มาเฟียในมหาวิทยาลัยนอกระบบ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย 789654561, 30 พฤษภาคม 2012.

  1. 789654561

    789654561 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +333
    [FONT=&quot]มาเฟีย[/FONT][FONT=&quot]ใน[/FONT][FONT=&quot]มหาวิทยาลัยนอกระบบ[/FONT]​
    [FONT=&quot]ในอดีตที่ผ่านมาของสังคมหรือประเทศที่กำลังพัฒนาจะเต็มไปด้วยระบบมาเฟียซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีตำแหน่ง หรือมีอำนาจ หรือมีเงิน จะมีพลังสูงสุดจะควบคุมกลไก การเคลื่อนไหวภายในองค์กรและสังคม แต่ระบบมาเฟียก็ได้ถูกกำจัดให้ลดน้อยถอยลง เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น คนมีการศึกษามากขึ้น รู้จักระเบียบ กฏหมาย และรู้จักการเรียกร้องความยุติธรรม [/FONT][FONT=&quot]นอกจากนั้นการได้รับการศึกษาที่ดีขึ้นรวมทั้งการรู้จักบาป-บุญ คุณโทษ ช่วยเพิ่มศีลธรรมในใจคน สิ่งเหล่านี้ทำให้กลุ่มมาเฟียทำงานได้ยากขึ้นแต่ไม่ได้หมายถึงว่า วันนี้ไม่มีมาเฟียในสังคมไทย [/FONT][FONT=&quot]กลุ่มมาเฟียอาจจะเล่นบทอีแอบและไม่เผยตัวออกมาชัดเจนเท่านั้นเอง แต่ที่ทราบกันดี ทุกวันนี้มาเฟียยังคงมีอยู่ในสังคมทั่วไป ซ่อนอยู่ตามการงานหลายอาชีพ หลายประเภท แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของมาเฟียเหล่านั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือส่งผลกระทบต่อประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานเกี่ยวกับการศึกษา เช่น กลุ่มครู-อาจารย์ มากนัก แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันกลับมีมาเฟียในคราบอาจารย์แฝงตัวอยู่ในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย ท่านลองอ่านเรื่องจริงผ่านมอชอที่เกิดขึ้นต่อไปนี้[/FONT]


    [FONT=&quot]ถ้าท่านติดตามข่าวของผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งที่ได้พยายามผลักดันนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ฟังแล้วประชาชนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่า [/FONT][FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot]ออกนอกระบบ[/FONT][FONT=&quot]” [/FONT][FONT=&quot]มันเป็นอย่างไร[/FONT][FONT=&quot]? [/FONT][FONT=&quot]อธิบายง่ายๆ คือ การรับงบประมาณส่วนหนึ่งจากแผ่นดินแล้วมาบริหารจัดการเอง ทำธุรกิจทางการศึกษาเอง แต่เหตุผลใหญ่ที่มาของการนำพามหาวิทยาลัยออกนอกระบบคือ ผู้บริหารอ้างว่าจะทำให้ผู้บริหารสามารถบริหารงานได้อย่างอิสระ มีความคล่องตัวทั้งในการบริหารวิชาการ การบริหารบุคคล และการบริหารการเงิน รวมทั้งการหารายได้ [/FONT][FONT=&quot]ทำให้อำนาจสิทธิขาดทุกอย่างอยู่ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น ผลประโยชน์ทับซ้อนที่ได้รับคือทำให้บุคคลเหล่านั้นที่เกษียรแล้วได้เป็นอธิการบดี หรือคณบดี รับเงินเดือนกันหลายแสน ที่จริงแล้วนั่นก็คือการทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองนั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตาม การออกนอกระบบเปรียบเหมือนดาบสองคม ถ้าผู้บริหารมหาวิทยาลัยดีและเก่งจริงก็จะพาความเจริญมาให้มหาวิทยาลัย แต่ถ้าผู้บริหารไร้ความสามารถ เล่นการเมือง แต่เข้ามาแสวงหาอำนาจ เงิน และผลประโยชน์ และเล่นพรรคเล่นพวก มหาวิทยาลัยก็จะพังพินาศในที่สุด[/FONT][FONT=&quot]ขณะนี้มหาวิทยาลัยต้องการผลกำไรมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับเงินเดือนที่สูงๆ ของพนักงานที่ถูกหลอกล่อให้ออกจากราชการ รวมทั้งเงินเดือนประจำตำแหน่งตนเองที่ตั้งไว้สูงมากเกิน แถมยังใช้ผลกำไรที่ได้ไปลงทุนซื้อพันธบัตรบ้าง ลงทุนทางธุรกิจการเงินต่างๆบ้าง ฝากธนาคารเพื่อเอาดอกผลบ้าง เรียกว่ามุ่งทำธุรกิจกับเงินของมหาวิทยาลัย [/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]ลองไปอ่านดูรายงานการประชุมของสภามหาวิทยาลัยได้ที่เวบไซด์สภา[/FONT][FONT=&quot]) [/FONT][FONT=&quot]จริงๆ แล้วไม่ใช่ไม่มีเงิน แต่เอาเงินไปทำอย่างอื่นแทน การจัดสรรงบสำหรับการจัดการเรียนการสอน งานวิจัย และพัฒนามหาวิทยาลัยน้อยมาก แต่กลับบอกให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยทำงานให้สำเร็จก้าวหน้าโดยอย่าอ้างความขาดแคลน ผู้บริหารนั่งพูดๆ อยู่บนหอคอยงาช้างแต่ไม่ได้ลงมาปฏิบัติงาน คิดแต่จ้องหาผลกำไรให้มากยิ่งขึ้นเพื่อแสดงตัวเลขยอดเงินที่ได้อ้างว่าเป็นผลงานของตนเอง โดยไม่เคยคำนึงถึงคุณภาพของการศึกษาสักนิด ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน นั่นก็คือการทำให้เกิดความเสื่อมถอยทางวิชาการที่มีผลต่อลูกหลานคนไทย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดความเสื่อมถอยของบุคลากรที่หมดกำลังใจเพราะผู้บริหารคิดแต่จะเล่นการเมือง ไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพ นอกจากนั้นยังชอบวางตัวทายาทอสูรที่ไร้ความสามารถสืบทอดตำแหน่งขึ้นมาเพื่อจะได้รักษาฐานเสียงและคอยหยิบยื่นผลประโยชน์ หรือตำแหน่งอื่นๆ ให้ตนเองภายหลังซึ่งถือเป็นการทดแทนบุญคุณ อย่างนี้เขาเรียกว่า มหาวิทยาลัยการเมือง [/FONT][FONT=&quot](Politics University) [/FONT][FONT=&quot]ไม่ใช่มหาวิทยาลัยวิจัย [/FONT][FONT=&quot](Reserch University) [/FONT][FONT=&quot]อย่างที่ผู้บริหารโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลา[/FONT]


    [FONT=&quot]ดูอย่างเช่น มหาวิทยาลัยใหญ่ทางภาคเหนือ การเมืองกำลังโหมแรงมากไม่แพ้การเล่นกีฬาสีของการเมืองระดับประเทศเพราะที่นี่กำลังมีการสรรหาอธิการบดี มีการล๊อคตัวนายกสภา กรรมการสภา กรรมการสรรหาเรียบร้อย นอกจากนั้นผู้บริหารระดับคณบดีบางท่าน[/FONT][FONT=&quot]([/FONT][FONT=&quot]ธีระ วิสิทธิ์พานิช[/FONT][FONT=&quot]) [/FONT][FONT=&quot]ถูกสั่งให้เป็นหนึ่งในตัวชี้เลือกอธิการบดี และในทางกลับกันอธิการบดีจะเป็นตัวชี้เลือกคณบดีคนนั้นภายหลัง งานนี้เสียงของอาจารย์และพนักงานคงไม่มีความหมายเพราะเป็นการสรรหา อยู่ที่อธิการบดีจะเอาใคร แต่ที่แย่ก็คือการสรรหาอธิการบดียังไม่เสร็จ อ.ธีระที่ต้องการตำแหน่งคณบดีอีกสมัยก็แสดงตัวชัดเจนเพราะได้ทำธุรกิจแลกเนื้อ แบบหมูไป ไก่มากันแล้ว แถมประกาศกันไม่ให้ใครคิดแข่งขันจะมาแย่งชิงตำแหน่ง เพราะข้าจะเป็นคณบดีอีกสมัย[/FONT][FONT=&quot]คนดีๆทุกคนต้องถอย ทั้งอาจารย์ พนักงานทุกคนขยาดกลัวเพราะรู้กิตติศัพท์ท่านคณบดีคนนี้ว่าเถื่อน หยาบ และอันธพาล แต่ไร้ฝีมือและไม่มีมันสมองทางวิชาการ เล่นเส้นสายรับพวกพ้องเข้ามาทำงานอย่างออกนอกหน้าเต็มไปหมดโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่สนใจว่าการกระทำนั้นจะทำให้คณะเกษตรศาสตร์ตกต่ำลงอย่างไร ไม่กลัวแม้แต่บาปกรรม แถมยังยึดคติ แค้นนี้ต้องชำระ หากใครกล้าขัดขืน ท่านก็จะตามราวีไม่มีวันเลิกราทั้งวาจาและพฤติกรรม อันนี้ต้องถามคนของคณะเกษตรดู เชื่อมั้ยว่า ไม่มีใครกล้าแม้แต่คิด ด้วยกลัวความยิ่งใหญ่และความอันธพาลของคณบดีท่านนี้ที่มีอธิการบดีเพื่อนรักยืนยันหนุนอยู่ข้างหลัง คนรู้กันทั่วที่ได้เป็นก่อนหน้านี้ก็เพราะเพื่อนยืนยันอยู่ข้างหลังนั่นแหละ และครั้งนี้ก็คงเหมือนเดิมที่กำลังจะสรรหาคณบดีคณะเกษตรศาสตร์ตามใบสั่ง อยากถามกรรมการสรรหาที่สภาแต่งตั้งมาอย่างทรงเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งสามท่านรวมทั้งตัวแทนจากทางคณะอีกสามท่านว่า จะกล้าขัดขืนการเมืองของท่านอธิการบดีคนปัจจุบัน ที่วางตัวเพื่อนตัวเองไว้ได้หรือไม่ หรือท่านยังจะปิดหู ปิดตา ทำไม่รู้ไม่เห็น ยืนยันเลือกคนแบบนี้เป็นคณบดีคณะเกษตรศาสตร์ต่อไปอีกสมัยตามใบสั่ง หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าท่านห่วงตัวเองและห่วงตำแหน่งมากกว่าห่วงใยระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัย หากท่านจะมีเมตตาช่วยให้คณะเกษตรศาสตร์พ้นวิบากกรรมครั้งนี้และมีโอกาสได้เจริญก้าวหน้ากับเขาบ้าง ก็ขอให้ท่านได้รับกุศลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ท่านทำให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้และลูกหลานของท่านในอนาคต หากท่านยังเลือกคณบดีท่านนี้อีกก็ถือว่าเป็นบาปทางการศึกษาอย่างมหันต์ที่ท่านทำให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แห่งนี้[/FONT]


    [FONT=&quot]นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของระบบมาเฟียที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยนอกระบบ หากเขียนเป็นหนังสือบรรยายผลงานที่แย่ๆ ของอาจารย์มาเฟียท่านนี้คงเขียนได้เป็นเล่ม ท่านลองนึกภาพเอาเองแล้วกันว่าเมื่อการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยกลับมาสร้างระบบมาเฟียในสถานศึกษาและคนที่เป็นครูอาจารย์มาเล่นการเมืองในมหาวิทยาลัยแล้ว การศึกษาของลูกหลานไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร หากไม่มีผู้ใหญ่ท่านใดสนใจ ปล่อยไปตามยถากรรมการเมืองของมหาวิทยาลัย งานนี้คงต้องหวังพึง [/FONT][FONT=&quot]“[/FONT][FONT=&quot] กฎแห่งกรรม[/FONT][FONT=&quot]” [/FONT][FONT=&quot]เท่านั้นแหละ. เด็กดอยเอ๋ย[/FONT]

    [FONT=&quot]ศิษย์เก่ามอชอ[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  2. อินทิราธา

    อินทิราธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +346
    ขออนุโมทนาบุญกุศลที่นำมาเผยแพร่ครั้งนี้ด้วยค่ะ เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ค่ะ
     
  3. Bonejankel

    Bonejankel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +147
    อ้างอิง : "หากเขียนเป็นหนังสือบรรยายผลงานที่แย่ๆ ของอาจารย์มาเฟียท่านนี้คงเขียนได้เป็นเล่ม"


    ...อยากแนะนำให้เขียนออกมาเป็นเล่ม จะได้มีรายได้ในการเผยแพร่ประสบการ์ณ อีกทั้งผู้อ่านจะได้เข้าใจชัดเจน ละเอียด สัมผัสได้ถึงอรรถรส ฯลฯ เป็นต้น จินตนาการตามได้อย่าง ไม่ขาดตกบกพร่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  4. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    คุณเลข9ตัว เด็ก มช.
    ฐานะผมเคยทำงานที่สนามบินเชียงใหม่ ปี 2514 ฮา นานมากๆแล้ว
    เคยไปนั่งดูดนตรีในมหาวิทยาลัยด้วย...สมัยนั้น...
    ทักษิณฯแกอยากให้มหาวิทยาลัย ออกนอกระบบ คือ ไปหากินเอง รัฐ ซับซีได๊ให้ก่อน5ปีหรืออย่างไรนี่
    ในยุคนั้น พอถามในที่ประชุมอธิการบดีทั่วประเทศ มีคนกล้าประมาณ 3 มหาวิทยาลัยมั๊ง ที่บอกจะขอออกเป็นโครงการนำร่อง(อธิการพวกนี้เก่ง)นอกนั้น ทั้งหมด...จำตัวเลขไม่ได้แล้วที่อยู่กับรัฐ นั่งนิ่งเงียบ เพราะรู้ความสามารถของตนเองดีว่า ขืนออกไป ได้ไปขายเต้าฮวยแน่ๆ สู้เกาะหลวงกินสบายกว่า ฮา
    เหตุที่ต้องให้ออกจากระบบ ไปเป็นเอกชน เพราะรัฐต้องหดตัวลง เอางบประมาณไปทำด้านอื่นๆ เช่นความมั่นคง จ้างทหาร ตำรวจ ส่วนการศึกษา โลกเขาให้เอกชนทำแทนรัฐแล้วในเวลานี้ แต่ก็ยังคงมีมหาวิทยาลัยของรัฐค้ำอยู่บ้างประปราย..
    ...มหาวิทยาลัยเมื่อเป็นเอกชน แล้วบริหารงานห่วย เดี๋ยวเดียวก็ขาดลูกค้า(นักศึกษาหนีหมด) ต้องยุบไป..
    ..แต่รัฐก็อาจกลับมาอุ้มโดยใช้เงินรัฐอีกก็ได้ ถ้าจำเป็น...
    ย้อนมาที่ มช. หากออกนอกระบบแล้ว และถ้ารัฐเลิกซับซีได๊แล้ว...มี 2 กรณี
    1.เจ๊ง...เพราะขาดคุณภาพฯลฯ เนื่องจากบุคคลากรด้อยคุณภาพดังกล่าว
    2.กำไรงาม เนื่องจากบุคคลากรนั้น หาลูกค้าเก่ง...มีเส้นสายโยงใยดี....คือ ได้งาน เสียคน...เพราะคนภายในด่า แต่คนภายนอกชม....พวกนี้ก็จะหาทางไล่ออกพวกคัดค้าน...เพราะมุ่งกำไรแบบไร้ผู้ต่อต้านภายในมหาวิทยาลัย...งานสะดุดเพราะไอ้นี่ เอามันออกไป ฮา...
    การประเมินผลงานของบุคคลในระยะนี้ ถ้าใช้คนภายในก็จะไม่ค่อยตรง แต่ถ้าใช้คนนอก
    ก็มักจะมีใบสั่ง...ดังนั้น หวังพึ่งการประเมินผลคงยาก..
    ..อย่างไรก็ตาม อดใจดูฝีมือเขาก่อนดีไหม...เผื่อต้นร้าย ปลายอาจจะดีก็ได้...ให้โอกาสเขาทำงานก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆเขาก็อยู่ไม่ได้เองแหละ...
     
  5. 789654561

    789654561 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +333
    อย่างแรกขอให้เปิดเผยเงินดือนกับเงินประจำตำแหน่งก่อนได้ไหมคะ
    คนทั่วไปจะได้รู้ว่ามีงานที่มีเงินเดือนเป็นแสนๆ
    พอประกาศออกนอกระบบปุ๊บสิ่งที่ทำทันทีคือกำหนดเงินเดือนใหม่ของตัวเอง
    อย่างนี้หาเงินแทบตายก็ไม่พอเงินเดือนผู้บริหาร
    แล้วจะออกนอกระบบกันไปทำไม
    ทำอย่างนี้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเหรอ ทำลงไปได้
    คำว่าหน้าด้านนี่ชัดเจนเลย มันไม่รู้สึกอะไรแล้ว

    เรื่องรอให้โอกาสแสดงผลงานไม่ต้องพูดถึงหรอกคะ
    ทำงานมาชั่วชีวิตผลงานระดับไหนก็รู้อยู่แก่ใจ
    โถคนความรู้ความสามารถระดับนักการดันอยากเป็นคณะบดี
    ประเทศไทยเหมือนไม้ผุ อาศัยกินของเก่า
    โดนทั้งฝนฟ้าอากาศจากภายนอก
    ทั้งปลวกทั้งมอดคอยแทะกัดกินเนื้ออยู่ข้างใน
    น่าอนาจ
     
  6. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ไม่เฉพาะมหาลัยนอกระบบหรอกครับ ในระบบก็มีมันเป็นอย่างนี้มาตลอด พวกใครพวกมัน
     
  7. 789654561

    789654561 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +333
    เรื่อง รายงานพฤติกรรม และการทำลายชื่อเสียงของคณะเกษตรศาสตร์ และของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    โดย คณบดีคณะเกษตรศาสตร์/นายกสมาคมนักศึกษาเก่า มช. รองศาสตราจารย์ ธีระ วิสิทธิ์พานิช

    เรียน นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านอธิการบดี กรรมการสภามหาวิทยาลัย และศิษย์เก่าทุกๆ ท่าน

    สืบเนื่องจากคณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ธีระ วิสิทธิ์พานิช ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 คือช่วง พ.ศ. 2555 – 2559 ตามที่นายกสภา และกรรมการสภาได้ให้การเห็นชอบ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากพวกเรามวลชนชาวคณะเกษตรศาสตร์ที่พยายามจะสื่อถึงท่านในทุกรูปแบบ ซึ่งพวกเราชาวเกษตรก็จนปัญญา และรู้สึกผิดหวังเสียใจว่า การเมืองในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นี่ช่างมีอิทธิพลมากมาย จนผู้รับผิดชอบมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไม่สามารถแยกความดีความชั่วของคนออกจากกันได้ ก่อนคณบดีคนนี้ได้กลับคืนตำแหน่งอีกครั้งก็ได้เคยประกาศข่มขู่ว่า “คนใดที่คิดจะต่อต้านท่าน ท่านก็จะล้างบางให้หมด” ทำให้พนักงานและลูกจ้างที่ได้ยินพากันหวาดกลัวท่านคณบดีผู้นี้กันมาก เพราะนี่ไม่ใช่ลักษณะของผู้นำสถาบันการศึกษาเสียแล้วแต่เป็นนักเลงผู้มีอิทธิพล และนี่หรือคือผู้นำของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี แล้ว
    และเรื่องที่เราอยากให้ท่านทราบและรับรู้พฤติกรรมของคณบดีคณะเกษตรศาสตร์คนนี้ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ท่านขึ้นดำรงตำแหน่ง ซึ่งคนทั้งคณะเกษตรทราบหมด และจะรอดูว่าเมื่อท่านทราบแล้วจะทำอย่างไร?

    ประเด็นที่ 1: คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ รศ. ธีระ วิสิทธิ์พานิช ได้ซุกซ่อนผู้ต้องหาคดียาเสพติด โดยไม่แจ้งให้ทางตำรวจทราบ อีกทั้งยังเจตนาบรรจุเป็นพนักงานประจำในสังกัดคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่
    คณบดีคนนี้ได้สร้างวีรกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำหลานชายที่มีชื่อว่า นายวิธาน วิสิทธิ์พานิช ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนีคดีค้ายาเสพติดมาจากจังหวัดระยอง ช่วงแรกเอามาบรรจุแต่งตั้งเป็นคนงานชั่วคราวในไร่แม่เหียะ โดยได้รับเงินแบบเหมาจ่าย ซึ่งเมื่อเข้าไปดูข้อมูลเรื่องการจ่ายเงินค่าจ้างแบบเหมาจ่ายเฉลี่ยแล้วเดือนละหมื่นกว่าบาท ซึ่งไม่ทราบว่าท่านใช้อัตราอะไร? เพราะค่าจ้างระดับปริญญาตรีให้เต็มที่ก็ 9,000 กว่าบาท (นายวิธานจบวิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์) ก่อนที่ท่านจะหมดวาระในรอบแรกก็ได้เร่งให้ นางสุดใจ สันธทรัพย์ หัวหน้างานบุคคล รีบดำเนินการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำในตำแหน่งพนักงานบริการฝีมือ (ด้านเทคนิคและเครื่องยนต์) ประจำศูนย์บริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานการให้บริการด้านวิทยาศาสตร์และการวิเคราะห์ โดยมีหัวหน้างานคือนายชูชาติ สันธทรัพย์ สามีของนางสุดใจ สันธทรัพย์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าการบรรจุนายวิธาน วิสิทธิ์พานิช เป็นพนักงานหน้าที่นี้มีไว้ซ่อมเครื่องยนต์ หรือทำหน้าที่อะไรกันแน่? แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า การเจตนาบรรจุผู้หลบหนีคดีอาญาในหน่วยงานราชการถือว่าเป็นความผิดทางวินัย ตั้งแต่คณบดีที่สั่งการ และผู้ใต้ บังคับบัญชาที่ร่วมดำเนินการให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าขัดต่อระเบียบของทางราชการ ซึ่งการบรรจุนายวิธาน วิสิทธิ์พานิช ที่เพิ่งมาทำงานไม่นานเป็นพนักงานประจำอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ลูกจ้างคนอื่นๆ ในไร่แม่เหียะที่ตั้งใจทำงานให้คณะเกษตรศาสตร์ และมีอายุงานมากว่านายวิธานหลายท่านไม่พอใจ และเสียความรู้สึกต่อการบริหารงานของท่านอย่างมาก แต่ทุกคนพูดมากไม่ได้เพราะกลัวท่านจะทำร้ายหรือไล่ออก เมื่อครั้งที่คณบดีได้นำหลานชายคนนี้ไปฝากให้ทำงานในไร่ในตอนแรก ก็ได้กำชับหัวหน้าที่ดูแลหลานชายคนโปรดว่า “ให้ระวัง...มันดื้อหน่อยนะ ช่วยดูแลด้วย” นอกจากนั้นเมื่อทำการบรรจุแล้วพบว่าหลานชายมีเงินไม่พอใช้ก็สั่งให้นางสุดใจ สันธทรัพย์ ทำการเพิ่มเงินให้ด้วยการให้ทำงานล่วงเวลา ทั้งๆ ที่หลานชายคนนี้ไม่ได้ทำงานพิเศษอะไรเลย แถมมีแต่พฤติกรรมไม่ดีด้านชู้สาวและทำเรื่องเลวร้ายอื่นๆ (ให้ท่านไปสืบหาข้อเท็จจริงได้ที่อดีตหัวหน้าสถานีไร่แม่เหียะและคนงานในไร่ ก็จะได้ข้อเท็จจริงมากมาย ถ้าหากเขากล้าบอกความจริง) สำหรับพฤติกรรมของนายวิธานนับว่าเป็นที่โจทย์ขานร่ำลือกันไปทั่วคณะ คนงานของคณะบอกว่าเขาเส้นใหญ่จริงๆ เป็นหลานคณบดีไม่มีใครกล้าแตะ แต่ต้องนับว่าสวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลับไม่สนใจใยดี เทพเทวดาที่ปกปักษ์รักษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงดลบันดาลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดระยองมาเปิดเวปไซด์เจอนายวิธาน วิสิทธิ์พานิช ผู้ต้องหาคดียาเสพติดที่หนีคดีมาบรรจุเป็นพนักงานประจำของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้เดินทางมาประสานกับตำรวจ จ. เชียงใหม่ทำการจับกุมตัวนายวิธานจากคณะเกษตรไปเข้าคุกเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2555 นี้ (กะทันหันแบบนายต้องสั่งให้คนอื่นรีบไปเก็บของๆหลานที่ที่พักแทน) และตำรวจไม่ให้ประกันตัวด้วย (ตอนนี้เวปไซด์ยังเอารูปนายวิธานออกไม่ทัน ท่านควรรีบเข้าไปดูข้อมูลต่างๆ ย้อนหลังได้ก่อนที่เวปมาสเตอร์จะเอาออก) งานนี้เล่นเอาผู้ยิ่งใหญ่อย่าง รศ. ธีระ วิสิทธิ์พานิช ถึงกับเหงื่อตก มือสั่นต้องโทรศัพท์เคลียร์หน้าเสื่อทุกที่ จนถ่านมือถือหมดไปหลายรอบเพื่อปิดข่าวให้หมด จากนั้นก็เรียกนางสุดใจ สันธทรัพย์ มาทำการปัดกวาด โดยร่วมกันปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ ด้วยการทำใบลาออกย้อนหลังให้หลานชาย เพื่อให้ออกไปจากการเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัยก่อนการถูกจับกุม เพื่อให้พ้นความผิดในฐานะเป็นคณบดีคณะเกษตรศาสตร์ สังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่นับเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ร้ายหลบหนีคดี อีกทั้งยังบรรจุแต่งตั้งให้เป็นพนักงานประจำ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงในการซุกซ่อนผู้ร้ายที่ทางตำรวจกำลังติดตามตัวไว้ในคณะเกษตรศาสตร์มาหลายปี ทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่าหลานชายหลบหนีคดี แต่กลับไม่แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบ ซึ่งนางสุดใจ สันธทรัพย์ก็ได้ร่วมมือและจัดการเอกสารทุกอย่างให้เป็นอย่างดี เพราะช่วยทำเรื่องออกหนังสือและให้คณบดีเซ็นต์ย้อนหลังก็ทำได้แล้ว ท่านควรไปตรวจสอบว่าถูกจับกุมวันไหน และทำหนังสือลาออกให้วันไหน (หัวหน้างานบุคคลท่านนี้มีบทบาทสูงมากในคณะ คอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้านาย และบริหารจัดการหลายอย่าง แม้กระทั่งการแอบเปิดเอกสารปกปิดต่างๆเพื่อเอาข้อมูลมาให้เจ้านาย จัดทำเอกสารปลอมย้อนหลัง ผลงานที่ผ่านมาทำให้ได้รับรางวัลเลื่อนขั้นเงินเดือนอย่างสูงเกินกว่าพนักงานคนอื่นๆ ในคณะอย่างผิดปกติ ทั้งตนเองและสามี นับเป็นอีกครอบครัวที่เราชาวคณะเกษตรต้องจับตากันให้ดีๆ) นอกจากนั้น นางสุดใจ สันธทรัพย์ ยังได้เรียกพนักงาน ลูกจ้างของคณะทุกคนมากำชับให้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นายวิธาน วิสิทธิ์พานิช ได้ลาออกไปก่อนการจับกุมด้วยปัญหาทางครอบครัว” ข่าวการจับกุมนี้ ทำให้หลายคนอยากถามถึงความรับผิดชอบของอธิการบดี และสภามหาวิทยาลัยว่าจะยังคงให้การช่วยเหลือ ปกป้อง เกื้อกูล กับเพื่อนคนสนิทเช่นนี้อีกต่อไปหรือไม่? หากอธิการบดี และสภามหาวิทยาลัยไม่ดำเนินการใดๆ เรื่องยังคงเงียบหายเหมือนทุกๆ ครั้ง คราวนี้พวกเราชาวเกษตร คงต้องขอพึ่งสื่อมวลชนกันแล้ว

    ประเด็นที่ 2: คณบดีใช้รถของทางราชการและให้พนักงานขับรถของคณะเกษตรขนเหล้า/ไวน์หนีภาษีเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย
    เมื่อเร็วๆนี้ นายธีระ วิสิทธิ์พานิช ได้เดินทางไปราชการที่ประเทศลาวแบบพิสดารโดยไปทางชายแดนด่านท่าขี้เหล็ก ด้วยการใช้รถยนต์และคนขับรถของคณะเกษตรศาสตร์เดินทางไป จากนั้น นายธีระ ก็ข้ามไปอีกฝั่งเพื่อซื้อเหล้า/ไวน์ให้คนขับรถขนกลับมาอย่างไม่แคร์ต่อกฎหมาย เสร็จแล้วตัวนายธีระ พร้อมคุณปุ๊ก (ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร สำนักงานอธิการบดีรู้จักกันทุกคน) จึงเดินทางต่อไปยังประเทศลาวเข้าร่วมกับคณะผู้บริหารของคณะเกษตรฯ พากันทัวร์ลาวอย่างมีความสุข ซึ่งวีรกรรมครั้งนี้นับเป็นที่โจทย์ขานกันในหมู่พนักงานทุกระดับชั้นของคณะเกษตรว่า “คณบดีของพวกเราช่างไม่เกรงกลัวต่อฟ้า ไม่อายต่อผู้คนทั้งมหาวิทยาลัย กล้าที่จะใช้รถและน้ำมันของทางราชการ และยังใช้คนของมหาวิทยาลัยขนเหล้าหนีภาษีเข้าไทย โดยใช้ตรามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเกราะป้องกันการผ่านด่านต่างๆ” มีหลายๆ คนตั้งคำถามว่า เขาขนเหล้าเถื่อนเหล่านี้มาทำไม? ก็มีข้อสันนิษฐานกันอย่างมากมาย บ้างว่า คงเอามาเลี้ยงฉลองต้อนรับเพื่อนรัก (อาจารย์พงษ์ศักดิ์ อังกะสิทธิ์) ที่เพิ่งจะลงจากตำแหน่งอธิการแล้วเอามาแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง (ศูนย์กาแฟ ที่เป็นที่ฝังตัวของกลุ่มเพื่อนสูงอายุที่คอยรับเงินเดือนประจำตำแหน่งจากรายได้ของศูนย์) ท่านคณบดีอุตส่าห์ตั้งเงินเดือนประจำตำแหน่งให้เพื่อนหลายหมื่นทำได้แบบไม่อายสายตาใครๆ เพื่อให้เพื่อนได้เป็นทากดูดกินเลือดคณะเกษตรต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัย ข้อสันนิษฐานอื่นๆ ในการขนเหล้า เช่น คงเตรียมเหล้าเหล่านี้ไว้เลี้ยงฉลองปีใหม่ หรือเอาไว้เป็นของขวัญกำนัลแด่เพื่อนผู้บริหารมหาวิทยาลัย ฯลฯ เป็นต้น พวกเจ้าหน้าที่และพนักงานของคณะก็คาดเดาใจคณบดีกันอย่างสนุกปาก อย่างไรก็ตาม เราหวังว่าหากใครในสภามหาวิทยาลัย เชียงใหม่ได้รับเหล้าของขวัญปีใหม่จาก รศ. ธีระ วิสิทธิ์พานิช ก็ขอได้โปรดช่วยพิจารณาด้วยว่าเป็นเหล้าหนีภาษีหรือไม่? หวังว่าท่านคงจะไม่รับของขวัญที่เป็นอัปมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว เพราะในทีวีก็โฆษณาสาปแช่งอยู่ทุกๆวันว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” แต่นี่ไม่ได้แช่งกันธรรมดาๆ เล่นเอาของที่เป็นอัปมงคลมาแช่งกันเลย
    ท่านนายกสภา ท่านอธิการบดี กรรมการสภา ศิษย์เก่าคณะเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกๆท่าน พวกเราอยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อท่านทราบแล้ว ท่านจะดำเนินการอย่างไร? กับบุคคลเช่นนี้ หรือท่านจะทำเหมือนไม่รับรู้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นแก่ความเป็นเพื่อน เห็นแก่พวกพ้อง-น้องพี่อย่างเช่นที่ผ่านมา และท่านอย่ามัวเสียเวลาสืบเสาะหาว่ากลุ่มผู้เขียนนี้เป็นใคร? เพื่อจะมาเล่นงานโดยวิธีต่างๆเลย เพราะไม่มีประโยชน์อันใดต่อมหาวิทยาลัย กลุ่มผู้เขียนอายุรุ่นนี้แล้ว เคยอยู่คณะเกษตรมานานจนมีความรู้สึกว่าคณะเกษตรเป็นเหมือนบ้านของพวกเรา จึงไม่ต้องการให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของคณะ พวกเราไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ แต่เราอยากแนะนำว่า ท่านควรใช้เวลาในการสืบหาข้อมูลของคณบดีท่านนี้ เพื่อให้ได้รายละเอียดแล้วรีบจัดการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของทางมหาวิทยาลัย อย่าได้พยายามช่วยปกปิดความชั่ว หรือร่วมมือกันปกปิดข่าว เพราะในทางราชการจะถือว่าท่านให้ความช่วยเหลือ และร่วมมือในการกระทำดังกล่าว “อย่าลืมว่าความลับไม่มีในโลก” ทุกคนในคณะเกษตรได้รู้กันหมดแล้ว ก็คงเหลือแต่พวกท่านที่ยังไม่รู้ หรืออาจจะไม่ยอมรับรู้ ?
    ท้ายที่สุดพวกเราชาวเกษตรทุกคนจะขอช่วยกันส่งกระแสจิต และภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัยได้ช่วยปกปักษ์รักษาคนดี กำจัดคนชั่วออกจากมหาวิทยาลัยให้หมดสิ้นและให้เขาได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แห่งนี้มีแต่ความเจริญก้าวหน้า ไม่มัวหมองด้วยการกระทำของบุคคลเช่นนี้ อีกเลย


    ศิษย์เก่าผู้หวังดีต่อคณะเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
     
  8. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    กรรมใดใครก่อผลกรรมนั้นย่อมสนอง
     
  9. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    น่าสลดใจที่ว่าทุกวันนี้สถาบันเพื่อให้การศึกษากลายเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไรกันไปหมดการศึกษาสมัยใหม่ก็ไม่ได้สร้างวินัยสร้างค่านิยมจิตสำนึกอะไรให้แก่สังคมอีกต่อไปแล้ว
    คนรุ่นใหม่ของเรามีสถานภาพทางการศึกษาสูงๆไว้เพื่อตักตวงและข่มเหงกัน ไม่ต่างจากค่านิยมถือชั้นวรรณะในอินเดีย

    เคยสังเกตแนวฟุตบาทขาว-แดงข้างถนนสายหลักในมอชอมั้ยครับ โดยเฉพาะเส้นวงเวียนหอนาฬิกา แถวหอพักนักศึกษาไปจนถึงข้างโรงเรียนสาธิตฯ เห็นขึ้นป้ายจราจรห้ามจอดตลอดแนว แต่มีรถมาจอดกันเต็มพรืดทุกวัน ยิ่งเวลาโรงเรียนเลิกผู้ปกครองมาจอดรถรอรับลูกก็จอดกันตรงป้ายนั่นแหละ แล้วจะอธิบายกับลูกหลานว่ายังไง หรือว่าช่างมัน ชินๆกันไปเพราะใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น
    ยังคิดเลยว่าถ้าทำตามกฎไม่ได้ก็ยกเลิกมันไปซะเลยดีไหม เอาขาว-แดงออกซะ เอาป้ายจราจรออกให้หมด สะดวกๆด้วยกันทุกฝ่าย เฮ้อ! :(

    ผมอยู่ละแวกนี้มาเกือบ20ปีครับ เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของชุมชนและสังคมรอบๆสถานศึกษาแถวนี้มาตลอด บอกได้คำเดียวว่าอ่อนใจครับ (ภาษาชาวบ้านเรียกปลง)
    กับสิ่งที่เราเรียกมันว่าการพัฒนา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...