำสู่ทะเลเช่นเดิม ไม่รู้อะไรต้นอะไรปลาย แต่พระพุทธองค์สอนว่ามนุษย์เราอยู่ในกามาวจรภูมิ คือเกี่ยวข้องกับกาม ซึ่งมี 11 ชั้น ส่วนที่เป็นส่วนดี หรือสุคติ ได้แก่ มนุษย์ชั้นหนึ่งและสวรรค์ 6 ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา จนถึง ปรนิมมิตวสวัตดี และส่วนที่ไม่ดี เรียกว่าอบายภูมิ 4 ตั้งแต่นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย เราทุกคนย่อมวนเวียนไปมาอยู่ในภูมิ 11 ชั้นนี้ เช่นอาจมาจากสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งลงมาเป็นมนุษย์ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกุศลกรรมก็ส่งให้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าก่อแต่กรรมชั่ว ก็ต้องตกไปอยู่ในอบายภูมิ ตัวนำพาก็คือกรรมที่ได้กระทำมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำครุกรรม หรือกรรมหนักที่จะเป็นตัวนำที่สำคัญที่สุด ถ้าผู้นั้นไม่ได้ทำครุกรรมก็จะอยู่ที่อาจิณณกรรม คือ สิ่งที่ได้ทำอยู่เป็นประจำ ผู้ที่ทำดีเสมอจนถึงวาระสุดท้ายก็จะนำไปเกิดที่ดี ที่เรียกว่า ชนกกรรม เป็นตัวที่นำไปให้เกิด และปัจจัยสุดท้ายที่จะมีผลต่อภพภูมิใหม่ ก็คือ อาสันนกรรม คือสภาพของจิตในวาระสุดท้ายที่จะดับ ซึ่งทุกศาสนาจะสอนให้จิตของคนใกล้ตายนึกถึงพระหรือพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าทำได้จะเป็นสิ่งที่นำเราไปสู่ภพภูมิที่ดี เราทุกคนจึงควรมุ่งปฏิบัติให้ภพหน้าชาติหน้าของเราดีขึ้นสูงขึ้น แม้ว่าเราจะกำหนดเอาเองไม่ได้ พระพุทธองค์ได้ชี้ทางที่เรียกว่ามรรคไว้ให้เราเดิน จนถึงที่เราอาจหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ที่น่าสนใจและตกใจคือมีผู้อ้างทางโทรทัศน์ว่า ได้มีการสำรวจสอบถามคนที่เดิน ณ ถนนที่ 5 กรุงนิวยอร์ค ซี่งเป็นถนนมีชื่อมีระดับโลก ว่าเชื่อไหมว่าตายแล้วมีการเกิดอีก เพราะตามหลักคริสต์ศาสนา สอนคนให้เชื่อว่าตายแล้วสุดไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า แต่ปรากฏว่าประมาณ 60 เปอร์เซนต์ ของคนที่นี่เชื่อว่ามีการเกิดใหม่จริง 20% เชื่อว่าไม่เกิดและอีก 20% ไม่แน่ใจ และมีผู้อ้างว่าได้มีการศึกษาในทำนองเดียวกันที่คนเดินอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า คนไทยยุคนี้ที่เป็นชาวพุทธเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 70% บอกว่าไม่เชื่อเพราะพิสูจน์ไม่ได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเขาเป็นชาวพุทธประเภทใด เพราะหลักพุทธศาสนาที่สำคัญคือ การเวียนว่ายตายเกิด และทางที่พระพุทธองค์ชี้แนะคือให้คนพ้นทุกข์โดยไม่ต้องมาเกิดอีก คือ นิพพาน

    สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ที่เขาเชื่อเพราะอาจมีการศึกษา ได้มีการอ่านหนังสือหลายเล่มที่ศึกษาว่ามีการเกิด หรือมีชีวิตใหม่หลังชีวิต เช่น การศึกษาเรื่องระลึกชาติได้ ซึ่งมีการยืนยันว่ามีชาติที่แล้วจริง และในระยะหลังมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่แสดงถึงการเกิดหลังการตาย เป็นต้น แต่คนไทยมีโอกาสฟังธรรมทางพุทธศาสนา มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อ คิดว่าตนฉลาด มีการศึกษาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร และเป็นการชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อและค่านิยมของคนไทยซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนยุคใหม่ บางคนถึงกับอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆตามกาลามสูตร!

    คนบางคนอยากจะได้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือข้อพิสูจน์เพื่อยืนยันตามที่ได้เขียนไว้แล้วว่า จิตวิญญาณ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มีการเกิดขึ้น จิตเป็นนามธรรมที่มีตัวรู้ ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ พลังงาน สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ โดยไม่เปลี่ยนในสาระสำคัญ พลังงานจากน้ำสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้ามีการเกิดดับต่อเนื่องกันโดยไม่หยุด พลังงานของชีวิตที่ดับไปจึงจะต้องเกิดขึ้นใหม่ทันทีและโดยต่อเนื่องตรงตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง

    มีข้อพิสูจน์ในคนที่เรียกว่าระลึกชาติได้ ซึ่งพบได้ในคนทุกชาติทุกภาษา และมีการสอบสวนว่าเป็นความจริงตามที่คนที่เกิดใหม่อ้างถึงคนที่ตายไปแล้ว ทั้งนี้เพราะ สัญญา หรือความจำของจิตเก่ายังติดมาในชาติใหม่ อาจเป็นเพราะการตายและเกิดเป็นคนต่อเนื่องกัน ซึ่งอาจพบได้ไม่บ่อยนัก สิ่งหนึ่งที่ควรเข้าใจคือการตายแล้วเกิดใหม่นั้น มิได้หมายถึงว่าจะต้องเกิดเป็นคนอีก อาจเกิดแล้วไปเป็นโอปาปาติกะ เป็นเทวดา เป็นเทพ หรือเกิดไปเป็นสัตว์ต่างๆ หรือเกิดเป็นเปรต เป็นผี ซึ่งถ้าหากมีสัญญาเดิมติดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่สามารถมาเล่าให้เราฟังได้ การเกิดนั้นจะเกิดขึ้นทันทีที่ตายโดยไม่มีช่วงเวลาว่าง บางคนสงสัยว่าบางคนตายไปสองสามวันแล้วยังติดต่อได้ ยังไม่ไปเกิด ความจริงก็คือเขาเกิดแล้วทันทีที่ตาย แต่อาจอยู่ในภพภูมิที่ยังติดต่อกับคนได้ เช่น โอปปาติกะ นอกจากนี้ระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ในภพภูมิต่างๆกันก็ย่อมต่างกันไป เพราะหน่วยนับปีนับเดือนในภพภูมิอื่นย่อมไม่ตรงกับโลกมนุษย์ ทางพุทธศาสนาอธิบายว่าการตายมีสาเหตุ 4 อย่างคือ

    <TABLE width="80%" align=center bgColor=#ecfff9><TBODY><TR><TD>1.การตายโดยสิ้นอายุขัย เปรียบเหมือนไฟดับเพราะหมดน้ำมัน</TD></TR><TR><TD>2.การตายโดยสิ้นกรรม เปรียบเหมือนไฟดับเพราะหมดไส้</TD></TR><TR><TD>3.การตายโดยสิ้นอายุและสิ้นกรรม คือไฟดับเพราะน้ำมันหมดและไส้หมด</TD></TR><TR><TD>4.การตายโดยอุบัติเหตุเกิดก่อนเวลา เปรียบเหมือนลมพัดไฟดับทั้งๆที่ยังมีน้ำมันและมีไส้</TD></TR></TBODY></TABLE>

    การฆ่าตัวตาย คงจะอนุโลมอยู่ในข้อที่ 4 แต่เป็นเจตนาจากเจ้าตัวเอง ซึ่งบางคนเข้าใจว่าไม่บาป เพราะไม่ได้ทำร้ายใครอื่น แต่ตามหลักทางพุทธศาสนาแล้วถือว่าเป็นกรรมอย่างมหันต์ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าหรืออาจหนักกว่าการฆ่าผู้อื่น

    มนุษย์เป็นภูมิเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเลือกเส้นทางเกิดได้โดยสะดวกที่สุด โดยพิจารณาจากการปฏิบัติตนขณะมีชีวิตว่า เมื่อตายแล้วจะไปไหน คือ

    <TABLE width="80%" align=center bgColor=#ecfff9><TBODY><TR><TD>ทางไปเกิดเป็นสัตว์นรก ด้วยอำนาจความโกรธ ความแค้น ความหมองใจ ทรมานใจ
    ทางไปเกิดเป็นเปรตอสูรกาย ด้วยอำนาจความโลภ เช่น บรรดาผู้โกงชาติบ้านเมืองทั้งหลาย
    ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ด้วยอำนาจโมหะ คือ ความหลง ความหลงผิด เช่น ว่าไม่มีบุญมีบาป
    ทางไปเกิดเป็นมนุษย์โดยการรักษาศีล 5 และกุศลกรรมบท 10 ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักขโมย, ไม่ประพฤติผิดในกาม, ไม่พูดเท็จ, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่โลภ, ไม่พยาบาลคิดร้าย และเห็นชอบตามคลองธรรม
    ทางไปเกิดบนสวรรค์ คือ การให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
    ทางไปสู่พรหมโลก คือ การปฏิบัติสมถกรรมฐาน
    ทางไปสู่นิพพาน คือ วิปัสสนากรรมฐาน และปฏิบัติตามมรรค 8
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในศาสนาอื่นมิได้สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คริสต์ศาสนาและอิสลามสอนว่าตายแล้วไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ฮินดูมีการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน แต่ต่างกันที่ทางพุทธเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน แต่ฮินดูเป็นอัตตา คือ อาตมัน ซึ่งเป็นส่วนย่อยของปรมาตมันหรือวิญญาณเดิมซึ่งมาจากพรหม การไปรวมของอาตมันกับปรมาตมัน จะทำให้พ้นทุกข์ไม่เกิดอีก ซึ่งจะทำได้โดยการบำเพ็ญเพียรกริยา และประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ ที่จิตวิญญาณของใครก็สุดแต่กรรมของตนเอง

    ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดโดยสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือ หลักสำคัญของพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือการเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด จนพระพุทธองค์สามารถทำพระองค์ให้หลุกพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน และบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    เพื่อให้เห็นภาพความยาวนานของการเกิดดับ พระพุทธองค์ได้ทรงอุปมาอุปมัยโดยเอาพระองค์เองเป็นตัวอย่างว่า
     
  2. Forest_Sa

    Forest_Sa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +1,444
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้นครับ
    สาธุ

    อานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ข้อ
    1.ได้ความรู้ใหม่
    2.ได้ใส่ใจเรื่องเก่า
    3.บรรเทากังขา
    4.มีสัมมาทิฏฐิ
    5.จิตผ่องใส
     

แชร์หน้านี้

Loading...