"มนุษย์ต่างดาว"ร้องไห้เสียใจ เมื่อ"พระพุทธเจ้า"ปรินิพพาน!!!!

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 3 สิงหาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    เรื่องเกิดเมื่อ 2 อสงไขย แสนมหากัปที่ล่วงมาแล้ว ในสมัยนั้นนั่นแล มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงพระนามว่า "พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    ก็ พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ทรงมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นก็คือ ในขณะที่พระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆ มีพระรัศมี 6 ประการแวดล้อมพระวรกาย 1 วา(4ศอก) บ้าง , 1 โยชน์( 16 กิโลเมตร)บ้าง แต่พระรัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นแผ่ซ่านไปตลอด"หมื่นโลกธาตุ"หรือ"หมื่นGalaxy"เป็นนิตย์นิรันดร์.!!!!!!

    โดยการทั้งปวงนี้ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันได้ทรงตรัสไว้ในพระไตรปิฏก "ขุททกนิกาย พุทธวงศ์" มีความตอนหนึ่งว่า
    <dl><dd>"ส่วนรัศมีแห่งพระสรีระ พระมงคลพุทธเจ้า มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ รัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ซึ่งมีรัศมีพระสรีระ ประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้างโดยรอบ ส่วน รัศมีแห่งพระสรีระของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำ บานประตูเป็นต้น ได้เป็นเหมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึงเก้าหมื่นปี. รัศมีของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดวงดาวเป็นต้นไม่มีตลอดเวลาถึงเท่านั้น การกำหนดเวลากลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายทำการงานกันทุกอย่างด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนทำงานด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์เวลากลางวัน โลกกำหนดเวลาตอนกลางคืนกลางวัน โดยดอกไม้บานยามเย็นและนกร้องยามเช้า...."</dd></dl>
    <table width="100" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="250" align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff"> <!-- [​IMG] --> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
    ตำแหน่งของโลกในจักรวาล
    <!--sizec--><!--/sizec-->

    โลก (The Earth)
    โลก ของเรามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,756 กิโลเมตร โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร แสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาเดินทางนาน 8 นาที กว่าจะถึงโลก

    ระบบสุริยะ (Solar System)
    ประกอบ ด้วยดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์อยู่ตรงศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ 9 ดวง เป็นบริวารโคจรล้อมรอบ ดาวเคราะห์แต่ละดวง อาจมีดวงจันทร์เป็นบริวารโคจรล้อมรอบอีกทีหนึ่ง ดาวพลูโตอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 6 พันล้านกิโลเมตร แสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาเดินทางนานมากกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงดาวพลูโต

    ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน (Stars)
    ดาว ฤกษ์แต่ละดวงอาจมีระบบดาวเคราะห์เป็นบริวาร เช่นเดียวกับระบบสุริยะของเรา ดาวฤกษ์แต่ละดวงอยู่ห่างกัน เป็นระยะทางหลายล้านล้านกิโลเมตร ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดของดวงอาทิตย์ชื่อ "ปร๊อกซิมา เซนทอรี" (Proxima Centauri) อยู่ห่างออกไป 40 ล้านล้านกิโลเมตร หรือ 4.2 ปีแสง ดาวฤกษ์ซึ่งมองเห็นเป็นดวงสว่างบนท้องฟ้า ส่วนมากจะอยู่ห่างไม่เกิน 2,000 ปีแสง

    กาแล็กซี (Galaxy)
    กาแล็กซีคืออาณาจักรของดวงดาว กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา มีรูปร่างเหมือนกังหัน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 แสนปีแสง ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณ 1 พันล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ห่างจากใจกลางของกาแล็กซีเป็นระยะทางประมาณ 3 หมื่นปีแสง หรือ 2 ใน 3 ของรัศมี

    กระจุกกาแล็กซี (Cluster of galaxies)
    กาแล็กซี มิได้อยู่กระจายตัวด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน หากแต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Group) หรือกระจุก (Cluster) "กลุ่มกาแล็กซีของเรา" (The Local Group) ประกอบด้วยกาแล็กซีมากกว่า 10 กาแล็กซี กาแล็กซีเพื่อนบ้านของเรา มีชื่อว่า "กาแลกซีแอนโดรมีดา" (Andromeda galaxy) อยู่ห่างออกไป 2.3 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ล้านปีแสง

    ซูเปอร์คลัสเตอร์ (Supercluster)
    ซูเปอร์ คลัสเตอร์ ประกอบด้วยกระจุกกาแล็กซีหลายกระจุก "ซูเปอร์คลัสเตอร์ของเรา" (The local supercluster) มีกาแล็กซีประมาณ 2 พันกาแล็กซี ตรงใจกลางเป็นที่ตั้งของ "กระจุกเวอร์โก" (Virgo cluster) ซึ่งประกอบด้วยกาแล็กซีประมาณ 50 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นของเรา กำลังเคลื่อนที่ออกจากกระจุกเวอร์โก ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตร/วินาที

    เอกภพ (Universe)
    " เอกภพ" หรือ "จักรวาล" หมายถึง อาณาบริเวณโดยรวม ซึ่งบรรจุทุกสรรพสิ่งทั้งหมด นักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบว่า ขอบของเอกภพสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่พวกเขาพบว่ากระจุกกาแล็กซีกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าเอกภพกำลังขยายตัว เมื่อคำนวณย้อนกลับนักดาราศาสตร์พบว่า เมื่อก่อนทุกสรรพสิ่งเป็นจุด ๆ เดียว เอกภพถือกำเนิดขึ้นด้วย "การระเบิดใหญ่" (Big Bang) เมื่อประมาณ 13,000 ล้านปีมาแล้ว

    ที่มาข้อมูล : http://www.lesa.in.th/space/earth_space_in...0in%20space.htm
    <table width="100" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="250" align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    [​IMG]

    <dl><dd>ถามว่า อานุภาพนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ไม่มีหรือ. ตอบว่า ไม่มี หามิได้ ความจริง พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงประสงค์ ก็ทรงแผ่พระรัศมีไปได้ตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้น แต่รัศมีแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามงคล แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ เหมือนรัศมีวาหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ก็ด้วยอำนาจความปรารถนาแต่เบื้องต้นฯ
    (ขุททกนิกาย พุทธวงศ์)
    </dd></dl> <table width="100" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]</td></tr></tbody></table> <table width="100" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="250" align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    สำหรับบุพกรรมที่ทำให้พระมงคลพุทธเจ้ามีพระรัศมีแผ่ซ่านไปตลอดทั้ง10,000 กาแลกซี่หรือแสนโกฏิจักรวาล ซึ่งเป็น"โลกธาตุอย่างใหญ่"นั้น เกิดเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระโอรสและพระชายา ในอัตภาพเช่นเดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ประทับอยู่ ณ ภูเขาเช่นเดียวกับเขาวงกต. ครั้งนั้น ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งกินมนุษย์เป็นอาหาร ชอบเบียดเบียนคนทุกคน ชื่อขรทาฐิกะ ได้ข่าวว่า พระมหาบุรุษชอบให้ทาน จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทูลขอทารกสองพระองค์กะพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัยว่า เราจะให้ลูกน้อยสองคนแก่พราหมณ์ดังนี้ ได้ทรงประทานพระราชบุตรทั้งสองพระองค์แล้ว ทำให้แผ่นดินหวั่นไหวจนถึงน้ำ ขณะนั้น ทั้งที่พระมหาสัตว์ทรงเห็นอยู่ ยักษ์ละเพศเป็นพราหมณ์นั้นเสีย มีดวงตากลมเหลือกเหลืองดังเปลวไฟ มีเขี้ยวโง้งไม่เสมอกันน่าเกลียดน่ากลัว มีจมูกบี้แบน มีผมแดงหยาบยาว มีเรือนร่างเสมือนต้นตาลไหม้ไฟใหม่ๆ จับทารกสองพระองค์ เหมือนกำเหง้าบัวเคี้ยวกิน พระมหาบุรุษมองดูยักษ์ พอยักษ์อ้าปาก ก็เห็นปากยักษ์นั้น มีสายเลือดไหลออกเหมือนเปลวไฟ ก็ไม่เกิดโทมนัสแม้เท่าปลายผม เมื่อคิดว่าเราให้ทานดีแล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสมากในสรีระ. พระมหาสัตว์นั้นทรงทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองนี้ เมื่อพระองค์อาศัยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงเปล่งออกจากสรีระ แผ่ไปตลอดสถานที่มีประมาณเท่านั้น.

    บุพจริยาอย่างอื่นของพระองค์ยังมีอีก. เล่ากันว่า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นี้เห็นเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่าควรที่จะสละชีวิตของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระโดยทำนองพันประทีปด้าม ให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสนซึ่งมีช่อดอกไม้ตูมขนาดศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้นใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟทั่ว ทั้งตัว ทำประทักษิณพระเจดีย์ของพระชินเจ้าให้เวลาล่วงไปตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นก็ไม่จับแม้เพียงขุมขน ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปสู่ห้องดอกปทุมจริงทีเดียว ชื่อว่าธรรมนี้ย่อมรักษาบุคคลผู้รักษาตน ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า <dl><dd> ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ </dd><dd> ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ </dd><dd> เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ </dd><dd> น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี. </dd><dd> ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ </dd><dd> ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ใน </dd><dd> ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปทุคติ </dd><dd> </dd><dd>ด้วยผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างแห่งพระสรีระของพระองค์จึงแผ่ไป ตลอดหมื่นโลกธาตุ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า </dd><dd>"ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ผู้นำโลก พระนามว่ามงคล ก็ทรงกำจัดความมืดในโลก ทรงชูประทีปธรรม </dd><dd>รัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่มีผู้เทียบ ยิ่งกว่าพระชินเจ้าพระองค์อื่น ๆ ครอบงำแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้าฯ"</dd></dl> <table width="100" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table width="250" align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" bordercolor="#ffffff" cellpadding="5" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff">[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    พราะเหตุที่พระพุทธรัศมีแห่งพระมงคล สัมมาสัมพุทธเจ้าได้แผ่ซ่านไปตลอดหมื่นจักรวาลดังนี้ มนุษย์และเทวดาทุกจักรวาลต่างล้วนได้รับความสุขสวัสดีและความอบอุ่นแห่งพระ พุทธเมตตาบารมีอยู่โดยตลอดถึง 90,000 ปี จนเมื่อพระมงคลพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แสงสว่างที่ครอบโลกธาตุทั้งสิ้น ก็พลันดับวูบลง ทำให้มนุษย์และเทวดาทุกสุริยจักรวาลต่างเศร้าโศกเสียใจ คร่ำครวญหวนไห้เป็นการใหญ่ ดังที่องค์สมเด็จพระโคตมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองว่า
    <dl><dd>ก็พระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้า มีพระนคร ชื่อว่า อุตตรนคร แม้พระชนกของพระองค์เป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าอุตตระ แม้พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตระ คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะและ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวลา และ พระอโสกา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อต้นนาคะ[กากะทิง] พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุประมาณเก้าหมื่นปี ส่วนพระชายาพระนามว่า ยสวดี พระโอรสพระนามว่า สีวละ เสด็จอภิเนษกรมณ์โดยยานคือ ม้า ประทับ ณ พระวิหาร อุตตราราม อุปัฏฐากชื่อ อุตตระ
    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดำรงพระชนม์อยู่เก้าหมื่นปีก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน หมื่นจักรวาลก็มืดลงพร้อมกัน โดยเหตุอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ทุกจักรวาล ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่
    ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
    </dd><dd>"พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีนคร ชื่ออุตตรนคร มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุตตระ พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตรา. </dd><dd>มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อพระสีวลา และพระอโสกา ต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกว่าต้นนาคะ.
    </dd><dd>
    พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก พระรัศมีแล่นออกจากพระสรีระนั้นหลายแสน. </dd><dt>
    </dt><dd>ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร
    </dd><dd>
    คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจนับคลื่นเหล่านั้นได้ฉันใด สาวกของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับสาวกเหล่านั้นได้ ฉันนั้นเหมือนกัน </dd><dt>
    </dt><dd>พระมงคลสัมพุทธเจ้า ผู้นำโลก ยังดำรงอยู่เพียงใด ความตายของผู้ยังมีกิเลสในศาสนาของพระองค์ ก็ไม่มีเพียงนั้น </dd><dt>
    </dt><dd>พระผู้มีพระยศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีปธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไปฉะนั้น </dd><dt>
    </dt><dd>พระองค์ ครั้นทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลายเป็นสภาวธรรมแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างแล้ว ก็อัสดงคตฉะนั้นฯ"</dd></dl>เพราะเหตุที่พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน "มนุษย์ทุกจักรวาล ก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่"ดัง กล่าว จึงเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่า เว้นจากโลกของเรานี้แล้ว สิ่งชีวิตที่มีความเจริญเสมอหรือยิ่งกว่ามนุษย์เราในโลกอื่นๆหรือที่เรียก โดยรวมว่า" มนุษย์ต่างดาว" นั้น เป็นสิ่งที่ "มีอยู่จริง" แน่แท้
    และครั้งหนึ่ง "มนุษย์ต่างดาว"เหล่านั้น ยังมีปัญญาล่วงรู้ถึงพระคุณอันประเสริฐสุดแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างดี จนถึงกับต้อง"เสียน้ำตา" เมื่อพระองค์ดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีกด้วยดังนี้แล..........

    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต"
    (ที.สี.14/90)

    <table width="100" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]


     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดา และ มนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต"



    ทีเห็นกันทางนิมิตเห็นมีแต่เพียงมายาการของตถาคตแสดงความเป็นไปในส่วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระไตรลักษณ์
     
  3. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    ในสมัยนั้น โลกและจักรวาลอาจไม่ใช่ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ได้นะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...