ภูมิพระโสดาบัน โดยหลวงปู่หล้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 21 พฤศจิกายน 2010.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    จงละเสียอกุล เลิกแล้วซึ่งปราบกรรม ไตรสิกขา

    โลกทั้งปวงคือสังขารทั้งปวง ทุกภพ คือสังขารทั้งปวง
    สังขาร ที่มีใจครอง รูปธรรม นามธรรมเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    รูปสังขาร นามสังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    ผู้ได้ ไปยึด คือ กิเลส

    ไม่ต้องเรียน [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]ก็ได้
    จากคัมภีร์ นโม-พุธตัง ขึ้นอยู่ว่า อินทรี..แก่กล้ามาเท่านั้น
    นโม พระโสดาบัน คือ ไม่เสียดายที่จะละเมิดศีล 5
    ไม่ถือไม่เสียดายพระศาสดาองค์อื่น
    ไม่เสียดายจะถืออยู่ยงคงกะพัน
    ไม่เสียดายจะถือฤกษ์มงคล นอกจากมงคล 38 ประการ
    เห็นธรรมชัด ก็เห็นอนัตตาชัด ก็ย่อมเห็นทุกข์ชัด
    ไม่สงสัยอดีด อนาคต เมืออินทรี แข็งแกร่ง เมื่อสติดีก็ข้ามทะเลหลง
    เห็น ชาติปิทุกขา ขณะจิตหนึ่ง ก็เห็นโลกรอบแล้ว
    ครั้งเดียวก็เห็นโลกธาตุแล้ว พระพุทธศาสนา สอน มนุษย์ สวรรค์ และนิพพานเป็นภูมิ เอาอย่างอื่นมาแข่งก็เหมือนเอาเม็ดทรายไปเทียบกับเขาหิมาลัย
    ไม่มีผู้ใด สามารถทำลายอริยะสัจ 4 ธรรมแท้ ไม่มีวันเสื่อม
    ไม่สำคัญว่าอยู่เหนือธรรม ไม่ว่าศาสดาพระองค์ไหน ยืนยันในทางเป็นจริงไม่เป็นอุปทาน ซึ่งเหล่านี้ เป็นที่พึ่งของศาสนาพุทธ
    กฏหมายตั้งขึ้น ถ้าไม่ดูพระศาสนา ก็ไปไม่รอด คนหมู่มากลากไป ถ้าไม่ดีก็ตกเหวหมด ถ้าถูกก็เป็นมงคล ผู้มีกิเลส มาก ก็ใช้อิทธิพล
    ลากไปตกเหว

    พระภิกษุ สามเณร ไม่ควรเป็นการบ้านการเมือง ถ้าไม่งั้นคงต้องเผาพระไตรปิกฏ ส่วนไม่รู้ก็เป็นส่วนมาก ส่วนที่รู้มีน้อย
    ทำอะไร ก็ประกอบด้วยเมตตา

    หลักที่ยึดมั้นธรรมที่ดูแล คือ หิริโอตัปปะ ก็ปกครองกันได้
    เพียงศีล 5 เท่านั้น กฏหมายก็ไม่ต้องมี มีแต่งบประมาณภาษีอาการ

    คนปัจจุบันครบถ้วน มีเพียง 0.001 % เท่านั้น ที่ถือศีล 5

    ไอ้ยุงตัวนี้ มึงมากัดกู ถ้ากูไม่ถือศีล 5 มึงตายแน่ นี่ไม่ใช่ภูมิพระโสดาบัน
    พระพุทธศาสนาคือ โลกุตระธรรม เท่านั้น
    อริยะครองเรือน ก็คือ พระโสดาบัน ศีล 5 คฤหัสควรรักษาเป็นนิจ
    การฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา บุคคลจะบริสุทธิ์ ก็ต้องมีปัญญาเท่านั้น
    วิปัสนาธุระ คือ หัวใจ จะเห็น สัจธรรมชัด
    พระสารีบุตร พระมหาโมคลาณะ เคยอยู่กับสัญชัยปริพาชก ก็ยังเปลี่ยนใจได้
    เพราะวาสนาที่เคยภาวนามา ย่อมต้องค้นหาสัจธรรมที่แท้จริง


    บัวเสมอน้ำกับบัวใต้น้ำ ยังถือลักธิผีอยู่
    ศาสนาพุทธ เป็นที่ผู้ไม่มีฐานนันดร ไม่เสมอที่จะมาเลื่อมใส
    พุทธศาสนาเป็นศานาที่เลือกเฟ้น


    ไม่สำคัญว่าเป็นผู้รู้ผู้เห็น ผู้รู้ผู้เห็นไม่มีก็จะเป็นวิชาจะระณะสัมปันโน
    ความเห็นตรงจึงปลดสลักออกได้

    ไตรสิกขาย่นย่อ ลงมาในปัจจุบัน และปัจจุบันจะนำพระอริยะมาเทียบไม่ได้
    พระพุทธศาสนา เป็นธรรมาธิปไตย เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ

    ผู้ใดเห็นธรรมปัจจุบัน ผู้นั้นไม่คลอนแคลน คือความพอใจในกรรมฐานในปัจจุบัน
    สติ สมาธิ ปัญญา รอบรู้กรรมฐานในปัจจุบันที่ตั้งไว้
    สัมมาทิฏฐิ จะมีอยู่ในปัจจุบัน ใครที่หาหมอดูอยู่ ผู้นั้นคือ มิฐาทิฏฐิ
    ผู้ที่ชี้บาปบุญคุณโทษ คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์

    ผู้ที่จะมาเลื่อมใสศาสนาจะต้องเข้าคิว ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาเลื่อมใส​

    ต้องบำเพ็ญบารมีมา​


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1237816/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2010
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    หลบภัยถอดเทป[​IMG]

    อามา ป้าเค มาลอยกระทง
     
  3. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>พระโสดาบันต้องมีจิตลักษณะเป็นอย่างไร
    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%"> พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 272

    ๒. โอคธสูตร องค์คุณของพระโสดาบัน

    [๑๔๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔

    ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ

    ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้

    ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม

    ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ฯลฯ อริยสาวกผู้

    ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ

    เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้

    สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อ

    ไปอีกว่า

    [๑๔๑๕] ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและการ

    เห็นธรรมมีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นแล ย่อมบรรลุ

    ความสุข อันหยั่งลงในพรหมจรรย์ตาม

    กาล.

    <HR>
    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 383

    ๑๐. โสดาปัตติยังคสูตร

    โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ

    [๑๖๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้ ๔

    ประการเป็นไฉน คือ การคบสัตบุรุษ ๑ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑

    การทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายโสตปัตติยังคะ ๔ ประการนี้แล.

    จบโสตาปัตติยังคสูตรที่ ๑๐

    ธรรมทั้ง ๔ ประการนี้เป็นส่วนเบื้องต้นเพื่อได้โสดาปัตติมรรค
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    พระอริยะ รู้ธรรมเฉพาะตน
    ก็จะต้องมีคำถาม เฉพาะตน

    คำถามเฉพาะตน นี้จะเกิดจากการ เดินไปตามทาง มรรค จึงไม่มีทางที่จะไม่มีคำถาม

    คำถามนั้นแหละ จะเป็นตัวบอกว่า นี่คือ คำถามของพระอริยะ หรือ คำำถามของปุถุชน

    อุปมาว่า เส้นทางไปยังจุดหมายนั้น มีเส้นทางเดียว คนเดินไปตามเส้นทาง ถาม คนที่เดินไปแล้ว ผู้ที่เดินไปแล้วย่อมทราบดี ว่า ผู้ที่ถามนั้นเดินตามตนมาถูกทางหรือไม่

    คนไม่มีคำถาม อาจจะมีอยู่ 2 จำพวก พวกหนึ่ง คือ พระอรหันต์

    อีกพวกหนึ่งคือ พวก ติดหล่ม
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คำถามของพระเสขะ ถ้าจะถามก็จะถามแต่วิธีทางละกิเลสที่ท่านยังละไม่ได้ แต่จะไม่ถามเหมือนกับความสงสัยแบบปุถุชน

    วิสัยพระอริยเจ้าทั้งหลาย จึงไม่มีทางที่ปุถุชนจะหยั่ง จะทำความเข้าใจได้ นอกเสียจากปุถุชนนั้นลงมือทำจนเกิดมรรคผลแก่ตนเอง

    พระโสดาบันที่ท่านว่าเที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะท่านตกกระแสนิพพานแล้ว มีหลักอันแน่วแน่ของใจแล้ว ค้นพบแล้วว่านิพพานนี้ไม่มีสุขใดเทียม นิพพานนี้เป็นที่สุดของทุกข์ทั้งหลายชาติภพทั้งหลาย ท่านรู้ถึงทางอันประเสริฐแล้ว ท่านจึงไม่เห็นกิจใดยิ่งไปกว่าการทำนิพพานให้แจ้ง

    ไม่สมควรอย่างยิ่งปุถุชนผู้ยังมีมิจฉาทิฐิเต็มหัวใจ จะไปตำหนิติเตียนพระอริยเจ้า จะไปคาดคิดว่าพระอริยะต้องทำอย่างโน่น ต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่มีทางที่จะคาดเดาวิสัยของท่านเหล่านั้นได้ถูกต้องเลย ยิ่งพูดไปก็เหมือนกับถ่มน้ำลายใส่ฟ้า

    พระโสดาบัน..ท่านรู้และละได้อย่างไร (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    http://palungjit.org/threads/พระโสดาบัน-ท่านรู้และละได้อย่างไร-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.102652/

    ธรรมที่พระโสดาบันละได้เด็ดขาด

    http://palungjit.org/threads/ธรรมที่พระโสดาบันละได้เด็ดขาด.203474/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2010
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    การประกาศว่าตนเองเป็นใครคืออะไรนั้นไม่ใช่ธรรมของพระอริยะเจ้า การที่หลวงตาท่านกล่าวก็เพราะมีคนมาถามท่าน หลวงปู่หล้าก็เช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่หลวงปู่หล้าจะตอบว่า เขายกให้เป็นไม่ได้ยกตนเองไว้ หลวงตาบัวก็เช่นเดียวกัน อนึ่งคำว่ามิจฉาทิฐินั้นจึงมีในผู้ไม่รู้ความเป็นจริงแห่งตน หลงตัวตนยึดติดในความคิดตน เอาความคิดของตนนั้นเป็นที่ตั้งเป็นสรณะ ไม่เอาธรรมที่ควรมีมาพิจารณา หรือเรียกว่า ปล่อยให้กิเลสพาไป ที่สำคัญที่สุดเลย หากเมื่อไหร่ก็ตามเกิดความสำคัญตนเกิดขึ้นที่จิต พึงสำเหนียกใจได้เลยว่านั่นจิตเรานั้นยังไม่ถึงซึ่งธรรมอันมีพระศาสดาเป็นผู้ชี้บอก พึงสำเหนียกใจไว้เลยว่ายัง ยังไม่ใช่ และไม่ใช่ทาง นี่แหละคือความจริง เพราะค่อนข้างแน่ใจเลยว่า พระอริยะเจ้าทั้งหลายไม่ได้มีความสำคัญตนไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งแน่นอนที่สุด รูปหยาบๆอย่างรูปกาย ท่านก็ไม่คิดถือครองไว้โดยเจตนาเพียงรู้ว่ามีก็เท่านั้น พิจารณาเอาเองนะคั๊บว่า อะไรเรียกว่าพระอริยะสงฆ์สาวก อะไรไม่ใช่ จงอย่าสำคัญผิดคิดเองเออเองก็พอ ก็ไม่มีการก้าวล่วงใดๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความหมายทั้งหมดมาจากคำว่า สำคัญผิด หรือ มิจฉาทิฐิ นั่นเอง
     
  7. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    หลบภัย ถอดเทป ตามคำเทสพระ ใครฟังจบก็ได้ปัญญา
    ผู้ที่ไม่ได้ฟัง ก็จะมีแต่อคติ อย่างเดียว ไม่มีคำพูดของหลบภัยเลย
    ถ่ายทอดเป็นธรรมทาน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ฟัง กัณนี้ดี
    หลบภัย ภาวนาเสร็จ ก็มาฟังและถอดเทปตอนตี 4 ไม่ได้มาบอกใครว่าตัวเองทำดีแล้ว
    มาอวด แต่อยากจะบอก หลบภัย ตั้งใจมอบธรรมกัณนี้ให้เพื่อนๆ กัลยานิมิตจริงๆ
    ขออภัยค่ะ ที่ภาษาไทยไม่ค่อยถูก หลบภัยจะพยายามแก้ไข ต่อไป หลบภัยยังเป็นปุถุชน
    ขี้เหม็น ตดยังเหม็นอยู่เลย
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทำดีแล้ว การถอดเทปไม่ใช่ง่าย และที่สำคัญ ธรรม ที่พระอริยเจ้าสอน ย่อมมีประโยชน์

    ยังมีธรรมที่ดีอีกมากที่ยังเป็นเทปอยู่ ธรรมเหล่านั้นก่อปัญญาเป็นอย่างยิ่ง

    หากธรรมที่เป็นเทป ถูกทอดเป็นตัวหนังสือ ก็จะถูกเผยแพร่ให้นักปฎิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ฉะนั้น กุศลมากมาย สำหรับผู้ที่ลงแรงถอดเทป และนำออกเผยแพร่

    อนุโมทนา
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มาช่วยพิสูจน์อักษร อิอิ

    สวรรณ์ = สววรค์ ?

    อริยะสัจ = อริยสัจ ?

    ยึดมั้น = ยึดมั่น ?

    สัจจธรรม = สัจธรรม ?

    ลักธิผี = ลัทธิ ?

    ฐานะนันดร = ฐานันดร ?

    ศานา = ศาสนา ?

    วิชาจรณสัมโน = วิชชาจารณสัมปันโน ? ในบทสวดบาลีจะใช้ วิชชาจะระณะสัมปันโน

    พระพุทธศานา = พระพุทธศาสนา ?

    คอนแคลน = คลอนแคลน ?

    สัมมาทิฐิ = สัมมาทิฏฐิ ?

    มิฐาทิฐิ = มิจฉาทิฏฐิ ?

    ปล.ให้อากู๋ช่วยแปลอักษร ก็ได้นะ ใช้หมวดค้นหา ประยุกต์เอามาใช้หาคำถูกพอได้
    เช่น แปะ สัมมาทิฐิ ให้ค้นหา มันจะขึ้นคำว่า หรือคุณหมายถึง: สัมมาทิฐิ มาให้ ก็พอช่วยได้แต่อาจไม่ 100 %
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2010
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ที่ว่าถอดเทปจากคำสอนหลวงปู่หล้า นี่หมายถึงอันนี้ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ควรจะกล่าวคำขอขมาต่อหลวงปู่ด้วย และขอขมาต่อพระรัตนตรัยด้วย เพราะไม่ตรงกันกับคำที่หลวงปู่กล่าวครับ
    มีเท่านี้แหละครับที่จะบอก
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หลบภัย คราวหน้าถอดเทป ต้องถอดทุกคำที่ท่านกล่าวนะ ไม่เช่นนั้นความหมายไม่ครบถ้วน จะทำให้ผู้ปฎิบัติตีความคลาดเคลื่อน ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2010
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอบคุณค่ะพี่จินนี่ จริงๆ หลบภัยถอดเทปไว้หลายกัณนะ มี file เต็ม
    หลบภัยไม่เก่งเรื่องภาษา ถอดเยอะมีหวังผิดเยอะแน่ๆ
    แต่ความหมายที่ถอดออกมาไม่มีผิดหรอกค่ะ หลบภัยใช้เวลาฟังแต่ละครั้งเป็นหลายรอบ
    ที่เอา ตรงนี้ประโยคที่สำคัญๆ และหลบภัยก็ทำที่ load ไว้ให้แล้ว
    หวังว่านักปฏิบัติ คงload เอาไปฟังกันเยอะ ดูจาก view แล้ว
    หัวใจนักปราชญ์คือ สุ จิ ปุ ริ ต้องทำร่วมกันหมด
    ไม่เลือกอันไหน อันหนึ่ง ค่ะ

    อยากให้ฟังมากกว่า และจดเอาเอง ปฏิบัติเอาเอง ถามเมื่อติดขัดจริงไหม
    ถึงจะเรียกว่าผู้ปฏิบัติ

    ถ้าใครเก่งภาษา อยากถอดเป็นธรรม ก็ร่วมทำบุญค่ะ
    หลบภัยคงเลิกถอดเทปแล้ว เพราะว่าไม่เหมาะทางนี้ให้
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าเลิกทำก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันไม่ได้เกี่ยวกับสุ จิ ปุ ริ หรอก มันเกี่ยวกับว่าถ้าบอกว่าทอดเทปมามันหมายความว่าเราถอดทุกคำพูดออกมา ซึ่งทุกคำพูดนั้นมันเป็นของใคร เช่น ของพระศาสดาพระอานนท์ก็ถอดมาทุกคำพูด นั่นหมายความว่าอย่างไร นั่นเพราะพระอานนท์เคารพเทิดทูนพระศาสดามาก เวลาจะยกคำสอนของพระศาสดามาบัญญัติท่านก็จะเอามาทุกๆคำที่พระศาสดาตรัส ส่วนที่ชี้ไปนั่นคือ ถ้าเป็นการสรุปความตามความเข้าใจของตัวนานาเอง ก็บอกว่าสรุปความตามความเข้าใจของนานาเอง ไม่ใช่บอกว่า นานาถอดเทปมา เพราะนั่นมันสื่อถึงความไม่เคารพต่อคำสอนอย่าว่าแต่คำสอนของพระอริยะเจ้าเลย ถ้ายังมองข้ามสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วทำเป็นว่าต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ควรใช้คำว่าถอดเทปกับคำสอนของพระอริยะเจ้า มันจะเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตนเอง มันก็เท่านั้น ไม่ได้ว่าอะไร เพียงอยากจะบอกว่าทำสิ่งใดก็ให้ตั้งใจให้สำเร็จ อย่าเห็นแก่สิ่งอื่นจนลืมความสำคัญของการกระทำต่อสิ่งที่เรียกว่า คำสอนของพระอริยะเจ้า นี่เป็นเพียงข้อชี้แนะเท่านั้น ผมก็เห็นว่าดีเพียงแต่มันไม่ตรงกันเท่านั้นเองครับ
     
  15. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ส่วนเรื่องการปรามาสนี่ ปรามาสใครก็ให้โทษทั้งนั้นแหละ อย่าให้ถึงพระอริยะบุคคลเลย เพราะท่านที่เป็นอริยะบุคคลเขาไม่มีคำว่าปรามาสใคร มีแต่คนธรรมดาที่ไม่มีสติและก็ไร้สาระเท่านั้นแหละที่ชอบทำกัน ซึ่งโดยมากมักทำกันเอง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามหลงไปทำกับพระอริยะเจ้าไม่ว่าจะขั้นใดเข้าจริงๆแล้ว เหตุการณ์ต่างๆมันจะไม่สุขสบายอย่างที่เคยเป็น สิ่งที่ไม่คาดฝันในทางที่ไม่ดีจะปรากฏ แต่ปรากฏเพราะการกระทำของตนเองเพราะว่าขาดสติ บางทีก็อาจกลายเป็นบ้าไป ก็มี ส่วนที่บอกว่าการปรามาสใครๆนั้นมันไม่ดีทั้งนั้นแหละเพราะอะไร เพราะใครๆทั้งหลายก็คงไม่มีใครชอบเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะมีก็เพียงพวกหลงโลกเท่านั้นที่ชอบให้คนอื่นดูถูกและชอบดูถูกคนอื่น และโดยมากพวกหลงโลกก็มักเป็นพวกไร้สติและทำเรื่องไร้สาระจนเป็นนิสัย จึงจะเห็นได้มากมายในโลกนี้ ในสังคมนี้ และในเวปนี้ เพราะฉนั้นมันจึงไม่มีเหตุอันควรอันใดให้ดูถูกผู้อื่น และริษยาในผู้อื่น ตลอดจนถือตัวถือตนเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับนับถือ จึงไม่ใช่เหตุอันดีแก่การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
     
  17. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    การตำหนิติเตียน คนกระทำผิด ต่อว่าคนขาดสติ ตักเตือนคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เรียกว่าปรามาสครับ

    คำว่า "ปรามาส" ควรใช้กับผู้มีคุณธรรมสูงกว่าตน คนผู้นั้นมีคุณธรรม แต่ผู้ว่ากล่าวตำหนิ ดูถูก ดูแคลน ไม่เชื่อ กล่าวในลักษณะที่ไม่เป็นความจริง อย่างนี้เรียก "ปรามาส"

    ตัวอย่าง ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน รู้ว่ามันร้อน ก็ตักเตือนวิธีที่ถูกให้ไม่ต้องลองผิดลองถูก ผู้ใหญ่เมตตาตักเตือน ฝ่ายเด็กด้วยความเอาแต่ใจมาตลอด ไม่อดทนต่อโลกธรรม บ้างไม่ยอมรับ ไม่เชื่อฟัง ซ้ำยังตำหนิ กล่าวหาว่าผู้ใหญ่อิจฉาริษยาเสียด้วย อย่างนี้ไม่เรียกว่าผู้ใหญ่ปรามาสเด็กครับ

    แต่ถ้าเด็กต่อว่าผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ใหญ่มีคุณธรรม ด้วยความพยาบาท หรือไม่เท่าทันต่อจิตใจที่มันดื้อรั้นเอาแต่ใจ ด้วยความที่ถูกตามใจมาตลอด ไม่เคยถูกใครมาตำหนิ ยิ่งผู้ใหญ่เอาความจริงมาพูด เด็กนั้นเห็นผิดเป็นชอบ ด้วยความขาดอ่อนน้อมถ่อมตน คิดลบหลู่ตีเสมอ อย่างนี้เรียกเด็กปรามาสผู้ใหญ่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  18. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    บางคนนี่เขาด่าทั้งคนต่ำ คนสูง เพราะคิดว่าตนสูง
    คนสูงจริงๆ เขาเอาธรรมเป็นหลัก ไม่ด่าไปทั่ว
    คนสูงนี่ ถ้าคนต่ำพร่องในศีลพูดสัจธรรม อย่างดีเขาก็แค่ไม่เชื่อในบุคคล ไม่ต้องไปพยายามโต้ธรรมตนให้ชนะธรรมใคร กลายเป็นธรรมอัตตาเปล่าๆ
    แล้วไม่ใช่ ใครเป็นศัตรู หรือเป็นมิตรกับศัตรูตน ก็โต้หมด มีพยาบาทบังธรรมไปหมด...... ธรรมอัตตา เพราะมีเจตนาเป็นปม.. จะค้นหาธรรมแท้ในการสนทนาได้อย่างไร

    ใครมีเจตนาดี ความเมตตานั้นแผ่ออกมาเอง ผ่านตัวเขาเองก่อน
    เมตตาต่อคนที่เกลียดได้ ก็นับว่าทำลายอัตตาไปมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แล้วรู้ได้อย่างไรว่าใครคุณธรรมสูงกว่าต่ำกว่าละครับ ส่วนเรื่องการตำหนินั้นไม่ว่าจะใครตำหนิติเตียนกันนั้น มันไม่ดีหรอกให้ดีเขาเรียกว่าสอน ผู้ใหญ่สอนเด็กส่วนเด็กก็แนะนำผู้ใหญ่ การตำหนิอะไรบ้างดี ไปหามาสิ ท่าน...จินนี่ไม่อยากเอ่ย เพราะเอ่ยมากเดี้ยวจะหลงตัวตนไปกันใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    โดยปกติผมไม่ค่อยอยากพูดถึงภูมิธรรมว่าใครเป็นอย่างไร ถึงรู้ก็ไม่อยากพูดไม่อยากกล่าว มันมีอะไรถึงต้องเอามากล่าว ล่อกิเลสตัวโง่ ที่สถิตย์อยู่ในใจมาเนิ่นช้า ที่สำคัญเลย คนที่ไม่รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนถูก สิ่งไหนความจริง สิ่งไหนสำคัญสิ่งไหนไม่สำคัญ มันก็มองไม่ออก มันก็เห็นเป็นอย่างอื่น ซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องธรรมดามากๆ มันเลยกลายเป็นว่า คนหนึ่งไม่เคยเห็นว่าสิ่งดีๆของการกระทำสิ่งต่างๆนั้นแท้จริงคืออะไร มันก็สะท้อนถึงภูมิความคิดของคน สะท้อนภูมิจิตของคน และสามารถสะท้อนให้เห็นภูมิจิตของพระอริยะเจ้าทั้งหลายได้ถ้าตัวเราอยู๋ในตำแหน่งที่สะท้อนได้เช่นกัน จึงเรียกว่า รู้ได้เสมอกัน ตามภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ก็พิจารณาดูว่า วัตถุประสงค์ของการฝึกปฏิบัติกรรมฐานนั้นทำให้เป็นคนที่มีความละเอียดละออในการพิจารณาไตร่ตรองและการกระทำสิ่งต่างๆให้ถูกให้ควรใช่หรือไม่ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความริษยา พยาบาทยังคงมีไหม นั่นเป็นการศึกษาตัวศึกษาจิตของตนแล้วแก้ไข ใช่หรือไม่เมื่อรู้แล้ว ก็จะสามารถสะท้อนผลการปฏิบัตินั้นถ้าเป็นไปในทางดีก็จะพิจารณาเห็นว่า มันต่างกันเพียงไหน ระหว่างสิ่งที่เป็นความจริงกับสิ่งที่เป็นเพียงความคิด จึงเน้นว่า ตั้งใจ ตั้งจิตไว้ให้ดี อย่าให้กิเลสหลอกเอาไปกิน คิดว่าเป็นนั่นเป็นนี่เสียอย่างนั้นแล้วเที่ยวไปลองภูมิผู้อื่นบ้าง ดูถูกผู้อื่นบ้าง อย่างนี้มันคืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย เพราะทุกคนควรจะสามารถพิจารณาเอาเองได้ครับ
    สาธุคั๊บ
     

แชร์หน้านี้

Loading...