มหาธรรมนะ ท่านทั้งหลาย จาก physiqmund foid

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ตั้งใจอ่านดีดี เพื่อ ตัวท่านเอง
    มหาธรรม เรื่อง ลมปราณ, กายทิพย์, จิตวิญญาณ, สังขารเกี่ยวกันไฉน?




    อุปมา ร่างกาย, จิตวิญญาณ, ลมปราณ เหมือนดังนี้ ร่างกายเป็นเหมือนตะกร้าสานที่มีรูเล็กๆ มากมาย ไม่อาจกักเก็บลมปราณไว้ได้, กายทิพย์หรือวิญญาณขันธ์ เหมือนถุงใสบาง ที่ไม่มีรูโหว่เลยแต่บอบบางถูกรองไว้ในตะกร้านั้น, ลมปราณ เปรียบเสมือนกับ “น้ำ” ที่ใส่ลงไปในถุงใสเพื่อให้ครบองค์ประกอบ ส่วนจิต เปรียบเสมือนปลาตัวหนึ่งว่ายอยู่ในน้ำนั้นได้อย่างปลอดภัย อนึ่ง ร่างกาย, จิต, วิญญาณ, สังขาร ก็เหมือนกันอย่างนี้




    ถ้า “น้ำในถุงมีคุณภาพดี” เราจะได้ปลาที่เลี้ยงไว้ดีด้วยหรือความหมายก็คือ ถ้าลมปราณในร่างกายดี จิตของมนุษย์ผู้นั้นก็จะพัฒนาได้ดีด้วย ดังนั้น “ลมปราณ จึงเป็น วิญญาณาหารของจิตวิญญาณ” จิตวิญญาณหนึ่งดวง จะมีลมปราณจุประมาณ ๕% ของที่ร่างกายทั้งหมดมีและกักเก็บได้ เช่น ลมปราณทั้งร่างมี ๑๐๐ หน่วย จิตวิญญาณดวงหนึ่ง ก็จะมีลมปราณประมาณ ๕ หน่วยเท่านั้นเอง ในการตายครั้งหนึ่ง ลมปราณในร่างกายมนุษย์จะสลายและรั่วไหลออกภายนอก จิตวิญญาณจะแตกสลายอุปมาเหมือนถุงใส่น้ำแตก แล้วจิตที่อุปมาเหมือนปลาว่ายในน้ำ ก็จะจรจุติออกมา จากนั้น ถ้าจิตไม่นิพพาน ก็จะอุปทานยึดมั่นทั้งดึงดูดเอาลมปราณที่แตกกระจายไปรอบด้านกลับคืนมาหลอมรวมเป็นวิญญาณเพื่อเกิดใหม่ เป็น “จิตวิญญาณ” ใหม่อีกครั้ง ซึ่งลมปราณที่รวบรวมกลับคืนมานี้ จะกลับ มาเพียงประมาณ ๕% ของลมปราณทั้งหมดในกายสังขารนั้นๆ ที่เหลืออีก ๙๕% จะไป สู่ธรรมชาติรอบตัว ส่วนหนึ่งจะกระจายขึ้นบนฟ้า กรณีเป็นลมปราณละเอียด ลมปราณชั้นดี ส่วนหนึ่งจะถูกดูดซับลงดิน ในกรณีที่เป็นลมปราณเสีย, ลมปราณหยาบ, ลมปราณชั้นต่ำเช่น ลมปราณดำที่ยึดมั่นถือมั่นในโลกมาก (ก็จะหวนดิ่งลงกลับสู่พื้นโลก) แต่ปกติ จะไม่มีลมปราณเหลือออกจากกายสังขารของมนุษย์สู่ธรรมชาติรอบตัวได้ถึง ๙๕% เพราะก่อนตาย จะสูญเสียลมปราณออกไปเรื่อยๆ ก่อนแล้ว โดยจะเสียไปพร้อมกับจิตวิญญาณที่อยู่อาศัยในร่างกายนั้นๆ นั่นเอง จิตวิญญาณเหล่านี้ จะจรจุติออกจากร่างไปก่อนที่ร่างนั้นจะดับสลายลง เพราะจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ มันรู้วาระว่ากายสังขารนั้นจะตาย ก็จะจรจุติออกจากร่างเสีย และนำพาลมปราณจากร่างนั้นไปทีละน้อย จิตวิญญาณละประมาณ ๕% ของลมปราณทั้งร่าง ปกติ จิตวิญญาณสามารถชุมนุมร่วมกันในร่างๆ หนึ่งได้มาก ที่พบโดยเฉลี่ย คือ ประมาณ ๑๕ ดวงจิตวิญญาณพร้อมๆ กัน แต่มีบางขณะที่จิตวิญญาณมาประชุมร่วมกันในร่างเดียวจำนวนมากๆ เป็นพันดวงก็มี พบในมนุษย์ยุคที่มีอายุขัยเป็นพันปี แต่มนุษย์ยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ ทำให้มีอายุขัยสั้นลงนั่นเอง ถ้าเราฝึกให้ร่างกายมีจิตวิญญาณในกายจำนวนมากประชุมอยู่ร่วมกันได้โดยปกติ ก็จะทำให้มีอายุขัยยืนยาวขึ้นได้ เพราะจิตวิญญาณหนึ่งดวงจะมีวาระในการอยู่ในกายสังขารของคน เมื่อถึงวาระก็ต้องจรจุติออกไป เมื่อมีจิตวิญญาณดวงอื่นเข้ามาอยู่อาศัยร่างแทน ก็จะต่ออายุขัยให้คนผู้นั้นได้ แต่เขาผู้นั้นอาจไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เพราะจิตวิญญาณเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง ยกเว้นกรณีพระมหาโพธิสัตว์ที่แบ่งภาคมาก ก็สามารถเก็บคืนจิตวิญญาณที่ตนได้แบ่งภาคออกไป กลับมาประชุมร่วมกันในกายสังขารเดิมเพื่อทำกิจต่อไปอีกก็ได้




    ในบางท่านกายทิพย์สลาย เหมือนถุงน้ำแตก แต่น้ำจะไม่รั่วออกหมดในทันที ลมปราณจะค่อยๆ รั่วไหลออกช้าๆ ประมาณ ๗ วันจึงจะหมดร่างและตายได้ ถ้ามีถุงน้ำอื่นมาครอบไว้ต่อก็จะรอดได้ เช่น มีกายทิพย์ของพระยูไล, พระโพธิสัตว์ หรือพรหมมาครอบขันธ์ให้ แบบนี้จะอยู่รอดต่อไปได้ หรืออาจมีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ มาสวมครอบขันธ์ห้าไว้ เช่น จิตของสัตว์ทิพย์ที่เป็นพาหนะทรงเช่น ช้างทิพย์ แบบนี้จะทำให้ลมปราณไม่รั่วไหล ไม่ตายเร็วเกินควร บางท่านฝึกมโนมยิทธิขั้นสูงสุด ถอดจิตวิญญาณทั้งหมดออกจากร่างพร้อมกัน ไม่มีจิตวิญญาณเหลือในร่างกายเลย แต่จะไม่ตายทันที เพราะลมปราณยังอยู่ในร่างนั้นประมาณ ๘๐% ขึ้นไป ฉับพลันนั้นเขาย่อมรู้สึกว่า “ว่างไร้” อธิบายไม่ถูก เหมือนไม่มีแม้แต่จิต (เพราะจิตจุติออกไปแล้ว) แต่ไม่ใช่การบรรลุธรรม ปัญญายังไม่เกิด ถ้าจิตเขากลับเข้าร่างอีกครั้งก่อน ๗ วัน ก็ไม่ตาย (ปกติ จะตกใจและรู้ตัว หวนกลับเข้าร่างภายในไม่ถึงวินาที) เมื่อกลับมาพิจารณาธรรมเข้าวิปัสสนาฉับพลัน ก็ย่อมจะบรรลุธรรมได้

    -จบ-
     
  2. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    มหาธรรม เรื่อง การดับขันธปรินิพพานของจิตวิญญาณก่อนตาย




    จิตวิญญาณสามารถนิพพานได้ก่อนที่กายสังขารจะตาย ถ้าจิตวิญญาณเข้ามาอาศัยกายสังขารของคนเพื่อปฏิบัติธรรม แล้วหมดอายุขัยในกายสังขารนั้นๆ สามารถอาศัยจังหวะที่จิตวิญญาณสลาย เพื่อลัดเข้าสู่การดับขันธปรินิพพานได้ โดยที่กายสังขารนั้นๆ ยังไม่ตาย และยังมีจิตสังขารหรือจิตหลักครองกายสังขารนั้นต่อไป หรือแม้แต่จิตหลักหรือจิตสังขารก็สามารถนิพพานได้ ก่อนที่กายสังขารจะสิ้นลม แล้วเปิดทางให้จิตวิญญาณดวงอื่นได้เข้ามาอาศัยอยู่ในกายสังขารนั้นแทน ทำให้กายสังขารนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นี่คือ การตายแล้วเกิดใหม่ ในกายสังขารเดิม จิตวิญญาณจะเปลี่ยนไป กลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ในกายสังขารเดิม วิธีนี้ เป็นวิธีที่ช่วยให้จิตวิญญาณได้นิพพานแน่นอน เพราะถ้าอยู่ในกายสังขารนั้นๆ ต่อไป จำเป็นต้องก่อกรรมตามเหตุปัจจัยบนโลกมนุษย์ ซึ่งบีบคั้นทำให้ไม่สามารถรักษาศีลได้ กรรมใหม่ๆ จะมากขึ้นทำให้ไม่อาจนิพพานได้ จึงต้องทำการดับขันธปรินิพพานไปเสียก่อนกายสังขารนั้นๆ จะถึงการดับสิ้นลง วิธีนี้ เป็นวิธีที่ผู้สำเร็จเซียนทางจิตวิญญาณขั้นสูงจะสามารถฝึกได้ สำเร็จได้ แต่ต้องมีบุญบารมีเก่าหนุนด้วย ถ้าไม่เหลือบุญบารมีเก่า กายสังขารจะตายจริงๆ พร้อมกันกับจิตวิญญาณนิพพาน ถ้าเป็นกายสังขารของพระโพธิสัตว์ที่แบ่งภาคลงมาเกิด จะไม่ตายง่ายๆ เพราะจิตภาคแบ่งดวงอื่นๆ จะจรจุติลงมาอาศัยอยู่แทน เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณดวงเก่าที่นิพพานไป




    จิตวิญญาณหมดอายุขัยก่อนสังขารได้ไหม?

    จิตวิญญาณสามารถหมดอายุขัยก่อนสังขารได้ ทำให้จิตวิญญาณต้องจุติออกจากสังขารนั้นและสังขารนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะมนุษย์ โดยยังมีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ครองสังขารอยู่ การยึดมั่นถือมั่นว่า จิตวิญญาณต้องหมดอายุขัยหลังหรือพร้อมกับสังขารขันธ์นั้นไม่สอดคล้องกับความจริง ความจริงแล้วขันธ์ทั้งห้าดับลงไม่พร้อมกันและไม่จำเป็นจะ ต้องพร้อมกัน รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์ ทั้งห้านี้ ตัวใดจะหมดอายุขัยดับสูญก่อนก็ได้เช่น ในคนที่เป็นโรคเอ๋อนั้น “สัญญาขันธ์” ดับก่อนขันธ์อื่นแล้ว ดังนั้น จิตวิญญาณที่อยู่ในกายสังขารจึงสามารถหมดอายุขัยก่อนสังขารนั้นๆ ได้




    วิญญาณขันธ์ดับก่อนสังขารขันธ์ได้ไหม?

    วิญญาณขันธ์สามารถดับสูญก่อนสังขารขันธ์จะสิ้นลงได้ในคนที่บำเพ็ญบารมีทางจิตมาก เช่น ในคนที่มีกายโพธิสัตว์สมันตภัทรเมื่อบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดจะระเบิดพลังภายใน ทำให้กายทิพย์ หรือวิญญาณดับสลาย เมื่อเพ่งดูด้วยตาทิพย์แล้วจะมองไม่เห็นกายทิพย์ จะมองเห็นแต่แสงสว่างเป็นรัศมีแผ่ออกมา นั่นคือ “มโนธาตุ” ที่เหลือยู่ หลังวิญญาณได้ดับสลายลงแล้ว แต่จิตไม่จำเป็นต้องจุติออกจากร่างหลังวิญญาณสลายเสมอไป ถ้าขันธ์อื่นครอบไว้ต่อคือ วิญญาณขันธ์อื่นเข้ามาสวมครอบไว้ได้ ก็จะไม่ตาย จิตดวงนั้นจะยังไม่จุติ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่น ถ้ามีจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เข้ามาอาศัยโดยอยู่ชั้นนอกสุด สวมครอบมโนธาตุนั้นๆ ไว้ บุคคลนั้นจะไม่ตาย และไม่มีการจุติของจิตดวงที่ไร้วิญญาณนั้น




    นิพพานก่อนสังขารจะสิ้นอายุขัยเป็นไปได้หรือ?

    เป็นไปได้ แต่เป็นการนิพพานของ “จิตวิญญาณ” โดยกายสังขารหนึ่งๆ อาจมีจิตมากกว่าหนึ่งดวง จิตแต่ละดวงมีวิญญาณปรุงแต่งครอบไว้ ทำให้มีสภาพเป็นจิตวิญญาณ เมื่อจิตได้ดับขันธปรินิพพานก่อนที่กายสังขารจะตาย จะเหลือแต่ดวงจิตอยู่ในกายสังขารนั้น ก็ทำ “มโนธาตุนิพพาน” ต่อทำให้มโนธาตุหรือจิตหมดสิ้นสภาพแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีคุณสมบัติเดิมอีก ก็จะนิพพานสมบูรณ์ กายสังขารนั้น หากยังสมบูรณ์ดีอยู่ ก็จะเป็นที่อาศัยของจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เข้ามาแทนที่ได้ต่อไป อนึ่ง การจะทำเช่นนี้ได้ บุคคลนั้นจะต้องฝึกทั้ง “กาย” และ “จิต”แยกกันชัดเจน ส่วนจิตก็ฝึกพัฒนาให้ถึงนิพพานส่วนกาย ก็ต้องฝึกให้ไม่ยึดจิต ไม่ยึดว่าตนเองเป็นใคร พร้อมสละกายให้จิตวิญญาณได้ทุกดวง ก็จะสามารถทำเช่นนี้ได้ (กายไม่ยึดจิต จิตไม่ยึดกาย) เมื่อฝึกจิตและกายไม่ยึดกันได้จริง การนิพพานของจิตวิญญาณก่อนที่กายสังขารจะดับลง (ตาย) จะเกิดขึ้นได้จริงด้วย

    -จบ
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    มหาธรรม เรื่อง การบรรลุ “เซียนอรหันต์” ตามแบบเซียนองค์ที่หนึ่ง




    เซียนองค์ที่หนึ่งในแปดเซียน ซึ่งสำเร็จมโนมยิทธิ ถอดจิตวิญญาณไปสวรรค์แล้วสั่งให้ศิษย์เฝ้าร่างของตนไว้ ภายใน ๗ วันถ้าไม่ฟื้นจึงให้เผาเสีย ทว่า ศิษย์เผาเสียก่อนครบเจ็ดวัน เมื่อจิตวิญญาณท่านกลับมาแล้ว กลับเข้าร่างเดิมไม่ได้ ไปพบร่างขอทานกำลังตาย จึงจุติเข้าแทนในร่างนั้นๆ ทำให้ได้กายสังขารเป็นชายขอทานขาพิการ ทำให้ชายขอทานขาพิการ มีสภาพบุคคลเป็นเซียนไปทันที บุคคลจำนวนมากสามารถบรรลุเซียนได้ด้วยวิธีนี้คือ ให้จิตวิญญาณจุติออกจากร่างไปทั้งหมด แล้วมีจิตวิญญาณที่สำเร็จธรรมแล้ว จุติเข้ามาอาศัยในร่างแทน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ในเสี้ยววินาทีที่ร่างกายว่างเปล่าจากจิตวิญญาณนั้น ร่างกายจะยังทำหน้าที่ได้โดยไม่มีจิตวิญญาณ แต่จะเหมือนคนคิดไม่เป็น ว่างเปล่า หรือจิตว่างไปชั่วระยะ เหมือนเข้าสู่สภาวะสุญตาแต่ไม่มีจิตเหลืออยู่ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จิตดวงใหม่ก็จุติเข้ามาอยู่ในร่างแทน ก็จะกลับมารู้ตัว คิดและทำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเดิม แต่จะเหมือนกลายเป็นคนใหม่แล้ว ในวัดบางวัดหรือสถานธรรมบางแห่ง เจ้าของสถานธรรมเลี้ยงผีบริวารไว้มากมาย พอมีคนรวยๆ ขับรถเก๋งเข้ามา ผีบริวารก็แทรกเข้าร่างทันที ผีตนนั้นดีใจได้ร่างเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวยแล้ว มันศรัทธาต่อนายมันมาก มันพาร่างของคนผู้นั้น ที่มีจิตวิญญาณเดิมรับรู้อยู่ แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ต้องเอาเงินให้เทกองให้เจ้าของสถานธรรมนั้นมากมาย ก็มี แบบนี้ยังไม่แรงเท่าที่ๆ มีการใช้พลังปราณอัดกระแทกเอาจิตวิญญาณในกายสังขารของคนออกทั้งหมดแล้วเอาจิตวิญญาณบริวารของตนเองแทรกเข้าไปแทน ทำให้คนๆ นั้น กลายเป็นคนใหม่ เป็นคนที่ศรัทธาเจ้าของสถานธรรมนั้นๆ มากมาย สามารถเอาเงินทองไปกองให้เขาได้มากมาย




    ที่สุขาวดีโลกธาตุ ยังมีจิตวิญญาณที่ได้บรรลุธรรมขั้นอรหันต์แล้วจำนวนมากมายที่ยังไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย จึงยังไม่ได้ดับขันธปรินิพพานมีสภาพเป็น “พระโพธิสัตว์” อยู่ เรียกว่า “อรหันตโพธิสัตว์” มีคนงี่เง่าพวกหนึ่ง ออกมาต่อต้านว่าพระอรหันตโพธิสัตว์ไม่มี เพราะคิดเอาเองว่าพระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องเข้าสู่อริยบุคคลไม่ได้ ก็ถ้าขนาดพระโพธิสัตว์มีบารมีเก่าสะสมไว้มาก ยังไม่สำเร็จอริยบุคคลได้แล้วสาวกอื่นๆ ที่ไหนจะทำได้อีกละ เป็นไปไม่ได้ ความคิดที่มองว่าพระอรหันต์โพธิสัตว์ไม่มีนั้น จึงเป็น “มิจฉาทิฐิ” ที่แรงมาก พระไตรปิฎกบันทึกไว้ชัดเจนว่าพระพุทธมารดา หลังตายแล้วจุติเป็นเทพบุตรที่สวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งความหมายของ “เทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต” ซึ่งก็คือ “พระโพธิสัตว์”นั่นเอง คือ พุทธมารดาได้บารมีเป็นพระโพธิสัตว์ จากนั้นท่านก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า จนบรรลุ “โสดาบัน” ดังนี้ ที่บุคคลหลงผิดคิดว่าพระโพธิสัตว์ไม่อาจบรรลุเป็นอริยบุคคลได้เพราะความปรารถนาพุทธภูมินั้น จึงผิดอย่างยิ่ง เป็นมิจฉาทิฐิที่แรงมาก เป็นอาการที่ถูกมารครอบงำแล้วโดยสมบูรณ์เพราะแม้แต่พระพุทธมารดาที่ได้เป็น “พระโพธิสัตว์” อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ยังได้บรรลุเป็นอริยเทพบุตร ขั้นโสดาบันเลย นี่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกชัดแจ้ง ดังนั้น จะกล่าวหาว่าพระโพธิสัตว์ไม่อาจบรรลุธรรมนั้น ไม่ได้ ก็แม้แต่ท้าวผกาพรหม ก็ได้รับการโปรดจากพระพุทธเจ้า และสำเร็จธรรมขั้นอรหันต์ เป็นพรหมอรหันต์ หรือ “อรหันตพรหม” ดังนี้ ความเป็น “อริยะ” จึงเกิดขึ้นในได้สัตว์มากมาย ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น เทวดาก็เข้าถึงความเป็นพระอริยะได้ คำว่า “อรหันตพรหม”, “อรหันตโพธิสัตว์” ไม่ใช่คำกล่าวลอยเลื่อน (ผู้ที่ใช้คำนี้บ่อยๆ ในประเทศไทย คือ ท่านธีรทาส)




    อนึ่ง เหล่าอรหันตโพธิสัตว์ที่ยังไม่สิ้นอายุขัย ยังไม่ดับขันธ์บนสุขาวดีโลกธาตุนั้น ก็ยังจุติลงมาสู่ร่างกายมนุษย์ได้ แบบ “โอปปาติกะกำเนิด”กล่าวคือ มนุษย์ที่บำเพ็ญสมาธิขั้นสูง ถอดจิตวิญญาณหรือจิตทั้งหมดในร่างกายได้จุติออกจากร่างฉับพลัน ทำให้กายว่างจากจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของพระอรหันตโพธิสัตว์ บนสุขาวดีก็สามารถจุติเข้ามาอยู่แทนที่ได้ ท่านเหล่านี้เรียกว่า “เซียนอรหันต์” คือ ผู้มีวิชชาทางจิตขั้นสูงเรียกว่าเซียน จนได้จิตวิญญาณอรหันต์อยู่ในร่างกายแต่สภาพความเป็นบุคคลไม่สมบูรณ์เพราะยังขาดการสอนธรรมให้กายสังขารนั้นละสักกายทิฐิด้วยผู้อื่น ไม่ใช่ด้วยตนเอง เพราะไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าจะบรรลุเองไม่ได้ จึงไม่นับเป็นอริยบุคคล แต่เรียก “เซียนอรหันต์”

    -จบ-
     
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    มหาธรรม เรื่อง การบรรลุ “เซียนอรหันต์” ตามแบบท่านเซียนองค์ที่สาม




    เซียนองค์ที่สาม บรรลุธรรมได้เพราะบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดจนตาย แล้วก็ “ฟื้น” ก็สำเร็จเป็นเซียนเพราะการตายแล้วฟื้นนั้น ตามประวัติมีอยู่ว่าท่านช่วยเหลือผู้คน รักษาโรคให้คนด้วยจิตเมตตา เมื่อบารมีถึงขั้นก็ถูกปีศาจรุมทำร้ายจนตาย แต่อายุขัยไม่สิ้น จึงฟื้นขึ้นมาแล้วบรรลุธรรมขั้น “เซียน” ไม่ใช่ “อริยบุคคล” ในทางพุทธศาสนา ปัจจุบันมีการสอนกรรมฐานที่ยอมรับวิบากกรรมในกรรมฐานถึงขั้นตาย คือ ยอมตายในกรรมฐาน แล้วก็ตายจริงๆ คือ “จิตวิญญาณสลายแล้วเกิดใหม่ในกายสังขารเดิม” มีกรรมฐานที่ทำให้ “ตายก่อนตาย” หรือ “ดับก่อนดับ” นี้หลายอย่างที่เผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน เช่น สมาธิหมุน ก็ดี, กรรมฐานเปิดโลก (สายหลวงพ่อคง) ก็ดี บุคคลใดที่เคยมีบารมีเก่า เคยเกิดเป็นเซียนมาในอดีตชาติ จะสามารถบรรลุธรรมได้ง่ายในแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นเซียนมา ซึ่งจะเข้าสูตรใดสูตรหนึ่งในแปดเซียน สูตรนี้นับเป็นการบรรลุธรรมแบบเซียนองค์ที่สาม




    เมื่อเราทำกรรมฐานชนิดนี้ ที่พร้อมตายก่อนตาย ดับก่อนดับนั้น เราจะยอมรับวิบากกรรมใดๆ ก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นแก่เราแล้วเหล่าเจ้ากรรมนายเวรจะมารุมทึ้งเราทันที เหมือนกับเซียนองค์ที่สามที่ตายเพราะถูกเจ้ากรรมนายเวรรุมทึ้งนั้นๆ แต่เราจะไม่ตายจริง จะตายใน คือ ตายเฉพาะจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณจะเกิดใหม่ในกายสังขารเดิม สำเร็จเซียนทันที ถ้าปฏิบัติธรรมต่อ มีจิตตรง รับธรรมก็ได้ ก็สามารถบรรลุเป็นอริยบุคคลได้ง่าย แต่ถ้ายังไม่สำเร็จเซียน บางครั้ง จิตวิญญาณไม่พร้อมรับธรรมในพระพุทธศาสนา เช่น ยังมีจิตวิญญาณเป็น “มาร” อยู่ก็มี เช่นนี้ ฟังธรรมก็ไม่ได้อะไร (แม้จะเข้าใจหรือเอาไปพูดต่อได้มากมายก็ตาม) เพราะจิตไม่เปลี่ยนแปลง ยังเป็นมารอยู่เช่นเดิม จะต้องใช้กรรมฐานตัวดังกล่าวนี้ (เช่น สมาธิหมุน, กรรมฐานเปิดโลก ฯลฯ) อนึ่ง ถ้าท่านสนใจทดลองดูว่าตนเคยได้มีบารมีสั่งสมไว้แบบเซียนองค์ที่สามหรือไม่ ท่านสามารถเข้าฝึกกรรมฐานแบบนี้ ได้ที่ จ. พิษณุโลก (กรรมฐานเปิดโลก วัดเขาชี), จ. อุบลราชธานี (สมาธิหมุน ผลาญข่อย) ถ้าท่านมีบุญวาสนาเก่ามาทางนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้สำเร็จธรรมขั้น “เซียน” ก่อน อนึ่ง การบรรลุธรรมด้วยวิธีของเซียนนั้น เป็นวิธีที่ลัดสั้นง่ายมาก และถ้าเตรียมตัวมาดีก็จะสามารถบรรลุได้ภายในไม่เกิน ๗ วันทีเดียว ยังมีหลายท่านมากที่บรรลุธรรมภายในวันเดียว เมื่อบรรลุธรรมขั้นเซียนแล้ว หากท่านมีบุญบารมีเก่าสร้างมาน้อย ก็จะได้กายเซียน ที่พร้อมตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จะไม่สนใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งยังอาจคิดว่าตนดีกว่า เหนือกว่า ธรรมของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เรื่องก็มี อันนี้เป็นไปได้เหมือนกัน ในท่านที่มีบุญบารมีเก่าสะสมอยู่ อาจได้กายทิพย์เป็น “พระโพธิสัตว์” ที่เรียกว่าปุถุชนโพธิสัตว์ หรือ “เซียนโพธิสัตว์” ก็ดี หรือบางท่านมีบุญบารมีมากขึ้น ก็ถึงเซียนพุทธะได้ ซึ่งเมื่อท่านได้สำเร็จธรรมแบบเซียนด้วยตนเองแล้ว โปรดเข้าใจว่าไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งยังไม่มีในยุคนี้ แต่ท่านสำเร็จได้ด้วยตนเองเป็นเซียนเท่านั้น เมื่อท่านรับธรรมในพระพุทธศาสนาไปศึกษาต่อ ได้อาศัยผู้อื่นช่วยทำลาย “สักกายทิฐิ” ให้ จึงจะสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ถ้าไม่มีใครมาช่วยทำลายสักกายทิฐิให้แก่ท่าน ท่านก็ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล แม้สามารถถ่ายทอดธรรม, สอนคน, สอนสมาธิได้บรรลุเซียนมากมายก็ตาม




    การบรรลุเซียน ก็คือ การเตรียมจิตวิญญาณให้พร้อมที่จะเป็นพระอริยบุคคลนั้นเอง ซึ่งแต่ละท่านอาจมีจิตวิญญาณที่ไม่พร้อมรับธรรมอยู่ เช่น มีจิตอสูร, จิตมารอยู่ ก็สามารถหลุดพ้นจากสิ่งไม่ดีเหล่านี้ได้ เกิดใหม่เป็นเซียนที่มีกายทิพย์แบบต่างๆ ก่อน แล้วจึงจะเข้าสู่การบรรลุธรรมได้ในลำดับต่อไป มีข้อน่าสงสัยอยู่ว่าการบรรลุพุทธะด้วยตนเองนั้น ไม่ใช่อรหันต์หรือ จริงๆ แล้วไม่ใช่เสมอไป การบรรลุพุทธะ คือ การบำเพ็ญบารมีจนได้กายทิพย์เป็นพุทธะเท่านั้นเอง พุทธะ (ยูไล) หลายๆ องค์ยังต้องมีครูบาอาจารย์เป็นพระยูไลที่มีบารมีธรรมมากกว่าขึ้นไปด้วย เช่น พระพุทธเจ้ายังต้องโปรดยูไลทั้งหลายด้วย ในการบรรลุถึงกายทิพย์ยูไล ยังต้องทำลายสักกายทิฐิของตนให้ได้ จึงจะสำเร็จถึงขั้นอริยบุคคลอย่างแท้จริง เนื่องจากยุคสมัยนี้ยังไม่ใช่ยุคของพระปัจเจกพุทธเจ้า ดังนั้นจึงไม่อาจมีว่าผู้ใดจะบรรลุธรรมได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีผู้ช่วยทำลายสักกายทิฐิให้

    -จบ-
     
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    มหาธรรม เรื่อง การบรรลุ “เซียนอรหันต์” ตามแบบท่านเซียนองค์ที่แปด




    เซียนองค์ที่แปด บรรลุธรรมได้ด้วยการดูดซับพลังปราณธรรมชาติ ตามตำนานกล่าวว่าท่านเกิดจาก “ปีศาจค้างคาว” ซึ่งจำศีลในถ้ำ ดูดซับพลังอาทิตย์และจันทร์ จนสำเร็จเป็นเซียน อันที่จริงปีศาจทุกตนจะสำเร็จเซียนได้ก็ต้องดูดซับพลังปราณธรรมเข้าไปทั้งสิ้น ไม่อาจก่อสร้างปราณดีได้ด้วยตนเอง เพราะความเป็นปีศาจ จึงไม่อาจทำสมาธิได้แบบพวกฤษีหรือพรหม จิตของพวกปีศาจไม่มีสมาธิมากพอที่จะเจริญฌานได้ การสะสมตบะ จึงไม่มีในพวกปีศาจ ในเทพนักษัตรสามารถเข้าฌาน, จำศีล, สะสมตบะได้ แต่ในปีศาจหรือพวกอสูร ไม่สามารถทำได้ อนึ่ง คำว่า“อสุร” หมายถึง สัตว์ที่มีกายไม่งาม แบ่งได้เป็นสองพวก คือ พวกที่อยู่ฝ่ายสัมมาทิฐิ เรียกว่า “ยักษ์” พวกนี้ ทำสมาธิได้, เข้าฌานเป็น “ฤษียักษ์” ได้ แต่อีกพวกหนึ่งเป็นฝ่ายมิจฉาทิฐิ เรียกว่า “อสูร” มีกายไม่งาม เช่น มีกายครึ่งคนครึ่งสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีช่วยกิจพระโพธิสัตว์ก็จะหลุดพ้นจากความเป็นอสูร ได้เลื่อนขึ้นชั้นเทพ เรียกว่า “เทพกษัตร” เช่น ปีศาจลิงที่เคยมีจิตมิจฉาทิฐิ แต่เมื่อช่วยพระถังซัมจั๋งแล้วก็ได้รับตำแหน่ง “เทพวานร” เฉกเช่นเดียวกับปีศาจหมู และผีพรายน้ำ สามตนนี้ เมื่อช่วยงานพระถังซัมจั๋งแล้วก็ได้บารมีขึ้นชั้น “เทพนักษัตร” ดังกล่าว




    อนึ่ง การโปรดสัตว์ที่ไม่พร้อมรับธรรมของพระพุทธเจ้านี้ จะมีมากในยุคหลังกึ่งพุทธกาล เพราะพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าหมดสิ้นลงแล้ว มีแต่สัตว์สี่เหล่าใหญ่ที่อยู่นอกบริษัท มาขออาศัยในพุทธศาสนาแทน ได้แก่ ยักษ์-อสูร, มาร, เทพ, พรหม ในการโปรดมารและอสูรนั้น จะต้องทำให้เขาหลุดพ้นจากความเป็นมารและอสูรก่อนคือ ต้องสำเร็จเซียน จึงจะสามารถรับธรรมจากพระพุทธศาสนาได้หรือไม่ต่อไป ถ้าสำเร็จเซียนมีบารมีมาทางพุทธศาสนา ก็จะสำเร็จเซียนมีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์ เราเรียกว่า “ปุถุชนโพธิสัตว์” แต่นี่ไม่ใช่ “ปุถุชนทั่วไป” ในปุถุชนทั่วไปจะไม่มีความคิดเชิงโปรดสัตว์ หรือทำกิจเพื่อศาสนา แต่ในปุถุชนโพธิสัตว์จะมีอยู่ ดังนั้น คำว่า “ปุถุชนโพธิสัตว์” ก็คือการสำเร็จธรรมขั้นเซียนอย่างหนึ่ง จนมีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์นั่นเอง ในการสำเร็จเซียนนั้น ไม่ได้หมายถึงการได้สำเร็จถึงอริยบุคคล แต่เป็นการเอาชนะสิ่งเลวร้ายในตัวเองได้สำเร็จ จนก้าวผ่านด่านที่ขวางกั้นในตนเอง สำเร็จวิชาหรือมีปัญญาขั้นสูงกว่าคนทั่วไปได้ มีจิตวิญญาณที่สลายแล้วเกิดใหม่ เป็นจิตวิญญาณที่สูงขึ้นไป ได้สามแบบ คือ ๑) กายเซียน ซึ่งพร้อมตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๒) กายโพธิสัตว์ ที่พร้อมรับธรรมจากพุทธศาสนา เพื่อสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลต่อไป ๓) กายพุทธะ (ยูไล) ซึ่งบรรลุถึงที่สุดของสรรพสิ่ง แต่วิบากกรรมยังไม่หมดสิ้น ทำให้ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่พร้อมนิพพานเมื่อละสังขารลงได้ ต้องจุติไปยังสุขาวดีสวรรค์ต่อไป เพื่อทำหน้าที่เป็น “พระยูไล” เสวยวิบากกรรมทั้งดีและไม่ดีบนสวรรค์นั้น ซึ่งท่านจะทำหน้าที่เป็น “พระพุทธเจ้าบนสวรรค์” แต่ไม่ใช่บนโลก นี่คือ การบรรลุเซียน หรือบรรลุด้วยตนเอง ๓ แบบ ทำให้ได้กายทิพย์ต่างกัน และเพราะไม่มีครูสอน จึงนับเป็น “อริยบุคคล” ไม่ได้ ท่านเหล่านี้ แรกเริ่มเดิมทีก็ยังมีสักกายทิฐิอยู่ ไม่มีใครสอนได้เพราะเก่งมากเป็นชั้นเซียนเราจึงควรเรียกว่า “เซียน” แทนที่จะนับว่าเป็นอริยบุคคล ไม่ว่าจะเป็น “ปุถุชนโพธิสัตว์” (หรือเซียนโพธิสัตว์) หรือปุถุชนพุทธะ (เซียนพุทธะ หรือผู้มีบารมี ได้กายทิพย์เป็นพุทธะแต่บรรลุได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ใช่พระปัจเจกฯ) ย้อนกลับมาถึงเรื่อง “การบรรลุเซียนแบบเซียนองค์ที่แปด” แท้ที่จริงคือการยอมให้ปีศาจ อยู่ในร่างกายแล้วฝึกวิชาปีศาจนั้นๆ จนบรรลุเซียน อนึ่ง ผู้เขียนเมื่อครั้งแรกเกิดเป็นสัตว์นั้นเกิดมาจาก “จิตภาคแบ่งของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง” แบ่งภาคออกมาเป็นอสูรมังกรดำ แล้วเวียนว่ายตายเกิดลงมาเป็นมังกรดำก่อนในชาติแรก บำเพ็ญบารมีจนบรรลุเซียนแบบเซียนองค์ที่แปด จึงใช้วิธีปล่อยให้ผีชั้นต่ำเข้าร่าง เพื่อให้เขาใช้ร่างปฏิบัติธรรม ให้หลุดพ้นไป แต่ไม่ได้ใช้วิธีของเซียนองค์ที่หนึ่ง (คือ การใช้มโนมยิทธิขั้นสูง ถอดจิตวิญญาณออกจากร่างเพื่อการสำเร็จเซียน) ในเซียนทั้งแปดนั้นบำเพ็ญบารมีเป็นชุดๆ ผู้มีบุญกรรมบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในยุคที่ต้องเกิดเป็นแปดเซียนในชุดเดียวกันกับผู้เขียนนั้นก็มีท่าน ผู้ที่เผยแพร่ธรรมที่วัด ใน จ. เลย ด้วย นั่นก็เป็นเซียนองค์แรกในยุคนั้น (อดีตชาติ) อนึ่ง ความรู้ของแปดเซียนไม่อาจแยกกันจำต้องช่วยเหลือและร่วมกันจึงจะโปรดสัตว์ได้

    -จบ-
     
  6. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    มหาธรรม = อนุตรธรรม

    แต่ถ้ามาหาธรรม หาได้จากแผนที่ตรงนี้ แล้วออกค้นหาจากภายนอกสู่ภายใน กว่ากันเยอะ :cool:

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
     
  7. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อันนี้เด็ดสุด ยิ่งต้องอ่านดีดี มันเป็นกุสโลบายที่แยบคายที่สุดที่ เจ็บปวดสุดๆ ดูที่ท่อนฮุคซิ ท่านทั้งหลาย
    มหาธรรม เรื่อง การบรรลุ “เซียนถ่อย” แบบพระเทวทัตไม่ใช่พระอริยบุคคล




    บทความมหาธรรม พยายามสื่อเรื่อง “เซียน” มาก เพื่อให้ท่านเข้าใจความเป็นเซียนซึ่งไม่ใช่ “พระอริยบุคคล” ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ท่านเข้าใจไม่หลงไปว่าตนได้เป็นพระอริยบุคคลแล้วทั้งๆ ที่ท่านอาจสำเร็จเพียงเซียน อนึ่ง ต่างกันตรงไหนหรือ ง่ายมากเลย ตรงไปตรงมาคือ พระอริยบุคคลย่อมสำเร็จธรรมได้ด้วยอริยสัจสี่ เริ่มจาก “ทุกข์” เท่านั้น หากไม่ได้เริ่มจากทุกข์แล้ว ไม่มีทางบรรลุเป็นพระอริยบุคคลเลย ดังคำกล่าวของพระพุทธองค์ที่ว่า “ท่านสอนแต่เรื่องทุกข์ และการดับไปของทุกข์เท่านั้น” ท่านไม่ได้สอนปรัชญา, มหาความรู้, วิชชา, หรือความรู้แจ้งในสรรพสิ่งอะไรเป็นสำคัญเลย ท่านเน้นแต่เรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์เท่านั้น ถ้าหลงออกนอกทางนี้ก็คือ “หลง” เท่านั้น อนึ่ง ยังมีพระสงฆ์จำนวนมาก ที่ได้บรรลุอภิญญาห้าเช่นเดียวกับพระเทวทัต เขาก็พยายามทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยการเอานิพพานมาพิจารณาไตร่ตรองตามคำสอนของครูบาอาจารย์ แล้วก็เข้าใจว่านิพพานหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ ฯลฯ เหมือนกับนักปราชญ์หรือนักปรัชญาคนหนึ่งที่ศึกษาปรัชญาใดๆ เท่านั้น เมื่อท่านทำนิพพานให้แจ้งด้วยวิธีปราชญ์นี้ ทำให้ไม่ได้เข้าทางทุกข์ ไม่ได้เข้าทางอริยสัจสี่ จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพระอริยบุคคลได้ ตอนนี้พระสงฆ์ที่บรรลุอภิญญาห้ามีเยอะมาก เหมือนพระเทวทัตและกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากชาวพุทธที่ไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดศรัทธาหลั่งไหลเข้ามาพร้อมเงินทองมากมาย การก่อสร้างถาวรวัตถุมากขึ้น เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งนับถือหลงใหลกันไปใหญ่จนเป็นกระแสไม่ต่างจากเทพเจ้าองค์หนึ่งทีเดียว อนึ่ง การบรรลุเซียนนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าหลงตัวเองว่าเป็นอรหันต์แล้วจะเป็น “เซียนถ่อย”ทันที




    บุคคลที่ไม่เข้าทางทุกข์ ไม่พิจารณาทุกข์หรือไม่ตกทุกข์มาก่อนแล้ววิ่งเข้าหาทางหลุดพ้นทุกข์ คนนั้นไม่อาจเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลย เขาเป็นได้แค่ “อรหันต์เก๊” ที่ลวงโลกไปวันๆ ให้คนโง่เง่าศรัทธาหลงใหลไป ด้วยต่างก็พอใจที่ได้เติมเต็มปรนเปรอความต้องการซึ่งกันและกัน ราวกับโสเภณีและชายผู้ซื้อบริการฉะนั้น อรหันต์เก๊ เหล่านี้ได้ปรนเปรอความพึงพอใจให้แก่สาธุชนที่เอาเงินไปกองให้ตามใจปรารถนา เมื่อคนร้องขอเอาของขลัง ก็มีหยิบยื่นให้ ปรนเปรอความพึงพอใจให้สูงสุดตามหลัก “ผู้ให้บริการ” ที่ดี ย่อมปรนเปรอลูกค้าอย่างเต็มความต้องการฉะนั้น พวกเขาเหล่านี้ จึงพอใจสูงสุดที่จะนับถือและศรัทธากันต่อไป ไม่ต่างอะไรจากความศรัทธาของพระเจ้าอชาติศัตรูที่มีต่อพระเทวทัตเลย เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างสนองความพอใจให้แก่กันและกันได้อย่างนี้ ไม่มีที่จะต่อต้าน, ห้ามปราม, สั่งสอน, หรือบอกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุดคิดพิจารณาเลย กล่าว คือ พอสานุศิษย์เฮโลกันรวมหัว, ซ่องสุมจะทำอะไรกัน อรหันต์เก๊ก็เอาด้วย เล่นด้วย บ้าจี้ตามๆ กันไปด้วย เลยได้ผลงานอวดชาวบ้านเขาใหญ่โต จน ส.ส. ท้องถิ่นอายไปเลย อย่างนี้ อรหันต์เก๊ ก็ดังยิ่งไปใหญ่ ระเบิดเถิดเทิงยิ่งกว่าดาราเปิดตัวตามหน้าสื่อสิ่งพิมพ์มากมาย กลายเป็นที่นิยมชมชอบและเป็นศูนย์รวมใจได้มากกว่าผู้นำทางโลกเสียอีก




    บุคคลเมื่อสำเร็จอภิญญาห้าแล้ว หากไม่เข้าทางทุกข์ ไม่ตรงอริยสัจสี่ ไม่อาจบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลจะบรรลุธรรมได้สูงสุดแค่เซียนเท่านั้น จำต้องแสวงหา “คนมาด่า” ให้สติตื่นขึ้นออกจากความโง่หลงงมงายในตัวตนของตนเสีย ไม่เช่นนั้น “สักกายทิฐิ” ยังคงเต็มอยู่สมบูรณ์ไม่ได้หายไปไหนเลย หากไม่มีคนมาด่าให้รู้สึกตัวว่ายังมีกิเลส, ยังมีทุกข์ยังร้อนรนกระวนกระวายใจเวลาเขาด่าเราอยู่ ก็จะไม่ได้สติรู้ตัวว่าตนยังไม่ใช่อรหันต์ ยังเป็น “อรหันต์เก๊” ยังลวงโลกอยู่ ยัง “ปรนเปรอกามให้สารพัดชายหญิง” อยู่ ไม่ต่างอะไรกับโสเภณีคนหนึ่ง ทว่า โสเภณีเหล่านั้นยังน่านับถืออยู่บ้าง เพราะเขาหากินด้วยลำแข้งของตนเองแต่สำหรับอรหันต์เก๊แล้วนั้น “หากินด้วยการลวงโลก” ทั้งเพ หากให้ไปหากินด้วยลำแข็งของตนเองแล้ว ก็คงจะไปไม่รอด สู้โสเภณีคนหนึ่งยังไม่ได้ ดังนั้น อรหันต์เก๊ จึงมีค่าต่ำเสียยิ่งกว่าโสเภณีอีก แม้จะลองกราบไหว้โสเภณีดูบ้าง ก็อาจจะช่วยให้ความหลงตัวเองและสักกายทิฐิทั้งหลายลดลงบ้างพอช่วยบรรเทาไม่ให้ลวงโลกได้ขอให้ท่านอรหันต์เก๊ ตื่นขึ้นพิจารณาตนเองดีๆ เถิดว่าที่บรรลุนั้นเป็นเซียนหรืออริยะกันแน่

    –จบ-
     
  8. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    พี่หม้อจ๋า อันนั้น น้องเข้าใจนะ แต่น้อง ที่เอามาลงนั้น ท่านให้แง่คิด และ แนวทางการปฏิบัติของท่านนา มันเป็นความรู้ต่อยอด นา พี่หม้อจ๋า
     
  9. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    งั้นเป็นอันว่าเรามาแชร์กัน จากลิ้งที่แนะนำไป ก็จงรับไว้ไปพิจารณา

    แต่ไม่ได้แชร์นิพพานนะ ถือว่าแชร์ในมุมมอง

    ซึ่งเป็นธรรมะของพระพุทธองค์ ที่ควรน้อมมาศึกษานำไปปฏิบัติ
    หากมีครูอาจารย์เป็นผู้รู้คอยชี้แนะด้วยยิ่งดี

    ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    "ครึ่งเล่มว่าด้วยเหตุปัจจัย คือ หลักปฏิจจสมุปบาท
    นอกนั้น มีเรื่องธาตุ การบรรลุธรรม สังสารวัฏ ลาภสักการะ เป็นต้น จัด เป็น ๑๐ สังยุตต์"

    ในนั้นว่ามาอย่างนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...