มันสะดุดจิตปุ๊บแล้วออกเป็นความจริงทั้งนั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย santosos, 3 เมษายน 2011.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ถ้าพูดอย่างสะดุดใจจริงๆ แล้วเป็นได้ จะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตามเคยเป็นหลายหนแล้วเรา ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน พูดอะไรปั๊บมีเรื่องจะมาแสดงในเร็ววันไม่นาน คือมันสะดุดจิตปุ๊บแล้วออกเป็นความจริงทั้งนั้น

    เช่นอย่างอยู่กุฏิเราไปปลูกอ้อยให้โยมแม่ ตอนนั้นโยมแม่ป่วยเป็นอัมพาต แล้วยานี้เข้ากับอ้อยดำ เราจึงเอาอ้อยดำมาปลูกไว้ เพื่อได้ช่วยหรือได้ใช้ในภายหลังแม้โยมมารดาผ่านไปแล้วก็ตาม เรามาปลูกไว้ พอลงมานี่เลยเดินเข้าไปดูตะวันออกกุฏิ แต่ก่อนต้นไม้ไม่สูง เตี้ยโล่งไปหมด ถ้าพูดแบบสะดุดใจเป็น เป็นได้ เพราะเราก็ไม่ได้อวด เราเป็นมาตลอด เอาอ้อยดำมาปลูกให้โยมแม่ แต่นี่เรายกมาเพียงเอกเทศนะ ที่มันสะดุดใจออกวากวีกๆ นี่ก็เอาอ้อยดำมาปลูกให้แม่สวยงามมากทีเดียว เอาข้อมันนะข้ออ้อยดำที่เขามาผสมยา เราเลยให้เขาเอามาเป็นข้อๆ มาปักไว้ ปักแล้วเอาน้ำรดเอาปุ๋ยอะไรๆ ใส่แล้วขึ้นสวยงามมากนะ
    หลวงตาสอนไว้

    แล้วอยู่ๆ หนูมาถางแหลกหมดเลย หนูมาถางอ้อยที่ปลูกอย่างสวยงาม เขียวชอุ่มนะ “มันอย่างไรกันนี่ ปลูกอ้อยดำไว้สำหรับโยมแม่เรา หนูมันมากัดหมด แมวไปไหนเหอ” นี่เราว่านะ “แมวไปไหนวะเหอ ในวัดนี้ไม่มีแมวเหรอ” ว่าเท่านั้นละ ก่อนหน้าไม่นานนัก สักเดี๋ยว “อ๋าวๆ” มาจากไหน มาแล้วผ่านมานั่น ได้ให้หมู่เพื่อนไปดู แมวสีเหลืองเขาเรียกแมวคำนะ “อ่าวๆ” ผ่านมานี้ มาจากสวนอ้อย เราว่าตอนบ่ายแล้วพอสี่โมงแมวตัวนี้ก็มา ไม่เคยเห็นแมวตั้งแต่สร้างวัด เป็นอย่างนั้นละ จากนั้นแล้วไม่เห็นอีกเลยนะ

    สอนมัน “กูพูดหามึงเฉยๆ พูดเพื่อขู่หนู หนูมันมากัดอ้อยกู หนูก็หนูวัด แมวก็แมววัด มึงอย่ามาทำลายกันนะ ให้ไปเสีย กูรู้แล้วว่ามึงมาเพราะกู” มันก็ผ่านมานี้ มัน “อ๋าวๆ” ออกจากนั้นก็มานั่งอยู่ศาลานี้ แต่ก่อนยังไม่ปลูกอะไร เสียง “อ๋าวๆ” มา เลยให้หมู่เพื่อนมาดู ที่เราเรียกหาแมวเมื่อเร็วๆ นี้มาแล้วนะ มาจริงๆ ผ่านมาสวนอ้อย มันแปลกอยู่ ถ้าพูดด้วยความสะดุดใจเป็นจริงๆ ถ้าพูดธรรมดาก็ไม่มีอะไร พูดธรรมดาๆ ไม่มีอะไร ถ้าพูดด้วยความสะดุดใจปั๊บเข้าไปแล้วเอาละเกิดแท้ๆ

    อยู่ห้วยทรายก็เหมือนกัน ไปอยู่นั้น ๔ ปี คือเอาหมอนแขวนไว้เป็นพวงใหญ่ๆ หนูไปกัดหมอนขาดลงมาแล้ว หมอนตกมามากัดหมอนอีกละ มันกัดเชือกที่ผูกหมอนแขวนเอาไว้ มันอย่างไรมันไปกัดได้ กัดแล้วมันก็มากัดหมอนอีก โอ๋ย เกลื่อนไปหมดเลย เราเดินจงกรมตอนเช้า เณรวิ่งเข้าไป “มาอะไรเณร ดูตาลีตาลานมานี่น่ะ” เราว่าอย่างนั้น “ครูอาจารย์ว่าให้หนูมากัดหมอน ว่าแมวไปไหน มาแล้วนะแมวมาแล้ว หมอบอยู่ใต้ถุน” ไปดูเห็นจริงๆ หมอบอยู่นั้น เราก็เลยไปสอนแมว “กูว่าให้สูกูขู่หนูเฉยๆ กูไม่ให้ทำอะไร มาก็มาได้แต่อย่าไปกัดหนูนะ”ว่าเดี๋ยวนั้นตอนเช้า พอตอนเย็นแมวก็มา แน่ะก็แปลกอยู่นะ

    เรามาดูใต้ถุนหมอนขาด ติดกันสองวันสามวันเราเลยไปบอกมัน “ไม่ต้องมาเฝ้าก็ได้ละที่นี่ ให้มึงเดินฉากไปตามทางจงกรมของพระ เดิน“อ่าวๆ” ให้หนูมันกลัวแล้วมันก็ไม่กัดหมอน” เขาก็ “อ๋าวๆ” กลางคืนนะ ขบขันดี ตั้งแต่นั้นก็ไม่มากัดอีก แต่สำคัญตอนเช้าที่หนูกัดหมอน ตอนเย็นแมวมาหมอบอยู่นั้นแล้ว เราเรียกโวกวากหาแมว แปลกอยู่ มันหากมีถ้ามันสะดุดแย็บในจิตแล้วเป็น ถ้าพูดธรรมดาๆ ไม่เป็น อะไรก็ตามถ้ามันสะเทือนจิตแล้วออก....เป็น

    หนูมากัด เรียกหาแมว ห่างกันประมาณชั่วโมงแมวมา โอ้ แมวใหญ่ เขาเรียกแมวคำเหลืองๆ เสียงมัน “อ๋าวๆ” เรานั่งอยู่ศาลาให้พระมาคอยดูแมวตัวนี้ละ เราเรียกหามันตอนก่อนหน้านี้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง นี่มัน“อ่าวๆ”มาที่สวนอ้อยนะเสียงมัน คอยดูมันจะโผล่มานี้นะ มันก็โผล่ออกมาจริงๆ มาก็ได้สอนเลย “มึงอย่ามากัดหนูนะ กูเรียกหามึงเฉยๆ ” เงียบ ตั้งแต่นั้นมามันก็ไม่มา แมวไม่มาอีก

    พอหนูมากัดอันนี้อีกเอาอีกนะ ทีแรกเอาอันนี้เสียก่อน พออ้อยขึ้นมากๆ แล้ว “โถ อ้อยสวยงามเหลือเกิน หนูที่มันมากัดอ้อยตายแล้วเหรอ” พอค่ำวันนั้นมันฟาดสวนอ้อยแหลกหมดเลย ยังไม่ตายความหมายว่าอย่างนั้น ขบขันดี มันถางเอาจริงๆ แล้วแมวก็มา ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นอีกนะแมว ตั้งแต่สร้างวัดก็ไม่เคยเห็นแมว ก็มีวันนั้นที่หนูมากัดอ้อย เราเรียกหาแมวแล้วแมวก็มาวันนั้น มา “อ่าวๆ” จากนั้นมาเราก็สอนมันไม่ให้มันกัดหนู “สูจะไปไหนก็ไปเถอะในวัดนี้ แต่มึงอย่ากัดหนูกูเท่านั้นพอ” มันก็ไม่กัดนะ กลางคืนมัน “อ๋าวๆ” อยู่ตามนี้ มันแปลกสอนได้เหมือนคน แมวใหญ่

    เราพูดนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะโอ้อวดเรานะ แต่หลักเหตุผลมันมาตามกฎตามเกณฑ์เราก็เล่า เช่นอย่างแมว พอมันมากัดอ้อยเท่านั้น มันไปไหนว่ะแมว มาช่วยหน่อยหนูกัดอ้อย บ่ายสี่โมงแมวก็มา อยู่วัดห้วยทรายก็แบบเดียวกัน ไม่เคยเห็นแมวเลย เราก็สอนมันเหมือนกันไม่ให้มันกัดหนู กลางคืนมันร้อง “อ่าวๆ” ตามทางจงกรมอยู่ ร้อง “อ่าวๆ” แมวใหญ่ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอีกนะ เงียบเลยตั้งแต่นู้นละ ตั้งแต่มันกัดอ้อย

    ครูบาอาจารย์องค์สำคัญๆ ภายในใจส่วนมากเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ท่านแสดงอะไรออกมาเป็นนะ อย่างหลวงปู่มั่นเป็น เป็นเด็ดขาด ไม่คลาดเคลื่อน พูดถึงเรื่องอะไรเดี๋ยวเรื่องนั้นมา อย่างนั้นละ

    พ่อแม่ครูจารย์มั่นถ้าเราไปทางไหนแรมวันแรมคืนมาท่านจะสังเกตนะ หรือไปอยู่ที่ไหนห่างกันประมาณ ๑๒-๑๓ กิโล เวลามาหาท่านท่านจนจำได้ ญาติโยมเขาเอาของเต็มล้อๆ มา ของขบของฉันอะไรถูกธาตุขันธ์ของท่านเอามาเต็มล้อๆ เขามาส่งแล้วเขาก็ไป เราก็มาของเรา ไม่รู้กัน สุดท้ายท่านก็รู้จนได้ กลับมาอุดรสั่งเลย เราเป็นคนสั่ง เขียนรายการเรียบร้อย มอบให้เขาไปหาของตลาดที่ถูกกับธาตุกับขันธ์พ่อแม่ครูจารย์มั่น อะไรที่ถูกกับธาตุกับขันธ์ก็เราดูอาหารถวายท่านอยู่ทุกวัน จดไว้เรียบร้อยแล้วให้เขาไปเอาตลาดอุดร เพราะเราไม่ไปอยู่วันหนึ่งวันเดียว หลายวันกว่าจะกลับ ฟาดเป็นเข่งๆๆ เลย

    เราไปอำเภอพรรณนา อำเภอพรรณานี่ต้องได้ขึ้นล้อขึ้นเกวียนไป ไม่มีรถแต่ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้มี ไปถึงนั้นแล้ว จะทำอย่างไรพวกล้อพวกเกวียนไปมากๆ ท่านเห็นท่านจะดุเรา ไม่ใช่อะไรละดุเรา เอาของไปเต็มล้อใหญ่ๆ เขา ต้องไปถึงไม่ใช่เวลาท่านออกมา เช่นเวลา ๔ โมงท่านมาปัดกวาดตามนี้เหมือนพระทั้งหลาย เวลานั้นเราไม่ไปเราก็รู้อยู่แล้ว จนค่ำๆ ๕ โมงเราจึงด้อมๆ เข้าไป ขนของออกจากนี้ไปใส่อันนั้นไว้เรียบร้อย ถมทางล้อทางเกวียนไม่ให้เห็นเลย ไม่ให้เห็นรอยล้อรอยเกวียน ท่านเห็นจนได้เห็นไหมล่ะ คนโง่กับคนฉลาดมันต่างกัน

    “อันนี้รอยล้อมาอย่างไรนี่” ท่านว่า ท่านเห็นรอยล้อ ถมหมดนะ บอกพระบอกเณรถม ไม่ใช่ธรรมดานะ เพราะของเอาไปมาก “นี่รอยล้อมาอย่างไร” ทางนี้ก็ตอบ “อ๋อ เมื่อวานนี้มาจากพรรณาเห็นแก่นขนุนดีๆ ก็เลยเอามาหน่อย” ขนุนใหญ่ละท่านคงว่า ท่านเห็นเราเคยทำอย่างนั้น ท่านนึกในใจคงแก่นขนุนใหญ่ละ ท่านโอ๋ยฉลาดมาก

    หลังจังหัน

    วันนี้ไปเยี่ยมท่านอุทัยทางโคราช เขาใหญ่ ...... ท่านก็ไม่ว่าอะไรละ ท่านไม่เป็นสัญญาอารมณ์อะไรกับการอยู่การกิน นักปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วท่านก็ไม่สนใจ เราเคยเป็นมาแล้วนี่ ไปอยู่ที่ไหนไม่เคยคิดเรื่องการอยู่การกิน ที่ไหนจะสงัดที่ไหนจะมีน้ำสำคัญมาก อยู่สบายเลย แต่เราก็อดคิดสงสารไม่ได้ ความสงสารพูดจริงๆ แต่ก่อนก็มีธรรมดา ตอนแก่มานี้ โอ๊ย ครอบโลกธาตุ ความเมตตาความสงสาร พอตื่นนอนปั๊บจิตมันจะหมุนของมันออกทั่วโลกธาตุ วันไหนจะไปไหนๆ คิดเอาไว้

    (ท่านอาจารย์อินทร์ถวายเป็นหัวหน้าถวายที่ดินหน้าวัดแด่องค์หลวงตา ทั้งหมด ๒๑ ไร่ คิดเป็นเงิน ๔ ล้าน ๒ แสนบาท) เราไม่ได้มาแบกที่ดินนี่วะ (เขาซื้อไว้ถวายหลวงตาเรียบร้อยแล้ว ที่คอกวัวหน้าวัดครับ) คนจะถวายที่ถวายวัดมากต่อมาก เรารับไม่ได้ละ คือรับต้องให้พระไปอยู่ๆ ไปที่ไหนถวายทั้งนั้น ถวายที่วัด (วัดป่าบ้านตาดประมาณ ๕๐๐ ไร่แล้วครับ) ถวายเรื่อยอย่างนี้แหละ ไปที่ไหนเขาถวายวัดๆ แต่เราไม่รับ ถ้ารับตรงไหนก็ต้องหาคนไปอยู่ เช่นอย่างวัดอาจารย์เจี๊ยะให้อาจารย์เจี๊ยะมาอยู่ที่ปทุมธานี อาจารย์เจี๊ยะล่วงไปแล้วก็มีคนอยู่แทน อย่างนั้นละถ้ารับแล้วก็เป็นอย่างนั้น วัดท่านจันทร์นี่ก็เหมือนกัน ท่านจันทร์ กาญจนบุรี วัดเสือ เขามาถวาย เราก็ดูทางแถวนี้ไม่มีวัดกรรมฐานก็เลยรับให้ เราปรึกษากับท่านจันทร์ท่านก็พอใจรับให้ เพราะท่านจันทร์เคยเป็นพระวัดนี้มาอยู่ตั้ง ๖ ปี ๗ ปี พอบวชแล้วมาอยู่ที่นี่ ๖-๗ ปีข้อวัตรปฏิบัติเรียบ ไปเล่นกับหมูกับหมากับเสือแล้วจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จิตมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้

    (เขาใหญ่อาจารย์อุทัยก็ใช่ เขาถวายหลวงตา ๗๐ ไร่ หลวงตาจัดอาจารย์อุทัยไปดูแล) อย่างนั้นแหละถวายที่ไหน เราดูที่นั่นมันว่างไม่มีพระกรรมฐานเลย เราดูที่นั่นว่างหมด ตอนจะรับก็เลยเรียกท่านอุทัยมาปรึกษา ท่านก็พอใจมาอยู่ให้ ทีแรกท่านอยู่ภูวัวดีๆ นะ ถ้ำภูวัวเฉพาะท่านดี แต่ประโยชน์ส่วนรวมน้อย ก็เลยเอามาด้านนี้เสีย ท่านอุทัยก็ร้อยกว่าไร่นะ ( ๑๓๐ ไร่ครับ) อย่างนั้นละเขาถวายเรื่อย ถวายที่ไหนก็ต้องหาคนมาอยู่ ไม่ใช่รับสุ่มสี่สุ่มห้าเราไม่เอา

    (กระดาษติดครับ ยังไม่ออก) ไม่ออกก็ช่างหัวมันเถอะ ไม่สนใจกับหัวมันแหละ เป็นอะไรๆ ก็แล้วแต่ เฒ่าแก่มาแล้วไม่สนใจกับอะไรละ ถึงกาลเวลาก็ดีดผึงเท่านั้นละ เราพูดจริงๆ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล พูดชัดๆ เสีย การประพฤติปฏิบัติธรรมได้ผลสมบูรณ์แบบ จะไม่กลับมาเกิดอีกแล้วแน่อยู่ในหัวใจ ขาดไปหมดเลยโลกสมมุติ สามโลกธาตุนี่ขาดหมด ยังเหลือแต่ธรรมธาตุเท่านั้น เรียกว่าธรรมธาตุ

    เวลายังมีชีวิตอยู่นี้ก็ด้วยความเมตตาล่ะวิ่งนู่นวิ่งนี่ เราไม่มีอะไร สำหรับเราหมดทุกอย่าง หมดแล้วงานของเรา หมดงานพุทธศาสนา เรียกว่าหมดงาน ไม่มีงาน งานแก้กิเลสไม่มี งานนอกๆ ก็อย่างนี้ละไปนู้นไปนี้ไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่างานแก้กิเลส แก้กิเลสนี่ แหม ลำบากลำบนมากแทบเป็นแทบตาย นั่งจนก้นแตกของง่ายเมื่อไร นั่นละได้ผลสมบูรณ์ ไม่มีอะไรที่จะทำอีกแล้ว งานจิตของเราหมด ทุกอย่างไม่มีอะไรแล้ว จิตที่เกี่ยวข้องกับกิเลสไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง

    พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ตายแล้วไปเลยไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การจองป่าช้าเกิดตายๆ นรกสวรรค์พรหมโลกที่ไหนมันเทียวขึ้นเทียวลงเป็นสัตว์เดรัจฉานสัตว์ทุกประเภทมันไปเป็นหมดละ อันนี้ตัดทอนเข้ามาด้วยอำนาจแห่งความดี สร้างความดีมากเข้าๆ ก็ตัดสิ่งที่เลวออกๆ มีแต่ของดีรวมตัวเข้าๆ รวมสุดยอดแล้วก็เป็นธรรมธาตุ จิตนี้เป็นธรรมธาตุ ไม่มีการที่จะหมายว่าไปเกิดที่ไหนไปตายที่ไหนไม่มี หมด สิ้นสุด สมมุติกับวิมุตติขาดกันเรียกว่าสะบั้นไปเลย ไม่มีอะไร อยู่อย่างนี้ก็อยู่กับโลกกับสงสารก็ทำไปอย่างนั้นละ ที่จะทำเพื่อเราเราไม่มี เราบอกตรงๆ ไปไหนไปนู้นๆ เพราะอำนาจแห่งความสงสารนะไม่ใช่อะไร เดี๋ยวไปนู้นเดี๋ยวไปนี้อยู่อย่างนี้ ที่จะให้อะไรเพราะเราไม่มี เราบอกไม่มี หมดแล้วงานทุกอย่าง เราบำเพ็ญในศาสนามาสุดสิ้นลงที่ว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นธรรมธาตุ หมดในจุดนี้แหละ

    นี่ละการบำเพ็ญธรรม พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้สอน ดำเนินตามพระพุทธเจ้าจะไปไหน มันก็ต้องไปตามนั้น พูดอย่างนี้เราระลึกได้ว่าบวชทีแรกดีใจ บวชนี้เราจะปฏิบัติธรรมวินัยให้เคร่งครัด เวลาได้สึกลงไปด้วยกรรมใดก็ตามเราจะไปสวรรค์ มันหากคิดบ้าๆ ของมันนะ ไปสวรรค์ดีกว่ามนุษย์ เราไม่เคยเห็นแหละสวรรค์ก็ดี ไปสวรรค์ก็ยังมาเกิดอีก ไปพรหมโลก ไปพรหมโลกนานก็จริงแต่ยังมาเกิดอีก ที่ไหนไม่เกิดล่ะ นิพพาน เหอ นิพพานเหรอปักปุ๊บเลย เอานิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    จากนั้นมาความเพียรนี่หมุนติ้วเลย หมุนติ้วเพื่อจะไปนิพพานให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เอาจริงๆ จังๆ เสียด้วยนะ ทำอะไรไม่เหลาะๆ แหละๆ เอาจริงเอาจัง ฟาดเสียเท่าไรไม่ถามหาพระนิพพานแหละเดี๋ยวนี้ ธรรมธาตุกับนิพพานคืออะไรอันเดียวกัน ธรรมธาตุกับนิพพานอันเดียวกัน เรียกว่าธรรมเที่ยง อยู่เหนือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา โลกแปรปรวนอยู่เหนือหมดเลย เข้าใจเอานะพี่น้องทั้งหลาย

    ถึงเวลาพูดก็พูดเสีย เวลาไม่พูดก็ไม่พูด นี่แทบเป็นแทบตายในการปฏิบัติธรรมของเล่นเมื่อไร บวชเป็นพระว่าจะไม่ทำไร่ทำนาการซื้อการขายเหมือนโลกเขาจะสบาย โหย ไม่ได้สบายนะ งานของธรรมละเอียดกว่าโลกเป็นไหนๆ หาความสะดวกไม่ได้เลย ฆ่ากิเลสไม่ใช่อะไร ถ้าว่าเรียนก็เรียนจริงๆ เรียนก็เรียนเพื่อฆ่ากิเลส ออกจากนั้นก็เข้าป่าปึ๋งเลย ไปภาวนาไปคนเดียว พ่อแม่ครูจารย์ก็เสริมด้วย เวลาเราไปเราจะลาท่านไป ไปทางไหนๆ ก็ตามคราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ ท่านบอกว่าเอ้อดี แถวนั้นดีอยู่ ท่านเคยไปหมดแล้ว ท่านไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะฉะนั้นการเที่ยวกรรมฐานเราจึงเที่ยวแต่องค์เดียวตลอดเลย ไม่ได้เอาใครเป็นเพื่อน เป็นกับตายป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ จากนั้นมาแล้วก็วอกๆ จะตายเมื่อไรก็ตาย เราไม่เคยสนใจกับเรื่องความเป็นความตาย มีน้ำหนักเท่ากัน พอ เรียกว่าพอ พอทุกอย่าง จำเอานะทุกคน เอาละพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...