มนุษย์เรามีเวลาสั่งสมบุญหรือบาป เพียง 1,800 สัปดาห์เท่านั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 9 กันยายน 2007.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
    ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 จนถึงวันนี้ พ.ศ. 2550
    คือ 75 ปี ตั้งแต่เกิดจนตาย
    ถ้านับเวลาเป็นวันคือ 27,375 วัน
    ถ้านับสัปดาห์คือ 3,900 สัปดาห์
    ถ้านับเป็นเดือนคือ 900 เดือน
    ถ้านับเป็นชั่วโมงคือ 657,000 ชั่วโมง
    ถ้านับเป็นนาทีคือ 39,420,000 นาที
    ถ้านับเป็นวินาทีคือ 2,365,200,000 วินาที
    เท่ากับว่าถ้าเรานับ 1 ถึง 2,365,200,000
    เราก็จะแก่ตายพอดี สมการคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 365 วัน x 75 ปี = 2,365,200,000)
    หรืออาจจะใช้อีกสมการหนึ่งคือ
    (60 วินาที x 60 นาที x 24 ชั่วโมง x 30 วัน x 12 เดือน x 75 ปี = 2,332,800,000)
    ตัวเลขไม่เท่ากันกับด้านบนเนื่องจาก
    บางเดือน มี 28 วัน บางเดือนมี 29 วัน
    บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน
    ไม่แน่นอนแต่ก็ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 สมการ

    วันหนึ่งๆ มี 24 ชั่วโมง
    มนุษย์เราจะเสียเวลานอนเฉลี่ย 8-12 ชั่วโมง / วัน
    (ยังไม่รวมแอบหลับตอนกลางวัน)
    เพราะฉนั้นเราจะมีเวลาใช้ชีวิตกันจริงๆ
    เพียงครึ่งหนึ่งของเวลาจริงเท่านั้น

    เมื่อไม่นับเวลาที่เรานอน
    ตั้งแต่เกิดถึงตายเราจะมีเวลาเพียงแค่ 13,687 วัน
    หรือ 1,800 สัปดาห์ หรือ 450 เดือน
    หรือ 328,500 ชั่วโมง หรือ 19,710,000 นาที
    หรือ 1,182,600,000 วินาทีเท่านั้นเอง
    (เพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
    ยิ่งเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
    ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปอีกมากต่อมาก

    มนุษย์ในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแก่ตาย
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ครบอายุ จะตายก่อนเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น
    ขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
    บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา
    บางคนตายเมื่ออายุ 7 ชั่วโมง
    บางคนตายเมื่ออายุ 7 วัน
    บางคนตายเมื่ออายุ 7 สัปดาห์
    บางคนตายเมื่ออายุ 7 เดือน
    บางคนตายเมื่ออายุ 7 ปี
    แล้วคุณผู้อ่านทั้งหลายใช้เวลามาเท่าไรแล้ว
    จะเหลืออีกกี่วัน ถ้าคิดว่าตนเองจะอยู่ครบอายุ 75 ปี
    นั่นถือว่า ประมาทอย่างยิ่ง (เป็นความคิดที่โง่เขลาเหลือเกิน)
    ชีวิตมนุษย์มีน้อยนัก อย่ามัวประมาทอยู่เลย
    รีบทำบุญทำกุศลเพื่อเป็นเสบียงไปภพหน้ากันเถอะ

    แต่ก็มีมนุษย์บางจำพวกชอบพูดว่า
    "เดี๋ยวรอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทำบุญ"
    โถ...คิดไปได้ กรรมอะไรมันบังตาทำให้คุณคิดเช่นนั้น
    แล้วคุณรู้ได้อย่างไร ว่าจะอยู่ถึงแก่น่ะ
    อดีตชาติของคุณอาจจะเคยก่อกรรมทำเข็ญบางอย่างมา
    จนกรรมนั้นตามมาทันในชาตินี้ หรือ เดี๋ยวนี้
    ซึ่งคุณอาจจะเสียชีวิต อาจจะหัวใจวายตาย
    อาจจะเส้นเลือดตีบ หรือตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
    ภายหลังจากอ่านบทความนี้จบก็เป็นได้
    กรรมมันจัดสรรมาแล้ว
    ตั้งแต่คุณ "จุติ" จากชาติที่แล้ว
    จนคุณมา "ปฏิสนธิ" ในชาตินี้
    ว่าคุณจะต้องตายเมื่อไร วันไหน เวลาไหน
    ซึ่งมนุษย์ทุกคนตายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
    ดังคำกล่าวที่ว่า "ยามถึงคราว วาวายชีวาวัณ
    ไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกดันเสือกตาย"

    โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากเต็มที
    อุปมาเหมือนมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งอยู่ในมหาสมุทร
    ในมหาสมุทรมีห่วงยางอยู่ 1 ห่วง
    ในเวลา 100 ปี เต่าตาบอดตัวนี้ จะขึ้นมาหายใจ 1 ครั้ง
    แล้วให้คอเต่าตัวนี้ ลอดห่วงพอดี
    ซึ่งยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้
    (โอกาสเป็นไปได้ไม่ถึง 0.00000001 %)

    การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากกว่าการอุปมานี้เสียอีก
    เพราะต้องอาศัยผลบุญในอดีตชาติ
    เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
    ที่สั่งสมมาจำนวนมากๆ
    เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ได้แล้ว
    ก็จะพบกับความยากอีก 4 อย่างตามมาอีก
    ซึ่งความยากที่สุด 4 อย่างตามที่พระพุทธเจ้า
    ท่านแสดงไว้คือ

    1) การได้เกิดเป็นมนุษย์ ในชมพูทวีป (ที่มีอาการครบ 32)

    2) การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าในกัปป์นั้นๆ
    (ยุคปัจจุบันเรียกว่า "ภัทรกัปป์" หมายถึง กัปป์ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์
    ได้แก่ พระกกุสัณธะ, พระโกนาคมนะ, พระกัสสะปะ, พระโคโตมะ, และพระศรีอริยะ)

    3) การเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่

    4) การได้ศึกษาพระพุทธศาสนา
    (แก่นคือ การเจริญภาวนา สติปัฏฐาน 4 โดยพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
    เป็นอารมณ์ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน)

    พวกเราในปัจจุบันนั้นได้มาครบทั้ง 4 อย่างแล้ว
    เป็นความยาก 4 อย่างที่มาบรรจบกัน
    ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากที่สุด
    เราจะปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้ผ่านไปเฉยๆ เหรอ
    (ยังมีมนุษย์ตามืดบอดอีกจำนวนมาก ที่มองเป็นเรื่องปกติธรรมดา
    เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกิน)

    ส่วนมนุษย์ที่มีปัญญาอย่างเราๆ
    ควรรีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
    และการได้มาซึ่งบุญตามพระไตรปิฏกมี 10 ประการดังนี้
    (เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10)

    1) ทานมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
    2) สีลมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
    3) ภาวนามัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา (สติปัฏฐาน 4)
    4) อปจายนมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
    5) ไวยยาวัจจมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
    6) ปัตติทานมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    7) ปัตตานุโมทนามัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    8) ธัมมสวนมัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
    9) ธัมมเทสนามัย
    บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
    10) ทิฏฐุชุกรรม
    การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง
    (เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี)

    อย่าปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่า
    ไปกับเรื่องไร้สาระแบบคนตามืดบอดเลย
    ถ้าตายแบบคนตามืดบอดไม่เคยสั่งสมบุญ
    ต้องไปเกิดในอบายภูมิ
    (นรก-อสุรกาย-เปรต-เดรัจฉาน)
    ถ้าตายแบบคนมีปัญญา จักไปเกิดในสุคติภูมิ
    (มนุษย์-เทวโลก-พรหมโลก)
    ผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงรู้ไว้
    ว่ายังมีบุญอีกตั้ง 10 ประเภทให้ผู้มีปัญญาเลือกทำกัน
    ตามจริตและอัธยาศัย

    โลกมนุษย์ใบนี้
    ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาตั้งรกรากอยู่กันแบบถาวร
    แต่เป็นเพียงสนามสอบเท่านั้น
    เรามาอยู่กันชั่วครั้งชั่วคราว
    สอบเสร็จก็ต้องจากไป
    โดยใช้ผลบุญ-ผลบาป เป็นตัววัดว่าสอบได้หรือสอบตก
    ...ถ้าคุณต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง
    และค่อนข้างยั่งยืน
    คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากๆ
    (คะแนนคือบุญกุศล)
    แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "เทวโลก"
    ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุขแท้
    และมีอายุขัยยาวนานเกินคณานับ...

    แต่ถ้าคุณต้องการความสงบทางจิตแบบเหนือชั้น
    คุณต้องทำข้อสอบให้ได้คะแนนมากกว่านั้นขึ้นไปอีก
    (คะแนน คือ "ฌาณสมาบัติ"
    หรือ สมาธิขั้นสูงระดับ "ปฐมฌาณ" ขึ้นไป)
    แล้วคุณจะได้ไปเกิดยัง "พรหมโลก"
    อย่ามายึดติดในโลกมนุษย์ซึ่งมีแต่ความทุกข์
    และอายุน้อยนิดใบนี้เลย

    ทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้
    ที่เราหลงผิดไปแสวงหามาแทบตาย
    แต่อนิจจัง อายุมนุษย์ช่างน้อยเหลือเกิน
    ไม่ทันได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นก็ต้องมาตายเสียก่อน
    และทรัพย์เหล่านั้นไม่สามารถติดตัวเราไปได้อีกต่างหาก
    แต่เราเอาไปได้อย่างเดียวคือ บุญ-บาป เท่านั้น

    ท่านผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลาย
    โปรดพิจารณาว่า ที่เราขวนขวายแสวงหา
    ทรัพย์สมบัติต่างๆ นาๆ
    ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถนำติดต่อไปได้นั้น
    เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
    คนรวยก็ตาย คนจนก็ตาย
    ทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
    ซึ่งถือว่าเป็นอริยทรัพย์
    สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ

    โปรดใช้เวลาในโลกใบนี้ในแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าเถอะ
    เพราะเราเหลือเวลากันอีกน้อยแล้ว
    ให้สมกับความยากที่ได้เกิดบนโลกใบนี้
    ถ้าเราไม่รีบทำบุญทำกุศลให้มากที่สุด
    ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์
    เราจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้อีก
    หรืออาจจะไม่ได้มาอีกเลยก็เป็นได้
    ถ้าคุณประมาทปล่อยให้เวลาแต่ละวันผ่านไปเฉยๆ
    ผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ ผ่านไปกับเรื่องไม่มีแก่นสาร
    ครั้งนี้คุณอาจจะได้เป็นมนุษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว !!!

    ก่อนจะสายเกินไป
    คุณมีเวลาทำบุญทำกุศลจริงๆทั้งชีวิต
    โดยไม่นับเวลานอนเพียงแค่ 1,800 สัปดาห์
    หรือ 450 เดือน เท่านั้นเอง
    (หรือเพียงเรานับ 1 ถึง 1,182,600,000 เราก็แก่ตายแล้ว)
    โปรดใช้เวลาเท่าที่มีนี้ อย่างคุ้มค่าที่สุดนะ !!!

    ***ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิด เมื่อวิญญาณออกจากร่าง
    ก็จะมาเสียดายว่า ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำบุญไว้เลย
    มาคิดตอนนั้นก็สายไปแล้ว
    ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมในนรกจากบาปกรรม
    ที่ตัวเองทำระหว่างตอนเป็นมนุษย์
    ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กี่อสงค์ขัย กี่มหากัปป์
    เราจะได้กลับมาแก้ตัวบนโลกใบนี้อีก ?***

    ***พวกมนุษย์ที่ชอบพูดว่า
    "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" น่ะ
    คือคนที่กลัวว่าตนเองจะต้องไปรับกรรม
    ในนรกจากบาปกรรมของตัวเอง
    จึงพยายามสรรหาคำพูดมาปลอบใจตัวเองต่างๆ นาๆ
    กฏแห่งกรรมมันเป็นกฏธรรมชาติ
    มันให้ผลไปตามธรรมชาติ
    ถึงคุณจะสรรหาคำอะไรมาปลอบใจตังเอง
    ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นหรอก...
    หว่านเมล็ดพันธุ์เช่นไร ก็ต้องได้ผลเช่นนั้น
    ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลมะม่วง
    คุณจะมาพูดว่า "มะม่วงอยู่ในใจอย่างนั้นหรือ"
    เลิกโง่เขลากันซะทีเถอะ***



    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8159
    และ http://larndham.net/index.php?showtopic=19325
     

แชร์หน้านี้

Loading...